จึงประกาศคว่ำบาตร Passerino Bonacolsi โทษฐานกบฏต่อศาสนจักร
แล้วขอให้ใครก็ได้อุทิศตนเป็นนักรบศาสนา Crusader
ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับคนที่เป็นอันตรายต่อพระองค์หรือทรัพย์สินของพระองค์
ในช่วงหลายเดือนก่อนสงครามถังไม้โอ๊กตักน้ำ จะเกิดขึ้น
มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพรมแดน
ในเดือนกรกฎาคม
กองทัพ Bologna ได้บุกเข้าเขตแดน Modena
และทำลายทุ่งนาที่มีคลองกั้นด้วยไฟและดาบ
ในเดือนสิงหาคม
กองทัพ Bologna ได้ปลุกระดมมวลชน
บุกเข้าทำลายทรัพย์สินและดินแดนต่าง ๆ ของ Modena
โดยทำการเลวร้ายนานถึง 2 สัปดาห์
ในตอนปลายเดือนกันยายน
Passerino Bonacolsi ผู้นำทัพ Modena จึงเริ่มตีโต้กลับ
ที่ป้อมปราการ Monteveglio ของ Bologna
คนเฝ้าประตูป้อมทรยศรับสินบนจากทหาร Modena
ด้วยการแอบเปิดประตูให้ทหาร Modena 2 คนเข้าเมืองได้
ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียด/สถานะการณ์สู้รบ
และความเป็นปรปักษ์ระหว่างกันที่ยาวนาน
ทหาร Modena ที่ลอบเข้าไปในใจกลางเมือง Bologna
จึงขโมยถังไม้โอ๊กที่ตักน้ำบ่อใจกลางเมืองออกมา 1 ใบ
เรื่องนี้สร้างความอับอายให้กับชาว Bologna
เพราะถือว่าเสียเหลี่ยม/ถูกหยามน้ำหน้า
จึงเรียกร้องให้ Modena ส่งถังไม้โอ๊กคืน
แต่เมื่อถูกปฏิเสธจึงประกาศสงครามกับ Modena ทันที
ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของ Bolagna
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
คือ ความบาดหมางที่ยืดเยื้อยาวนานแบบไม่เผาผีกัน
ระหว่างฝ่าย Guelphs กับ Ghibellines
และบางทีความขัดแย้งระหว่าง Guelphs กับ Ghibellines
ได้กลายเป็นบทละครอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ
ความบาดหมางระหว่างสองตระกูล
Montague และ Capulet ใน Romeo and Juliet ของ Shakespeare
ภาพวาดสีน้ำมันในปี 1870 โดย Ford Madox Brownหลังจากสงครามถังไม้โอ๊ก
ฝ่าย Ghibellines ที่เมือง Modena เป็นแกนนำ
ก็ผงาดมีอำนาจเหนือฝ่าย Guelphs
ที่มีเมือง Bologna เป็นแกนนำ
ในปี 1447 ฝ่าย Ghibellines กลับแพ้ภัยตนเอง
เพราะจัดตั้งสาธารณรัฐ Ambrosian Republic
แต่สงครามระหว่างฝ่าย Ghibellines กับ Guelphs ก็ยังรบกันต่อเนื่อง
ในปี 1529 Charles I จาก Spain
ได้ทำสงคราม Italian Wars
ซึ่งเป็นสงครามแย่งชิงดินแดนในอิตาลีหลายครั้ง
จากกองทัพของหลายชนชาติที่ต้องการยึดนครรัฐ Italy เป็นเมืองขึ้น
ฝ่าย Ghibellines กับ Guelphs ต่างมีศัตรูร่วมกัน
เพราะราชันย์ผู้รุกรานเป็นชนต่างด้าวคนต่างแดน
ทั้งสองฝ่ายจึงเจรจาสงบศึกและร่วมกันรบกับศัตรูร่วมกัน
เรียบเรียง/ที่มา
https://bit.ly/2QpXjr6
https://bit.ly/2NALwaJ
เรื่องเล่าไร้สาระ
ในอดีตนครรัฐในอิตาลีต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
ต่างมีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน
และต่างไม่ชอบขี้หน้าพลเมืองต่างนครรัฐ
มีดีอยู่อย่างคือ การยอมรับผลงานด้านศิลป์กับวิชาการ
ทำให้ศิลปิน/นักวิชาการ(สอนเป็นภาษาละติน)ต่างออกเดินสาย
หารายได้และรับจ้างเจ้านครรัฐต่าง ๆ
ก่อนหน้านั้นมีหลายรายมาก ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
เช่น มิเชลลานเจโล่ กับ ลีโอ นาโด ดาวินซี่
ลูก้า พาซิโอลี่ ผู้คิดค้นหลักการบัญชี สินทรัพย์ = หนี้สิน+ทุน
ท่านยังเป็นเพื่อนซี้กับดาวินซี ทั้งคู่ชอบเดินทางร่วมกัน
ไปรับจ้างเจ้านครรัฐต่าง ๆ ร่วมกันในวัยฉกรรจ์
Pope มักอ้างว่าพระเจ้าให้ศาสนจักรเหนือราชอาณาจักร
Rome คือ สัญลักษณ์จักรวรรดิ์/ราชอาณาจักร
Pope จึงสร้างพระราชวัง Vatican ราชอาณาจักรมุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ใน Rome
ความพยายามที่ให้ศาสนจักรอยู่เหนือราชอาณาจักร
ทำให้มีปัญหากระทบกระทั่งกับหลายชาติ เช่น อังกฤษ เยอรมัน
รวมทั้งหลายนครรัฐในคาบสมุทรอิตาลี
ต่างเกลียดชังคนในตระกูล
MediciMedici คือ ตระกูลเจ้าพ่อมาเฟีย
ผูกขาดอำนาจครอบงำในการแต่งตั้ง Pope หลายพระองค์
จากพ่อสู่ลูกสู่หลาน คนในครอบครัว Medici
มีบทเรียนความเจ้าเล่ห์/เหี้ยมโหดของตระกูล Medici
คือ Cesare Borgia (14751507) ลูกชาย Pope Alexander VI
ซึ่งในยุคนั้นบาทหลวงยังไม่ต้องถือเพศพรหมจรรย์
ที่ราชาต้องทำตนเป็นทั้งหมาจิ้งจอกกับราชสีห์
ในหนังสือ เจ้าผู้ปกครอง โดย นิคโคโล มาเคียเวลลี
อนึ่งก่อนหน้านั้น โยฮันน์ กูเทนแบร์ก (1398-1468)
ได้ผลิตเครื่องพิมพ์ทำให้มีการพิมพ์หนังสือแพร่หลาย
และในยุคนั้นไม่มีเรื่องลิขสิทธิ์สิทธิบัตร
จึงมีการ
C&D Copy and Development
จากเดิมที่พิมพ์แต่หนังสือภาษาละติน
ก็กลายเป็นพิมพ์หนังสือภาษาชาวบ้านของแต่ละชาติ
เพราะซื้อง่ายขายคล่องอ่านเข้าใจง่ายกว่า
ภาษาท้องถิ่นเลยทำให้เกิดชาตินิยม
และความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจึงมีมากขึ้น
พอ ๆ กับเอกสารใต้ดินที่ผลิตขึ้นมา
ได้บ่อนทำลายความเชื่อ/ความมั่นคงเดิม
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตามมา
ในที่สุดอำนาจตระกูล Medici ก็สิ้นสุดลง
การแต่งตั้ง Pope จึงเริ่มเปลี่ยนแปลง
เป็นการเลือกตั้งในแบบปัจจุบัน
และบาทหลวงห้ามมีลูกเมียอีก
เบนิโต มุสโสลินี คือ ผู้มีบทบาทมากที่สุด
ในการหลอมรวมชาติอิตาลี
เป็นผู้นำที่มีคนรักคนชังมากที่สุด
เพราะทำให้อิตาลีมีชัยกับแพ้สงคราม
พอ ๆ กับทีมชาติอิตาลีในศึกฟุตบอลโลก