นานแล้วที่ไม่ได้ดูหนังแล้วรู้สึก feel good จนต้องนำมาเขียนในบล็อกตัวเอง ปกติเป็นคนตรง ๆ ถ้าชมอะไรนั่นคือดีจริง (ไม่ใช่สักแต่ว่าชม) แต่ถ้าบ่น เช่น บ่นร้านอาหารร้านใด ขอให้เชื่อได้ว่ามันแย่จริง ๆ ถึงบ่น เรื่องหนังต่าง ๆ ที่เขียนในบล็อกตัวเองคือเรื่องที่ดูแล้วรู้สึกดีมาก ๆ จนอยากบอกต่อ และอยากให้คนอื่นดูด้วย (แต่แน่นอน ถ้าไม่ใช่คนที่เคมีตรงกัน อาจจะไม่ชอบก็ได้ แล้วแต่รสนิยมใครรสนิยมมัน) หนังเรื่องนี้มีเพื่อน ๆ ใน FB โพสต์ว่าเป็นหนังดี เราก็ได้แต่จำไว้และคิดว่าถ้ามีโอกาสเจอจะลองซื้อมาดู แต่ยอมรับว่าไม่คาดหวังกับมันเลย ถ้าไม่มีใครบอกว่าดี หนังเรื่องนี้บอกตรง ๆ เห็นหน้าปกแล้วไม่คิดจะซื้อ โดยเฉพาะเรื่องนี้เป็นหนังอินเดียอีกต่างหาก เริ่มต้นดูหนังเรื่องนี้แบบที่ไม่ได้ไปอ่านกระทู้พันทิปเลย อยากดูและให้ความเห็นด้วยตัวเอง หลังจากดูจบ feel good รู้สึกอิ่มมาก พอดูเสร็จถึงเพิ่งไปอ่านกระทู้พันทิป และพบว่าเป็นหนังที่มีคนชื่นชมมากมาย มันมีเสน่ห์อะไรบางอย่างของหนังเรื่องนี้ เรียบ ง่าย ตรงไปตรงมา ให้ความรู้สึก แสดงวิถีชีวิตของคนอินเดียแบบไม่ประดิษฐ์ บางครั้งรถไฟที่ผิดขบวน ก็อาจนำเราไปสู่สถานีที่ถูกต้อง ประโยคดลใจจากหนังเรื่องนี้ พล็อตเรื่องย่อ ๆ คือนางเอก Ila เริ่มมีปัญหาชีวิตครอบครัว และตั้งใจที่จะทำอาหารกลางวันอย่างอร่อยให้สามีเพื่อให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น แต่บังเอิญระบบการขนส่งปิ่นโตผิดพลาด กลับส่งไปที่พระเอกของเรื่องซึ่งปกติผูกปิ่นโตกับร้านอาหารร้านหนึ่ง ตัวพระเอก Fernandes ภรรยาเสียชีวิตไปแล้ว เขาตั้งใจที่จะ early retire คงด้วยการสูญเสียภรรยาไป พระเอกถึงใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยสนใจใคร Shaik ชายหนุ่มผู้ที่จะเข้ามาทำงานแทนตำแหน่งพระเอก เขากำพร้า แต่เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และสู้ชีวิต ตอนแรกพระเอกไม่ค่อยสนใจที่จะสอนงานคนใหม่ ซึ่ง Shaik ก็บอกว่าเขารู้แล้วว่านิสัยพระเอกเป็นอย่างไร เพราะคนใน office พูดถึงเขาว่าอย่างไร แต่ท้ายที่สุด 2 คนนี้กลับมามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ตัวนางเอกหลังจากที่รู้ว่าสามีไม่ได้ทานอาหารปิ่นโตนี้ แต่ยังคงตั้งใจทำอาหารและเขียนจดหมายใส่ในปิ่นโตบอกพระเอกว่าตัวเองตั้งใจทำอาหารให้สามี แต่ปรากฏว่าส่งผิดคน 2 คนนี้เขียนจดหมายตอบกันไปมา แบบบรรยายความรู้สึกในเรื่องราวของตัวเอง ช่วงแรกไม่ได้คิดในเรื่องชู้สาว จนเมื่อวันหนึ่งนางเอกพบหลักฐานที่คิดว่าสามีนอกใจจริง ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งนางเอกบอกว่าอยากเจอพระเอกตัวจริง ทั้งสองนัดเจอกันที่ร้านอาหาร พระเอกมาถึงร้านอาหารแล้วแต่ไม่กล้าเข้าไปหานางเอก เพราะตัวนางเอกสวย ยังสาว ยังดูมีความฝัน แต่เขาเป็นคนที่ใกล้เกษียณ ในที่สุดเขาเลือกที่จะ early retire และย้ายไปอยู่อีกเมือง เรื่องจบตอนสุดท้ายให้คนดูคิดเอาเองว่า 2 คนนี้จะมีโอกาสเจอกันหรือไม่ ไม่ว่าตอนจบจะ happy ending หรือไม่ แต่คนดูคนนี้รู้สึก อิ่ม อิ่มแล้วเลยอยากให้คนอื่นอิ่มด้วย ลองดูกันนะคะ ....คะแนนความชอบ 10/10 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับหนังเรื่องนี้ ขำตอนหนึ่งที่นางเอกพูดกับคนมารับปิ่นโตว่าที่ผ่านมาปิ่นโตไม่เคยถูกส่งไปยังสามีเลย คนรับปิ่นโตตอบกลับมาว่า Harvard มาช่วยวางระบบ ไม่มีทางที่ระบบการขนส่งจะผิดพลาด มันทำให้รู้สึกอะไรบางอย่างว่าบางทีเราก็เชื่อว่าฝรั่งเก่ง ฝรั่งทำอะไรก็ถูกต้องไปหมด แต่บางเรื่องบางครั้งฝรั่งก็อาจผิดพลาดได้เหมือนกัน Passion หาข้อมูลเพิ่มจนได้รู้ว่าในอินเดีย โดยปกติสามีจะออกไปทำงานแต่เช้า และส่วนใหญ่จะทานอาหารปิ่นโต แต่ว่าจะไม่ได้เอาติดตัวไปด้วยจากที่บ้าน ประเด็นคือต้องการทานอาหารมื้อกลางวันที่ปรุงใหม่ สด และยังร้อน ๆ ดังนั้นตอนสาย ๆ ผู้หญิงที่เป็นแม่บ้านก็จะเริ่มทำอาหาร และใช้บริการระบบส่งปิ่นโต คิดเป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งราว 300 บาท (เงินไทย) ร้านอาหารในอินเดียตอนกลางวันจะค่อนข้างโล่ง เพราะคนอินเดียส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้บริหาร พนักงาน office นักเรียนมักจะทานอาหารปิ่นโตกัน ที่ amazing คือจากที่หาข้อมูลพบว่าแม้ว่าจำนวนคนอินเดียมากมายเหลือเกิน แต่ระบบการขนส่งปิ่นโตไปยังมือลูกค้าไม่เคยผิดพลาด ระบบการขนส่งปิ่นโตของจริงก็ไม่ต่างจากในหนังมาก เช่น ตอนแรกก็จะมีคนขี่จักรยานมารับปิ่นโตตามบ้านจากแม่บ้าน หลังจากนั้นก็จะไปยังจุดหมายจุดแรกคือนำปิ่นโตใส่ในอุปกรณ์ขนย้ายขนาดใหญ่ (เราตั้งชื่อเองว่าซาเล้ง) จากซาเล้งดังกล่าว ผู้นำส่งจะแบกขึ้นรถไฟเพื่อไปยังจุดหมายปลายทาง office ต่าง ๆ และจะมีรหัสติดปิ่นโตเพื่อที่จะได้ส่งไปยังผู้รับได้ถูก ...รัชชี่... |
อ่านสรุปเรื่องแล้ว น่าสนใจมากครับ
ยังไม่เคยทราบมาก่อนว่าที่อินเดียมัการส่งปิ่นโตกันแบบนี้
ผมเคยเห็นคนอินเดียหนุมๆที่มาทำงานในสำนักงานของเรา(ชั่วคราว) เขาพกกล่องข้าวมาด้วย อาจไม่ร้อนเหมือนปรุ่งใหม่ๆเป็นแน่