มีเพื่อนในบล็อคสอบถามเรื่องโรค tinnitus (คุณ Karz) ขอนำเรื่องโรคนี้มาบอกไว้ตรงนี้นะคะ ขอโทษที่ตอบช้า
เสียงดังในหู เป็นความผิดปกติทางหูที่ทำให้รู้สึกรำคาญและทำให้นอนหลับยาก เสียงดังในหูนั้นคล้ายเสียงจักจั่น หรือจิ้งหรีดร้องอยู่ภายใน อาจเป็นเสียงหึ่งๆ วิ้งๆ ซ่าๆ ไม่เฉพาะข้างใดข้างหนึ่งแต่เกิดทั้ง2ข้างได้ มักได้ยินชัดขึ้นในเวลากลางคืน ในที่เงียบๆ อาจมีเสียงดังในหูอย่างเดียวหรือมีอาการอื่นร่วมด้วยๆ เช่น หูอื้อ ปวดหู เวียนศีรษะ บ้านหมุน เสียงดังในหู แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.เสียงดังในหูชนิดที่ได้ยินเฉพาะตัวผู้ป่วย หรือเสียงที่มีการรับรู้ผิดปกติ โดยที่ไม่มีเสียงเกิดขึ้นจริง (subjective tinnitus)เป็นเสียงดังในหูประเภทที่พบบ่อยที่สุด สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของ - หูชั้นนอก เช่น ขี้หูอุดตัน, เยื่อแก้วหูทะลุ,หูชั้นนอกอักเสบ, เนื้องอกของหูชั้นนอก - หูชั้นกลาง เช่น หูชั้นกลางอักเสบ, น้ำขังอยู่ในหูชั้นกลาง เนื่องจากท่อยูสเตเชี่ยน ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างหูชั้นกลางและโพรงหลังจมูก)ทำงานผิดปกติ, โรคหินปูนในหูชั้นกลาง - หูชั้นใน สาเหตุที่พบได้บ่อยสุด คือประสาทหูเสื่อมจากอายุ นอกจากนั้นการเสื่อมของเส้นประสาทหู
อาจเกิดจากการได้รับเสียงที่ดังมากในระยะเวลาสั้น ๆ ทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน (acoustic trauma) เช่น ได้ยินเสียงปืน เสียงระเบิด เสียงประทัด,การได้รับเสียงที่ดังปานกลางในระยะเวลานาน ๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมแบบค่อยเป็นค่อยไป(noise-induced hearing loss) เช่น อยู่ในโรงงาน หรืออยู่ในคอนเสิร์ตที่มีเสียงดังมาก ๆ,
การใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู (ototoxic drug) เป็นระยะเวลานาน เช่น salicylate, aminoglycoside, quinine, aspirin, การบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะแล้วมีผลกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน (labyrinthine concussion),
การติดเชื้อของหูชั้นใน (labyrinthitis) เช่น ซิฟิลิส ไวรัสเอดส์
การผ่าตัดหูแล้วมีการกระทบกระเทือนต่อหูชั้นใน, มีรูรั่วติดต่อระหว่างหูชั้นกลางและหูชั้นใน, โรคมีเนียหรือน้ำในหูไม่เท่ากัน - สมอง โรคของเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ, เลือดออกในสมอง, ไขมันในเลือดสูง, ความดันโลหิตสูง, เนื้องอกในสมอง เช่น เนื้องอกของเส้นประสาทหู และ/หรือประสาทการทรงตัว (acoustic neuroma) - สาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคโลหิตจาง, โรคแพ้ภูมิตัวเอง, โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว, โรคเกล็ดเลือดสูงผิดปกติ, โรคที่มีระดับยูริกในเลือดสูง, โรคไต, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตต่ำ, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคความดันโลหิตสูง โรคต่างๆ เหล่านี้สามารถทำให้เกิดเสียงดังในหูได้
2. เสียงดังในหูชนิดที่บุคคลภายนอกสามารถได้ยิน หรือเสียงที่มีแหล่งกำเนิดเสียงจริงอยู่ภายในร่างกายของผู้ที่ได้ยิน (objective tinnitus) เสียงดังในหูชนิดนี้ ได้แก่ - ความผิดปกติของหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดแดงมีการเชื่อมต่อที่ผิดปกติกับหลอดเลือดดำ (arteriovenous malformation) - เส้นเลือดวางอยู่ในตำแหน่งผิดปกติ เส้นเลือดแดงโป่งพอง (aneurysm) - บริเวณศีรษะและคอที่อยู่ใกล้ชิดกับหูชั้นนอก หูชั้นกลาง หูชั้นใน แม้แต่ในสมองเอง - เสียงที่เกิดขึ้นอาจเกิดพร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจ หรือดังขึ้นตอนออกกำลังกาย อาจได้ยินเมื่ออยู่ใกล้ผู้ป่วย หรือใช้เครื่องมือช่วยฟัง - เสียงดังในหูที่เกิดจากการหายใจเข้าหรือออก อาจเกิดจากความผิดปกติของท่อยูสเตเชี่ยน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมระหว่างหูชั้นกลาง และโพรงหลังจมูก
จากการซักประวัติ สาเหตุต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ที่ทำให้เกิดเสียงดังในหู,
การวัดความดัน ท่านอน ท่านั่ง และท่ายืน,
การตรวจเลือด เพื่อหาความผิดปกติของเคมีในเลือด, การตรวจปัสสาวะ,
การตรวจการได้ยิน,
การตรวจคลื่นสมองระดับก้านสมอง และการถ่ายภาพรังสี เช่น เอ็กซเรย์ คอมพิวเตอร์สมองหรือกระดูกหลังหู ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฉีดสารรังสีเข้าหลอดเลือด
การรักษาเสียงดังในหู รักษาตามสาเหตุ ซึ่งแบ่งเป็นการรักษาด้วยยาและการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เสียงดังในหูที่เกิดจากพยาธิสภาพของหูชั้นใน, เส้นประสาทหู, และระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะประสาทหูเสื่อม มักจะรักษาไม่หายขาด ยกเว้นสาเหตุดังกล่าวเป็นสาเหตุที่รักษาได้
นอกจากนั้นถ้าเกิดจากประสาทหูเสื่อม ควรหาสาเหตุ หรือปัจจัยที่จะทำให้หูเสื่อมเร็วกว่าผิดปกติ เพื่อหาทางชะลอความเสื่อมนั้นด้วย ส่วนเสียงดังในหูบางรายไม่ทราบสาเหตุ หรือทราบสาเหตุ แต่เป็นสาเหตุที่รักษาไม่ได้ อาจหายเองก็ได้ หรือจะมีอยู่ตลอดชีวิตก็ได้ 1. ควรยอมรับและเข้าใจว่าสาเหตุของเสียงดังในหูเกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่ และจะหายหรือไม่ 2. ถ้าเสียงดังในหู ไม่รำคาญมากต่อชีวิตประจำวัน และไม่รบกวนการนอนหลับ ไม่จำเป็นต้องรักษา เพียงแต่ทำใจยอมรับ 3. ถ้าเสียงดังในหูรบกวนชีวิตประจำวันและรบกวนการนอนหลับ อาจใช้เสียงอื่นกลบเสียงดังในหู เช่น เปิดเพลงเบา ๆ ก่อนนอน จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นบ้าง และอาจให้ยาเพื่อช่วยลดความรำคาญเช่น ยาขยายหลอดเลือด เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงหูชั้นในมากขึ้น, ยาคลายกังวลหรือยานอนหลับ และยาบำรุงประสาทหู, ยาลดความไวของประสาทหู ทำให้เสียงดังในหูลดน้อยลง 4. ถ้าเสียงดังในหูเกิดจากประสาทหูเสื่อม ควรป้องกันไม่ให้ประสาทหูเสื่อมมากขึ้น โดย
- หลีกเลี่ยงเสียงดัง
- ถ้าเป็นโรคเบาหวาน,ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, โรคไต, โรคกรดยูริกในเลือดสูง,โรคซีด, โรคเลือด ต้องควบคุมโรคให้ดี
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีพิษต่อประสาทหู เช่น aspirin, amino glycoside, quinine
- หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือการกระทบกระเทือนบริเวณหู
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อของหู หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน
- ลดอาหารเค็ม หรือเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ,ชา, น้ำอัดลม, บุหรี่
- พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด วิตกกังวล เพราะยิ่งกังวลกับเสียงดังในหูมาก เสียงจะยิ่งดังมาก- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อมีอาการหูอื้อ ควรใช้การสังเกตว่า เป็นหูอื้อแบบไหน เป็นเวลาเป็นหวัด ภูมิแพ้หรือเปล่า หรือมีอาการได้ยินลดลงซึ่งกรณีมีการได้ยินลดลงนี้ควรรีบพบแพทย์ด้านหู คอ จมูก เพราะอาจมีอาการประสาทหูเสื่อมได้
การดูแลรักษาสุขอนามัยของหู การปฏิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดปกติของหู เช่น หูอื้อหรือหูตึง มีเสียงดังในหู มีอาการเวียนศีรษะหรือบ้านหมุน ปวดหู มีน้ำหรือหนองไหลออกจากรูหู คันหู เป็นต้น สามารถทำได้ดังนี้ 1. หลีกเลี่ยงการปั่น แคะ ล้าง (ด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดต่างๆ) เพราะการกระทำดังกล่าวอาจกระตุ้นทำให้มีขี้หูในช่องหูชั้นนอกเพิ่มมากขึ้น (จากการระคายเคืองที่ทำให้ต่อมสร้างขี้หูทำงานมากขึ้น) และจะยิ่งดันขี้หูในช่องหูที่มีอยู่แล้วให้อัดแน่นยิ่งขึ้น ทำให้ขี้หูอุดตันช่องหูชั้นนอกมากขึ้น เกิดอาการหูอื้อ หรือรู้สึกปวดหรือแน่นในช่องหู นอกจากนั้นอาจเกิดอันตรายหรือรอยถลอกของช่องหูชั้นนอก (เกิดแผลทำให้มีเลือดออกหรือหูชั้นนอกอักเสบได้) หรืออาจทำให้เยื่อบุแก้วหูฉีกขาดได้
2. ควรระวังไม่ให้น้ำเข้าหู โดยเอาสำลีชุบวาสลีนอุดหูหรือใช้หมวกพลาสติกคลุมผมโดยให้ปิดถึงหู หรือใช้วัสดุอุดรูหู (ear plug) (ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านกีฬาทั่วไปเป็นที่อุดหูสำหรับการว่ายน้ำหรือดำน้ำ) เวลาอาบน้ำ เมื่อน้ำเข้าหู ควรเอียงศีรษะเอาหูข้างนั้นลงต่ำ ดึงใบหูให้กางออกและเฉียงไปทางด้านหลัง (ปกติช่องหูจะโค้งเป็นรูปตัว S) ซึ่งจะทำให้ช่องหูอยู่ในแนวตรงที่น้ำจะไหลออกมาได้ง่าย วิธีนี้จะทำให้ปัญหาน้ำเข้าหูหายไปทันที ไม่ควรปั่นหรือแคะหู
3. รีบรักษาเมื่อมีการติดเชื้อในโพรงจมูก เช่น เป็นหวัด จมูกอักเสบ โพรงหลังจมูก โพรงไซนัส (ไซนัสอักเสบ) หรือมีอาการกำเริบของโรคภูมิแพ้ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางหู เช่น หูชั้นกลางอักเสบ น้ำขังในหูชั้นกลาง หรือท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ หรือแม้แต่ทำให้ประสาทหูอักเสบ เกิดภาวะประสาทหูเสื่อมเฉียบพลันได้
4. ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง โดยเฉพาะเอามือบีบจมูก แล้วสั่งน้ำมูก เพราะจะทำให้เชื้อโรคในช่องจมูกและไซนัสเข้าสู่หูชั้นกลางได้ง่าย
5. ไม่ควรว่ายน้ำ ดำน้ำ เดินทางโดยเครื่องบิน เดินทางขึ้นที่สูงหรือต่ำอย่างรวดเร็ว (เช่น ใช้ลิฟต์) เพราะท่อยูสเตเชียนซึ่งทำหน้าที่ปรับความดันของหูชั้นกลางกับบรรยากาศภายนอกไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติ อาจทำให้มีอาการปวดหู หูอื้อ เสียงดังในหู หรือเวียนศีรษะ บ้านหมุนได้ ถ้าจำเป็นควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพื่อให้เกิดอาการผิดปกติดังกล่าวน้อยที่สุด
6. ระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุกับหู หลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณหูและบริเวณใกล้เคียง เช่น การถูกตบหู เพราะอาจทำให้เยื่อบุแก้วหูทะลุและฉีกขาดได้ การที่ศีรษะกระแทกกับพื้นหรือของแข็งอาจทำให้กระดูกรอบหูแตก เกิดช่องหูชั้นนอกฉีกขาด มีเลือดออกในหูชั้นกลางหรือชั้นใน มีน้ำไขสันหลังรั่วออกมาทางช่องหู หรือทำให้กระดูกหูเคลื่อน ทำให้การนำเสียงผิดปกติไป
7. ดูแลรักษาโรคบางชนิด โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหู เช่น โรคหวัด โรคหัด คางทูม เบาหวาน โรคไต โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคกรดยูริกในเลือดสูง โรคโลหิตจาง โรคเลือด เพราะโรคเหล่านี้อาจทำให้ประสาทหูเสื่อม เกิดหูหนวกหรือหูตึงได้
นอกจากนี้ควรระวังปัจจัยบางชนิดที่อาจทำให้ประสาทหูเสื่อมเร็วกว่าปกติ เช่น เครียด วิตกกังวล นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ (มีสารนิโคติน) กินอาหารเค็มหรือดื่มเครื่องดื่มบางประเภทที่มีสารกระตุ้นประสาท เช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มน้ำอัดลม (มีสารคาเฟอีน) พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มเลือดไปเลี้ยงประสาทหู
8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเสียงดังเป็นระยะเวลานานๆ เช่น เสียงในสถานเริงรมย์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือเสียงดังมากๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (เช่น เสียงปืน เสียงประทัด) เพราะจะทำให้ประสาทหูค่อยๆ เสื่อมลงทีละน้อย หรือเสื่อมแบบเฉียบพลันได้ ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง เช่น ที่อุดหู (ear plug) หรือที่ครอบหู (ear muff)
9. ปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกชนิดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยาฉีด ยากิน หรือยาหยอดหู เพราะยาบางชนิด เช่น ยาต้านจุลชีพ (เช่น aminoglycoside) ยาแก้ปวด (เช่น aspirin) หรือยาขับปัสสาวะบางชนิด อาจมีพิษต่อประสาทหูและประสาททรงตัว ทำให้ประสาทหูเสื่อมหรือเสียการทรงตัวได้
10. ปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก หากมีขี้หูอุดตันมาก โดยธรรมชาติขี้หูจะถูกขับออกมาเองจากช่องหู ไม่จำเป็นต้องแคะหู ในคนที่มีปัญหาขี้หูเปียกและออกมาจากช่องหูมาก แพทย์อาจสั่งยาละลายขี้หูหยอดในหู เพื่อทำการล้างขี้หู (อาจใช้เพียงอาทิตย์ละครั้ง ถ้าไม่มีปัญหา อาจห่างออกไปเป็น 2 หรือ 3 หรือ 4 อาทิตย์ หยอด 1 ครั้ง) ซึ่งจะช่วยลดการอุดตันของขี้หูในช่องหูชั้นนอกได้ หรืออาจทำความสะอาดช่องหูโดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสะอาดให้ชุ่ม และเช็ดบริเวณปากรูหูออกมา ไม่ควรแหย่ไปลึกกว่านั้น
11. รีบปรึกษาแพทย์หู คอ จมูก เมื่อมีอาการผิดปกติทางหู เช่น หูอื้อ มีเสียงดังในหู มีอาการเวียนศีรษะหรือบ้านหมุน ปวดหู มีน้ำหรือหนองไหลออกจากรูหู คันหู หน้าเบี้ยว หรือใบหน้าครึ่งซีกเป็นอัมพาต การดูแลรักษาหูให้อยู่ในสภาพปกติและสามารถใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพหูที่ดี
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเซลล์ประสาทในศูนย์ได้ยินถูกกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงเมื่อบุคคลนั้นได้ยินเสียงดัง ซึ่งอาจทำให้เซลล์ประสาทปรับเข้าหาความถี่ใหม่ จะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะรักษาอาการเสียงดังในหูด้วยการทำสิ่งที่ทวนหลักการนี้ เพื่อทำให้เซลล์ประสาทปรับเข้าหาความถี่เดิมอีกครั้ง โดยมีผู้นำกลยุทธ์นี้มาใช้ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี และมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า การทำบำบัดด้วยวิธีนี้ให้ผลระยะยาวและเป็นไปได้ว่าอาจจะหายขาดด้วย ติดตามอ่านบทความเรื่อง ลาก่อนเสียงดังในหู" ที่นี่
หวังให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงค่ะ
|
พรุ่งนี้มาอ่านค่ะ ง่วงแล้ว อ่านก็จิไม่รู้เรื่อง แหะๆ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ALDI Klaibann Blog ดู Blog
mambymam Music Blog ดู Blog
sawkitty Photo Blog ดู Blog
ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog
pantawan Health Blog ดู Blog