"เงิน"ไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่"เงิน" ผู้เขียน : วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ความยาว : 191 หน้า ราคา 185 บาท (โชคดีมีคูปองลด 30% ของหนังสือค่ายอัมรินทร์ เลยได้ประหยัดไปหลายบาท) เป็น Fanpage คุณวิวรรณมาได้สักพัก จนเห็นเธอโพสต์รูปหนังสือบน wall ของเธอ ก็คิดว่าถ้าเข้าร้านหนังสือเมื่อไหร่จะแวะซื้อสักหน่อย จั่วหัวชื่อหนังสือเล่มนี้ สำหรับตัวเราเองถ้ามองย้อนกลับไปสัก 10 กว่าปีก่อนคงจะรู้สึกว่าอะไรกัน เป็นคนเห็นแก่เงินจัง เงินไม่ใช่ทุกอย่างซะหน่อย แต่สำหรับในวันนี้ คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่าเงินมีความสำคัญอยู่พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะชีวิตคนเมือง เอาเป็นว่านับตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ก็ต้องใช้เงินแล้ว หนังสือเล่มนี้สอนให้รู้จักค่าของเงิน วิธีการทำงานหาเงิน รู้จักการออมเงินและการลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย คัดลอกบางประโยคจากหนังสือเล่มนี้มาให้อ่านนะคะ เป้าหมายคือ การสร้างความมั่นคงให้ชีวิต ความมั่นคงทางการเงินจะเกิดขึ้นเมื่อ "รายได้สูงกว่ารายจ่าย" หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องไม่ใช้เงินเกินกว่าที่หาได้ การบริหารการใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการทำงานหารายได้ สำหรับคนที่มีลูก การเรียนรู้การเงินต้องสอนกันที่บ้าน ตำราฝรั่งบอกว่า "ให้เริ่มสอนเมื่อเด็กนับเลขได้" ดังนั้นถ้าอยากสร้างนิสียการออมให้ได้ผลดี ต้องสร้างตั้งแต่วัยเด็ก สอนเด็กเรื่องดอกเบี้ย ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ ผู้เขียนเคยถูกคุณพ่อจูงใจด้วย"ธนาคารคุณพ่อ" อัตราดอกเบี้ยทบต้น 100% คือ ฝาก 10 บาท เวลาถอนได้คืน 20 บาท ความเห็น : เป็นวิธีการหนึ่งที่น่าสนใจค่ะ สำหรับเราเองเมื่อเริ่มวัยทำงาน แม่ให้เปิดบัญชีเงินฝากเป็นชื่อเราเอง และต้องกันเงินออมส่วนหนึ่งในบัญชีเล่มนี้โดยเอาตังค์ไปให้แม่เข้าบัญชีให้ โดยมีแรงจูงใจคือแม่เติมเงินส่วนเพิ่มให้เป็นเลขกลม ๆ เช่น เรามีตังค์ฝาก 9,000 แม่เติมให้อีก 1,000 เพื่อครบหมื่น ทำแบบนี้อยู่ระยะเวลาหนึ่งจนเรามาเปิดบัญชีเล่มอื่นต่างหากและบริหารการเงินเอง ปัจจุบันสมุดบัญชีเล่มนี้ยังอยู่ที่แม่ และไม่เคยถอนออกมาใช้เลยตั้งแต่เริ่มฝาก เมื่อครบเวลา แม่จะเอาใบถอนมาให้เซ็น พร้อมจัดการเปิดบัญชีใหม่ที่มีอัตราดอกเบี้ยที่น่าสนใจให้ เริ่มต้นการออมตั้งแต่วันนี้ หลายคนคิดว่าเริ่มออมต้องมาจากความพร้อมเท่านั้น ความจริงไม่ใช่ เพราะการออมคือการสละการใช้ในวันนี้ เพื่อเอาไว้ใช้ในวันข้างหน้า ถ้าจะรอให้พร้อม คนจำนวนมากก็อาจจะไม่มีวันพร้อมเลย เพราะต้องการใข้ที่มีให้หมด หรือเงินที่มีก็ยังไม่ค่อยจะพอใช้ คำแนะนำของผู้เขียน เริ่มออมให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้ เพราะดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนการนำเงินออมไปลงทุนนั้น จะต้องใช้เวลาในการทำให้งอกเงย ถ้าเริ่มออมเร็วย่อมได้ผลตอบแทนสูง เงินจะพอกพูนมาก ถ้าออมช้าย่อมได้ผลตอบแทนต่ำ เงินก็จะพอกพูนน้อย บางทีก็ต้องใช้เทคนิคเข้าช่วย ผู้เขียนบอกว่าเป็นคนใช้เงินเก่ง เก็บเงินไม่ค่อยได้ จึงใข้เทคนิคหักเงินออมจากรายได้ก่อน ที่เหลือจึงนำไปใช้ และเงินที่เก็บก็ใช้วิธีเก็บแบบผูกพัน คือเปิดบัญชีเงินฝากประจำ 24 เดือน เทคนิคอีกอย่างที่ทำให้มีกำลังใจในการออมคือ การให้รางวัลตัวเอง พอออมได้ถึงเป้าหมาย ก็กันเงินออกมาส่วนเล็ก ๆ เป็นรางวัลให้ตัวเองนำไปซื้อในสิ่งที่อยากได้ ผู้เขียนเล่าว่าเคยไปเสวนาในรายเดียวกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดร.เล่าให้ฟังถึงผู้หญิงฝรั่งที่ร่ำรวยมากคนหนึ่ง ซึ่งรักการลงทุนและรักการมองตัวเลขเงินลงทุนที่พอกพูนขึ้น จนไม่ยอมนำเงินออกไปใช้ ผู้เขียนเล่าว่าได้พูดต่อทันทีว่า จะไม่มีวันทำอย่างนั้น จะมีประโยชน์อะไรที่เราเก็บเงินและเงินลงทุนโดยไม่นำออกมาใช้เพื่อความสุขหรือความสบายของชีวิตตัวเองบ้าง ความเห็น : เห็นด้วยทีเดียว เราต้องมีความสุขทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต เราวางแผนทางการเงินเพื่ออนาคต แต่เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตเราจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ดังนั้นเราก็ต้องใช้เงินในปัจจุบันด้วย ชีวิตต้องเดินทางสายกลาง ....ข้อคิดสำหรับการออมเพื่อการเกษียณ... ทำอย่างไรถ้ารู้ตัวว่าเริ่มออมช้าเกินไปเสียแล้ว ผู้เขียนกล่าวว่ารู้ช้ายังดีกว่าไม่รู้ตัวเลย มีงานวิจัยพบว่าคนไทยในวัย 40-60 ปีเริ่มคิดในการออมเพื่อการเกษียณเมื่ออายุ 42 ปี แต่ผู้เขียนเห็นว่าถ้าจะให้ดีควรจะเริ่มตั้งแต่วัย 30 ปีหรือตั้งแต่เริ่มทำงานจะดีที่สุด เวลาที่ผู้เขียนไปบรรยายเรื่องการออมและลงทุนเพื่อการเกษียณทุกครั้งจะมีคนพูดว่า เขาควรจะได้ฟังการบรรยายเร็วกว่านี้สัก 10-20 ปี ข้อแนะนำคือประมาณการว่าหลังเกษียณเราจะใช้เงินเดือนละเท่าไหร่จึงจะพอ คิดเป็นค่าเงินปัจจุบันก็ได้ จะได้ง่าย ๆ ตัวอย่าง หาต้องการมีเงินใช้เดือนละ 20,000 บาทไปอีก 20 ปีหรือ 240 เดือนหลังเกษียณ ก็ต้องมีเงินอย่างน้อย 4.8 ล้านบาท (นี่ยังไม่รวมเงินเฟ้อและค่าของเงินในอนาคตที่จะน้อยลงกว่านี้นะ) จากการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยเมื่อปลายปี 2555 พบว่าคนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายเงินออมเพื่อการเกษียณไว้ที่ 2 ล้านบาท ในความเห็นคุณวิวรรณ ไม่เพียงพอแน่นอน ....ข้อคิดก่อนการซื้อรถ... คุณวิวรรณให้ความเห็นเกี่ยวกับการซื้อรถคันใหม่โดยเฉพาะเมื่อมีแรงจูงใจด้านภาษีไว้ดังนี้ค่ะ สำหรับกลุ่มคนที่อยากจะซื้อรถใหม่ในกลุ่มวัยเริ่มทำงานและต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง ก่อนอื่นให้ตอบคำถามเหล่านี้ก่อน 1. มีเงินเก็บบ้างแล้วหรือยัง 2. เปรียบเทียบก่อนว่าปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเดือนละเท่าไหร่ หากมีรถยนต์แล้วจะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางนี้ลงไปหรือไม่ ถ้าไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้ เงินเดือนที่ได้มาก็จะหมดไปกับค่ารถและค่าน้ำมัน ถ้าไม่อยากมีปัญหาหนี้สินและลามไปถึงครอบครัวทีหลังก็ไม่ควรซื้อรถตอนนี้ แต่ถ้ากรณีคนที่มีครอบครัวที่ต่างจังหวัดและพิจารณาแล้วว่าการใช้รถส่วนตัวขับกลับต่างจังหวัดเมื่อเปรียบเทียบกับการเสียค่ารถทัวร์ ประกอบกับเดินทางครั้งละหลายคนก็มีเหตุผลที่จะซื้อรถ ถ้ามีกำลังเงินเพียงพอ 3. ต้องตอบคำถามก่อนว่า ทำไมจึงอยากได้รถ สะดวกสบาย อยากได้ โปรโมชั่นลดภาษีสรรพสามิต หรืออยากโก้ คุณวิวรรณฝากข้อคิดไว้ว่า ความสะดวกสบายและความโก้ควรจะได้มาเมื่อมีกำลังซื้อ 4. มีเงินจ่ายค่าใช่้จ่ายที่เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง ค่าน้ำมันเครื่อง ค่าน้ำมันรถ ค่าเปลี่ยนยาง ค่าประกัน ค่าต่อทะเบียน ค่าที่จอดรถ 5. มีที่จอดรถแล้วหรือยัง ผู้เขียนอยากจะฝากข้อไว้ให้คิดรอบคอบก่อนที่จะซื้อรถคันใหม่ เพราะเห็นมาหลายคนแล้ว รัฐให้สิทธิ์อะไรก็ใช้สิทธิ์หมด ทั้ง ๆ ที่อาจจะมีสภาพคล่องไม่พอ เช่น พยายามใช้สิทธิ์ที่มี แต่ม่ีเงินไม่พอ ซื้อไปแล้วขาดสภาพคล่อง ต้องไปกู้เขามาเป็นค่าใช้จ่าย กลายเป็นว่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายสูงกว่าจำนวนภาษีที่ได้ลด ขอให้นึกถึงสุภาษิตบทนี้ไว้ "เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง" ....ใช้บัตรเครดิตให้เป็น... ควรใช้เพื่อความสะดวก ไม่ต้องพกพาเงินสดจำนวนมาก ก่อนใช้ทุกครั้ง ต้องแน่ใจว่ามีเงินจ่ายจริง ๆ (หลายคนพอมีบัตรแล้วรู้สึกว่าอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น จริง ๆ แล้วอำนาจซื้อของเราขึ้นอยู่กับรายได้ ไม่ได้ขึ้นกับวงเงินในบัตรเครดิต) ควรจ่ายเงินให้ครบ เพราะไม่เช่นนั้นจะมีค่าดอกเบี้ยที่สูง คะแนนความชอบ 8/10 (ไม่ได้ให้คะแนนความชอบที่สูงมาก เพราะว่าอ่านหนังสือแนวนี้มาพอสมควร แต่ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่ดีทีเดียวสำหรับการให้ข้อคิดค่ะ) ....รัชชี่.... |