Group Blog
All Blog
--- ส วั ส ดี ล ม ห น า ว เ ดื อ น พ ฤ ศ จิ ก า ย น ---



















ลมหนาวแรกสินะ เป็นลมหนาวที่ทำให้รู้สึกหนาว เพราะห่มผ้าห่มผืนเดียวไม่อุ่นเหมือนทุกวัน แต่ดีมากสำหรับการตื่นมาวิ่งตอนเช้า มองฟ้าเปลี่ยนสีรอบทิศ

แต่ก่อนพะวักพะวนเวลาคนที่บ้านไปประชุมเป็นอาทิตย์ ฉันไม่สามารถขับรถไปวิ่งที่โรงพยาบาลคนเดียวได้ ถึงไปได้แต่ก็ไม่สามารถวิ่งตามลำพัง ฉันกลัวความมืดที่โรงพยาบาล บางวูบที่คิดไปเองก็จะกลัวสารพัด ต้องทำจิตทำใจแผ่ส่วนกุศลไปต่าง ๆ นานา

แต่วันหนึ่ง เจอน้องนักวิ่งอัลตร้าเล่าให้ฟังว่า เธอยุ่งกับงานมากจนไม่มีเวลาซ้อมยาว แค่รับมือกับลูกค้าทั้งวันก็แย่แล้ว แต่ยังดีที่สามารถวิ่งรอบโกดังได้ แค่สามสิบเมตรเองนะพี่ ฉันถึงกับร้องโห... นึกถึงตัวเองที่แต่ก่อนเวลาใครถามว่า ไปซ้อมวิ่งที่ไหนก่อนลงมาราธอน ฉันก็ว่า ที่โรงพยาบาลน่ะ สนาม 600 เมตร คนที่ถามถึงกับอึ้ง งงว่าไม่เวียนหัวเหรอ ฉันก็ว่าไม่ ปลอดภัยและสงบดีด้วย เวลาซ้อมวิ่งของฉันคือหลังเลิกงานหรือไม่ก็เช้าตรู่ ไม่มีใครเคยเห็นเราไปซ้อมวิ่งกันหรอก

แต่พอฉันฟังเรื่องที่น้องซ้อมวิ่งในโกดังของเธอ ฉันทึ่งมาก คนมันจะซ้อมน่ะ ที่ไหนก็ซ้อมได้ ขอแค่ตั้งใจ มีใจจะซ้อมก็พอ ฉันก็เริ่มคิดซ้อมวิ่งรอบสระหน้าบ้านซึ่งแต่ก่อนที่ไม่ซ้อมเพราะฉันกลัวหมาเจ้าถิ่นรอบสระ แต่ช่วงหลัง ๆ เปลี่ยนความคิดแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ขอใช้ความรู้สึกแบบนี้แหละ เพราะต้องคิดแบบนี้ ไม่งั้นฉันจะเริ่มใหม่ไม่ได้ กลัวก็คือกลัวอยู่ร่ำไป (ขอยกเว้นเรื่องกลัวผีไว้เรื่องนึงนะ เพราะไม่เคยทำได้เลย)

พอไม่กลัวหมา ก็สามารถวิ่งวนรอบสระน้ำได้ รอบสระเพียง 250 เมตรเท่านั้น มองเห็นหน้ากันทุกทิศเพราะต้นไม้รอบสระไม่มี เริ่มลองวิ่งสั้น ๆ จนพยายามวิ่งสิบกิโลให้ได้อย่างน้อยสี่วันติดต่อกัน ซ้อมยาวจนถึง 25 k ได้ ลองวิ่งจนถึงสองทุ่มหรือสามทุ่มคนเดียวก็รู้สึกปลอดภัย เพราะรอบบ้านรู้จักฉันกันหมด เริ่มตั้งแต่เขาสงสัยว่าใครซ้อมวิ่งตอนกลางคืน พอเห็นเป็นฉันหรือเป็นเราสองคน เขาก็ไม่ออกมาดูแล้ว จากนั้นฉันก็เปลี่ยนเวลามาซ้อมวิ่งตอนเช้าเวลาที่สามีไปประชุม หมาที่บ้านตรงกันข้ามก็เห่าสักหนึ่งครั้งตอนผ่านหน้าบ้าน แต่พอรอบสองก็คุ้นแล้ว เพราะเห็นกันทุกวัน พวกมันก็หมอบดูเฉย ๆ

แต่ที่ต้องขอบคุณทุกวันคือพี่หมอก เขาจะมีความสุขมากที่ได้ออกบ้านและวิ่งหน้าเริ่ดซอยเท้าสั้น ๆ นำหน้าฉันทุกวัน จนเป็นที่ชินตาของคนผ่านไปมาทั้งเช้าและเย็น อะไรก็ไม่เท่าตอนเช้ามืดและตอนค่ำ ๆ พี่หมอกไม่เคยทิ้งฉันวิ่งคนเดียว เขาจะนำหน้าไปรอ แวะฉี่ แวะดมนั่นนี่ข้างทางแล้วพอฉันใกล้เขา เขาจะเริ่มออกวิ่งนำหน้า ทำหน้าที่ไม่บกพร่อง บางครั้งฉันกับสามีวิ่งคนละรอบ เขาก็พยายามจะออกไปเป็นเพื่อนรอบที่สอง แต่ก็วิ่งไม่ตลอดหรอกนะ เหนื่อยลิ้นห้อย โดยเฉพาะตอนวิ่งกับสามี ฉันรู้สึกรักและเอ็นดูหมอกขึ้นเยอะ ทั้งที่เขาเองก็สนุกไปกับเรา

หลายคนบอกเราว่า พาพี่หมอกไปวิ่งออกงานสิ งานในอำเภอเรานี่แหละ วิ่งสั้น ๆ ก็ได้ ฉันได้แต่ยิ้ม ๆ เป็นไปไม่ได้หรอก หมอกกลัวคน เขาจะกระวนกระวายเวลามีคนอื่นมาวิ่งกับฉัน เขาสนุกเฉพาะเวลาอยู่กับฉัน ทำหน้าเหมือนอวดว่านี่เจ้านายฉันนะ ฉันมันหมามีเจ้าของนะจะบอกให้ ความคิดแบบนี้แหละที่พี่หมอกจะกร่างเวลาเห็นคนอื่นจูงหมามาเดินเล่นรอบสระด้วย หมอกจะขู่ ไล่และหาเรื่อง พร้อมฟัดกับหมาทุกตัวโดยไม่เจียมตัวเองเลย เพราะถึงเวลาที่เขากระโจนกัดกัน เสียงเรียก เสียงห้ามไม่ทำให้พี่หมอกหายบ้าได้ หลังจากฟัดกันจนหนำใจ พี่หมอกก็มีรอยแผลบนหน้า ไม่ยอมให้ใส่ยาด้วย ดุก็หน้ามึน ตอนนี้กลายเป็นว่า ใครก็ไม่กล้าจูงหมามาเดินเล่นเวลาที่ฉันวิ่ง เพราะพี่หมอกใหญ่คับซอย เฮ้ออออ... จะเก็บพี่หมอกเข้าบ้านก็สงสารอีก โชคดีที่มันยังไม่เคยกัดคน แต่ห้ามพูดนะว่า มันไม่เคยกัดใคร

ฉันแค่นึกดีใจและขอบคุณพี่หมอกที่วิ่งเป็นเพื่อน หายกังเวลเรื่องหาที่ซ้อมวิ่ง ทั้งที่ไปเทศบาลก็ได้ ใกล้บ้านนิดเดียว แต่คนทั้งอำเภอมากระจุกอยู่ที่นี่ ดูเหมือนน่าสนุกแต่ฉันไม่ค่อยสะดวกใจ ชอบรอบสระหน้าบ้านมากกว่า มีแต่สอวอและคนคุ้นเคย เดี๋ยวนี้รอบสระเป็นเหมือนที่นัดพบกันทุกเย็น ใครไม่มาก็ถามหากัน พวกเขาก็เริ่มชินแล้วที่เห็นฉันวิ่งอยู่คนเดียวนานเป็นชั่วโมง ๆ ไม่มีใครรู้ว่าฉันวิ่งจริงจังตามสนามแข่งด้วย คิดแต่ว่าฉันคงวิ่งเพื่อลดความอ้วน

ความจริงมันน่าจะผอมลงมั่งนะ แต่ไหงความอ้วนตามติดตามฉันแบบไม่ยอมลดละ คิดซะว่า ถ้าไม่วิ่งคงหนักร้อยโลไปแล้ว




ชอบอะไรก็แค่ลงมือทำ
สวัสดีลมหนาว
สวัสดีเดือนพฤศจิกายน



ขอให้ทุกท่านมีความสุข
ภูพเยีย














Create Date : 01 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 1 พฤศจิกายน 2562 10:16:07 น.
Counter : 1369 Pageviews.

2 comment
--- M e d a l D a y (ep.3) ---







































Medal Day (Ep.3)

ต่างประเทศมีธรรมเนียมหนึ่งซึ่งเพื่อนเล่าให้ฟังว่า หลังการแข่งขันจบ ได้รับเหรียญที่ระลึกแล้ว เขาจะใส่เหรียญฟินิชเชอร์โชว์กันเต็ม ๆ หนึ่งวัน

ถามว่า ธรรมเนียมไทยมีไหม ฉันไม่รู้นะ แต่ทุกครั้งที่ฉันวิ่งจบ ฉันไม่สนโลกแล้ว ฉันเห่อเหรียญวิ่งที่ได้รับหลังเข้าเส้นชัย ไม่สนว่าใครจะเป็นผู้มอบให้ ใหญ่โตหรือไม่ มีหน้าที่การงานน่านับถือเพียงไหน ได้แต่ขอบคุณเขาและใส่เหรียญห้อยคอถ่ายรูปไปทั่ว

แต่ก่อนเหรียญก็ไม่ได้สวยสะดุดตา เป็นเพียงสัญลักษณ์ประจำจังหวัด เหรียญสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง สายห้อยเหรียญเป็นธงชาติหรือเป็นสายร่มแบบเหรียญวิ่งที่สุโขทัย เหรียญอะไรแบบไหนก็ชอบหมด อมยิ้มแก้มปริ นั่งดูเหรียญซ้ำไปซ้ำมาขณะนั่งรถกลับบ้าน หยิบดูนับครั้งไม่ถ้วน ถึงบ้านก็ถ่ายภาพกับบิบอวดชาวโลกผ่านเฟซบุ๊ก ฉันทำแบบนี้เป็นประจำโดยไม่ได้สนใจว่าใครจะยินดีด้วยหรือจะหมั่นไส้ฉันหรือเปล่า

ฉันภูมิใจในทุกเหรียญที่ได้รับจากการวิ่งมา ไม่ว่าจะวิ่งระยะอะไร ทุกเหรียญมีที่มาต่างกัน แลกเหงื่อ แลกน้ำตา ต่อสู้ อดทนในการซ้อมมาไม่น้อย การเตรียมการแข่งขันคือใจความสำคัญของการลงสนาม การฝึกซ้อมสม่ำเสมอตลอดเวลาที่ผ่านมาต่างหากที่พาเรามาถึงแต่ละสนาม ทั้งที่วันวิ่งจริง มีหลายสนามที่ไม่ประสบความสำเร็จ หมายถึงวิ่งไม่จบ ไม่ทันเวลาคัทออฟหรือยอมแพ้ระหว่างทาง ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ แรก ๆ ก็ช็อกนะ ไม่คิดว่าจะกะเวลาผิดพลาด แต่ฉันแพ้เป็น อาจรู้สึกอายในช่วงแรก ๆ คิดวนไปเวียนมากับผลที่ได้รับ ฉันก็บ้าไปได้ ทำยังกับชีวิตนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ซะงั้น แข่งกีฬามาเท่าไรนับไม่ถ้วน เจอมาทุกรสชาติแล้วแต่อาจจะหลงลืมไป ความใจสู้และไม่ยอมแพ้นั่นแหละที่ฝังรากลึก

แต่พออายุมากขึ้น ความมีน้ำใจนักกีฬาไม่เคยสูญหาย ยังเป็นคนรู้แพ้รู้ชนะ ไม่ระทมทุกข์กับความไม่สมหวัง หรือการไม่ประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่าง ยอมรับความจริงว่า เราไม่เหมาะกับสิ่งนั้นแม้ว่าเราทุ่มเทไปจนสุดกำลังแล้วก็ตาม เพียงแต่ดีใจที่ได้ทำ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตก็เท่านั้น

แต่ก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า อายุปูนนี้แล้วยังรู้สึกหัวใจเต้นระริกกับเหรียญวิ่งที่ได้มา ปีติ ภูมิใจ ไม่ว่าจะแสดงออกมาหรือไม่ มันคือความสุข รู้สึกอุ่นอยู่ในใจ เหรียญระยะไหนก็ปลื้มค่ะ

แต่ละสนาม นอกจากเหรียญวิ่งแล้ว คนเก่ง ๆ ก็จะได้รับถ้วยรางวัล อย่างฉันก็ไม่ต้องไปหวังอะไรแบบนั้นหรอก มันไกลเกินไป วิ่งจบก็เลิศแล้ว แต่ระยะวิ่งฮาล์ฟมาราธอนขึ้นไปมักจะมีเสื้อฟินิชเชอร์ให้อีกตัว ได้มาก็ใส่ขิงกันหน่อย ขิงเป็นศัพท์วัยรุ่นแต่น้อง ๆ นิยมพูดกันคำนี้ ฉันก็พูดตามน้อง ๆ หมายถึงใส่เสื้ออวดกันหน่อยค่ะ

เสื้อฟินิชเชอร์ของฉันเต็มตู้ล่ะค่ะ ใส่ขิงหลังวิ่งจบและขิงจนกลับบ้าน เดินขิงเข้าร้านกาแฟ ถ่ายรูป ถ่ายรูปและถ่ายรูป เฮ้ย เรามันขิงเบอร์นี้เลยเหรอเนี่ย

แล้วงานเบอร์ลินจะเหลือเรอะ นอกจากมีเสื้อขิงแล้ว เขายังใส่เหรียญขิงวัน Medal Day กันอีกทั้งวัน เรียกว่าเดินไปทางไหนก็มีแต่นักวิ่งใส่เสื้อฟินิชเชอร์และห้อยเหรียญขิง เราต่างยิ้มให้กันและเอ่ยแสดงความยินดีไปด้วย

แต่ฉันขิงกว่านั้น ไม่ได้ใส่วันเดียวนะ ยังพกเหรียญไปถ่ายรูปไปทั่วทุกหนทุกแห่งที่ไป ขิงที่ร้านกาแฟ ขนม ขิงกับปราสาท ทุกจัตุรัสที่ผ่าน ทุ่งหญ้า ใบไม้เปลี่ยนสี โดม วัด มัสยิด บนรถไฟ บนเครื่องบิน ถ่ายกับขาหมูเยอรมัน ไส้กรอกเยอรมัน แก้วเบียร์ แก้วกาแฟ ห้องนอน คือขิงไปเรื่อยจนน้อง ๆ ล้อตอนที่ถึงบ้านแล้วไปกินมาม่าฟ้าธานีก่อนกลับบ้านดอยนั้น ความจริงจะต้องเอาเหรียญไปขิงข้างชามมาม่าด้วยนะแต่ลืมเอาลงจากรถ แต่ที่ตัวก็คือเสื้อฟิชเชอร์ แค่นี้ก็ขิงพอแรงแล้วล่ะ
เย้ยยย ขิงกันหน่อย อย่าถือสากันนะคะ

5555 😜😆😘😍😉
















Create Date : 11 ตุลาคม 2562
Last Update : 11 ตุลาคม 2562 9:55:59 น.
Counter : 446 Pageviews.

0 comment
--- บั น ทึ ก ก า ร วิ่ ง ม า ร า ธ อ น EP. 2 ---































เช้าวันอาทิตย์ พวกเราลงมาที่ห้องอาหารราว ๆ 6.45 น. เพราะห้องอาหารโรงแรมเปิด 7 โมงตรง มีนักวิ่งมานั่งตามโต๊ะเกือบทุกโต๊ะแล้ว และตรงเคาเตอร์อาหารมีขนมปัง(แทนข้าว) แฮม เนย ชีส น้ำเปล่า น้ำผลไม้ กาแฟ ผลไม้วางเกือบครบแล้วเช่นกัน นักวิ่งต่างชาติคนหนึ่งไปเปิดประเดิมก่อน เราเลยได้ตามไปเข้าแถวเตรียมโหลดมื้อเช้าไว้ด้วย เร็วกว่าเดิม 15 นาทีดูเหมือนมีเวลาเยอะ เรากินแล้วจะได้ออกเดินทางไปสนามวิ่ง

เมื่อคืนนอนหลับดีมาก นอนรวดเดียวตื่นเลย ถ้าวิ่งไม่ดีจะโทษการนอนไม่ได้แล้วนะ

ฉันหยิบขนมปัง แฮม เนย ชีส มาทำเป็นแซนวิชไส้หนา ๆ พยายามเคี้ยวอย่างช้า ๆ ขนมปังเขาแน่น เหนียวเคี้ยวยากมาก เมื่อยปากแต่ก็ต้องกินให้หมด รวมทั้งกล้วยหอม ฉันกินกล้วยสองผล ไม่กินอย่างเดียวคือกาแฟ กลัวปวดท้องเข้าห้องน้ำ คิดว่าร่างกายพร้อมมาก อยากไปปล่อยพลังแล้ว วู้วววว

พยากรณ์อากาศบอกเราว่า วันนี้ฝนจะตกทั้งวัน เริ่มตั้งแต่ 10 โมงเช้า จะตก ๆ หยุด ๆ และตอนบ่ายจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ งานนี้ก็สนุกอีกงานแล้วสิ ปีนี้วิ่งกลางสายฝนมาหลายงานแล้ว เริ่มตั้งแต่โตเกียวมาราธอนมาเลย งานนั้นอุณหภูมิ 3 องศา ฝนตกตั้งแต่เข้าแถวก่อนปล่อยตัวเกือบสองชั่วโมง สงสารคนที่ไม่ได้เอาเสื้อกันฝนมา ฝนอย่างเดียวก็แย่แล้ว นี่อากาศเย็นเจี๊ยบ เราก็ต้องนิ่งทำสมาธิภายใต้เสื้อกันฝน แต่งานโตเกียวนั้น ฉันแต่งตัวครบมาก มีเสื้ออุ่นแนบตัว เสื้อวิ่ง เสื้อกันลมกันฝน สวมกางเกงสองชั้น ทั้งขายาวและขาสั้นข้างนอกอีกตัว แถมยังมีเสื้อกันฝนคลุมลงไปครึ่งเข่า แต่งตัวซะหนักเลยแต่อุ่น จะได้ไม่ปวดฉี่ งานนั้นจะไปต่อแถวเข้าห้องน้ำคงกลับมาไม่ทันคัทออฟแน่ ๆ มีคัทออฟตั้ง 9 จุด ทำเป็นเล่นไม่ได้ ใครก็รู้ว่า วินาทีเดียวก็ไม่ได้ กติกาเขาเข้มมาก เป๊ะเวอร์ แต่ทุกคนเคารพกติกานี้ค่ะ เพียงแต่ตอนที่เห็นเชือกสีเหลืองพาดสองข้างถนนไม่ให้นักวิ่งที่มาไม่ทันเวลาแล้วใจหาย เขาจะเคลียร์นักวิ่งที่มาไม่ทันคัทออฟขึ้นรถบัสเป็นจุด ๆ ไป

งานนั้นฉันก็วิ่งสุดกำลัง ขอผ่าน คัทออฟที่ 5 และ 10 กิโลแรกก่อน อย่าเพิ่งโดนตัดออกแต่แรก มันจะเสียขวัญ ตั้งใจว่า วิ่งไปแล้วจะถอดเสื้อกันฝนทิ้งข้างทาง แต่แล้วก็ไม่ได้ทำ สวมอย่างนั้นจนเข้าเส้นชัย แต่งตัวพร้อมขนาดนั้นยังหนาวสั่นแทบแย่ แต่ดีที่สามีดูแล มีชุดมาเปลี่ยนให้หลังเข้าเส้นชัยไปแล้ว ไม่ต้องแช่ในชุดเปียก ๆ โดยเฉพาะรองเท้าและหัว

ทั้งที่มีประสบการณ์จากตรงนี้แล้วแต่ฉันยังชะล่าใจ คิดว่าเคยวิ่งกลางฝนมาหลายงานทั้งเทรลที่แม่แจ่มและสนามแม่เมาะ งานนี้เราอยากใส่เสื้อที่ระลึกของเบอร์ลินสีส้มตัวนี้โดยไม่ใส่เสื้อกันฝนคลุมตอนวิ่ง ทั้งที่เราเตรียมเสื้อประเทศไทยของเรามาแล้วนะ ส่วนกางเกงก็ใส่ขาสั้น เราสองคนแต่งตัวเหมือนกันเลย คิดแค่ว่า ใส่ขาสั้นจะวิ่งสะดวกกว่า ถึงเจอฝนก็คงไม่หนาวมากเพราะเราวิ่งอยู่ ความร้อนในร่างกายน่าจะพอดีกัน

เราออกจากโรงแรมเจ็ดโมงครึ่ง นั่งรถไฟไปสนามอีก 40 นาที บนรถไฟเต็มไปด้วยนักวิ่งนานาชาติ ดูจากการแต่งกาย ข้อมือและชิปที่ผูกอยู่บนรองเท้าวิ่ง ฟังเขาทักทายกัน มาจากทั่วทุกมุมโลกแหละงานนี้ นักวิ่งมาราธอนไม่เหมือนนักวิ่ง 50/100/200หรือ400 เมตร ที่อาศัยความเร็วเป็นหลัก นักวิ่งเหล่านี้แหละที่เราเป็นไม่ได้ ส่วนใหญ่จะแข้งขาเล็ก ๆ ตัวเพรียว ๆ ดูหุ่นก็รู้ว่าวิ่งเร็ว

แต่นักวิ่งมาราธอนจะดูหุ่นหรือรูปร่างไม่ได้เลย ไม่ว่าสูงต่ำ อ้วน เตี้ย ก็วิ่งได้ ใคร ๆ ก็วิ่งได้ถ้าอยากวิ่ง ใคร ๆ ก็วิ่งดีได้ถ้าซ้อมมาอย่างดี เรามองภายนอกไม่รู้ ดูไม่ค่อยออกนอกจากรอดูตอนเขาห้อยเหรียญแล้วนั่นแหละ

ลงจากรถไฟ เราก็เดินไหลไปกับเขา ใจเดียวกัน ทางเดียวกันหมด อากาศเย็นลง น่าจะอยู่ที่ 12-13 องศา ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ฝนตกมาปรอย ๆ แค่เดินจากสถานีรถไฟไปยังสนามก็เกือบสองกิโลแล้ว ได้เดินวอร์มกันไปในตัว เช้านี้ดูสดชื่นกันทุกคน ฉันก็ใจพร้อมมากเพราะได้กินอิ่ม นอนหลับ ขณะเดินไปสนามก็เก็บภาพระหว่างทางไปเรื่อย ๆ ฉันไม่ใช่นักเดินทาง ไม่เคยไปที่ไหนไกล ๆ แบบนี้บ่อย ๆ ความแปลกตาทำให้มองอะไรก็สวยงาม น่าสนใจ ดึงดูดใจให้เก็บภาพไปหมด

น้อง ๆ กองเชียร์ทั้ง 5 คนนั้น สองคนเป็นนักวิ่งที่วิ่งด้วยกันมาตลอด แต่งานนี้ไม่ได้ลงสนามด้วยกัน อีกสามคนเป็นกองเชียร์จริง ๆ เตรียมข้าวปลาอาหารมาทำให้เรากินด้วย พวกเธอเตรียมธงชาติและเตรียมใจมาเชียร์พวกเราในวันนี้ และกำลังพาพวกเราไปส่งที่จุดสตาร์ท

เราจะผ่านตึกรัฐสภาที่เรามาถ่ายรูปเล่นกันเมื่อวาน แต่วันนี้ถ่ายในชุดวิ่งกันอีกรอบ และถ้าหากเข้าเส้นชัย เราก็จะมาตรงนี้อีกครั้งหลังจากรับเหรียญแล้ว คาดว่าน่าจะวิ่งจบนะถ้าไม่มีอุบัติเหตุอะไร

เขาปล่อยตัวนักวิ่ง 9 โมงตรง มีนักวิ่งงานนี้ทั้งหมด 4 หมื่น 6 พันคน จะแบ่งออกเป็นบล็อก A ถึง H

บล็อก A นั้นเป็นนักวิ่งอีลิท / บล็อก B ถึง G นั้นก็นักวิ่ง sub 4 หมายถึงวิ่งมาราธอนต่ำว่า 4 ชั่วโมง พวกเราสามคนนั้นอยู่บล็อก H ซึ่งไม่ต้องอธิบายอะไรมาก วิ่งจบเหมือนกันแต่อาจจะช้าหน่อย แต่ในจำนวนนักวิ่งเหล่านี้ ฝีเท้าที่วิ่งจบมาราธอนสี่ชั่วโมงกว่า ๆ นั้นเยอะมาก และตั้งใจมาทำลายสถิติตัวเองในสนามตำนานนี้ด้วย

เขาจะปล่อยตัวทีละบล็อก ห่างกัน 10 นาที บล้อกของเราก็จะถูกปล่อยตัวตอน 10.10 น. แต่ใช้เวลา Chip Time / Cut oFF 6 ชั่วโมง

ฉันคิดแค่ว่า ทำยังไงก็ได้อย่าวิ่งเกินเพซ 8 หรือ 8.30 เป็นใช้ได้ ไม่งั้นคงไม่ทันเวลาคัทออฟแน่ ๆ โชคดีที่ระหว่างทางไม่มีการคัทออฟตามจุด แต่มีจุดเช็คพ้อยต์กิโลที่ 10 / 21 และ 35 มาให้รู้ว่าวิ่งมาตามเส้นทางจริง ไม่ทราบว่าต่างประเทศมีนักวิ่งโกงหรือเปล่า ไม่คิดว่านักกีฬาที่มาวิ่งขนาดนี้แล้วจะคิดเรื่องพวกนี้ด้วย

เราไม่เซ็งหงอยอะไรกันนะ แม้ว่าเขาปล่อยตัวนักวิ่งบล็อก A ไปแล้ว มีการเปิดเพลงและบิ้วท์อารมณ์นักวิ่งสารพัด แค่เพลงก็คึกคักจนหายหนาวทั้งที่ฝนเริ่มมาโปรยปราย ฉันสวมเสื้อกันฝนที่เตรียมมาด้วย งานนี้กะว่าจะถอดทิ้งข้างทางแน่ ๆ อยากวิ่งตัวเบา ๆ ไม่อยากหอบอะไรพะรุงพะรัง

น้องที่วิ่งด้วยกันนั้น เป็นความหวังของหมู่บ้านเลยทีเดียว เราดันให้เธอไปแถวหน้า ๆ ตอนปล่อยตัว เพราะงานนี้มีความสำคัญต่อเธออย่างยิ่ง เธอต้องการทำเวลาให้ดีเพื่อจะได้ใช้เป็นใบรับรองในการสมัครสนามบอสตันมาราธอน

ในบรรดางานมาราธอนเมเจอร์ทั้ง 6 แห่งนั้น ( มีสนามชิคาโก ลอนดอน เบอร์ลิน โตเกียวและบอสตัน ) มีสนามบอสตันแห่งเดียวที่ต้องใช้สถิติในการสมัคร อีกห้าสนามนั้น ขอมีแรง มีเงินค่าสมัครวิ่ง ก็พอจะเป็นไปได้ หลังจากนั้นก็ต้องมีดวงเพราะเขาจะจับฉลากสุ่มเลือกจากนักวิ่งทั่วโลกที่สมัครเข้ามาในแต่ละปี ให้โอกาสกับทุก ๆ คนแม้จะวิ่งไม่เก่งมาก ขอให้วิ่งจบภายในหกชั่วโมงก็สามารถสมัครมาวิ่งได้ อย่างไรก็ตาม ซ้อมมาให้ดี จะได้วิ่งสนุกทุกสนาม

ใกล้เวลาจริง ยิ่งตื่นเต้น ความรู้สึกแบบนี้ไม่เคยหายไปไม่ว่าจะลงสนามไหน เพียงแต่ระยะมินิมาราธอน เราอาจจะวิ่งเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ค่อยกังวลสำหรับระยะนี้

ส่วนฮาล์ฟมาราธอน ก็จะตื่นเต้นนิดหน่อย รู้ว่าเหนื่อยแต่ก็ยังรู้ว่าจะวิ่งให้จบได้

แต่ระยะมาราธอนนี่ ไกลมาก ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างทาง เราต้องมีสมาธิ อยู่กับตัวเอง อย่าวิ่งตามคนอื่น วิ่งให้เหมือนตอนซ้อมมาแม้ว่านักกีฬาคนอื่นจะแรงดีทำให้เราเผลอวิ่งตามเขา อย่าเผลอนะเดี๋ยวจะวิ่งไม่จบ เพราะเคยทำแบบนั้นและขาตาย ก้าวแทบไม่ออกเลยทีเดียว

การวิ่งตามเพซเซอร์ของงานก็ดีถ้าซ้อมมาดีและตามเขาทัน แต่ตอนที่เพซเซอร์พาลูกโป่งค่อย ๆ เคลื่อนผ่านข้างตัวไป และค่อย ๆ ลอยห่างไปข้างหน้า ใจหวิว ๆ เลย เหมือนคนรักจากไปยังไงยังงั้น เพียงหลุดโฟกัสจากลูกโป่ง มันก็หายไปเลย แรงเราก็เหมือนจะน้อยลงเมื่อระยะหลัง 21 กิโลเป็นต้นไป

งานนี้ หลังจากปล่อยตัวแล้ว เราจะวิ่งผ่านอาคารรัฐสภาเยอรมนี เดอะไรช์ทาค ซึ่งเคยเป็นที่บัญชาการใหญ่สมัยอาณาจักรไรซ์ที่สามปกครองเยอรมนี

ว่ากันว่า ที่เยอรมันมีสวนสาธารณะกว้างใหญ่ของเมืองซึ่งมีเสาชัยชนะหรือเสาชัยชนะแห่งเบอร์ลินอยู่ตรงกลาง ยอดเสาจะมีรูปปั้นวิคตอเรีย เทพธิดาแห่งชัยชนะซึ่งมีน้ำหนักถึง 35 ตันอยู่บนยอด คนท้องถิ่นตั้งฉายาให้เธอว่า Golden Elise ผู้หญิงที่หนักที่สุดในเบอร์ลินเลยก็ว่าได้

เราวิ่งผ่านจุดนี้ก็ได้แต่เหลือบตาขึ้นมานิดนึง แต่ต้องมองทางวิ่งที่นองไปด้วยน้ำฝนมากกว่า ถนนของเขาบางช่วงก็เป็นแอ่งน้ำฝนเย็น ๆ เหมือนกัน แม้ถนนจะเป็นทางราบ มีบางช่วงเป็นเนินยาว ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรอกว่าเนินยาวแค่ไหนเพราะไม่ได้มองไกล คนเยอะมาก มองตามหลังนักวิ่งข้างหน้าไปเรื่อย ๆ มองไกลก็จะใจเสีย เพราะมีนักวิ่งล่วงหน้าไปก่อนแบบมืดฟ้ามัวดินเลยล่ะ

ผ่านกิโลที่ 11 ก็เป็นย่านจัตุรัสอเล็กซานเดอร์ เป็นบริเวณที่พักของพวกเรา บอกตัวเองว่าตอนนี้เราวิ่งมาได้ 1 ใน 4 ของระยะมาราธอนแล้ว

ฉันยังวิ่งตามสามีไปเรื่อย ๆ ตัวเปียก หัวเปียกเพราะหมวกเราเป็นแบบครึ่งหัว มีแค่ปีกหมวกเท่านั้นที่กันฝน น้องก็บอกแล้วว่า หมวกกันฝนก็สำคัญนะพี่ หัวจะไม่เย็น แต่ฉันไม่มีนั่นเองและไม่ชอบใส่เสียด้วยสิ ฉันอาจจะวิ่งเทรลมากกว่า หมวกเปิดแบบที่ชอบใส่จะระบายอากาศได้ดี แต่งานนี้ทำให้เย็นยะเยือกถึงตาตุ่มเลย

ฉันยังวิ่งสนุกไปได้เรื่อย ๆ เพราะวิ่งตอนซ้อมก็ประมาณนี้ คุมเวลาไม่ให้เกินเพซ 8 และวิ่งมาจน 21 กิโล ผ่านจุดเช็คพ้อยต์ไปสักหน่อยหนึ่ง มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง ๆ คือ ตะคริวค่ะ ตะคริวขึ้นทั้งสองขาเลย คิดว่าอากาศเย็นมาก รองเท้าวิ่งแช่น้ำเย็นมาสักพักนึงแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงดี ตกใจนะ เราไม่มีสเปรย์ยาชา ยาแก้ปวดอะไรทั้งนั้น เพราะไม่เคยตะคริวขึ้น ถึงอยากจะพกติดตัวกันเหนียวก่อนเข้าสนาม เขาก็ไม่ยอมให้ผ่านเข้าไปได้ ข้างสนามก็ไม่มีหน่วยพยาบาลหรือเรายังวิ่งไปไม่ถึงจุดพยาบาลไม่ค่อยแน่ใจ คือไม่ได้ดูหน่วยพยาบาลตามแผนที่เลย หันไปทางไหน นักวิ่งก็วิ่งกันตัวเบาเหมือนเรา ไม่มีใครพกเป้หรือพกสเปรย์มาฉีดขาฉีดแข้งกันสักคน

บอกสามีไปว่า ตะคริวขึ้นนะ คงต้องช้าลงแล้ว แต่คิดว่าไปเองได้ อยากไปช้ากว่านี้ ยกขาสูงกว่านี้ไม่ได้ ตะคริวจะขึ้นหน้าแข้งอีก

โชคดี สามีไม่ได้พูดอะไร เขาก็เฉย ๆ รอได้

บางทีก็ต้องทำใจละนะ ฉันบอกแต่แรกแล้วว่า ฉันวิ่งเองได้ ไม่อยากเป็นภาระเขา ไม่อยากเห็นการชักสีหน้าหรือหงุดหงิด นิดเดียวก็ไม่ได้ ฉันจะเสียความรู้สึกและกังวลไปต่าง ๆ นานา ค่อนข้างเซ้นสิถีฝกับเรื่องพวกนี้ เราแรงไม่เท่ากันจะให้วิ่งเหมือนกันได้อย่างไร ไม่มีใครอยากวิ่งไม่จบหรอก แต่เกิดอะไรขึ้นก็ต้องดูสถานการณ์และประเมินตัวเองอยู่แล้ว

อาการนี้คือ ดึงร่างกายให้ช้าลง อย่ายกเท้าสูงและอย่าตื่น ทำสมาธิและค่อย ๆ ไป ช่วงนี้ขากำลังเริ่มล้าแล้ว เรื่องเหนื่อยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช่วงหลัง ๆ เวลาลงสนาม ฉันเลิกคิดเรื่อง DNF จะไม่ท้อและคิดดีอย่างเดียว ระยะมาราธอนนี้ห้ามท้อ ถ้าท้อแล้วจะหมดแรง วิ่งมาครึ่งทางแล้ว อีกแค่ครึ่งทางเท่านั้น ก็คิดเก็บระยะไปทีละห้ากิโล นับถอยหลังไปแบบนี้ท่ามกลางฝนพรำและความหนาวเย็น ทั้งที่วิ่งไม่หยุดแต่เหมือนร่างกายไม่อบอุ่นเอาเสียเลย

เราวิ่งมาถึงกิโลที่ 28 เกือบจะ 29 เสียงโทรศัพท์สามีดังขึ้น บอกว่าน้องอีกคนเข้าเส้นชัยไปแล้ว ทำ New PB ได้ด้วยและได้สถิติสำหรับสมัครบอสตันได้ โอ๊ยยยย อยากจะกระโดดกรี๊ดแต่ตะคริวต้องขึ้นทั้งตัวแน่ ๆ เราสองคนนี่ยิ้มหน้าบานเลย ดีใจสุด ๆ แม้สภาพฉันตอนนี้ยังระหกระเหินลุยฟ้าลุยฝนอยู่เลย ตะคริวแหย่มาตลอด มันเกาะหนึบทั้งสองข้างจนเผลอยกขาสูงไม่ได้ ขณะที่เราซอยเท้าสั้น ๆ ถี่ขึ้น นักวิ่งต่างชาติข้าง ๆ ที่สวม ไนกี้ Next% รอบตัวฉันเดินก้าวยาว ๆ แต่เร็วมากกกก

คุณลุงหลายคนก็ใส่ Next% ด้วย หันไปทางไหนก็มีไนกี้รุ่นนี้ทุกสี ไม่รู้ว่าเมืองนอกรองเท้านี้ก็ดังด้วย ฉันนึกว่ามีแต่นักวิ่งบ้านเราเสียอีก ฉันมองหาแต่คนที่สวมรองเท้าเหมือนฉันมากกว่า งานนี้ฉันใส่ ออน รันนิ่งนะเพราะนิวตั้นทรยศ ทำให้ปวดรองช้ำมาเป็นเดือน ตัดสินใจลองใส่ออน รันนิ่งครั้งแรก ไม่รู้จะมีปัญหาหรือเปล่า แต่ต้องไว้ใจกันหน่อยล่ะ เคยใส่จ็อกกิ้งมาอาทิตย์กว่า ๆ เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาและไม่ปวดรองช้ำมากไปกว่าเดิม

หลังกิโลที่ 35 สามีฉันวิ่งล่วงหน้าไปยืนรับโทรศัพท์และส่งไลน์ รอถ่ายรูปฉันส่งให้ลูก ๆ

เด็ก ๆ ส่งเสียงเชียร์ให้แม่สู้ ๆ หน้าตาฉันสดชื่นอยู่นะ ไม่รู้ร้อน รู้แต่โคตรหนาว +_+

ดูเวลาก็คิดว่าน่าจะวิ่งทันนะ อีก 7 กิโลภายในสองชั่วโมง

ฉันว่า ฉันคงเป็นนักวิ่งจากไทยที่วิ่งช้าสุดแล้วมั้งงานนี้ เห็นว่านักวิ่งไทยมีถึงสามร้อยกว่าชีวิตเลยค่ะ แต่ฉันก็พยายามสุดแล้วที่จะประคองตัวให้ถึงประตูบรันเดนบูร์ก ในหัวมีแต่ภาพที่ตัวเองวิ่งผ่านประตูชัย แต่ไม่ชะล่าใจนะ

เห็นใจแต่สามีนี่แหละที่เขาไม่วิ่งทำเวลาดี ๆ ของเขา แต่ต้องมาวิ่งเป็นเพื่อนกับฉัน ก็เขาเป็นเสนอเอง ฉันไม่ได้ขอร้องเพราะคิดว่าการซ้อมน่าจะทำให้ฉันผ่านงานนี้ได้

เขาบอกตลอดว่า อยากมีรูปวิ่งด้วยกัน ไม่รู้จะทำเวลาไปทำไม ไหน ๆ ก็ได้มาวิ่งด้วยกันแล้ว

ฉันดีใจที่สุดแล้วนะที่เขาไม่รำคาญกับการวิ่งช้าของฉัน ก็พากันไปเรื่อย ๆ

อยากบอกว่า สองกิโลสุดท้ายนี้เป็นนรกสำหรับคนที่ตะคริวจ่อมาตั้งแต่หลังกิโลที่ 21 แล้ว ไม่สนุกเลย ต้องคุมสติดี ๆ

งานนี้มีน้ำเกลือแร่ น้ำกิน กล้วยหอม แอปเปิ้ลเหลือเฟือ โดยเฉพาะแอปเปิ้ล หวานกรอบมาก ฉันรับมากินเต็มมือ ไม่หิวเลยนะ แต่กินแล้วอร่อยดี เสียแต่ท้องเสียกับเกลือแร่ของเขา ไม่รู้ยี่ห้ออะไรไม่เคยกิน มีน้ำชามะนาวอุ่น ๆ อีก ฉันดื่มไปหลายแก้ว ถ่ายเป็นน้ำหยอด ๆ ระหว่างวิ่งด้วย แต่เป็นช่วงท้าย ๆ ช่วงห้ากิโลสุดท้าย จะเข้าห้องน้ำก็เกรงใจสามี กลัวเขาจะรอ เพราะเขาวิ่งนำหน้าไปเป็นช่วง ๆ นึกแล้วสงสาร วิ่งไปก็หันหลังมาดูว่าฉันตามเขาไปหรือยัง ฉันน่ะ ไม่ท้ออยู่แล้ว เชื่อว่ายังไงก็ไปได้ บอกเขาไปล่วงหน้าก่อนก็ได้ แต่พูดครั้งเดียว ไม่พูดซ้ำเพราะก็รำคาญตัวเองเหมือนกัน ตกลงกันแล้วก็ต้องไปตามนั้น

ฉันหยิบเจลในงานมาหนึ่งซอง แต่ไม่กินหรอก เอามาไว้เป็นที่ระลึกจากงาน แค่ฉันกินเกลือแร่ น้ำ กล้วย แอปเปิ้ลในงานก็จุกแล้ว ไม่ได้หิวเหมือนตอนวิ่งที่โตเกียวนะ ตอนนั้นหิวข้าวมาก กินก่อนวิ่งน้อยไปหน่อย แต่งานนี้กินดี นอนดี เสียตะคริวนี่แหละ มาตอด ๆ ให้รำคาญ

จบการแข่งขัน มาคิดทบทวน ไม่มีมาราธอนครั้งไหนที่สมบูรณ์สักครั้งตั้งแต่วิ่งมา มาราธอนแรกก็เหนื่อยใจแทบขาด แถมใส่กางเกงรัดกล้ามอีกทั้งที่ไม่เคยใส่ซ้อมสักครั้งเดียว หายใจไม่ออกต้องถอดกางเกงข้างทางกิโลที่ 15 และใส่ขาสั้นวิ่งต่อ สามีก็ทั้งเร่งทั้งลากทั้งขู่ไม่ให้เดิน อย่าเดิน อย่าเดิน เดินแล้วเมื่อไรจะจบบบบบ เฮ้ออออ ฮ่วยยยยย

วิ่งเมืองไทยมาราธอนเป็นครั้งที่สองก็สะบักสะบอมเพราะซ้อมน้อย เป็นหวัดก่อนแข่งอีก เริ่มรู้มานิดนึงว่า อย่าหวังเรื่องเวลาถ้าไม่ซ้อม
ต่อมาก็มาราทอนเทรล ก็ป่วยหนักก่อนแข่งเดือนนึงทั้งที่ซ้อมหนักมาตลอด

งานเขาค้อก็เป็นมาราธอนโหดไปสำหรับคนไม่ค่อยแข็งแรงเพราะไม่เคยซ้อมทางชันและดาวฮิลล์ แดดเผา กลัวฮีทสโตรก หากตายกลางแดดจะว่าไง แต่ก่อนจะขี้กลัวอยู่เหมือนกันนะ

ครั้นมาบุรีรัมย์ก็ท้องเสียกิโลที่ 12 วิ่งเข้าห้องน้ำ ปวดบิด ร้องไห้ อยากออกจากการแข่งขัน ร้อนจนตับแล่บ เข้าห้องน้ำถึงสามครั้ง ใจสั่น ดีที่เอาเกลือแร่ผงติดตัวไป เดินจิบ เดินครึ่งทาง วิ่งครึ่งทางจนจบ สะโหลสะเหลเลย นี่ก็วิ่งเป็นสนามรองก่อนไปโตเกียวมาราธอน พอเจอโตเกียวก็อากาศหนาวและฝน ชุดก็หนักพะรุงพะรัง แถมหิ้วท้องวิ่งอีก หิวเป็นบ้า วิ่งหนีคัทออฟมันมาก ๆ ให้ตายสิ และยังมีมาราธอนเทรลอีกที่เหนื่อยใจแทบขาดตอนกิโลที่ 25 คิดในใจว่า กลับไปจะขายบิบอัลตร้าทิ้งให้หมด ฯลฯ

พอมาวิ่งงานนี้ กินดี นอนดี แต่แต่งตัวไม่เข้ากับภูมิอากาศและสภาพร่างกายของตัวเอง เจอตะคริวอีก ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรดี มาราธอนก็เหมือนชีวิตจริงจริง ๆ นะ มันคือช่วงชีวิตเราที่เผชิญอะไรที่ไม่รู้จัก ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้า บางช่วงก็ท้อจนจะไปไม่ไหว เหมือนเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางฝูงชนที่ร่วมทาง ทั้งที่คนอื่นก็ต้องมีบ้างแต่เราไม่ได้เปิดใจคุยกัน เวลาทุกข์ ก็รู้สึกว่าทุกข์ของตัวเองมากกว่าคนอื่น ที่ทำได้คือต้องยอมรับและปรับใจให้ได้เร็ว ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ระหว่างทางเดินชีวิต ขอให้มีสติเร็ว ๆ ประคับประคองตัวเองดี ๆ ประเมินตัว ประมาณตนและค่อย ๆ ก้าวไป จุดหมายอาจเลือนรางบ้างเป็นเพราะยังแตะไม่ถึง จุดหมายที่ไกลจนมองไม่เห็นก็ดูไม่ฉลาดที่จะทำอีกเช่นกัน ความไม่รู้อนาคตเป็นเสน่ห์ของชีวิต อาจไม่ต้องอยากรู้เพื่อคลายความเคลือบแคลง ไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เดินไป ขออย่าประมาทกับทุกเส้นทาง

ระหว่างทางนั้นมีความหมายต่อเรามาก ได้เรียนรู้ใจตัวเอง ได้เรียนรู้คู่ของเรา ได้หัดฟังเสียงร่างกาย มีรอยยิ้มและกำลังใจจากเพื่อนร่วมทาง จากเพื่อน ๆ ที่มาให้กำลังใจ จากลูก ๆ ที่คอยส่งกำลังใจเชียร์ จากคนข้างกายที่คอยดูแลเราทั้งใกล้และห่างเพราะเข้าใจในสิ่งที่เราทำ

ฉันมาไกลกว่าที่เคยคิด ฉันมักถามตัวเองว่าหนังสือเล่มไหนที่เปลี่ยนแปลงโลกภายในของฉันบ้าง ฉันนึกไม่ออกเพราะมันหมายถึงหลาย ๆ เล่มรวมกัน ฉันโชคดีที่ชอบอ่านหนังสือและได้อ่านหนังสือที่ชอบ ๆ มากมาย แต่ไม่น่าเชื่อว่า หนังสือเล่มหนึ่งเล่มนั้นจะเปลี่ยนชีวิตฉันอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด

'เย็นวันเสาร์ เช้าวันอาทิตย์' เขย่าโลกภายใน ปลุกวิญญาณนักกีฬาซึ่งหลับไหลในห้วงลึก ขุดความใจสู้ที่เคยคิดว่ามันจบไปแล้วกับวัยเยาว์ เปิดโลกใบใหม่ให้ฉันเข้าไปสัมผัสด้วยตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ดีใจที่วัยนี้ ฉันยังเป็นน้ำที่พร่องอยู่ สามารถเรียนรู้และรับอะไรใหม่ ๆ ได้อีก มีประสบการณ์บางอย่างที่แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นได้บ้าง การวิ่งเหมือนการปฏิบัติธรรม ฟังดูเหมือนใช้ศัพท์ใหญ่โต แต่จริง ในแต่ละช่วงชีวิตของเราควรดำเนินไปด้วยสติ มีสมาธิกับทุกสิ่งตรงหน้า อยู่กับเวลาปัจจุบัน

ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หลายสิ่งหลายอย่างหล่อหลอมเราให้เป็นคนใหม่ที่อดทนขึ้น รู้จักรับและแบ่งปัน รู้จักเพื่อนใหม่ที่เป็นคอเดียวกัน ชีวิตมีสีสัน มีชีวิตชีวาขึ้น

การอ่านหนังสือนี่ดีจริง ๆ
จบ EP.2 ดื้อ ๆ แบบนี้แหละค่ะ

ขอบคุณที่อ่านนะคะ
ภูพเยีย


















Create Date : 10 ตุลาคม 2562
Last Update : 11 ตุลาคม 2562 7:56:27 น.
Counter : 439 Pageviews.

0 comment
--- บั น ทึ ก ง า น วิ่ ง เ บ อ ร์ ลิ น ม า ร า ธ อ น 2 0 1 9 ---









































































































































































ก่อนเบอร์ลินมาราธอนเริ่มในวันพรุ่งนี้ • มีประเพณีที่นักวิ่งรอคอย ก็คือ การวิ่งแห่มาราธอน หรือว่า Breakfast Run ครับ วิ่ง City Run กันหลายพันคน ไปตามท้องถนน
ราว 5-6 กิโลเมตร

แต่ละชาติก็สามารถนำเสนอเอกลักษณ์ของชาติตัวเอง
ตั้งแต่ธง ชุดประจำชาติ จะขอ Following IG กันก็ไม่ผิดครับ เป็นเรื่องของมาราธอนที่เป็นภาษาสากล หรือใครอยากจะ tinder กันก็ไม่ผิดมั้งนะ

จุดหมายของการวิ่งยามเช้าครั้งนี้ จะไปจบที่ Olympic Stadium (Olympia Stadion) ของเมือง Berlin บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ครับ เพราะว่าที่นี่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของโลก ~ ไม่ว่าจะถูกใช้จัดงานโอลิมปิกในเบอร์ลิน เยอรมันตอนปี 1936

เป็นสนามจัดฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้ง. ครั้งแรกในปี 1974 ปีที่อินทรีย์เหล็กเป็นเจ้าภาพและเยอรมันตะวันตกเป็นแชมป์ ว่ากันว่าวันนั้นเสียงเชียร์ เสียงเฉลิมฉลองจากคน 81,100 คนในสเตเดียมที่ดังกระหึ่มไปทั่วเมือง แต่มีคนอีกฟากของกำแพงเบอร์ลิน พวกเขาไม่มีโอกาสได้ชม ในนัดที่เยอรมันตะวันตกชนะชิลี่ 1-0

และที่นี่ถูกใช้ดวลแข้งอีกครั้งในปี 2006 ที่เยอรมันกลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหลังจาก การถลายกำแพงเบอร์ลิน ทีมชาติเยอรมันโคจรมาเจอกับทีมชาติอาร์เจนติน่าที่นี่
มีคนนับแสนคนอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 30 มิถุนายน 2006 นัดนั้นเยอรมันชนะ 4-2 เมืองทั้งเมืองแทบเป็นลานเฉลิมฉลองการเข้ารอบของอินทรีย์เหล็ก

ที่นี่ยังเคยเป็นที่จัดคอนเสิร์ตของ U2 , Coldplay , Madonna , Guns n'roses หรือแม้แต่ Ed Sheeran ,etc

และที่สุดของที่สุด คือ ในปี 2009 นักวิ่งนามว่า ยูเซน โบล์ท ก็มาทำสถิตื 100, 200 เมตร ที่เร็วที่สุดในโลก World record ที่นี่ในงานกรีฑาชิงแชมป์โลก ปีนี้ครบรอบ 10 ปีพอดีด้วย

อย่างน้อยเบอร์ลิน มี WR เกิดขึ้น 3 รายการครับ 100,200 และ 42.195Km

ดังนั้นลูกทัวร์ของ Running Insider ในปี 2020 พวกคุณเตรียมไปฟินน์กับประวัติศาสตร์บทนี้ได้เลยครับ / #เราควรจะทำทัวร์กันใช่ไหม | รูปสวย | กินอิ่ม | นอนสบาย | เข้าใจสายวิ่ง

ไปไหม ข้อมูลแน่นนะ ขอบอก ไม่พลาดทุกอณูความสุขในนครแห่งมาราธอน

#BerlinMarathon2019
#เบอร์ลินมาราธอน2019
#BerlinLegend

Photo | Raiwin Boat
©️RunningInsider

เครดิต : https://www.facebook.com/search/top/…

บทความข้างต้นนี้ลอกมาจากคุณบุ๊ยแห่งรันนิ่ง อินไซด์เดอร์มาเลยนะคะ ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ด้วยความไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเบรคฟาสรันมาเลย เพิ่งทราบรายละเอียดหลังจากที่ได้อ่านนี่แหละค่ะ

ปีนี้ แก๊งค์เราล็อตโต้มาได้สามคน เราสองคนนั้น ขอวิ่งแค่ทันคัทออฟ 6 ชั่วโมงก็พอใจ
ส่วนน้องอีกคน เธอซ้อมโปรแกรม 330 วันของครูดินมา และทำได้ 100 % เต็มจนน่าทึ่ง สนามเบอร์ลินนี้เป็นทางเรียบ สามารถทำสถิติใหม่ได้สำหรับคนที่ตั้งใจและซ้อมมาดี น้องก็หวังเช่นนั้น พวกเราเชียร์เต็มที่ เพราะถ้าได้เวลาตามความตั้งใจล่ะก็ สามารถใช้ใบเซอร์ทิฟิเคตสมัครไปบอสตันมาราธอนได้เลย

สำหรับพวกเรานั้น ไม่มีใครซุ่มซ้อมนะ ซ้อมก็บอกว่าซ้อม ใครซ้อมน้อยก็จะคอยกระตุ้นกัน ชะล่าใจไม่ได้ รู้ ๆ อยู่ว่า มาราธอนไม่มีฟลุ้ค ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีกินบุญเก่า ยิ่งหวังตัวเลขดี ๆ ยิ่งต้องซ้อมหนัก แค่ให้รอดคัทออฟยังต้องวางแผนเลย

ขนาดว่าซ้อมดี มีวินัย ยังมีอะไรเกิดขึ้นแบบไม่คิดไม่ฝันทุกครั้ง ฉันจะป่วย เป็นหวัด ท้องเสียอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่ระวังเรื่องอาหารการกินมากแล้ว เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็มนี่แทบจะไม่แตะ สังขารหนอสังขาร

ว่าไปแล้ว เราสองคนซ้อมไม่หนักแต่ก็ไม่น้อย ฉันตั้งเป้าว่าซ้อมวิ่งโซนสองตลอดเดือนหลังจากวิ่งเทรลแม่แจ่มมา ขอให้ได้เฉลี่ย 45-60 กิโลต่อสัปดาห์ วิ่งช้า ๆ ซึ่งก็ช้าเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ไม่ต้องลุ้นหนักวันวิ่งจริง และงานนี้ สามีเกริ่นมาว่าจะพาวิ่งซึ่งทำให้ฉันคิดหนัก ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือไม่ เนื่องจากว่า

ตอนที่ฉันเริ่มวิ่งใหม่ ๆ ฉันดีใจที่สามีวิ่งเป็นเพื่อนข้าง ๆ ฉันกลัววิ่งไม่จบ ซึ่งแต่ก่อนจะวิ่งแต่มินิมาราธอน ก่อนปล่อยตัวก็จะตื่นเต้นมาก คิดในใจว่าจะจบมั้ยน้อ สิบกิโลนี่ไกลมาก ๆ และจะเหนื่อยมากหลังกิโลที่ห้าเป็นต้นไป จะขาตายตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยคิดเรื่องเวลาอะไรเลย ไม่รู้จักเพซ ไม่เคยมีนาฬิกาข้อมือหรือถือมือถือวิ่ง จะวิ่งตามเขาไปตลอด เข้าเส้นชัยก็กรี๊ดดีใจกับเหรียญจนลืมคูลดาวน์หรือเข้าเต็นท์หาอาหารกิน

พออัพเลเวลไประยะฮาล์ฟฯ ก็มีเขาเป็นเพซเซอร์ประจำตัวให้ตอนฮาล์ฟแรก เช่นเดียวกับมาราธอนแรกและอัลตร้าฯแรก แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง จึงรู้ว่า เราเหนื่อยที่วิ่งตามเขาและเริ่มไม่ค่อยสนุกเพราะแรงเราน้อยและวิ่งช้ากว่าเขา เหนื่อยที่จะต้องตามให้ทัน แทบไม่สนุกกับการวิ่ง ไม่ได้ดูผู้คนระหว่างทาง ดูแต่หลังของสามีคนเดียว

พอเรียนรู้จากประสบการณ์การวิ่งมากขึ้น ก็เริ่มรู้แล้วว่า วิ่งให้สนุกนั้นต้องวิ่งด้วยเพซของเรา จังหวะของเรา ช้าก็ช้าอย่างมีความสุข เขาก็เช่นกัน ไม่ต้องมาพะวักพะวน คอยเหลียวหลังดูฉันทุกเวลาว่าตามมาทันหรือยัง เสียจังหวะการวิ่ง ฉันก็ไม่มีความสุขเป็นคำรบสองที่ทำให้เขาวิ่งไม่สนุกไปอีกคน

พอเราต่างเข้าใจตรงนี้ เลยต่างคนต่างวิ่ง เขาทิ้งฉันตั้งแต่เสียงแตรปล่อยตัวดังเลยทีเดียว ส่วนฉันก็แฮปปี้ไปเรื่อย ๆ มีคนรอถ่ายรูปให้ตอนเข้าเส้นชัย ดีจะตาย จริงมั้ย

ช่วงหลัง ๆ เราต่างคนต่างวิ่งมาแทบทุกสนาม เจอกันที่เส้นชัย เรื่องสถิติหรือตัวเลขนั้นไม่สำคัญกับเรา อย่างที่ว่ากัน ' เวลาไม่สำคัญ ตราบที่ความฝันของเราแข็งแรง ' มุกอะไรเนี่ย ลอกใครมาาาาา ...

เรารู้ว่าเราซ้อมยังไง จะหวังเรื่องตัวเลข เราต้องซ้อมอีกแบบหนึ่งซึ่งคงเอาเวลาของเราไปทั้งหมด จากการวิ่งเพื่อคลายเครียดหรือพักผ่อน ก็อาจจะหลงประเด็นไป แต่เราเข้าใจเรื่องตัวเลขเหล่านั้นและเข้าใจคนที่ทำลายสถิติได้ มันคือคุณธรรมในการซ้อมจริง ๆ

แต่ที่ฉันซ้อมทุกวันเพราะต้องลงสนามที่มีกติกาเรื่องเวลา ซ้อมเพื่อควบคุมการวิ่ง การหายใจและไม่ควรบาดเจ็บหรือบอบช้ำหลังการแข่งขันจนชีวิตประจำวันผิดเพี้ยน

สำหรับเบอร์ลินมาราธอน เขาบอกจะพาวิ่ง ฉันแอบกังวลนิด ๆ เนื่องจากว่า ฉันวิ่งช้า สตาร์ทเพซช้าและชอบคุมเพซให้เหมือนตอนซ้อม เรื่อย ๆ จะได้ไปยาว ๆ หากเร่งแต่เริ่ม ร่างกายจะไปไม่ไหวตอนฮาล์ฟครึ่งหลัง ฉันต้องกะแรงเอาเอง ต้องเกลี่ยกำลัง ต้องเผื่อเหลือเผื่อ ไม่รีบ ไม่งั้นวิ่งไม่จบแน่

ฉันมีกฎส่วนตัวว่า ซ้อมอย่างไร วิ่งอย่างนั้น
และก่อนแข่ง ฉันจะหยุดซ้อม 4 วัน จะกินกับนอนพักเยอะ ๆ รอวิ่งวันจริงทีเดียว

พอมีเบรคฟาส รันก็คิดมาก เพราะแม้จะวิ่งเล่น แต่ก็ต้องวิ่งอยู่ดี
อีกใจหนึ่งก็อยากวิ่งมากเพราะงานนี้น้อง ๆ บอกว่าสนุกมาก ของกิน ของแจกเพียบ คนเห็นแก่กินก็หูผึ่ง แต่สำคัญสุดคือการไปปล่อยของกัน เอาธงชาติเรา ใส่ชุดพื้นเมืองไปวิ่งกัน ได้วิ่งเข้าสนามแข่งโอลิมปิคของเบอร์ลิน สนามในตำนาน อลังการมากอีกด้วย น้อง ๆ บิวท์ฉันสุดฤทธิ์ !

เช้าวันวิ่งเบรคฟาสรัน นาฬิกาและมือถือของฉันยังไม่เปลี่ยนเวลา ยังเป็นเวลาเมืองไทยอยู่ เราต้องตั้งเวลาย้อนหลังไป 5 ชั่วโมง

ฉันสะดุ้งตื่น ดูนาฬิกา 7 โมงเช้า สงสัยว่าทำไมในห้องนอนทุกคนนอนเงียบกริบ ไม่มีใครลุกมาเข้าห้องน้ำเปลี่ยนชุดวิ่งกัน เราต้องไปก่อน 9 โมงนะ ไหนจะต้องกินอาหารเช้า ไหนจะต้องนั่งรถไฟไปอีก จะทันมั้ยเนี่ย

แต่อีกใจนึงก็คิดว่า ไม่ไปก็ดี เราจะนอนอีกวันเต็ม ๆ แรงน้อยก็ต้องนอนออมแรงไว้ดีกว่า เราไม่เหมือนน้อง ๆ เขาแข็งแรงกว่าเราเยอะ แอบดีใจ นอนต่อ ไม่ปลุกใครดีกว่า (แอบเลว อิอิ )

หลับงีบนี้ยาวเพราะเหนื่อยจากการเดินทางเหลือเกิน สะดุ้งตื่น พวกเขาตื่นกันหมดแล้ว กำลังอาบน้ำ อยู่ในชุดวิ่งกัน ฉันถามว่า เราจะไปทันเหรอ นี่มันเกินเก้าโมงเช้าแล้วนะ

พี่ )))) น้องลากเสียงยาววววว นาฬิกาพี่ยังไม่เปลี่ยนเหรอคะ นี่เพิ่งหกโมงอยู่เลย เดี๋ยวกินมื้อเช้าเจ็ดโมง มีเวลาไปสนามทันถมเถ

เนี่ยแหละ เอ๋อ อยู่คนเดียว เลยหัวเราะแก้เก้อว่า อุตส่าห์ดีใจ ไม่ต้องไป

เขาไม่ได้บังคับคร่าาาา แต่ ' breakfast run เส้นทางวิ่งไปที่โอลิมปิก สเตเดียม ถือเป็น A Must ของการมาวิ่งที่เบอร์ลินเลยนะพี่ '
อยากให้พี่ไป ไม่ไปจะเสียดายทีหลัง วิ่งนิดเดียวเอง 6 กิโลเข้าสเตเดี้ยมด้วยนะ เค้ามาวิ่งปีที่แล้วยังประทับใจอยู่เลย

ฉันก็พังกฎส่วนตัวเดี๋ยวนั้นเช่นกัน

อาหารเช้าที่โรงแรมก็แบบฝรั่งนั่นแหละ วันแรก ๆ ก็โอเคอยู่นะ ขนมปัง(แข็งมาก เคี้ยวจนเมื่อยปาก) แฮม เนย ชีส กาแฟ พีช แอปเปิล กล้วย(ยาวเท่าแขน) น้ำผลไม้(ออกไปทางเปรี้ยวมากกว่าหวาน) เรากินกันแน่นท้อง กะกินกันวันละมื้อเท่านั้น เซฟค่ากินไว้เพราะค่าบิน ค่าสมัคร ค่าโรงแรมแพงลิบ อันนี้คือคิดไว้ในใจ (แต่ จุด จุด จุด มากในความเป็นจริง)

กินอิ่มแล้ว ยังพกกล้วยไปกินระหว่างเดินทางไปวิ่งอีกนะ ดูเอาเถิดคนเรา แต่ไม่เคยทิ้งนะ เอาไปก็กินหมด ตัวสั้น ๆ อย่างฉันสามารถโหลดแป้งได้ไม่อั้นจริง ๆ

อากาศตอนเช้ากำลังดี ออกจะเย็น ๆ สักหน่อย ต้องไปต่อคิวเข้าห้องน้ำนี่สิคือปัญหา ภาวนาว่าวันวิ่งจริง ๆ อย่าปวดหนักปวดเบาเลยนะ เพราะคิวเข้าห้องน้ำยาวมาก ๆ ทุกห้อง

ถึงเวลาปล่อยตัวเบรคฟาส รันเช้านี้ ตื่นเต้น ๆ มองไปรอบ ๆ อัดคลิปไปหลายคลิป เก็บภาพนักวิ่ง ภาพรองเท้า ทักทายนักวิ่งชาวไทยที่เจอกันประปรายในงาน เขาว่ามางานนี้ประมาณ 300 กว่าชีวิต

แก๊งค์เราก็วิ่งกันสนุกสนาน งานนี้สำหรับทุกคน ไม่เฉพาะนักวิ่งที่ได้สิทธิ์ในงานเท่านั้น ใจกว้างมากเพราะกองเชียร์คือสีสันจริง ๆ นักวิ่งต่างชาติวิ่งร้องเพลงกันไป แม้ต่างสีผิวสีผม มีเพียงหัวใจที่ไม่ต่าง เพราะมาราธอนคือความสวยงามอย่างหนึ่ง เป็นภาษาสากล

แก๊งค์เราก็วิ่งถ่ายรูปคนนั้นคนนี้ ไปกันเรื่อย ๆ ฉันน่ะตื้นตันใจ คิดไม่ถึงว่าฉันจะได้มาอยู่ในกลุ่มนักวิ่งมาราธอนกับเขาได้ เหลือเชื่อ ฉันประทับใจรอยยิ้ม ความร่าเริง ความกระฉับกระเฉง เหล่านี้คือบทเพลงแห่งความงามและความสุข

ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
Road to Berlin Marathon 2019 ( ep. 1 )











Create Date : 09 ตุลาคม 2562
Last Update : 11 ตุลาคม 2562 8:08:41 น.
Counter : 567 Pageviews.

1 comment
--- อ่ า น เ ล่ ม นี้ แ ล้ ว อ ย า ก เ ดิ น ท า ง ---
















A Long Way Home 71 วัน
ปลายทางคือบ้าน ระหว่างทางคือเรา

::

71 วัน + 13 ประเทศ = 2 คน

คู่รักธรรมดา ๆ คู่หนึ่งที่ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ เหมือนนักเรียนทั่วไปที่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่นานมาจนถึงวันที่เรียนจบ นานจนไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเรายังปกติกันอยู่ไหม และแล้ว...

'เขา' ลองชวน 'เธอ' หลับบ้านด้วยการนั่งรถไฟจากอังกฤษสู่ประเทศไทย โดยไม่ต้องการสร้างสถิติใด ๆ นอกจากได้มีโอกาสใช้เวลากับคนที่เขารักในแง่มุมที่แตกต่าง

แม้ทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของนักเดินทาง แต่เป็นเส้นทางที่ทำให้ทั้งคู่ได้สัมผัสกับมิตรภาพจากเพื่อนร่วมโลก ได้พบเจอดินแดนที่ใหญ่กว่านิยามของหนังสือ ได้ค้นพบสิ่งดี ๆ จากตัวตนของอีกฝ่ายโดยไม่คาดฝัน และสำคัญที่สุดคือได้พบว่า เรื่องระหว่างเรานั้นยังเหมือนเดิม

::

เล่มนี้ซื้อมาอ่านตั้งแต่ปี 59 แต่เพิ่งได้อ่านเพราะลืม ลืมจริง ๆ ว่าเคยซื้อมา ฉันชอบซื้อหนังสือท่องเที่ยวทั่วโลก เปิดดูเล่มไหนสวย ๆ ก็ซื้อมาเก็บไว้ก่อน ค่อยหาเวลาอ่าน ทำแบบนี้เรื่อย ๆ จนทำให้หลงลืมหนังสือหลายต่อหลายเล่มไว้เหมือนกัน เมื่อวานค้นตู้หาหนังสือที่อยากอ่านมาวาง ๆ ไว้ให้เลือก ขอเริ่มเล่มนี้ก่อนเลย บอกตามตรง ไม่ได้คาดหวังอะไร ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้อะไร แค่อยากอ่านเพราะภาพถ่ายในเล่มนี้สวยเหลือเกิน

เริ่มแรกเปิดตัวหนุ่มสาว โบ๊ทกับฝ้ายเพิ่งส่งวิทยานิพนธ์เสร็จ โบ๊ทชวนฝ้ายนั่งรถไฟจากอังกฤษกลับกรุงเทพฯ

นึกในใจ กว่าจะถึงบ้านผ่านกี่ประเทศกันละเนี่ย เริ่มตั้งแต่ยุโรป รัสเซีย มองโกเลีย จีน ปารีส แวะจตุรัสแดงที่มอสโก นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย ขี่อูฐที่ทะเลทรายโกบี คือพูดกันประมาณนี้ ให้คนฟังอย่างเรานั่งเคลิ้ม หลับตาฝันเห็นภาพเหล่านั้นไปพลาง ๆ ถามฉัน ฉันก็ไป แม้จะรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะแค่เดินทางไปไหนสักที่ที่ไม่คุ้นเคยก็มีอาการตระหนกอยู่เหมือนกัน เราไม่ค่อยไปไหนกับทัวร์ การลุยกันเองมีข้อดีข้อด้อย ว่ากันไปตามสภาพ

แต่ฉันกลับไม่แปลกใจที่ฝ้ายตอบอย่างไม่ลังเล ฉันไม่ได้เริ่มสนุกกับการเดินทางร่วมไปกับพวกเขานะ แต่เหมือนได้รู้จักคนสองคนนี้ด้วย อย่างน้อยฉันก็ชอบผู้หญิงอย่างฝ้าย น่ารัก เก่ง รอบคอบ ไม่ขี้แย ไม่ขี้บ่น ไปไหนไปกัน สถานที่ไม่สำคัญแค่รู้ว่าไปกับใคร เธอลุยได้ทุกสถานการณ์ แก้ปัญหาเก่ง แกร่งและแข็งแรงด้วย เป็นคู่เดินทางในฝันเลยเชียวล่ะ

พอจะเที่ยวก็ต้องคิดถึงการทำวีซ่าเชงเก้นเพื่อจะได้ใช้เดินทางเข้าออกกลุ่ม 26 ประเทศในยุโรปโดยไม่ต้องขอวีซ่าทีละประเทศ แต่ตอนที่ทำวีซ่ากันนั้น โบ๊ทยังทำวิทยานิพนธ์ไม่แล้วเสร็จ ความเครียดสะสมเพราะลุ้นทั้งวีซ่าเชงเก้นและงานให้ผ่าน สำหรับนักศึกษานี่ ฉันพอจะเห็นภาพ มีเพื่อนร่วมทุกข์ ความทุกข์ดูจะเบาลง แต่ความวุ่นวายก็ผ่านไปได้ เห็นพวกเขาจัดสัมภาระกลับบ้านแล้วเหนื่อย มันไม่ใช่แค่แบกเป้ใบเดียว แต่ดูพะรุงพะรังเพราะต้องขนของกลับบ้าน แล้วไม่ใช่ขนไปขึ้นเครื่องบินทีเดียวแต่ต้องพาไปทุกที่ที่ต่อรถยนต์ ลงเรือ ต่อรถไฟ ตกรถ ที่พักไม่เหมือนที่จองไว้ ภาพไม่ตรงปก แผนการเที่ยวล้มไม่เป็นท่า กินถูก กินแพง จ่ายค่าห้องสมราคาบ้าง แพงไปจนเป็นบทเรียนราคาแพงสมชื่อ ห้องที่ถูกก็นอนแทบไม่ได้ สลับกันไปอย่างนี้ตลอดเส้นทาง

การเดินทางแบบนี้ได้ นอกจากใช้ใจที่ใหญ่กว่าตัวหลายเท่าแล้ว ยังต้องมีสุขภาพแข็งแรงด้วยนะ ถึงจะลุยแบบนี้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็เป็นแค่ความคิด

การที่คนสองคนอยากรู้ว่า ชีวิตที่ผ่านมา ยังรักกันปกติอยู่มั้ย ก็ต้องลองเดินทางด้วยกันยาว ๆ ดู

แต่ก่อนเราเคยได้ยินแต่ว่า จะดูว่าคู่ไหนจะรอดหรือไม่นั้นต้องพาขึ้นภูกระดึง เส้นทางทรหดจะเผยธาตุแท้ของคนสงอคนยามลำบากออกมาได้

ฉันไม่เคยลองวิธีนี้หรอกนะ แต่เคยขึ้นภูกระดึงมาด้วยกันแล้วห้าครั้ง ครั้งที่จะไม่รอดคือครั้งที่สอง ตอนนั้นฉันสุขภาพไม่ค่อยดี ถึงซำแฮกก็อยากกลับ หัวใจแทบหลุดออกจากอก ไม่เกี่ยวกับจะเลิกกันตอนนี้หรอก ไม่ได้มาลองใจแต่มาเที่ยวเพราะชอบเหมือนกัน โชคดีที่เขาใจเย็น รอให้เหายหนื่อยก็พากันไปต่อได้

ถ้าตอนนี้ฉันคงคิดถึงการวิ่งมาราธอน ระยะทางไกลพิสูจน์ใจกันได้พอสมควร แต่ก็นะ หมายความว่า ต้องเข้าใจ เห็นใจ ทั้งขู่และปลอบก็ลากกันไปได้ พอผ่านมาได้ ต่อไปก็ขอวิ่งในจังหวะของตัวเองดีกว่า เอาแบบสบาย ๆ รายละเอียดระหว่างทางของชีวิตคู่มีมากกว่าระยะมาราธอนมากนัก แม้ปลายทางจริง ๆ คือการพรากจากไม่ว่าจะจากเป็นหรือจากตาย แต่เราสนใจระหว่างทางที่ทำอะไรร่วมกันมากว่า เมองเห็นป็นสิ่งสำคัญเหมือนหนุ่มสาวสองคนนี้กำลังคิด

รักของโบ๊ทกับฝ้ายมีความน่ารัก ไม่หวานเลี่ยน ไม่โรแมนติกเพราะรู้สึกจับต้องได้ แน่ล่ะ แต่ละวันก็ต้องคิดเรื่องการแพ็คกระเป๋า แบกกระเป๋าพะรุงพะรังขึ้นรถหรือไม่ก็เดินหาที่พักที่ห่างสองสามกิโล เหนื่อยนะนั่น

เล่มนี้อ่านอย่างเพลิดเพลินมาก ๆ ไม่ได้มีประวัติศาสตร์อัดแน่นทุกประเทศที่สองคนนี้ไปเยือน มีสิ่งที่คิดไว้ว่าจะเจอแต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คาดไว้ ไปทะเลในอุดมคติ แต่มันก็ไม่เหมือนภาพสตาฟที่คนอื่นเชิญชวนไว้ ทะเลคนละเวลาน่ะนะ สิ่งที่ฉันฝันและอยากจะทำคล้าย ๆ พวกเขาคือ นั่งรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียนี่แหละ อยู่บนรถไฟสี่วันสามคืนไม่ต้องอาบน้ำอาบท่า เข้าแผ่นดินมองโกเลีย นอนในเกอร์กลางทะเลทราย โบ๊ทและฝ้ายเล่าบาง ๆ แต่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง ความฝันบางอย่างของเราก็ซ้อนทับกับคนอื่นได้เช่นกัน หลายเรื่องที่บอกเราว่า ไม่ต้องคิดล่วงหน้า เจออะไรก็ได้ เหมือนไปในที่ที่มันไม่มีอะไร ใครก็สงสัยว่าจะไปทำไม ไม่เห็นมีอะไรดู เราก็บอกใครไม่ได้เหมือนกันว่าเราจะไปทำไม วิวเวิ้งว้าง ทะเลที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ธรรมชาติที่มีแต่ภูเขา แสงจันทร์ แสงวัน แน่ล่ะ ฉันไม่นิยมช้อปปิ้งเพราะไม่รู้จักข้าวของเครื่องใช้หรือแบรนด์ดัง ไปก็เคว้งคว้างไม่รู้จะดูอะไรเหมือนกัน แต่ทางที่พวกเขาผ่าน เขย่าความฝันที่ตกตะกอนนอนก้นไปนานแล้ว

ทริปที่พวกเขาออกเดินทางในสายตาเรา ดูไม่ธรรมดาแล้วนะ แต่ระหว่างทาง โบ๊ทได้พบมิตรภาพใหม่ ๆ แถมยังได้ขยายหัวใจออกไปกว้างกว่ากว้าง อย่างมินวา เธอเรียนจบวิศวะจากมหาลัย MIT และเดินทางด้วยจักรยาน !! ใช่ เธอใช้เส้นทางจากอิสตันบูลมาอูลานบาตอร์ สถานที่ไกลประมาณแม่สาย-เบตง สัก 8 รอบครึ่ง ผ่าน 11 ประเทศ กลางทะเลทรายและอุณหภูมิติดลบเป็นเวลามากกว่าครึ่งปี และเธอเล่าเรื่องราวของเธออย่างถ่อมตน โอ แม่เจ้า !!

คนที่เดินทางอยู่กับที่อย่างฉัน ก็ท่องเที่ยวไปกับหนังสือเดินทางของคนอื่นแบบนี้แหละ ที่ฉันเกริ่นมานี่ยังไม่ลงรายละเอียดหรอกนะเพราะอ่านเอารสชาติด้วยตัวเองจะสนุกกว่า

71 วันอาจจะเป็นเวลาสั้น ๆ ของช่วงชีวิต แต่สำหรับการเดินทางแล้ว มันก็มากพอที่จะเปลี่ยนมุมมองและความคิดของเราได้ อย่างน้อยก็รู้จักตัวเองมากขึ้นเมื่อได้ไปเห็นหรือสัมผัสโลกใบนี้ด้วยตัวเอง ความจริงแล้วเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่ามีความสุข ก็แค่เดินทางไปตามที่ตัวเองฝัน ได้แชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ได้แบ่งปัน เสียสละและทำความเข้าใจคนอื่น ได้เจอคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเพื่อน อาจจะดูฝัน ๆ ไปเพราะบางครั้งการร่วมเดินทางกับคนรักก็อาจจะกลายเป็นคนแปลกหน้าไปเลยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว การเดินทางก็น่าจะทำให้รู้ว่า ปลายทางนั้นไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางจริง ๆ

เล่มนี้ น่ารักดี อ่านแล้วมีความสุข จนแอบฝันไว้ว่า ถ้าคนที่บ้านเกษียณแล้ว อยากให้เขาพาไปนั่งรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรียบ้าง อยากไปเที่ยวแบบนี้จริง ๆ

บางคราวก็รู้สึกแบบที่ Richard Brandson บอกกับลูก ๆ ของเขาว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ Always live your life to the fullest.




ขอบคุณค่ะ
ภูพเยีย
24 กันยายน 2562













Create Date : 25 กันยายน 2562
Last Update : 25 กันยายน 2562 11:43:48 น.
Counter : 523 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ภูเพยีย
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]



  •  Bloggang.com