Welcome to my blog
Group Blog
 
All Blogs
 

Papua new Guinea

ผมว่าหลายคนเคยได้ยินแต่ชื่อนะสำหรับประเทศนี้ ปาปัวนิวกินีเป็นประเทศที่เป็นหมูเกาะและมีลักษณะเป็นภูเขาและชายฝั่งทะเลเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3ของโลก (รองจากเกาะกรีนแลนด์และเกาะบอร์เนียว) ตั้งอยู่ทิศเหนือของประเทศออสเตรเลีย ทิศตะวันตกติดกับอินโดนีเซีย ) หากเราดูในแผนที่ครึ่งหนึ่งจะเป็นของอินโด ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแบ่งครึ่งได้ซะขนาดนั้น คนอินโดนีเซียเองเค้าเรียกปาปัวว่าเป็นจังหวัดหนึ่งของเค้า ( ถ้าผมเข้าใจผมไม่ผิดนะ ) เมืองหลวงของปาปัวชื่อว่า Pore moresby คนที่นี้สามารถพูดภาษาอังกฤษกันได้ดีกว่าพวกเราซะอีก เนื่องจากว่าเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ และระบบการศึกษา หนังสือที่ใช้ topic ในการเรียนต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่คนปาปัวเองมีภาษาใช้กันมากถึง 800 ภาษาเลยทีเดียว ..

การเดินทางไปยังปาปัว ฯ ในตอนแรกที่ผมได้รับมอบหมายว่าต้องเดินทางไปยังปาปัว ฯ เพื่อน ๆ พี่ๆ ในบริษัทก็พากันแซว ๆกัน ว่า ไปแล้วจะไม่ได้กลับมาเพราะว่าที่นี้เคยมีประวัติเรื่องมนุษย์กินคน ผมก็หาข้อมูลเกียวกับประเทศนี้ทันที ซึ่งก็น่ากลัวจริง ๆ ด้วย
เป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอาญชากรรมอันดับต้น ๆ เลยล่ะ Flight ที่จะนำเราไปยังปาปัว ฯ ได้เราต้องเดินทางไปต่อเครื่องยังต่างประเทศเท่านั้น เนื่องจากยังไม่มีเที่ยวบินตรง ที่ใกล้ประเทศเทศไทยมากที่สุด คือสิงคโปร์ และผมก็เลือกที่จะต่อเครื่องที่นี้ แต่ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การรอเครื่องที่ยาวนานมาก ผมบินจากเมืองไทยด้วยการบินไทย
มาถึงสนามบิน Changi ของสิงคโปค์ ราว ๆ ทุ่มกว่า ผมก็ต้องไป Check in ของสายการบิน Air Nuigini ซึ่งจะอยู่ประจำที่ Terminal D โชคดีที่ผมไม่ต้องเดินไกลมากนัก แต่ผมต้องรอเครื่องของ Air nugini เกือบเที่ยงคืน..ตอนแรก ผมคิดว่าคนเที่ยวบินนี้คงไม่เยอะเท่าไรเพราะว่าผมเป็นคนแรกที่เดินมายังทางออกเพื่อรอเครื่องตอนสองทุ่มกว่าจึงยังไม่มีใครเค้ามารอกันในระหว่างที่รอผมก็พยายามใช้เน็ทฟรีจาก Laptop ของผม แต่ผมก็รู้แล้วล่ะว่าใช้ไม่เคยได้เพราะว่ามันไม่มีฟรีเราต้องเสียค่าสมาชิกซะก่อน แต่ว่าเค้าก็จัดเครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมเน็ทใว้ให้ ซึ่งเยอะมาก เรียกได้ว่าไปทางไหนก็เจอเสียแต่ว่าต้องยืนใช้เท่านั้นเอง สิบนาทีก็เมือยแล้ว.. ยังไงซะเนื่องจากผมมีประสบการณ์ในการต้องมานั่งรอเครื่องเป็นประจำ ผมจึงมีกิจกรรมประจำของผม ไม่ใช่นั่งทำงานนะ ไม่ใช่สรุปการ Meeting กะลูกค้าด้วย แต่เป็นการเล่นเกม Winning Pro 2009 ( ใครไม่รู้จักก็เฉยแหละ ) ผมนั่งเล่นเกมไปเรื่อย ๆ จนกระทั้ง คนเริ่มเยอะ ผมก็รู้ตัวทันทีว่าคิดผิดซะแล้วที่ว่าจะไม่ค่อยมีคนมากนัก ก็อย่างที่เห็นในรูป ผู้โดยสารก็จะมีตตั้งแต่คนสิงคโป มาเล พวกตะวันตก ยุโรปก็เยอะ และก็คนปาปัวเอง เมือ Gate พวกเราทั้งหมดก็เริ่มเดินทยอยเข้าไปสแกนกระเป๋ากันก่อนเพื่อเดินเข้าไปด้านใน ห้องรับรองผู้โดยสาร ผมประมาณคราว ๆ น่าจะมีผู้โดยสารประมาฯ 130-150 คนได้ ซึ่งจะเต็มเครื่องพอดี สำหรับเที่ยวบินนี้ บินโดยเครื่อง Boing แบบ 767-300 ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 6 ชม. ผมมาถึงไปถึงสนามบินนานาชาติของปาปัว ( Jackson Airport ) ตอนแปดโมงพอดี ซึ่งเวลาของที่นี้จะเร็วกว่าประเทศไทยอยู่ 3 ชม.
สนามบินที่นี่เป็นสนามบินเล็ก ๆ มีเพียงสายการบินเดียวเท่านั้น คือ Air Nuigini คงเป็นเพราะสายการบินไม่จัดเที่ยวบินมาลงหรือเป็นเพราะว่าเค้าสงวนใว้เฉพะสายการบินประจำชาติของเค้ากันแน่ผมก็ไม่แน่ใจแต่น่าจะเป็นอย่าหลังมากกว่า เที่ยวบินส่วนใหญ่ที่นี่ที่เห็นคือเป็น Domestic และเช่าเหมาลำ ที่เป็นเครื่องบินขนาดเล็กไม่เกิน 40 ที่นั่ง ---> ต่อหน้า 2

พอมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งคนเยอะพอสมควร ต้องต่อคิวกกันยาวมาทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่มาขอ Visa on arrival ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยสามารถมาขอ Visa on arrival ได้หรือเปล่า บริเวณภายในสนามบินที่นี่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเอาใว้ทันสมัยใช้ได้เลยทีเดียว มีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนสนามบินอื่น ๆ ทัวไป
เมื่อตรวจ Visa เสร็จเรียบร้อยแล้วผมก้เดินเข้ามาภายในอาคารผู้โดยสาร
จากนั้นผมก็มองหาที่แลกเงิน เพราะไม่แน่ใจว่าที่นี้จะสามารถใช้เงิน US ได้เลยหรือเปล่า ( ต่อมาภายหลังพบว่าสารถใช้ได้เลย เราสามารถใช้เงิน US จ่ายค่าเเทกซี่ ซื้อของได้ทัวไปแต่อาจจะไม่ได้รับเงินทอนทางที่ดีแลกใว้ดีกว่า ) ที่ปาปัวฯ เค้าใช้สกุลเงิน Kina ซึ่ง 1 Kina ก็ตกประมาณ 12-14 บาท หลังจากแลกเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมาภายนอกอาคารเพื่อที่จะรอรถโรงแรมซึ่งจะมารับ ตอนแรกผมเข้าใจว่าเข้าจะมารับเฉพาะผมซะอีกแต่จิรง ๆ แล้วรถโรงแรมทุก ๆ โรงแรมของที่นี้จะวิ่งวนเหมือนกับรถประจำทางเพื่อหาลูกค้าหรือเรียกลุกค้าโรงแรมที่ผมเจอในอินเตอร์เน็ทก่อนที่จองผมก็เห็นมีทุกโรงแรมที่มีรถวิ่งรับส่ง ผมรอได้ประมาณ สิบนาทีรถโรงแรมที่ผมจองใว้ก็มาม ที่พักของผมก็ไม่ห่างจากสนามบินมากนัก ใช้เวลานั่งอยู่บนรถประมาณสิบนาทีก็ถึง ความรู้สึกแรกเมื่อได้นั่งรถแล้วเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ เมืองก็ค่อนข้างแปลกตาพอสมควร เป็นเมืองที่ฝั่งตัวตัวอยู่กับป่าเขาได้กลมกลื่นทีเดียว ถนนนี่จะเจอกับทางชันและเนินเขาตลอดทาง หากไม่คุ้นเส้นทางผมว่าขับรถได้อยากพอสมควร เนื่องจากปาปัวเป็นอนานิคมของอังกฤษมาก่อนรถที่นี่จึงเป็นพวงมาลัยขวา 95% ของรถที่นี่เป็นรถจากญี่ปุ่น หากเป็นรถมือสอง ( Used car ) จำนำเข้ามาทางสิงคโปร์ และออสเตเรีย ระหว่างนั่งอยู่บนรถคนขับรถเค้าก็แนะนำตัวเองพร้อมกับถามคำถามมาตารฐาน How are you? you flight is okay? ก็คุยกันไปเรื่อย ๆ ผมก็เลยถือโอกาศถามถึงสถานที่ที่ผมจะไปหรือก็คือออฟฟิคของลูกค้านั่นเอง ซึ่งทริบนี้ผมต้องออกไปพบลูกค้าถึง 4 รายด้วยกัน เมื่อมาถึงโรงแรมผมก็ Check in ทันที อ๋ออ ลืมบอกไปว่าโรงแรมที่นี้แพงมาก ต่ำสุดเท่าที่เช๊คได้ประมาณ 300 Kina ตกประมาณคืนละ 4200 เลยทีเดียว ทำไมถึงว่าแพง ก็ไม่มีอะไรให้เลยมีแค่ทีวีเครื่องเล้กนิดเดียว กับกาน้ำร้อนแค่นี้ พอผม Check in เสร็จก็ประมาณเกือบ ๆ 10 โมงเช้าผมก็อยากนอนด้วยความเพลียเต็มที่หลังจากเดินทางมาทั้งคืน ผมก็ตรงเข้าห้องพักทันที แต่ก็มีอุปสรรคจนได้ ก้ห้องที่ผมจะเข้าพักยังไม่ได้ทำความสะอาดซะอย่างงั้น ก็กลับมาแจ้งที่ lobby ว่าขอเปลี่ยนห้อง แต่ไม่มีห้องว่างซะแล้ว ผมก็ต้องรอให้ทำความสะอาดห้องผมเสร็จซะก่อนก็ประมาณสิบห้านาทีเห็นจะได้ พอห้องเสร็จเรียบร้อยผมก็เข้าห้องพักทันที เพราะว่าอยากนอนมากเต็มที พอหัวถึงหมอนผมก็หลับยาวทันทีแต่ก็ไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุก ( โทรศัพท์ ) เพราะว่าผมมีนัดกับลูกเค้ารายแรกตอน 13.30 นั่นเอง



ผมตื่นขึ้นมาตอน 12.30 ก็เตรียมตัวเพื่อนออกไปพบกับลูกค้าตามที่ผมได้นัดเอาใว้ทันที ผมก็เดินทางไปด้วย Taxi ที่จอดรออยู่หน้าโรงแรม ผมเดินออกมาก็เจอเลย ผมก็บอกสถานที่จะไป ซึ่งค่า Taxi แพงมากอาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นชาวต่างชาติ ( และดูท่าทางจะมีเงินมากซะด้วย ) ไม่ให้เรียกว่าแพงได้ยังไงไหวละก็ใช้เวลาแค่ประมาณ 10 นาที ผมโดนไป 50 Kina ( @12 = 600 บาท ) พอไปถึงออฟฟิคลูกค้าซึ่งเป็นคนสิงคโปร์ ก็คุยเรื่องงานตาม Issue ที่เตรียมมา ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กว่า พอถึงเวลากลับเค้าก็เตือนเรื่องความปลอดภัยของที่นี้ว่าห้ามออกไปไหนคนเดียว โดยเฉพาะเวลากลางคืน แถมย้ำด้วยว่าที่นี้อันตรายไม่เหมือนแถวบ้านเรา..( ฟังแล้วอบอุ่น ) ด้วยความที่เค้าเมตตาผม ลูกค้าผมก็เลยอาสาให้คนขับรถไปส่งผมที่โรงแรมแถมยังใจดีอีกถามว่าจะให้แวะไปส่งที่ไหนหรือเปล่า ซึ่งผมก็จำเป็นต้องไปหาซื้อ Sim โทรศัพท์พอดี เนื่องจากว่าเราไม่สามารถใช้โทรศัพท์ของเรา Roaming ได้ทางเดียวที่จะติดต่อกับชาวโลกคือซื้อ Sim ซิครับ และก็ต้องหาซื้อของใช้ส่วนตัวบางอย่าง ที่ทางโรงแรมไม่ได้มีใว้ให้เลย...คนขับรถก็พาผมมายัง Department store ผมไม่แน่ใจว่าเรียกว่าห้างหรือ Super market บ้านเรากันแน่ ผมก็เดินไปหาร้านที่ขาย Sim โทรศัพท์ ราคาก็ไม่แพงเท่าไรตกประมาณ 150 บาท แล้วก็ต้องซื้อบัตรเติมเงินเหมือน One2Call ที่เมืองไทยแม้กระทั้งเบอร์ที่จะกดเติม *121# *120# พอเสร็จเรื่องโทรศัพท์ผมก็เดินหาของใช้อื่น ๆ และถือโอกาสสำรวจด้วยว่ามีสินค้าไทยบางหรือเปล่าผมก็ไม่คาดหวังว่าจะเจอ แต่ดันเจอซะด้วย เป็นยาสระผมของ Head&Showder และก็ยังมีพวกแป้งทาผิว และสินค้าของ Uniliver อื่นอีกหลายรายการ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วผมก็ตรงกลับมายังที่โรงแรมซึ่งก็ประมาณสี่โมงเย็นกว่า ๆ ผมเห็นว่าจะไม่ค่ำมากนัก ผมจึงต้องหาสถานที่ที่มีอินเตอร์เน็ทเพื่อที่จะให้ผมสามารถทำงานได้ ก็เลยขอให้รถโรงแรมไปส่งก็ไม่ไกลมากสามารถเดินไปได้แต่เพื่อความปลอดภัยผมเลยให้รถโรงแรมส่งดีกว่า...พอมาถึงร้านอินเตอร์เน็ทแต่ก็เจออุปสรรคอีกจนได้คือผมไม่สารถเข้า Server ของบริษัทได้จากที่นี้ เลยเช็คเมล์ไม่ได้ ผมทำได้แค่นั่งอ่านไทยรัฐออนไลน์ ผมใช้เวลาที่นี้ประมาณ ชม.กว่าผมก็กลับโรงแรมโดยใช้ Taxi หน้าโรงแรม ระยะทางก้แค่มองเห็นกันโดนไปอีก 10 Kina @12 =120 มาถึงโรงแรมผมก็เข้าห้องพักด้วยความหิวเลยประทังชิวิตด้วยมาม่าที่ผมเตรียมมาด้วย ( เนื่องจากประสบการณ์ในการเดินทาง อาหารที่เราไม่ถูกปากเราจะไม่อิ่มและจะหิว มาม่าคือตัวช่วยที่ดีที่สุด ) ผมก็กินมาม่าโดยกินแบบไม่ได้ชงเพราะไม่มีชามและช้อน ( ขี้เกียจลงไปขอที่ Lobby มากกว่า ) ก็เลยกินซะอย่างงั้นพอหายหิว
จากนั้นผมก็อาบน้ำ เปิดทีวี ยังจะมามีเรื่องให้หัวเสียอีกก็ไอ้ทีวีเจ้ากรรม นอกจากเล็กแล้ว ยังไม่ชัดอีก มีเสียงสัญณาณรบกวนตลอดเวลา แต่ก็ประมาณได้ว่าทีวีที่นี้รับสัญณาณมาจากประเทศออสเตเรีย แต่ก็มีช่องท้องถิ่นที่พูดภาษาถิ่นด้วยเหมือนกัน และแล้วผมก็ผ่านวันแรกไปได้แม้จะมีอุปสรรคบางแต่ก็โอเค



























 

Create Date : 26 มีนาคม 2553    
Last Update : 26 มีนาคม 2553 15:36:29 น.
Counter : 2062 Pageviews.  

บังกลาเทศ

ประเทศบังคลาเทศ
ข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับบังคลาเทศ

ผมไม่ค่อยรู้จักประเทศบังกะลาเทศมากนักเพราะว่าเมืองที่ผมไปแค่ กรุงดาการ์ บางคนอาจจะยังไม่ทราบว่าบังกลาเทศเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเช่นเดียวกันแต่เป็นในยุคแรก ๆ ของการล่านิคม ทำ
ให้ปัจจุบันแทบไม่หลงเหลือ British way เลย นอกจากนั้นบังกลาเทศยังเป้นประเทศที่พระพุธทศาสนาเคยรุ่งเรื่องอย่างมากแต่ภายหลังได้รับอิทธิผลจากพ่อค้าชาวอาหรับนำศาสนาอิสลามมาเผยแพร่ ทำให้แทบไม่หลงเหลือร่องรอยทางพระพุทธศาสนา ในปัจจุบันคน่สวนใหญ่ของบังกลาเทศนับถือศาสนาอิสลาม บังกลาเทศมีภาษาพุดเป้นของตัวเอง แต่มีวัฒธรรมหลาย ๆ อย่างคล้าย ๆ กับชาวอินเดีย แม้กระทั้งการตั้งกายของผู้หญิง

การปกครองของที่นี่ เป็นระบบประชาธิปไตย ประธานาธิบดีเป็นประมุข นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีพรรคการเมืองแบบหลายพรรค และมีการแข่งขันทางการเมือง รุนแรงไม่แพ้ประเทศไทย คือสู้กันทุกรุปแบบ ไม่เว้นกระทั้งการป้ายสีคู่แข่ง

พื้นที่ของประเทศ ประมาณ 148,393 ตารางกิโลเมตร หรือ เล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 3 เท่าครึ่ง แต่มีประชากรมากกว่าไทยเกือบสามเท่า ประมาณ 150 ล้านคน (2550 ) เฉพาะในกรุงดาร์กามีประชากรถึง 10 ล้านคน หากใครเคยมาที่นี่จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนถึงได้แออัดกันขนาดนี้

ภาษาราชการ บังกลา (เป็นภาษาชาวเบงกาลี ใช้ทั่วประเทศ) แต่ในระดับผู้บริหาร หรือนักธุรกิจทั่วไปสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้
สกุลของเงินตรา ตากา (Taka) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯเท่ากับ 70 ตากา หรือ 100 ตากา ประมาณ 70 บาท (ปี 2550) g; เวลาที่นี่จะเท่ากับประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้จะช้ากว่าไทยอยู่ 1 ชม.

ประวัติศาสตร์

ในปี 2300 อังกฤษได้เข้ายึดครองและอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษเกือบ 200 ปี จึงได้เอกราชพร้อมกับอินเดียในปี 2490 โดยเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน หรือเรียกว่าปากีสถานตะวันออก และต่อมาได้ประกาศสงครามปลดแอกจากปากีสถาน เมื่อปี 2514 ก่อตั้งเป็นประเทศเอกราชโดยการนำของ นายเชค มูจิบูร์ ราห์มาน (Sheikh Mujibur Rahman) ซึ่งเป็นบิดาของนาง Sheikh Hasina ผู้นำฝ่ายค้านบังกลาเทศคนปัจจุบัน (2548) เป็นผู้นำในการทำสงครามปลดแอกบังกลาเทศ (ปากีสถานตะวันออก) ออกจากปากีสถาน เมื่อปี 2514 โดยชาวบังกลาเทศยกย่องให้เป็นบิดาแห่งชาติ

หากมีธุระจะจะต้องเดินทางมายังบังคลาเทศข้อพึงระวัง คือ

บังกลาเทศยังขาดแคลนสาธารณสุขขั้นพื้นฐานและบริการด้านการแพทย์ที่ดี จึงต้องระมัดระวังสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะการรับประทานอาหาร ต้องดื่มน้ำที่สะอาดผ่านการกรองและในโรงแรมเท่านั้น ควรรับประทานอาหารในร้านที่สะอาด ไม่ควรรับประทานอาหารที่วางขายตามข้างถนนถึงไงก็ทานไม่ลง ไฟฟ้าจะดับทุกวัน วันละหลายครั้ง เนื่องจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าเยอะ แต่ว่ากำลังการผลิตไม่เพียงพอ แม้แต่ในสนามบินไฟฟ้ายังดับได้ และในช่วงฤดูฝนราวเดือน กรกฏาคม - ตุลาคม น้ำจะท่วมสูง บริเวณใจกลางเมือง ระบบระบายน้ำไม่ดีเอาซะเลย นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีคดีอาชญากรรมสูง มีการฉกชิงวิ่งราว การทำร้ายร่างกาย นอกจากนี้ ยังมีความรุนแรงทางการเมือง จึงควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่ชุมชนหนาแน่นหรือกำลังมีกิจกรรมทางการเมือง คนบังกลาเทศส่วนใหญ่ไม่รุ้หนังสือ ไม่มีวินัยในการใช้รถใช้ถนนเป้นอีกสาเหตุที่ทำให้ที่นี่รถติดมาก ๆ มารยาทในการขับรถพูดได้ว่าไม่มีเลยใครจะไปทางไหนก็แล้วแต่ฝีมือ วัดดวงกันเอง...จบแค่นี้ก่อนครับ




 

Create Date : 26 มีนาคม 2553    
Last Update : 26 มีนาคม 2553 15:33:38 น.
Counter : 1031 Pageviews.  

Myanmar

ประเทศพม่าเป็นประเทศบ้านเพื่อนบ้านและมีประวัติศาสตร์รวมกันมาอย่างยาวนาน ตอนเป็นเด็กสมัยที่เราเริ่มเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงศรี และเราก็เริ่มรู้จักประเทศพม่า แต่ไม่ใช่ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านแต่เป็นในฐานะศัตรูคู่กันมาแต่บรรพบุรุษ ในความคิดของผม คนไทยยังรู้จักประเทศพม่ากันน้อยมาก สำหรับผมประเทศพม่าน่าสนใจมากที่เดียวทั้งในเรื่องของธุรกิจการลงทุนและในเรื่องของวัฒนธรรม

เนื่องจากลูกค้าที่นี้เป็นลูกค้าที่เป็นตลาดหลักที่ผมดูแลอยู่ผมจึงเดินทางมาที่นี้แทบทุกเดือน เพราะว่าสามารถเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับได้ การเดินทางไปพม่านั้นเราต้องยืนขอวีซ่าที่สถานฑุตที่พม่าที่ กรุงเทพก่อนซึ่งใช้เวลาปกติสองวัน และ ภายวันเดียวหากเรามีความจำเป็นต้องการเร่งด่วนโดยจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม สำหรับค่า วีซ่าปกติก็ 1,440 บาท ( Business Visa ) ผมไม่แน่ใจว่าวีซ่าท่องเที่ยวเท่าไรแต่ถูกว่าแบบธุรกิจแน่นอนหากต้องการแบบด่วน ( ยืนเช้ารับบ่าย ) ก็จ่ายเพิ่มอีก 660 บาท สำหรับเที่ยวบินของสายการบินไทยจะมีเที่ยวบินไปกลับพม่าวันละสองเที่ยวบินคือ ช่วงเช้า และช่วงเย็น เที่ยวบินที่ผมใช้ประจำก็คือไปเช้า 7.45 ถึงพม่า 9.00 ซึ่งเวลาพม่าจะช้ากว่าบ้านเราอยู่ครึ่ง ชม. และเที่ยวบินกลับก็คือ 19.40 ถึงบ้านเราก็ 21.00

ชีวิตความเป็นอยู่ชองชาวพม่าในความคิดของผมค่อนข้างที่จะถูดริดร่อนสิทธิจากรัฐบาล รั{บาลจะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเราสินค้า ประเภทสินค้า การนำเข้า การส่งออก ล้วนถูกควบคุมโดยรัฐบาลทหาร สิ่งที่ผมแปลกใจที่สุดมีอยู่สองเรื่องคือ ก๊าซหุงต้ม ซึ่งในบ้านเราเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกบ้านต้องมีเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร หรือแม้กระทั้งในภาคการขนส่งและส่วนหนึ่งประเทศเราก็นำเข้ามาจากพม่านี่เอง แต่เชื่อไหมครับว่าทั้งที่พม่าเป็นผู้ส่งออกก๊าซหุงต้มให้เราแท้ ๆ แต่คนของเค้า ไม่สามารถใช้ก๊าซหุงต้มในชีวิตประจำวันได้ เพราะรัฐบาลที่นี้ไม่อนุญาติ .....
เรื่องที่สองคือราคารถยนต์ที่พม่า แพงมหาโหดเพราะว่ามาตาการซึ่งผมเรียกว่ามาต
ราการขูดรีดทางภาษี โดยกำหนดใว้คราว ๆ ดังนี้คือรถยนต์ตั้งแต่ปี 1985-1995 ราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000-40,000 USD @ 35 = 700,000 - 1,400,000 บาท ปี 1996 - 2005 ราคาเฉลี่ยนประมาณ 50,000 - 70,000 USD @35 = 1,750,000 - 2,450,000 บาท ส่วนปี 2006 เป็นต้นมารัฐบาลยังไม่อนุญาติให้นำเข้า แต่ก้พอทีให้เห็นอยู่บางก็แสดงว่าคนเหล่านั้นไม่เป็นพวกพี่เบิ้มของพม่านั่นองครับ หากจะมองให้เห็นภาพก็คือ Toyota Hilux tiger แบบ 4 ประตูที่ลูกค้าผมใช้อยู่ราคาตก 2,000,000 บาท ( สองล้านบาท ) แล้วนี่เป็นรถเก่านะครับ
ไม่ใช่รถใหม่ ดังนั้นหากเรารถยนต์ที่ใช้วิ่งกันอยุ่ที่พม่าจึงเป็นรถที่เราไม่ค่อยจะคุ้นตาสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เป็นรถตั้งแต่สมัยคุณปู่ ซึ่งเก่ามาก แต่ก็ต้องยอมรับช่างซ่อมที่พม่านี่ก้เก่งเหมือนกันสามารถทำให้ที่มีอายุใช้งานขนาดนั้น ยังวิ่งอยู่ได้ สิ่งหนึ่งที่ตามมาก็คือธุรกิจ Spare part ที่นี่จึงเป็นตลาดที่ใหญ่มาก..ทิวทัศน์รอบ ๆ ย่างกุ้งจะเต็มไปด้วยต้นไม้ จึงทำให้ร่มรื่นมากที่เดียว อีกอย่างหนึ่งคือที่ย่างกุ้งยังไม่มีอาคารสูงมากนัก สิ่งที่ผมเห็นจนชินตาในทุกครั้งที่เดินทางมายังทีนี่คือพระสงฆ์และเนร เนื่องจากที่ในย่างกุ้งจะมีวัดเยอะมาก เรียกว่าทุก 5 นาทีที่นั่งรถผ่านผมจะเจอหนึ่งวัด บางวัดก็มีลักษณะเป็นเหมือนห้องแถวเล็ก ๆ แต่ยืนยันได้ว่าเป็นวัดเนื่องจากจีวรของพระสงฆ์ตากอยู่นั่นเอง ในช่วงเช้า- สาย จึงมีพระสงฆ์เดินออกมา บิณบาตรอยู่หลายรูป (ท่าน ) ( คน ) เท่าที่ผมสังเกตคนที่นี่จะใส่บาตรโดยปัจจัย ( เงิน ) มากกว่าอาหาร ต่างจากบ้านเราที่เรียกว่าตักบาตรโดยเราจะใส่ข้าวและอาหารสำหรับพระสงฆ์มากกว่า...นอกจากพระสงฆ์ในระหว่างที่ผมกำลังสนทนากับลูกค้าผมอยู่ก็จะมีนักบวชเป็นผู้หญิงมีลักษณะคล้ายกับแม่ชีในบ้านเราแต่ที่นี่เค้านุ่งชุดออกสีชุมพู่ มายืนสวดมนต์อยู่หน้าบริษัท ผมได้ถามกับลูกค้าผม ได้ความว่าเค้ามาสวดอวยพรให้เรา ให้กิจการเจริญรุ่งเรื่อง ผมก็เห็นลูกน้องของลูกค้าผมเดินมาหยิบเงินแล้วก็เอาไปให้ จากนั้นนักบวชก็จะรีบเดินหายไปทันที...
ทุกครั้งที่ผมเดินทางมาที่พม่าผมไม่เคยออกไปทานอาหารข้างนอกออฟฟิคลูกค้าผมเลย จริง ๆ แล้วอยากจะไปบางเพราะจะได้ถือโอกาส เที่ยวไปในตัวด้วย แต่ด้วยความใจดี ของลูกค้าผมเค้าก็ลงมือทำอาหาร ซึ่งเป้นอาหารพม่าให้ผมทานกลางวัน

ทุกครั้ง แต่ก็ยอมรับว่าอาหารของเค้าอร่อยมาก เมนูหลัก ๆ ที่ผมได้ทานคือ ต้มไก่ ผัดเผ็ดกุ้ง ผัดผัก....รสชาติอาหารก็คล้ายอาหารภาคกลางบ้านเราคือจะออกหวาน ๆ รสจะไม่จัดมาก แต่ก็อร่อยทีเดียวสำหรับผม

สถานที่ท่องเที่ยวของพม่าถ้าเป็นที่ดัง ๆ หน่อยที่ย่างกุ้งก็คงเป็นวัดชวาดากอง ผมก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวอยู่ครั้งหนึ่งเพราะว่าสามารถสรุปงานได้เร็วเวลาจึงเหลือเยอะ กว่าจะถึงว่าขึ้นเครื่อง ครั้งนั้นบังเอิญว่าลูกสาวของลูกค้าผมซึ่งเรียนอยู่ที่สิงคโปเดินทางกลับมายังพม่าพอดี เค้าเลยอาสาเป็นไกด์พาผมไปเที่ยวที่วัดชเวดากอง
นอกจากนั้นยังพาขับรถตะเวนไปยังสถานที่ต่าง ๆ เช่นบ้านของออง ซาน ซุจี ลานอิสนะภาพ ( สภานทีที่ชาวพม่าใช้ประกาสอิสระภาพจากการปกครองของอังกฤษ ) และที่สุดท้ายก็คือวัดชเวดากองนั้นเอง... บังเอิญว่าวันที่ผมไปที่วัดนั้นเป็นวันที่มีผนตก ทำให้บรรยากาศไม่ค่อยจะเป็นใจให้ท่องเที่ยวและถ่ายรูปสักเท่าไร วัดชเวดากองผมเคยได้ยินแต่ชื่อมานานมาก ๆ แล้ว วซึ่งเป้นวัดที่มีเจดีย์ที่สร้างจากทองคำที่ใหญ่มาก ในความคิดผมและเด็กไทยคนอื่น ๆ จะเข้าใจว่าทองคำที่ใช้ในการสร้างเจดีย์แห่งนี้ได้มาจากการปล้นมาจากกรุงศรีอยุธยานั่นเอง แต่ผมก็ลองถามคนพม่า เค้าบอกว่าทองคำเหล่านี้ได้มาจากการบริจาค ( Donate )
จากต่างประเทศเนื่องจากเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาในพม่า ผมก็ไม่แน่ใจว่าข้อมูลอันไหนจริงกันแน่...หากมีใครทราบก็ช่วยบอกผมด้วยเพื่อเก็บใว้เป็นความรู้




จุดที่ผมยืนถ่ายรูปด้านหลังจะเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยทางคำ ไม่ยังแอบคิดเล่น ๆ เลยว่าถ้าอยู่ที่เมืองเมืองไทยคงโดนแอบลอกทองไปขายกันบางล่ะ เพราะเคยได้ยินข่าวเกียวกับการลอกจากจากองค์พระพุทธรูปที่วัดในจังหวัดอยุธยา...เนื่องจากที่นี้เท่าที่ผมเห็นไม่ได้มีอะไรป้องกันเลย..สามารถแอบเข้าไปได้

จุดนี้เป็นบริเวณหลังเจดีย์ทองคำ เราเดินผ่านมาด้านหลังจะมีเจดีย์ที่ลักษณะที่เห็นอยู่รายรอบ และกว้างมาก ความรู้สึกผมเหมือนเดินอยู่บนสวรรค์ ( ไม่เคยไปหรอกนะครับ จินตการเอา ) คือบรรยากาศแบบว่าสวยมาก ประกอบกับฝนตก และพม่าก็ไม่มีตึกสูงและตัววัดแห่งนี้ก้ถูกสร้างให้ลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน ทำให้เราได้สัมผัสกับกลิ่นของเมฆฝน และเมื่อเราเดินไปในบริเวณนั้นรอบ ทุกแห่งจะคล้าย ๆ กันหมด จนผมเดินจนมาวนที่ทางเดิมโดยที่ไม่รู้ตัว...ผมใช้เวบาที่นี่ประมาณ 1 ชม. ยังเดินไม่ครบไม่รอบเลยครับ เพราะว่ายังมีอีกจุดหนึ่งวึ่งมองออกไปก๋ไกลพอสมควร แต่มีทางเดินเชือมถึงกันได้ แต่ผมมีงานค้างอยู่และที่นี่ก็ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้เลยอยากกลับไปนั่งทำงานที่สนามบิน ซึ่งวัดแห่งนี้ก็ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินอยู่ราว ๆ ประมาณ 30 นาทีได้ หากใครสนใจจะมาเที่ยวก็มาแบบไปเช้าเย็นกลับได้ครับ แล้วอย่าลืมไปขอวีซ่าที่สถานฑูตเค้าซะก่อนนะครับ ส่วนค่าเครื่องบิน หากบินกับ TG ก็ประมาณ 7000-7500 บาทแล้วแต่ช่วงโปรโมชั่นด้วย ขอให้สนุกกับการเดินทางนะครับ..




 

Create Date : 17 มีนาคม 2553    
Last Update : 17 มีนาคม 2553 12:21:09 น.
Counter : 418 Pageviews.  

Vietnam

เวียดนามผมมีลูกค้าอยู่ทั้งสองเมืองใหญ่เลยคือ Ho Chi Minh และ Hanoi ก่อนที่ผมจะได้มาเวียดนามผมจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศของเวียดนามจากสื่อมวลชนเสมอประมาณว่าอีกสิบปีสิบห้าปีเวียดนามแซงหน้าประเทศไทยเป็นผู้นำอาเซียนแน่นอน...ผมเองด้วยความที่เป็นคนไทย และเคยเห็นสภาพชีวิตความอยู่ของคนเวียดนามก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เท่าที่ผมได้พูดคุยกับคนเวียดนามและมีข้อมูลเรื่องเศษฐกิจของประเทศเวียดนามพอสมควรตอนนี้ผมคิดว่าสิบปีสิบห้ายังช้าไปด้วยซ้ำ ไม่แน่อีกห้าปีข้างหน้านี้เท่านั้นเวียดนามก็จะแซงหน้าเราและมีความพร้อมในทุก ๆ ด้านมากกว่าประเทศไทยเสียอีก หากเราไปเวียดนามในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็น Hanoi และ Ho Chi minh จะเห็นว่ามีการก่อสร้าง ถนน มีการปรับปรุงโครงสร้างพืนฐาน ( infrastructure ) กันอย่างขนานใหญ่ เวียดนามเพิ่งเปิดประเทศได้ไม่นาน ราวปี 2529 และได้เปลี่ยนระบบเศษฐกิจมาเป็น แบบการตลาด จากเมื่อก่อนที่เป็นรัฐอุปถัม แต่ก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวนานพอสมควร
จนเริ่มเป็นรูปร่างได้เมื่อสักประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ว่ารัฐบาลเวียดนามและคนเวียดนามต่างเห็นความสำคัญคือนโยบายต่างๆ และมีเป้าหมาย และระยะเวลาที่ชัดเจนในการพัฒนาประเทศ (ไม่เหมือนกันนายก ฯ บางประเทศที่ดีแต่พูด กับทำหน้าหล่อ แต่ทำงานไม่เป็น ) ผมจึงไม่แปลกใจที่นักลงทุน ต่างพากันขนเงินมาลงทุนกันที่นี่ โดยเฉพาะผุ้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเอตร์รายใหญ่ Intel ที่เลือกใช้เวียดนามในการเป็นฐานการผลิต โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 1,600 ล้านดอลล่า

เรื่องของการคมนาคมขนส่งเวียดนามวางแผนไปไกลกว่าประเทศไทยมาก โดยล่าสุดได้มีการลงนามสร้างรถไฟความเร็วสูง ( 1,000 km/ Hrs ) เชื่อมระหว่างเมือง Hanoi และ Ho Chi Minh มีระยะทางประมาณ 2000 กม. และส่วนต่อขยายจะดำเนินการก่อสร้างควบคู่ต่อเนื่องโดยตลอด 5-8 ปีนี้ การขนส่งทางอากาศ เวียดนามก็มีแผนที่ชัดเจนในการก่อสร้างสนามบิน Long thang โดยจะสามารถเปิดให้บริการได้อีก 5 ปีข้างหน้า ( สนามบินบางประเทศแถวนี้ใช้เวลาถึง 30 ปีในการก่อสร้าง ) เป้าหมายของสนามบินแห่งนี้เวียดนามเค้าไม่ได้สร้างแข่งกับไทย แต่เป้าหมายคือศูนย์กลางการบินของภูมิภาคนี้ ...

ผมว่าผมเขียนเนื้อหาที่หดหู่ในใจยังไงไม่รู้ไปเวียดนามทีไรได้อ่านข่าวของที่นี่ แล้วมองกลับมายังบ้านเราไม่ได้มีอะไรให้เป็นความหวังได้เลย มีแต่ข่าวใส่รายป้ายสีรายวัน เฮ่อออ ...

การเดินทางของผมมายังเวียดนามทุกครั้งจะเป็นการบินตรงเข้าสู่ Ho Chi Minh ก่อนและ พักที่นี่คืนหนึง และเดินทางต่อไปยัง Hanoi ในช่วงค่ำของอีกวัน และพักที่ Hanoi คืนหนึ่งและเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงค่ำของอีกวันเช่นกัน ที่ HCM ผมมีลูกค้าทั้งหมด 4 รายดังนั้น Schedule ต่าง ๆ จึงเต็ม จึงไม่ค่อยมีเวลาได้เที่ยวแต่ก็อาศัยช่วงที่เปลี่ยนสถานที่คือ เมื่อประชุมกับลูกค้าอีกรายหนึ่งเสร็จในช่วงเช้า และทานอาหารเที่ยงกับลูกค้า และลูกค้าอีกรายนัดเอาใว้ตอนบ่ายสอง ช่วงนี้เองที่อยู่บนรถเทกซี่ ผมจึงมีโอกาศได้เที่ยว โดยการให้เทกซี่พาไปตามสถานที่ต่าง ๆ แต่ก้แค่ได้ผ่านไปไม่มีโอกาสได้แวะชม.. ที่ HCM ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ใหญ่มาก จริง ๆ แต่ละต้นที่มีระยะห่างกันแค่ 15-20 เมตรเท่านั้นและดูเป็นระเบียบมาก ต้นไม้ทุกต้นจะถูกระบุหมายเลขซึ่งเวลาคนเวียดนามเค้านัดกันสามารถนัดเจอกันโดยระบุหมายเลขบนต้นไม้ได้ เท่มาก ๆ สถาพการจราจรก่อมีติดขัดบางเนื่องจากการสร้างถนน ท่อน้ำระบายน้ำ และถนนที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เป็นเลนสวนธรรมดา และไม่สามารถขยายได้อีกแล้วเนื่องจากต้นไม้นั่นเอง คนเวียดนามจะใช้มอเตอร์ไซร์กันเยอะมากเนื่องจากราคายนต์ที่นี่ค่างข้างแพงเพราะเรื่องของภาษี ( ไม่โหดเท่าพม่าหรอกครับ )ถนนจึงเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซร์ และคนใช้มอเตอร์ไชร์ที่นี่เค้าร่ารักกันมาก ทุกคนไม่ว่าคนซ้อนท้ายไม่ว่าคนขับจะต้องใส่กันทุกคนเพราะว่ากฏหมายบังคับนั่นเอง (เพิ่งประกาศใช้ได้ไม่นานนี่เอง )ผมก็เคยได้ยินนะว่าหากเราจะข้ามถนนที่เวียดนามเราแค่เดินข้ามไปเลยโดยไม่ต้องสนใจ ส่วนรถมอเตอร์ไซร์เค้าจะหลบให้เราเอง แต่ก็ไม่กล้าลองอ่ะครับ เพราะมันเยอะมากจริง ๆ เราไม่รู้ว่าเค้าจะหลบให้เราทันหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตุดูคนพม่าเอ้ยยคนเวียดนามเค้าก็ข้ามกันแบบนั้นจริง ๆ ครับ คือเดินไปแล้วหยุดตรงกลางถนนแล้วหาจังหวะเดินต่อ บอกได้คำเดียวว่าเสียวครับ อีกอย่างหนึ่งคือที่นี่แยกใหญ่ ๆ บางแยกไม่มีสัญญาณไฟจราจลนะครับ คืออยู่ที่ความสามารถอย่างเดียว เราจะได้ยินเสีงแตรดังลั่นเลยแล้วรถจะมากระจุกกันตรงนี้บริเวรนี่แหละ คิดดุนะครับรถมาจาก สาม สี่ทิศทางเราต่างคนก็จะไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการดูน่าอันตรายมาก แต่ก็แปลกคืออุบัติเหตุน้อยมาก และรถก็ไม่ได้ติดด้วย รถจะเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ ผมว่าน่าลองเอามาใช้ใน กทม.บางก็น่าจะดีนะ

คนเวียดนามเป็นคนที่น่ารักครับนิสัยจะมีความขี้เกรงใจอยู่มาก แต่คนเวียดนามส่วนใหญ่จะมีความทะเยอะทะยานสูง คนเวียดนามอายุต่ำกว่า 20 ปีลงมาเริ่มสนใจที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นจะเห็นได้จากมีการโฆษณา สถาบันสอนภาษากันอย่างแพร่หลาย
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภาษาอังกฤษให้ฟังคือ ลูกค้าผมรายหนึ่งที่เวียดนาม (HCM)ซึ่งเป็น new Candidate ตอนที่เราติดต่อกันเรื่องงานเราจะใช้อีเมลล์คุยกันซะส่วนใหญ่ ซึ่งเค้าสามารถเขียนอีเมลล์ภาษาอังกฤษได้ดีกว่าผมซะอีกซึ่งก็คุยกันประมาณเดือนกว่าและผมต้องมาเยี่ยมลูกค้าปัจจุบันอยู่แล้วก็เลยถือโอกาสนัดคุยเพื่อสอบถามข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติม เมื่อถึงเวลานัดผมก็ไปยังออฟฟิคของเค้าเราก็ทักทายกันปกติซึ่งผมเริ่ม แปลกใจแล้วว่าทำไมเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้แต่ก็คิดว่าคงตื้นเต้นที่เจอผมหรือเปล่า พอเข้าสู่เนื้อหา Issue ที่ผมได้เตรียมใว้ปรากฏว่าคุยกันไม่รู้เรื่อง เค้าฟังผมไม่เข้าใจด้วย แล้วก็พุดตอบโต้ไม่ได้ไม่ได้ แต่สามารถเขียนเพื่อให้ผมอ่าน และผมต้องเขียนเพื่อโต้ตอบ โดยเราต้องยกไวร์บอร์ดมาเพื่อเขียนตอบโต้กันแหละกัน แล้ววันนี้จะได้ทำอะไรไหมละครับ เพราะแม้กระทั้งคำว่า
เย็นคุณว่างไหมผมอยากไปดื่มกับคุณ ผมพูดก็ยังไม่เข้าใจและต้องเขียนเช่นเดิม ตอนบ่ายผมก็เลยตัดสินใจโทรหาล่ามที่ผมจ้างประจำมาช่วยดีกว่า..คนเวียดนามส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้คือทักษะการเขียนจะดีกว่าการฟัง เนื่องจากเวียดนามใช้อักษร ( Letter ) ภาษาอังกฤษ การเขียนจึงดีมาก และการฟังและพูดจึงไม่ค่อยถนัดนัก การสื่อสารของผมกับลูกค้าที่นี่จึงเป็นไปอย่างช้า ๆ พูดชัด ๆ เน้น ซึ่งบางครั้งมีการคุย Issue สำคัญ ๆ ผมจึงจำเป็นต้องใช้ล่ามเพื่อให้แน่ใจว่าเราเข้าใจสิ่งที่เราคุยกันมากเท่าที่จะมากได้และต้องมีการส่งรายงานการประชุมกลับมาทุกครั้งเพื่อยืนยัน แต่หากเป็นการไปเยี่ยมโดยไม่มี Priority อะไร ผมก็จะไม่ใช้ล่าม ไม่ใช่ต้องการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทแต่ผมว่าการสื่อสารกันแบบไม่เข้าใจและเราต้องอธิบายช้า ๆ ซ้ำ ๆ ผมว่าเป็นการสร้าง Relation ได้ดีที่เดียว ทำเราให้จำเป็นต้องสื่อสารกันมากขึ้น ความรู้สึกดีรู้สึกประทับใจเรา ลูกค้าจะมีให้เรามากขึ้น






 

Create Date : 17 มีนาคม 2553    
Last Update : 26 มีนาคม 2553 15:59:21 น.
Counter : 396 Pageviews.  


SHotprofile
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




รู้จักผมก่อน...

ใช่ครับผมเสื้อแดง หรือที่เค้าเรียกกันว่า พวกก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมืองกันนั้นแหละ ผมเป็นคนดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายไม่ชอบพิธีรีตรองมากผมเป็นคนที่ชอบให้ความสุขกับตัวเองเพราะว่าเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าความสุขที่เราได้รับหรือให้กับตัวเองต้องไม่ไปกระทบกับความสุขของคนอื่นหรือไม่แย่งความสุขคนอื่นเค้ามา
Friends' blogs
[Add SHotprofile's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.