คืนกำไรให้ชีวิต เพื่อพิชิตไปในโลกกว้าง
space
space
space
<<
กรกฏาคม 2567
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
25 กรกฏาคม 2567
space
space
space

ชวนไปเที่ยว เมืองซิมลา ของประเทศอินเดีย (ตอนที่ 1)
 ชวนไปเที่ยว เมืองซิมลา ของประเทศอินเดีย
(ตอนที่ 1) 


ทริปนี้  เป็นทริปที่ 3 ที่ เกด  ลูกศิษย์จัดไปเที่ยวอินเดีย  ทริปแรกที่เกด ชวนไปเที่ยวอินเดีย 
คือ ไป แคชเมียร์ ค่ะ ทริปนั้นเป็นทริปแรก
มีเรื่องตื่นเต้นทั้งขาไปและขากลับ  ไปกัน 6 คน  เมื่อ วันที่ 30 กันยนายน  ปี 55 ค่ะ ห่างหาย
ไปนาน  มาถึงทริป 2 คือ ทริปที่เกดมาชวนไป
เที่ยว เลย์ ลาดัก เมื่อ เดือน ต.ค. ปี 66 และทริป 3  เที่ยวเมืองซิมลา  มะนาลี   ธรรมศาลา อัมริสา
  และ เดลลี อัครา  ทั้งหมด 10 วัน ค่ะ  ฉันจะแยก
เขียนเล่าเรื่องเป็นเมือง ๆ ไปนะคะ เพื่อไม่ให้อ่านยาวเกินไป จะพยายามใส่รูปสวย ๆ ให้ชม ค่ะ 

        ทริปนี้ เกด เชิญชวนตั้งแต่ตอน เลย์ ลาดัก แล้ว   ถ้าจะไปเที่ยวเมืองดังกล่าวข้างต้น 
ควรไปเดือน มิ.ย. เพราะเป็นช่วงัมเมอร์ของอินเดีย  อากาศดี
ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป  เป็นหน้าผลไม้ของเขา  มีแอปเปิล  เชอร์รี่  แอปปิคอร์ด ฯลฯ 
ทุกคนก็อยากไปสวนผลไม้เหล่านี้ จะไปกินให้ชุ่มใจไปเลย  เลยให้
เกด ทำโปรแกรมการเที่ยวครั้งนี้  พร้อมค่าใช่จ่าย  ซึ่งคำนวณออกมาแล้ว  มีดังนี้ ค่ะ 
เราไปทั้งหมด 7 คน  รวมเกดและเมล ลูกสาวของเกด 
เกด คิดพวกเราคนละ 34,000  บาท  ค่าทริป สำหรับคนขับรถ ค่ายกกระเป๋า
รวม 10 วัน อีก 7,000 รูปี คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 
3,500 บาท (ไม่ถึงดี ) ค่าเครื่องบินจองตั้งแต่เดือน ก.พ. ประมาณ หมื่นสองกว่า 
 แลกเงินรูปีไปอีก  หนึ่งหมื่บาท  รวมเบ็ดเสร็จ 
ก็ใกล้ ๆ  หกหมื่นบาท  ค่ะ 
         ทริปนี้  เราออกเดินทาง คืนวันที่ 18 มิ.ย. (ขึ้นเครื่องบินก็เป็นเวลา ของวันที่ 19 มิ.ย.) 
 วันเดินทาง  ใช้บริการรถของจอย  ช่วยกันให้ทริปคนละ 200 บาท
ให้น้องชายวรรณไปส่งสนามบิน  ครั้งนี้ทูนไม่ว่าง  เลยอดได้ค่าทริป  อิอิ เราไปถึงสนามบิน
ประมาณ 2 ทุ่มเศษ ๆ เกด  พาทุกคนไปเช็คอิน  เพื่อโหลดกระเป๋า
เข้าเครื่องและรับตั๋วเครื่องบิน  ยังเหลือเวลาอีกมากมาย  จอยยังไม่ได้กินข้าวอยู่คนเดียว 
จึงพาเขาไปกินในศูนย์อาหารของสนามบิน  พวกเราไม่ได้กิน
เพราะกินจากบ้านมาแล้ว มาครั้งนี้  เราต้องนั่งไฟฟ้าใต้กินไปเทอร์มินอล 3 เพื่อขึ้นเครื่องบิน 
เทอร์มินอล 3 เพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน  พวกเรา เห็นเทอร์มินอล 3 นี้
มีช้างด้วย  เลยถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย  




ากนั้น เกด พาฉันไปใช้สิทธิ์ บัตรเครดิต ของ ทีทีบี  ที่เลานจ์มิราเคิล  โชคดี ที่ เทอร์มินอล 3
ก็มีให้เราไปใช้สิทธิ์ได้  คราวนี้  เกดเอาบัตรไปให้ เมล
เลยไม่มีบัตรเข้าเป็นเพื่อนฉันเหมือนคราวที่แล้ว  ฉันเลยต้องเข้าไปใช้สิทธิ์คนเดียว
  นั่งกินคนเดียวไม่สนุกเลย  มีเวลาให้เรากินได้แค่ชั่วโมงเดียว
  ฉันก็ตักอาหาร อย่างละนิดอย่างละหน่อย
มีซาละเปา  ครัวซอง ก็เอามาอย่างละสอง  เอามาเผื่อเพื่อนด้วย  เอาน้ำเปล่า
น้ำอัดลมกระป๋อง อย่างละ 2 ฉันมีเป้ด้วย  เลยใส่เป้
มาฝากเพื่อน ๆ ได้(เขาบอกว่า เอาออกมาได้ตามสิทธิ์ เราก็ไม่ได้เอาเยอะนะ
นิดหน่อย อยากงกกับลูกค้าบัตรเครดิต วีไอพี นี่นา 
ปรกติ เคยให้ลูกค้าเอาเพื่อนเข้าไปได้ 1 คน  เดี๋ยวนี้ตัดสิทธิ์หมด ลูกค้าวีไอพี อย่างเรา
เลยต้องเอาของมาให้เพื่อนเล็กน้อย เพราะฉันกินคนเดียว
กินได้นิดเดียว  ห้าห้า  (คนในแบงค์สอนไว้  ห้าห้า ) 
       
เมื่อถึงเวลา 22.35 น. เขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว  เครื่องจะออกจริง ๆ คือ 23.15 น. กว่าจะอุ่นเครื่อง
และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ 23.30 น. นั่นแหละ ใช้เวลาบิน
3.5 ชั่วโมง  เวลาของอินเดียช้ากว่าไทย 1.30 ชั่วโมง  เครื่องลงที่ เดลลี ตีสองกว่าของเวลาอินเดีย
  กว่าจะรอรับกระเป๋าและไปขึ้นรถตู้ที่มารอรับ ก็น่าจะตีสามของอินเดียได้
คนรถมารอรับพวกเรา  เราต้องลากกระเป๋าไป เพราะเขาไม่ให้รถเข้ามา แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนัก 
เมล มารอเราอยู่ที่เดลลี เดินทางยาวนานมาก ประมาณ 9 ชั่วโมง กว่า
  มื้อเช้า  กินระหว่างทาง เป็นร้านอาหารและน่าจะเป็นโรงแรมด้วย   เกดและเมลดูรายการอาหาร
แล้วสั่งให้  กินเป็นอาหารเช้าของวันนี้  คือ วันที่ 19 มิ.ย
. อาหารโรตี มื้อแรกเลย  มีแขกอินเดียมั้ง นั่งกินอยู่แล้ว  พวกเรารออาหารที่สั่ง  ฉันไปเข้าห้องน้ำ
  ห้องน้ำที่นี่สะอาดดี  รีบปลดทุกข์ตามเวลาที่จะต้องปลดแล้ว
  ทำให้หายปวดท้องไปได้  อาหารก็พอกินได้ คือ โรตี นั่นแหละ  พวกเราก็ถ่ายรูปเอาไว้ด้วย ค่ะ 

 












        
  กินเสร็จก็เดินทางต่อไป  มื้อกลางวันไม่ได้กินแล้ว  เดินทางเข้าที่พักที่ ซิมลา เลย
   มารู้จักเมืองซิมลาสักเล็กน้อย ค่ะ 

ชิมลา เป็นเมืองหลวงของรัฐหิมาจัล ซึ่งอยู่ทางเหนือของอินเดีย   อากาศจะเย็นตลอดปี มีแค่เย็นสบาย กับหนาว
ช่วงหน้าร้อนก็ไม่ได้ร้อนเหมือนในแถบอื่น ๆ ของอินเดีย 
เมืองนี้เป็นเมืองที่มีหมู่บ้านตั้งอยู่บนหุบเขาทั่วทั้งเขา สวยมาก ชิมลาได้รับสมยานามนี้ ว่า "ราชินีแห่งขุนเขา"
ที่นี่ เราจะได้บรรยากาศเหมือนเที่ยวในแถบยุโรป
เพราะเมืองนี้รัฐบาลอังกฤษเป็นคนเข้าไปปรับปรุงเมือง ชิมลานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นเมืองหลวงฤดูร้อน
ของบริติชอินเดียในปี ค.ศ. 1864   เนื่องจากชาวอังกฤษผู้เดินทางมา
ปกครองอนุทวีปแห่งนี้  เพราะ ทนความร้อนของกรุงกัลกัตตาในช่วงฤดูร้อนไม่ไหว รัฐมนตรีทั้งหลาย
จึงอพยพทั้งรัฐบาลย้ายไปประจำการสร้างบ้านแปลงเมืองเสียใหม่หมดบนภูเขาสูง
แห่งรัฐหิมาจัลประเทศ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปีถึงขั้นมีหิมะโปรยปรายไม่ต่างอะไร
จากบรรยากาศในประเทศอังกฤษ  เพื่อทำมาเป็นที่ท่องเที่ยว
ให้ชาวตะวันตกมาเที่ยวตัวอาคาร บ้านเรือนของเขาก็ตั้งอยู่บนหุบเขา ท่ามกลางป่าสน เทือกเขา
มีความสวยและโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติ  รู้สึกสดชื่นมากได้รับการ
ขนานนามว่า "ราชินีแห่งขุนเขา"พอหมดฤดูร้อน  พวกข้าราชการอังกฤษ ก็ย้ายกลับไปว่าราชการที่
กรุงกัลกาตาเหมือนเดิมและหลังจากอินเดียได้รับเอกราชก็ไม่มีเมืองหลวง
ฤดูร้อนอีกต่อไปแต่ถึงกระนั้นก็ตาม ชิมลาก็ได้กลายเป็นเมืองตากอากาศแห่งสำคัญไปเสียแล้ว

           การเดินทางไปเที่ยวเมืองซิมลา  นอกจากรถตู้ที่พวกเราเช่าไปแล้ว  ชิมลายังมีเส้นทางรถไฟ
สายมรดกโลกด้วย เส้นทางรถไฟก็น่าอัศจรรย์  สมแล้วที่ได้รับมรดกโลก
 เส้นทางที่ตัดหุบเขา ลัดเลาะขึ้นเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ เส้นทางนี้เราจะต้องนั่งรถไฟทอยเทรนไป
ที่เรียกว่ารถไฟทอยเทรน ก็เพราะว่าเส้นทางขึ้นเขาทั้งชัน
ทั้งแคบ จึงต้องใช้รถไฟขนาดเล็ก เจ้ารถไฟนี่ก็เลยเหมือนรถไฟของเล่น เลยเรียกว่า ทอยเทรน Toy Train

          เมืองชิมลาเกิดจากการค่อยๆ สร้างเมืองขึ้นตามไหล่เขา ดังนั้นถนนแต่ละสายในเมืองจึงมี
ความต่างระดับกันถึงขึ้นที่ต้องใช้ลิฟต์โดยสารที่มีความสูงถึง 9 ชั้น
 เพื่อเดินทางจากถนนเส้นต่ำที่สุดไปยัง Mall Road หรืออีกชื่อคือ The Ridge ซึ่งเป็นถนนเส้นบนสุดของเมือง
แล้วค่อยเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยต่างๆ
 ลงไปยัง Lower Bazaar จะสะดวกกำลังขากว่าเดินขึ้นบันไดเป็นไหนๆ

       Mall Road มีร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านขายเสื้อผ้าต่างๆ เหนือ Mall Road ขึ้นไป
เป็นลานโล่งกว้างที่เรียกขานกันว่า The Ridge 
ศูนย์รวมความศิวิไลซ์ประจำเมืองชิมลา มีทั้ง Christchurch โบสถ์เก่าแก่ที่ถือเป็นแลนมาร์คกลางเมือง
มีห้องสมุด โรงหนัง และโรงละครที่มีโปรแกรม
น่าสนใจต่างๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนให้ชาวชิมลาได้แวะชม ความบันเทิงร่วมกันในแต่ละค่ำคืน ด้วยความที่
The Ridge เป็นลานโล่งกว้าง จึงเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่มองเห็นเทือกเขา
หิมาลัยได้ชัดถนัดตา เดินไปอีกนิดก็สามารถช้อปของฝากจำพวกงานคราฟต์ หรือของทำมือต่างๆ ได้ที่ 
Lakkar Bazaar ที่อยู่ติดกัน  (ที่นี่  เกดพาพวกเราไปวันแรก  ขึ้นลีฟท์ จอยไม่ได้ไป
นอนที่โรงแรม)  ว่ากันว่าการได้เดินเล่นบน Mall Road  เส้นเดียว ก็เหมือนได้ไปเที่ยวกรุงลอนดอนไม่มีผิด

       นอกจากนี้ใครที่ชอบเดินตลาดพื้นบ้านแบบที่ได้ต่อราคาสนทนากับพ่อค้าแม่ขายด้วยตัวเอง
ให้มองหาบันไดในตรอกไหนก็ได้จาก Mall Road  เดินลงไปยัง
Lower Bazaar แค่นี้คุณจะได้พบกับอีกโลกที่แตกต่างจากความหรูหราบนถนนมอลล์อย่างสิ้นเชิง
ตลาดที่อยู่ต่ำกว่าแห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันของอินเดียแบบที่คุ้นเคย
ทั้งจำนวนผู้คนที่หนาตา ร้านค้าที่เบียดชิดติดกันทุกคูหา และมีข้าวของให้ช้อปครบทุกประเภท
รับรองว่าเดินสนุก เดินเพลินจริงๆ(ที่นี่  พวกเรามาบ่าย ๆ วันที่ 2
  เดินจนขาลาก  เพราะเดิน Mall Road  แล้ว ต้องลงไปเดิน  Lower Bazaar  มีบันไดลง เป็นชั้น ๆ
เหนื่อยมาก เดินได้หน่อยเดียว
ฉันกับจอยขึ้นมา หาที่นั่งรอ พวกขาแข็งแรงไปเดินเอง)
          
       สถานที่อีกแห่งของเมืองซิมลา คือ Viceregal Lodge อาคารโบราณหน้าตายุโรปจ๋าอายุเกินศตวรรษ
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองชิมลาไปแค่ 2 กิโลเมตร 
ในอดีตเคยเป็นที่พักอาศัยของผู้รั้งตำแหน่งอุปราชแห่งอังกฤษ  (ตึกที่เราไปวันที่ 2 ที่ยังไม่เปิด
ให้เข้าไปดู ถ่ายรูปภายในไม่ได้ )  สถานที่แห่งนี้ 
หลังจากอินเดียประกาศอิสรภาพจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ. 2490 ที่นี่ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นที่พักตากอากาศใน
ช่วงฤดูร้อนของประธานาธิบดีแห่งอินเดียอยู่พักใหญ่
 ต่อมาท่านประธานาธิบดีได้ยกไวซ์รีกัลลอดจ์ให้เป็นแหล่งศึกษาสำหรับค้นคว้าวิจัยของบรรดานักวิชาการ
หัวกะทิของประเทศ ปัจจุบันที่นี่จึงยังมีสถานะเป็นที่ทำงาน
ของนักวิชาการและนักวิจัยหลายสาขา และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้แค่บางห้องเท่านั้น
         ประวัติศาสตร์ที่เราสามารถเก็บตกได้จากไวซ์รีกัล ลอดจ์ หนีไม่พ้น
บรรยากาศขรึมขลังของห้องประชุมที่มหาตมะคานธีเคยใช้เป็นพื้นที่ในการถกเถียงเหตุบ้านการเมือง
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พื้นและเพดานไม้เก่าแก่
แชนเดอร์เลียร์สวยหรู และนาฬิกาแขวน เมด อิน อัมสเตอร์ดัม อายุเกือบ 200 ปี  ที่ยังคงเดิน
ส่งเสียงติ๊กต่อกบอกเวลาอย่างเที่ยงตรงในทุกยุคสมัย
น่าจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงเราเข้ากับเรื่องราวเก่าแก่ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้ได้ดีที่สุด

      เมืองซิมลา  ยังที่ยอดเขา Jakhoo ซึ่งเปรียบเหมือนภูเขาหลังบ้านของชิมลา ให้เดินขึ้นไปชม
มีสิ่งที่คล้ายคลึงกับประติมากรรมพระเยซูที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
กอร์โกวาดูของประเทศบราซิล ซึ่งสิ่งนี้  ก็คือ ประติมากรรม กริชตูเรเดงโตร์ บนยอดเขา Jakhoo
ถือเป็นแลนด์มาร์ค ของอินเดีย เหมือนประติมากรรมพระเยซู
ของประเทศ บราซิล เป็นแลนด์มาร์คของ ประเทศ บราซิล   กริชตูเรเดงโตร์ ของอินเดีย 
ก็คือ หนุมาน องค์สีชมพูรูปร่างกำยำองค์นี้ ก็มีความสูง
ที่ไม่น้อยหน้ากันเลย (รูปปั้นพระเยซูสูงราว 38 เมตร รูปปั้นหนุมานสูงราว 33 เมตร)    หนุมาน
ครองสถานะหนึ่งในเทพ  ที่ฮินดูชนให้ความเคารพมากที่สุดองค์หนึ่ง 
จึงมีผู้คนขึ้นไปสักการะองค์หนุมานในวัด Jakhoo ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันตลอดทั้งปี

สเหตุที่ต้องสร้างรูปปั้นหนุมานไว้ที่นี่  ตามตำนานบทหนึ่งในรามายณะ หรือรามเกียรติ์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี
ในตอนที่พระลักษม์ถูกหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ
หนุมานจึงต้องเหาะ ไปตามหาต้นสังกรณีตรีชวา เพื่อนำมาปรุงยารักษาพระลักษม์ และด้วยความที่เป็นพืชสมุนไพร
หายากหนทางก็ไกล หนุมานจึงแวะหยุดพักบนยอดเขา
Jakhoo แห่งนี้ เพื่อชะเง้อแลเล็งหาภูเขาลูกที่มีความน่าจะเป็นว่าจะมีสมุนไพรต้นนี้อยู่ ก่อนจะเหาะต่อไป
แล้วหอบภูเขาที่หมายตาเอาไว้ขึ้นมาทั้งลูกกลับไปรักษาพระลักษม์ 
จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของรูปปั้นหนุมานเหาะ โดยแบกภูเขา 1 ลูกไว้ในมือนั่นเอง  คนเมืองนี้นับถือหนุมาน
จึงพบเห็นเป็นเครื่องรางห้อยอยู่ตามหน้ารถอยู่เสมอ
สักการะหนุมาน เทพแห่งสรรพวิทยาเป็นที่เรียบร้อย

         อีกสถานที่อีกแห่งหนึ่งในเมืองซิมลา ซึ่งอยู่ถัดจากชิมลาไปแค่ 15 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ Kufri เมืองสันทนาการ
ยามเหมันตฤดูของชาวอินเดียเขานั่นเองเส้นทางจากชิมลา
ไปคูฟรีนั้นคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาและสวยงามด้วยทิวสนตัดกับท้องฟ้าสีคราม ยิ่งเมื่อเข้าเขตเมืองสกี
เราก็จะเริ่มเห็นหิมะปกคลุมตามข้างทางระหว่างนั่งรถชมวิวเพลินๆ
จนถึงลานสกี  ใครสนใจเล่น  ก็มีชุดเล่นสกีให้เช่า   (กลุ่มพวกเรา ไม่มีใครไปเล่น มีบางคนลงไปถ่ายรูป  ส่วนฉัน
นั่งอยู่บนรถ )   รวบรวมและเรียบเรียงจาก อินเทอร์เน็ต)

ฉันก็ได้ค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองซิมลา มาให้ทราบเล็กน้อย  สถานที่กล่าวถึงนั้น  เกดกำหนดไว้
ในโปรแกรมเที่ยวแล้ว  เป็นเวลา 2 วันที่อยู่ในเมืองซิมลา ค่ะ 
          ช่วงเย็นหลังจากที่เรามาถึงที่พักในซิมลา  น่าจะประมาณบ่ายสามกว่า พักผ่อนกันน่าจะถึงบ่ายสี่ 
ที่นี่ กินข้าวมื้อเย็นดึก ประมาณ 2-3 ทุ่ม  เกดเลยชวนไปเที่ยว
 Mall Road  ตลาดคนเดิน  โดยให้ประดีพ คนขับรถตู้ของเราไปส่งยังที่จะต้องขึ้นลีฟท์ ขึ้นไป 
เป็นลีฟท์ขึ้นสองต่อ  คนต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วขึ้นลีฟท์ยาวมาก  เก็บค่าลีฟท์
จากพวกเรา คนละ 50 รูปี   คนขึ้นลีฟท์ ต่อแถวยาว  มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว  ของเรา เมลเป็นคนไปเข้าแถว
ซื้อตั๋วให้พวกเรา พวกเราได้ขึ้นไปพร้อมกันทั้งคณะ ยกเว้นจอย
ขอนอนพักที่โรงแรมไม่ได้ไปด้วย  ออกจากลีฟท์ตัวที่สอง  เดินไปทะลุ ถนนคนเดินเลย 
คนเริ่มมีมากแล้ว  เนื่องจาก เป็นเวลาเลิกงานแล้ว  
        เดินไปเจอร้านผลไม้แห้ง  น่าจะซื้อไปฝากเพื่อนบ้านและกินเองด้วย  ซื้อไปอย่างละครึ่งกิโล 
ซื้อไป 5 อย่าง  ฝากร้านเขาไว้ก่อน  ขากลับค่อยมารับของ  เกด พาขึ้นไป
ที่The Ridge  ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Mall Road  เป็นลานกว้าง เป็นที่เที่ยว ตามที่ได้กล่าวถึง
ข้างต้น มาชมรูปที่พวกเราถ่ายมาฝากให้ชม ค่ะ 

 

คนที่จะไปเดินที่ 
 Mall Road  ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่สูงสุด  ต้องเข้าแถวซื้อตั๋วขึ้นลิฟท์
2 ต่อ จึงจะถึง ชั้นสูงสุด  (มี 9 ชั้น) 




เข้าแถวเข้าลิฟท์ ทั้งมีคนออกและคนเข้าไปแทน ตามจำนวนคนที่เจ้าหน้าที่อนุญาต



รอเข้าลิฟท์  ค่ะ 




ตลาดคนเดิน  ร้านค้ามากมาย  ส่วนใหญ่จะสไตล์สากล ค่ะ 



มีชาวอินเดียมาจับจ่ายซื้อของไม่น้อย  ค่ะ 
ด้านบนของถนนคนเดิน  มีบันไดให้ขึ้นไปชมข้างบนด้วย ค่ะ 





ที่นี่  เป็นบันไดที่จะขึ้นไปชั้นบนได้  ค่ะ 




ร้านขายของแช่อิ่ม หลาย ๆ อย่าง  ขายโลละ 400 รูปี  ฉันซื้อหลายอย่าง อย่างละครึ่งกิโล
มาฝากเพื่อนบ้านอย่างละนิดละหน่อย  ค่ะ 



ถนน  Mall Road  ยาวมาก  มีทั้งซ้ายและขวา  เดินหลายชั่วโมงก็ไม่หมด มั้ง





ทางที่เดินใน  Mall Road  จะมีทางแยกลงไปในชั้นล่างมีหลายชั้น  ซึ่งจะไปเดินในวันพรุ่งนี้ 




เราขึ้นมาถึงส่วนบนสุดของ  Mall Road  ที่เรียกว่า  The Ridge ที่ได้อธิบายไว้ในประวัติซิมลา ค่ะ 
ถนนกว้าง สะอาด เอมอรขอให้ช่วยถ่ายถนนเลย 





ฉันก็ถ่ายกับตึกสวยงามตึกนี้  มันแปลกและสวยดี





น้องเห็นรถอินเดียคันนี้สวยงาม แปลกตาดี  เลยให้ถ่ายไว้เป็นที่ระลึก ค่ะ 



ด้านบน  สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของเมือง ซิมลาได้อย่างชัดเจน ค่ะ 





ด้านบนนี้  มีโบสถ์คริสต์ ตั้งตระหง่านสวย





รูปนี้  น้องซูมมา เห็นชัด พระองค์ใหญ่สีชมพู  แต่เราไม่ได้ไป  คงไม่มีเวลา 



รูปปั้นของ  นางอินทิรา  คานที  ลูกสาวของท่านมหาตมะ คานที





นางแบบ ชลิดา มาเองจ้ะ  อิอิ 



คู่นี้  เขามาเอง นะคะ เลยได้ถ่ายกับฉันด้วย  ห้าห้าห้า



        พวกเราสนุกสนุกสนานอยู่ที่นี่ น่าจะเป็นชั่วโมง  ฟ้าเริ่มมืดแล้ว  พวกเราลงจากที่นี่  เดินทางกลับ  ระหว่างทาง
  ฝนเริ่มโปรยลงมา   เมล เดินไปเอาผลไม้อบแห้งที่ซื้อแล้ว
ฝากร้านเขาไว้   เกด จูงฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง   เพราะฝนเริ่มลงเม็ดใหญ่แล้ว  โชคดี  เรามาถึงตรงขึ้นลิฟท์
มีที่หลบฝนได้   เราเข้าแถวเตรียมขึ้นลิฟท์ช่วงที่ 1 พอไปถึงลิฟท์
ช่วงที่ 2 ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วเลย  พร้อมทั้งเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง ๆ  ลมก็แรงมาก ๆ พวกเราติดฝนอยู่บริเวณ
นั้น ถึงลงลีฟท์ไปช้างล่าง ก็ไปไหนไม่ได้ เพราะฝนตกหนักมาก
เรารออยู่ที่บริเวณนั้น  ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง  เสี่ยงดวงลงลิฟท์ช่วงที่ 2 ลงไปชั้นล่างแล้ว  เมลโทรหา
คนขับรถให้มารับแถวหน้าถนน  รถติดมาก  น่าจะประมาณ 15 นาที
เราก็เห็นรถตู้เรามาถึง  พวกเรารีบฝ่าฝนออกไปขึ้นรถ  คืนนี้ต้องหาพารากินกันไว้  1 เม็ดกลัวเป็นหวัด ค่ะ 
       
20  มิ.ย.   วันนี้ ตกลงเวลาเป็น  7:8:9  แต่ฉันตื่นก่อนประมาณ ครึ่งชั่วโมง  เพราะฉันต้องเข้าห้องน้ำ
นานกว่าเพื่อนร่วมห้อง ไม่อยากเอาเปรียบเวลาของเพื่อน ค่ะ 
ทำธุระเสร็จ อาบน้ำเรียบร้อย ก็พอดี 7 โมง เศษ ๆ ให้เวลาเพื่อนร่วมห้องหมดเลย  ที่พักแห่งนี้
  เขาไม่มีห้องอาหารให้เรากินข้าวกัน  เขาจึงยกอาหารมา
ให้พวกเรามากินที่หน้าห้องพัก ซึ่งมีโต๊ะอาหาร  เก้าอี้พร้อม  ก็ดีเหมือนกัน  เราไม่ต้องปีนลงไปข้างล่างกิน 
ไม่มีลีฟท์ อยู่ถึงชั้น 3 หรือ 4 เหนื่อยตายเลย   อาหารก็เหมือน ๆ เดิม
โรตี แกงถั่ว  โชคดี ที่เกดมีหมูกรอบมา  ส่วนจอยนำปลาสลิดทอด  หมูหวาน หมูหยองส่วนน้อง
เอาน้ำพริกกุ้งมา  พอช่วยให้พวกเรากินข้าวได้ดีไปหลายมื้อ ค่ะ



อาหารมื้อเช้าหน้าห้องพักของเรา ค่ะ เขาทอดไข่ดาวมาให้เรา ค่ะ  จานกินข้าวของเขาใหญ่มาก
กับข้าวจะเห็นว่า  ส่วนใหญ่เป็นอาหารที่จอยเอามา ค่ะ 



      เวลา 9.00 น. รถมารับพวกเราตรงเวลา  แห่งแรกที่เราไปเที่ยวชมวันนี้  เดินทางไม่ไกล  ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
จากที่พัก ก็ถึงแล้ว  มีชื่อว่า ไวซ์รีกัลลอดจ์ ( VICEREGAL  LODGE) 
ที่แห่งนี้เป็นอาคารโบราณสไตล์ยุโรป  เพราะผู้สร้างคือ อังกฤษ  นั่นเอง  เรามาถึงที่นี่  เขายังไม่เปิดขายตั๋ว
และไม่ถึงเวลาที่เขาจะให้เข้าไปชม(ในตัวอาคารใหญ่  จะเปิด 10.30 น.)
  แต่บริเวณรอบ ๆ อาคารซึ่งมีต้นไม้ใหญ่น้อยมากมาย   เราเดินชมทิวทัศน์ และถ่ายรูปบริเวณรอบ ๆ ตึกนี้
น่าจะประมาณชั่วโมง จึงถึงเวลาเข้าชมในตัวตึก 
ซึ่งเขาจะไม่ให้ถ่ายรูปภายในตัวตึกที่เราเข้าไป ค่ะ   มาชมภาพสวย ๆ ที่เราถ่ายรอบ ๆ ตัวตึก ค่ะ 



แม่ลูก เกด และ เมล  ค่ะ 



ถ่ายกันให้เห็นตัวอาคารที่รอจะเข้าไปชมด้านใน ค่ะ 



มุมสวยมุมหนึ่งของอาคารนี้ ค่ะ 





ตัวตึกใหญ่โตมาก ค่ะ 



ทางเท้าที่ให้เดินชมรอบ ๆ ตัวตึก ค่ะ 





ที่เห็นเป็นประตูให้เข้าชมห้องต่าง ๆ  (ไม่ได้ให้ชมทุกห้อง) ในตึกนี้ ค่ะ 



มุมสวยให้แอคชั่นถ่ายรูปกัน ค่ะ 







กำแพงนอกตัวตึก  สวยงามดี ค่ะ 







ทางเดินนี้  เป็นถนนสายยาว มีต้นไม้มากมาย  ร่มเย็นสดชื่นมาก ค่ะ แต่เราไม่ได้เดินไป



เจอประตูห้องอะไรไม่รู้  เห็นมันโบราณดี  ถ่ายมาให้ชม ค่ะ 



ต้นไม้บริเวณที่ตั้งของสถานที่นี้  มีแต่ต้นไม้ใหญ่ ๆ จึงดูร่มรื่น ค่ะ 







รวมหมู่กัน ค่ะ 



เจ้าหน้าที่ตามดูนักท่องเที่ยวไม่ให้ล้ำเส้นเข้าไปในส่วนที่เขาไม่อนุญาตให้เข้า 



ภาพนี้ น้องถ่ายได้ดีมาก งามมาก มีผีเสื้อมาประดับให้งามยิ่งขึ้น 








บันไดที่เดินขึ้นไปยังตัวตึกที่ให้ไปชมเป็นห้อง ๆ แต่ไม่ให้ชมทุกห้อง ค่ะ 

เมื่อถึงเวลา  10.30 น. เขาก็เปิดให้ผู้มาเยือนเข้าไปชมในตัวตึก  ไม่ใช่มีแต่กลุ่มเรา  ยังมีนักท่องเที่ยว
ทั้งคนอินเดียและฝรั่ง กลุ่มเรา มี  7 คน  เจ้าหน้าที่อธิบายให้
กลุ่มใหญ่นั้นฟังจบ  แล้วปล่อยให้เดินชมภายในห้อง  (ซึ่งแต่ละห้อง มีแต่รูปถ่าย  เป็นการเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
ตามภาพและเป็นรูปบุคคลสำคัญ ต่าง ๆ  ตัวห้อง เป็นไม้สัก งดงาม
สะอาดสะอ้าน  เจ้าหน้าที่คนนี้ อธิบายให้ฟังเป็นห้อง ๆ ไป อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ  มีเมลเป็นคนแปล
เป็นภาษาไทย ค่ะ เขาไม่ได้เปิดให้ดูทุกห้อง  ที่นี่ ยังเป็นที่ศึกษาหาความรู้
วิจัย โดยรับนักศึกษาที่จบปริญญาโท   เราออกจากที่ตึกแล้ว  ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว
  ถึงเวลากินข้าวเที่ยง   พวกเราต้องขึ้นลีฟท์เหมือนเมื่อคืนนี้ 
หาร้านกินข้าวเที่ยงก่อน  แล้วจึงเดินขึ้นไปตามทาง ซึ่งไกลมาก
พอสมควร  ยังดีที่มีราวให้เกาะ  บางช่วงก็เป็นขั้น ๆ บางช่วงไม่มี  มีแต๋วคอยช่วยเหลือ ฉันก็ค่อย ๆ เดินไป
เหนื่อยมากก็พัก  เป็นช่วง ๆ ในที่สุดก็ถึงที่หมาย  ที่หมายในที่นี้ คือ 
ที่ที่เราจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปบนเขาสูง  กระเช้านั่งได้ 6 คน  ต้องเข้าคิวเพื่อขึ้นกระเช้าด้วย 
รอนานมากเหมือนกัน  เพื่อไปชมวัด Jakhoo  Temple ซึ่งเป็นวัดฮินดู 
มีหนุมาน องค์สีชมพู องค์ใหญ่มาก เรื่องราวเป็นอย่างไร ฉันได้เล่าไว้ข้างต้นแล้วค่ะ  ถ่ายรูปกันตามใจชอบ
  คนมาเที่ยวที่นี่มากมาย นะ มีของขาย  เป็นพวกของที่ระลึก
  ที่นี่  ฉันเข้าไปทำบุญ 100 บาท ให้ดาว ที่ฝากเงินมาทำบุญด้วย  มาชมภาพถ่าย ค่ะ 



ระหว่างทางเดิน  เหนื่อยมาก ก็นั่งพักกันสักครู่  ค่อยยังชั่ว ก็เดินต่อ ค่ะ 



สถานที่ที่รอขึ้นกระเช้า มีรูปปั้นสวย ๆ ให้ถ่ายรูปด้วย   ก็ต้องถ่ายซิคะ  อิอิ



ถ่ายกลุ่มบ้างค่ะ  อิอิ 



ขึ้นกระเช้าแล้ว  ค่ะ ที่จริงถ่ายหลายรูป แต่กล้องหาย ทิวทัศน์สวย ๆ เลยไม่มีให้เห็น ค่ะ 



ทุกคนถ่ายกับรูปหนุมานสีชมพู คนละรูป  คนมาถ่ายที่นี่มากมาย ค่ะ 















ขาลงจากเขาที่ตั้งรูปปั้นหนุมาน  ตรงที่จำหน่ายตั๋วขึ้นกระเช้า ก็มีรูปปั้นให้ถ่ายรูป ค่ะ 



ห้องนี้  เป็นห้องขายตั๋วเพื่อไปขึ้นกระเช้า ไปยังรูปปั้นหนุมาน ค่ะ 



สองรูปสุดท้ายนี้  เจ้าหน้าที่ผู้มีน้ำใจ  อาสาถ่ายให้พวกเรา ค่ะ 

กลับจากการชมวัดและหนุมานแล้ว  ก็ต้องมารอคิวขึ้นกระเช้าอีก แต่ขาลงคนไม่ค่อยมากนัก
  ลงจากกระเช้า   เดินมาที่ขายตั๋ว มีหุ่นตุ๊กตา  แต่งกายเหมือนชาวอินเดีย
ให้ถ่ายรูปด้วย  พวกเราก็ถ่ายรูปกัน  มีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วป้อมนั้น  อาสาถ่ายให้พวกเรา  เขามีน้ำใจดี ค่ะ
เราขอบใจเขา  แล้วเดินทางต่อไปยังทางเก่าที่เราขึ้นมา นั่นแหละ
ขาลงรู้สึกว่า   ไม่เหนื่อยเท่ากับขาขึ้น   ลงมาด้านล่าง  ก็คือถนนคนเดินที่เรามาเดินเมื่อวานตอนเย็นนั่นเอง 
 เดินดูของกันไป ฉันไม่คิดอยากได้อะไร  น้องซื้อชุดเหมือนส่าหลี
ของอินเดีย  มีกางเกงขายาว  เสื้อยาว  ที่เขาอยากได้  เดินไปอีกร้าน  กองขายตัวละ 200 รูปี 
 คนมุมซื้อกันมากมาย  น้อง แต๋ว เกด  เมล เลือกกันใหญ่  เกดบอกว่า  ซื้อไป
ใส่วันที่ไปเที่ยวทัชมาฮาล  ถ่ายรูปสวยนะ  แล้วเลือกให้ฉัน 1 ตัว  สีส้ม  เรียบ ๆ  ส่วนน้องเมลไปซื้ออีกร้าน
  ลายปักทั้งหน้าและหลัง  600 รูปี ปรากฎว่า  คับไปเลยให้เกดมาขาย
ให้ฉัน   ฉันเลยรับซื้อขึ้นมา  เยาว์น่าจะใส่ได้พอดี  และทางใต้ เวลาใส่ไปงานบุญ น่าจะสวยดี 
         ผ่านไปร้านรองเท้าบาจา  เห็นลดราคา ก็ซื้อกันอีก  มีเกด จอย ฉัน
  ซื้อเสร็จ ปรากฏว่า  กลับถึงโรงแรม  รองเท้าหาย  555 อดกันทุกคน  นอกจากถนนคนเดินนี้ที่เรียกว่า
Mall Road  แล้ว  ตามทางที่ผ่าน  หลาย ๆ ทาง  ยังมีทางลงไปยังชั้นใต้ดิน 
เดินลงบันไดไป  เรียกว่า  Lower Bazaar  ซึ่งมีหลาย ๆ ชั้น  มีร้านค้ามากมาย  เดินยาก คนเยอะ
เป็นสินค้าของชาวอินเดีย  ต่อรองกันได้ดี  ฉันกับจอย  เดินกันไม่ไหวแล้ว
  ขอขึ้นมายัง   Mall Road  หาที่นั่ง รอให้พวกนักช้อปทั้ง 5 คน  เพราะฉันกับจอยไม่ใช่นักช้อป  นั่งรอ
ได้ประมาณ น่าจะเกือบชั่วโมงมั้ง  นักช้อป ก็เดินมาถึงที่ฉันกับจอย นั่งอยู่ 
ต่างคนต่างมารับของที่ซื้อแล้วมาฝากให้เราสองคนเฝ้าให้  
          วันนี้เป็นวันวันที่เดินมาก  เดินจนเหนื่อยล้าไปหมด   ไปถึงโรงแรมที่พัก หมดเรี่ยวหมดแรงกันทุกคน เลยค่ะ 

ก่อนกลับโรงแรม  ผ่านร้านที่เกดบอกว่า  มีขนมที่อร่อยที่สุดในโลก มาอินเดีย  ต้องมากินร้านนี้ ค่ะ




ชามนี้ ที่เกดบอกว่า อร่อยที่สุดในโลก ชื่อว่า  ลาสมาลัย  ค่ะ หวานมาก แต่หอมดี 



ส่วนขนมอีกจาน  ชื่อว่า ซาโมซ่า  ค่ะ  ฉันไม่ได้ชิม ค่ะ 

คืนนี้เราต้องจัดกระเป๋า  เพราะจะต้องออกเดินทางเพื่อเดินทางไปยังเมืองมะนาลี  

           เที่ยวเมือง ซิมลา ประเทศอินเดีย  ตอนที่ 1 จบเพียงเท่านี้ ค่ะ  โปรดติดตามตอน 2 ต่อไปในโอกาสหน้า ค่ะ  สวัสดี  



 



Create Date : 25 กรกฎาคม 2567
Last Update : 26 กรกฎาคม 2567 21:53:00 น. 28 comments
Counter : 483 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณชีริว, คุณSweet_pills, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณดอยสะเก็ด, คุณkae+aoe, คุณร่มไม้เย็น, คุณmultiple, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณtoor36, คุณอุ้มสี, คุณหอมกร


 
ใช้เวลาบิน 3.5 ชั่วโมง กำลังดีเลยนะครับอาจารย์
ผมว่าไม่นานเกินไปครับ

เมืองซิมลา ถ้ามีโอกาสต้องไปเยือนสักครั้ง
ผมว่าน่าจะมีอะไรให้ถ่ายภาพมากมายเลยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:36:30 น.  

 
น่าสนุกนะคะ


โดย: Pui IP: 124.122.127.162 วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:8:08:54 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

รอบที่แล้วผมไปเดินทาง 14 ชั่วโมง
กินข้าวเย็น 4 ทุ่มครับ 555
จีนกับอินเดียคล้ายๆกันคือประเทศเค้ากว้างใหญ่ไพศาลมากๆ
เวลาเดินทางใช้เวลานานจริงๆครับ

ภาษาอังกฤษผมก็ไม่แข็งแรงครับ
อาศัย google เช่นกันครับ 5555



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:36:00 น.  

 
ผมเคยไปอินเดียหนเดียว ไปมุมไบ ออรังกาบัด
ทั้งแคชเมียร์ เลย์ ชิมลา ไม่เคยไปเลยครับ
10 วันสามหมื่นกว่าบาท ไปกันเองถูกกว่าทัวร์มากจริงๆ
ตอนไปจีนผมออกจากเทอร์มินัล 3 สุวรรณภูมิเหมือนกัน ต้องนั่งรถไฟฟ้ามาด้วย
ตึกสวย แต่ยังไม่ค่อยมีร้านมาลง สักพักเที่ยวบินเยอะขึ้นน่าจะคึกคักขึ้นนะครับ

เสียดายที่มือถือหาย แต่ยังดีที่ทริปนี้ยังมีรูปเหลืออยู่เยอะพอสมควรเลยนะครับ
ร้านขายถั่วเมืองแขกอลังการเสมอ ไม่เคยซื้อนะครับ แต่น่ากินหลายอย่างอยู่
Mall Road เส้นยาวๆ ถ้าอากาศดีๆ น่าจะเดินเพลินเลยครับ
เทวรูปสีชมพูองค์ใหญ่ ไม่รู้ฤาษีหรือลิงในรามายณะตัวไหนนะครับ
ฮินดูเทพเจ้ามีความหลากหลายตื่นตาตื่นใจดี
บุคคลสำคัญอย่างท่านอินทิราก็มีชื่อเสียงระดับโลกเลย
แคว้นนี้เข้าหน้าฝนไวเหมือนกัน ตอนผมไปจีนหน้าร้อนเปรี้ยงๆ เลย เดือนนี้ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก

ไปอินเดียส่วนใหญ่กรุ๊ปคนไทยจะเอาอาหารติดตัวไปด้วยเผื่อกินไม่ได้ 555
ผมชอบอาหารอินเดีย แต่ถ้ามีแต่แกงถั่วก็เบื่อเหมือนกันครับ
ยุคอาณานิคมอังกฤษมาส้รางอะไรไว้เยอะเหมือนกัน
และกลายเป็นแหลงท่องเที่ยวสำคัญไปเลยนะครับ สวยและเก่าแก่เกินร้อยปีแล้ว
เสียดายในตึกไม่ให้ถ่ายรูป
ที่ไหนที่ห้ามถ่ายรูปจะไม่ค่อยมีความทรงจำเหลือไว้ เหมือนกับไม่ได้ไปเลยครับ

รูปปั้นลิงตัวนี้สีชมพูแต่เป็นหนุมานใช่ไหมครับ
ขนมอินเดียหวานทุกอย่างเลยครับ แต่หอมนมดี ชอบลาสมาลัยเหมือนกัน


โดย: ชีริว วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:13:29:01 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์

ต๋าไม่เคยไปอินเดีย ขอตามอาจารย์มาเที่ยวเมืองชิมลา "ราชินีแห่งขุนเขา" ก่อนนะคะ
หากเดินทางเข้าเมืองนี้ด้วย Toy Train คงได้ไต่ระดับอีกบรรยากาศ
แต่คณะอาจารย์เดินทางโดยรถตู้ก็สะดวกและเป็นส่วนตัวดีมากๆค่ะ

การที่บ้านเรือนหรืออาคารสร้างลดหลั่นตามไหล่เขามีเอกลักษณ์มากค่ะ
Viceregal Lodge ใหญ่และสวยมาก
โบสถ์ก็สวย ต้นไม้ร่มรื่นด้วยค่ะอาจารย์
จะไปเดินถนน Mall Road ต้องขึ้นลิฟท์ก่อน
แต่คุ้มค่านะคะ ตรงลานกว้างบรรยากาศดีมาก ได้ชมวิวสวยๆกว้างไกล
จาก Mall Road เดินลงไปที่ Lower Bazaar ก็ได้ด้วย
เป็นการเดินเล่น การชม การช็อป และยังได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย ดีจังค่ะ

การได้ชมหนุมานสีชมพูและเที่ยวในเมืองนี้
คงคล้ายได้เที่ยวอังกฤษและบราซิลสองประเทศในที่เดียวนะคะอาจารย์
ขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่พาเที่ยว
ต๋าจะติดตามอ่านตอนต่อไปค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:50:24 น.  

 
สวัสดีครับอาจารย์

เช้านี้ไม่สามารถอัพบล็อกได้
เพิ่งใช้งานได้ช่วงสายนี้เองครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กรกฎาคม 2567 เวลา:10:02:04 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

บล็อกเกอร์จริงๆ น่าจะเหลือไม่ถึง 30 คนครับ
แต่ที่ผมคิดว่าบล็อกแก๊งยังต้องปรับปรุงระบบ
เพราะมีคนเข้ามาใช้งานเยอะในแต่ละวัน
แต่อาจเป็นลักษณะลงข้อมูล เพื่อลิ้งค์ไปยังเว็บครับ
หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่นๆ
ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวกับการเขียนบล็อกแบบไดอารี่ครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:39:12 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์

อาหารบางอย่างส่วนประกอบเยอะ
ซื้อวัตถุดิบมาทำทานคนเดียวก็จะเหลือนะคะ
หากมีเจ้าอร่อยถูกใจ การซื้อก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ

บ๊ะจ่างต๋าชอบมากแต่ยังไม่เคยทำเองก็อาศัยซื้อเหมือนกันค่ะ
ขอบคุณอาจารย์สำหรับกำลังใจนะคะ

ช่วงนี้ฝนตกอยู่บ้าง อากาศเปลี่ยน ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรง
ต๋าจะเที่ยวตอนที่ 2 กับอาจารย์ต่อค่ะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 28 กรกฎาคม 2567 เวลา:23:38:58 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:49:17 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ในการปฏิบัติธรรม
จริงๆจเป็นขั้นตอน
แต่บางคนอาจลัดตรงเข้าสู่ความแจ่มแจ้งได้ในพริบตาเดียว
เพียงแต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น
ก็คงต้องฝึกฝนตนมาเรื่อยๆเช่นกันครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:19:47 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 กรกฎาคม 2567 เวลา:9:01:29 น.  

 
สวัสดียามบ่ายค่ะ อาจารย์สุวิมล

อ่านเพลินมากเลยค่ะ ได้ความรู้ด้วย
อากาศดีน่าเดินเที่ยวเลยค่ะ
ตัวตึกออกแนวยุโรปเพราะเป้นเมืองขึ้นอังกฤษ
เข้ากับอากาศเย็นๆสบายๆ ประหนึ่งว่าอยู่ยุโรปจริงๆค่ะ
หนุมานเค้า คล้ายๆเห้งเจียมากกว่าหนุมานไทยเรานะคะ

พกน้ำพริกหมูหยองไปช่วยเรื่องกินได้เยอะจริงๆค่ะ
เวลาจันทร์ไปขนาดประเทศใกล้ๆ ถ้าไปหลายวัน
ยังพก น้ำพริก น้ำจิ้มซีฟู้ด ผงลาบ ไปเลยค่ะ 55555

สนุกมากค่ะอาจารย์ จันทร์รออ่านตอนต่อไปนะคะ


โดย: โฮมสเตย์ริมน้ำ วันที่: 30 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:53:09 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ผมตื่นตี 5 มาอัพบล็อก
แต่เข้าใช้งานไม่ได้
เลยไปส่งหมิงที่ รร. ก่อน
แล้วค่อยมาอัพบล็อกที่ร้านครับ
ข้อมูลในบล็อกแก๊งน่าจะเยอะ
ต้องใช้เวลาทำหลายวันกว่าจะเสร็จครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 30 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:06:09 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจรย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:18:44 น.  

 
ทริปนี้ อาจารย์เต๊ะว่า รวมค่าเสียหาย จากมือถือหาย น่าจะเกิน สามหมื่นกว่าบาทแน่นอนครับ แฮร่
แต่ไม่เป็นไรตังในแอปของอาจารย์ 20ล้านกว่า ยังอยู่ครบ นึกว่าฟาดเคราะห์ไปนะครับ อิอิ

อาจารย์สุบอก เออ สมพรปากเอ็ง ถ้าข้ามีขนาดนั้น ข้าจะไปเที่ยวทุกวัน ประเทศละวันเลยเชียว เย้ย 555

ส่วนเรื่องบัตรเครดิตนี่ อาจารย์เต๊ะ ไม่มีซักกะใบ
เป็นคนโบราณใช้แต่เงินสดตลอดเลยครับ
แถมสมัยก่อน เป็นสถาปนิกอยู่สนามบิน ไม่เคยได้เข้าเล้าซ์กะเค้าเลย นั่งกินข้าวราดแกงตลาด ฝั่งตรงข้ามตลอดเลยคร้าบ 555

เดี๋ยว อาจารย์เต๊ะมาใหม่นะครับ วันนี้มาเสนอหน้าเอาไว้ก่อนคร้าบ
แฮร่ 555





โดย: multiple วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:7:44:28 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

จริงๆผมก็ศึกษาจากผู้รู้และครูบาอาจารย์ต่างๆที่ท่านมอบคำสอนไว้ให้เช่นกันครับ
แต่ในบริบทนี้ผมเน้นไปที่การลงมือทำ
ธรรมะในความรู้สึกของผม
ถึงครูบาอาจารย์สอนไว้มกามายแค่ไหน
ถ้าเราไม่ทำ
ก็ไม่เกิดประโยน์อันใดจริงๆครับ
เพราะมันแก้ทุกข์ในใจเราไม่ได้



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 31 กรกฎาคม 2567 เวลา:21:01:10 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:5:07:52 น.  

 
อาจารย์เต๊ะ มาอ่านประวัติเมืองนี้แล้ว
หูย อากาสดีเหมือน สวิส เลย
แต่ติดตรงเรื่อง ความสูง ขนาด เก้า ชั้นนี่
เดินอาจทำลาย ข้อเข่าไม่น้อย ต้องขึ้นลิฟท์เอานะครับ
แอบเห็น อาจารย์สุใส่ support หลังด้วย
อาจารย์เต๊ะ คนปวดหลังประจำ ถ้าไปไม่น่ารอดแหงๆเลยนะครับ แฮ่ร 555

ตลาดเค้าแบ่งชัดเจนดีนะครับ มีตลาดหรู กับตลาดชาวบ้าน
พวกผลไม้แช่อิ่มนี่น่ากินมาก
แต่กินปุ๊บ น้ำตาลพุ่งกระฉูดแน่นอนเลยนะครับนี่

เที่ยวแบบนี้แล้วมีรถตู้ส่วนตัวนี่ สุดยอดมาก
เรียกมารับเมื่อไหร่ก็ได้

อาหาร แขกนี่ เค้าคงชอบให้กินมือ ขยำๆเอาเลยใส่ถาดมาให้
ดีที่อาจารย์ติด เสบียงทีเด็ดไปจากเมืองไทย
ไม่งั้นเบื่อแย่เลยนะครับ

เดี๋ยวอาจารย์เต๊ะมาใหม่นะครับ
เม้นท์ยาวๆแล้วมันชอบหาย ต้องรีบส่งไว้ก่อนนะครับ 555



โดย: multiple วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:8:58:50 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

เห็นด้วยกับอาจารย์เลยครับ
ว่าเราควรทำจิตใจให้ผ่องใสจริงๆครับ
คนที่ไม่เครียด มักจะมีความสุขง่ายๆ จากสิ่งรอบๆตัว
รวมทั้งเป็นที่รักของคนรอบตัวด้วยนะครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:10:35:10 น.  

 
สวัสดีค่ะอาจารย์

หนูขอตามไปเที่ยวกับอาจารย์ล่ะกันนะคะ
อินเดีย เพื่อนชวนไปเหมือนกันค่ะ
แต่ก็ปฏิเสธเพื่อนไปค่ะ นี่เพื่อนก็บอกว่าอยากไปอีก
สงสัยจะติดใจนะคะ ....

อาจารย์ได้ไปเที่ยว น่าสนุกค่ะ ถ่ายรูปสวยๆมาเยอะเลยนะคะ
อาจารย์เก่งนะคะไปเที่ยวที่ต่างๆได้ตลอดเลย นับถือค่ะ สุขภาพแข็งแรงดี
ถ้าหนูก็แบบสลบเหมือดค่ะอาจารย์ เลยไม่ค่อยได้ไปไหนค่ะ

ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลยนะคะ อาจารย์รักษาสุขภาพด้วยนะคะ




โดย: tanjira วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:12:14:56 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะครู


โดย: อุ้มสี วันที่: 1 สิงหาคม 2567 เวลา:14:28:16 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:5:23:26 น.  

 
อาจารย์แข่งแรงมากค่ะ



โดย: หอมกร วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:7:16:16 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

ตรงตามที่อาจารย์เขียนไว้ในเม้นท์
จิตสำคัญจริงๆครับ




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:21:12:40 น.  

 
ผมไม่เคยไปอินเดียครับ ไม่กล้าด้วย แถมข่าวไม่ค่อยดีเยอะ

ภาพดูดีกว่าที่คิดหรือเห็นจากหลายๆ ที่เลยครับ อินเดียผมว่าไปทัวร์ดูจะปลอดภัยกว่าไปเอง มีโบสถ์คริสต์คริสต์ด้วย ดูแปลกตาดี ผิดกับภาพในใจเลย

บ้านเมืองหลายๆ ที่ก็ดูสวยงามทันสมัยนะครับ ไม่ได้ดูยากจนเท่าไหร่ บางส่วนดูไม่ออกเลยว่าเป็นที่อินเดีย (ถ้าไม่บอก)

เวลาแบบ 7:8:9 สบายสุดแล้วครับ ส่วนมากเจอ 6:7:8 เหนื่อยแต่ก็มีเวลาเยอะขึ้นก็เรียกได้ว่าได้อย่างเสียอย่างครับ



โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 2 สิงหาคม 2567 เวลา:22:00:53 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 สิงหาคม 2567 เวลา:6:23:14 น.  

 
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับอาจารย์

กรรมคือความเคยชิน
แต่เรามักคิดว่าแก้กรรมได้ด้วยวิธีการอื่น
พึงพระ พึ่งน้ำมนต์ พึ่งการไหว้วอนร้องขอ
จริงๆแล้ว
ถ้าเราเปลี่ยนความคิดได้
ชีวิตเราก็เปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองจริงๆครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 สิงหาคม 2567 เวลา:12:51:58 น.  

 
อรุณสวัสดิ์ครับอาจารย์



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 สิงหาคม 2567 เวลา:6:53:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
space

อาจารย์สุวิมล
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]




เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ

http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif
space
space
space
space
[Add อาจารย์สุวิมล's blog to your web]
space
space
space
space
space