ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ภาพแห่งความเจ็บปวด
โดย merveillesxx
(คำเตือน บทความนี้มีการเปิดเผยส่วนสำคัญของภาพยนตร์)
ณ ปัจจุบันที่เวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ นั้นมี 2 ตำแหน่งที่ต้องรับติดตัวไปจนวันตาย 1. ชัตเตอร์เป็นหนังไทยที่ทำรายได้สูงสุดประจำปี 2547 (110 ล้านบาท) 2. วีซีดีของหนังเรื่องนี้ ก่อปรากฏการณ์ ไวรัสชัตเตอร์ ชนิดที่ กด-ติด-นาน กล่าวคือโปรแกรมป้องกันการก็อปปี้ในแผ่นไปส่งผลกระทบให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้บริโภคเป็นอันมาก จนเกือบจะมีการรวมผลไปกัน ทุบแผ่นโชว์ (คล้ายทุบรถโชว์) หน้าโรงงานผลิตวีซีดีหนังเรื่องนี้ จนถึงป่านนี้ก็ไม่ทราบว่า เรื่องราวดำเนินไปถึงไหน โรงงานผลิตหายหูชาหรือยัง หรือสคบ.ไกล่เกลี่ยกันอีท่าไหน (เรื่องมันถึงเงียบไปเสียขนาดนี้) เอาเถิด
ไม่ขอสาวความอีกต่อไป รีบเขียนถึงหนังดีกว่า เพิ่งมาเขียนเสียตอนนี้ก็นับว่าเชยแย่แล้ว ยังจะมาพร่ำอารัมภบทอยู่อีก
โดยสรุปแล้วสำหรับชัตเตอร์นั้น ถ้าพิจารณาหนังในฐานะ หนังผี ผมขอให้เกรด B+ แต่ถ้าในฐานะ หนังดราม่า ผมให้เกรด A
ขอเริ่มสำรวจหนังในฐานะหนังผี -ตามหน้าหนังของมัน- ก่อนนะครับ ชัตเตอร์เป็นหนังผีที่ดีมากในการสร้างบรรยากาศและควบคุมอารมณ์คนดู เพียงแค่ฉากเปิดของหนังก็สามารถสร้างภาพแรกประทับได้อย่างสวยงามแล้ว แถมซ้ำด้วยเพลงประกอบที่ลงตัวมากๆ เกือบจะทุกฉาก แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบก็คือ ชัตเตอร์เป็น หนังผีตกใจ ที่ หนวกหู มากจนถึงมากที่สุด การปรากฏตัวของผีแต่ละครั้งไปในทางสร้าง ความตกใจ ให้กับคนดูมากกว่า ความหลอกหลอน
ผมแก่แล้วนะครับ ดูหนังแบบนี้แล้วหัวใจจะวาย นี่ถ้าผมไปดูหนังในโรงผมคงหลับตาตลอดเรื่อง เพราะหนังมีฉากชนิดที่ว่า มันกำลังจะมาแล้วนะ อยู่เปรอะไปทั่วหนัง
ซ้ำร้ายการใช้มุกผีตกใจในบางฉากดูไร้ชั้นเชิงและเหตุผลมาก เช่น ฉากในโรงแรมที่พระเอกหันหน้ามาจ๊ะเอ๋กับผีน้องเนตรอย่างไม่ทันตั้งตัว หลังจากหายตกใจแล้วก็แทบจะด่าผู้กำกับทันทีว่า เพื่ออะไรวะ (คาดว่าตอนนั้นน่าจะพูดหยาบคายกว่านี้) แต่การใส่ลูกเล่นแบบนี้มาก็เหมือนจะเป็นนัยที่รู้ว่าคนไทยชอบดูหนังแล้ว สะดุ้ง เพราะดูแล้วก็สะดุ้งกันไปทั้งประเทศจนฟันร้อยล้านมาจนได้ แต่ในความคิดผมมันไม่ใช่การดูหนังผี แต่เหมือนเดินเข้าบ้านผีสิงที่แดนเนรมิตมากกว่า นั่นคือ หลังจากออกมาพบกับความแสงสว่างแล้ว เราก็ลืมโดยทันทีว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น
แต่ถึงแม้ชัตเตอร์จะมีฉากที่หลอนอารมณ์คนดูอยู่เพียงน้อย แต่มันก็ได้ผลชะงัดทีเดียว เช่น ฉากในห้องล้างรูปที่ธรรม์นึกว่าเป็นเจนเข้ามา (ใครดูหนังเรื่องนี้แล้วไม่กลัวห้องล้างรูปถือว่าเก่งมากครับ), ฉากที่อยู่ดีๆพี่ต้นหันไปเห็นอะไรบางอย่างแล้วเปลี่ยนสีหน้าทันที หรือฉากช็อคอารมณ์อย่างตอนพี่ต้นโดดตึกนั้นผมถือว่าเป็นของเด็ดทีเดียว
ซึ่งผมโปรดฉากประเภทนี้เสียมากกว่า จึงไม่น่าแปลกใจนักที่หนังผีที่ก่อความกลัวให้กับผมมากที่สุดยังคงเป็นเรื่อง Kairo (ผีอินเตอร์เน็ต) ของคิโยชิ คุโรซาว่าอยู่ (แม้แท้จริงแล้วมันจะหนังผีปรัชญาตบหน้าคนดูก็เถอะ) ทั้งๆ ที่หนังไม่มีฉากตกใจหรือการใช้ดนตรีประกอบกระแทกหูคนดูแม้แต่นิดเดียว
ในแง่มุมของหนังผีนั้น คงจะพลาดการพูดถึง มุกเฉลย ของหนังไปเสียไม่ได้
เรื่องไม่งามที่เกิดขึ้นกับตัวผมก็คือ ผมดันรู้เรื่องมุกตอนจบมาก่อนดูหนังแล้วอ่ะ!! (จะไม่รู้ได้ยังไงละคร้าบ..มันออกจะฮือฮาขนาดนั้น) ซึ่งผมคาดว่าหากไม่รู้มาก่อนผมคงช็อคมากกว่านี้ 18 ล้านเท่าเห็นจะได้ และคงไม่กล้าไปทำอะไรไม่ดีกับผู้หญิงไปอีกนาน อย่างไรก็ตามผมนับถือในไอเดียของตอนจบหนังเรื่องนี้ครับ ผมเชื่อว่าผู้กำกับทั้งสองต้องผ่านกระบวนกรองกรั่นกรองความคิดนี้มาอย่างยากลำบาก ทั้งการบอกใบ้คนดูที่ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป (อาการปวดคอของธรรม์), การเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดสู่ตอนจบของหนัง และการที่จะไม่ให้มุกเฉลยทำให้หนังดูเลื่อนลอย ซึ่งด่านเหล่านี้ผมคิดว่าผู้กำกับสอบผ่านครับ
ส่วนทางด้านดราม่านั้น ชัตเตอร์เป็นหนังที่มีบทแข็งแรง เข้าขั้นฉลาดและผ่านการคิดมาอย่างพิถีพิถัน (หนังไทยบางเรื่องในปัจจุบันทำให้ผมอยากเดินไปถามผู้กำกับว่า "คุณรู้หรือเปล่าว่าบทหนังแปลว่าอะไร?") หนังมี ที่มา และ ที่ไป ที่สอดคล้องกันแน่นกระชับ (แม้จะมีคำถามจู่โจมถึงตรรกะแบบผีๆ เช่นว่า ทำไมน้องเนตรถึงมาแก้แค้นเอาป่านนี้ ในส่วนนี้ผมไม่เห็นว่าเป็นจุดบกพร่องร้ายแรงของหนังแต่อย่างใดครับ เอ๊ะ..ลืมไป นี่เรากำลังพูดถึงหนังดราม่าอยู่นี่นา) ผู้กำกับไม่ได้พยายามแหกขนบเฉพาะในส่วนของ ความเป็นหนังผี เท่านั้น แต่ก้าวข้ามไปในส่วนความเป็นดราม่า เช่น ความสัมพันธ์ของตัวละคร (ธรรม์รักเธอจริงหรือเปล่า-ทั้งเจนและเนตร) หรือความลึกในด้านลักษณะนิสัยของตัวละคร (ธรรม์ปิดบังอะไรเจนอยู่ / ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันแน่)
อีกปัจจัยที่ทำให้บทหนังของชัตเตอร์ยิ่งแข็งแกร่งและดูมีน้ำหนักมากขึ้นก็คือ การแสดงของเหล่าดาราในเรื่อง เริ่มจากอนันดาที่ทำได้ดีเกินคาดมาก (โดยเฉพาะถ้าเทียบกับหนังที่โลกควรจะลืมอย่าง คนสั่งผี) หนังเรื่องนี้ทำให้ผมคิดว่าเขาควรจะได้รับคำว่า นักแสดง อย่างแท้จริง ส่วนวีเจจ๋านั้นแม้จะมีบทที่น้อยกว่ามาก (เพราะบทส่วนใหญ่เธอหมดไปกับการทำหน้าตกใจเวลาขับรถหรือนั่งข้างคนขับฮา) แต่ในบางฉากเธอก็ให้การแสดงที่วิเศษมาก เช่น ฉากที่ให้ธรรม์หนุนตักและฉากที่นอนกอดกันในโรงแรม เธอทำให้เรารู้สึกได้ว่าเจนอยากจะช่วยเหลือธรรม์อย่างจริงใจ และที่เซอร์ไพรส์สุดๆ ก็คงจะเป็นอิม อชิตะที่ไม่อยากจะเชื่อว่านั่นคือเธอจริงๆ เพราะ ณ ตอนที่เขียนอยู่นี้ พอเปิดละครช่อง 5 ก็เจอเธอกำลังสวมบทติงต๊องอยู่หน้าเต็มจอ
และที่จะลืมไปไม่ได้ ก็คือเหล่าคนเสริมทัพอย่าง พี่ต้นที่เล่นเป็นคนจับไข้หัวโกร๋นเพราะโดนผีหลอกได้เยี่ยมมาก และคุณแม่ของเนตรที่แสนจะเศร้าสุดหลอน
ผมชอบหนังเรื่องชัตเตอร์กับการที่ผู้กำกับเล่นกับศิลปะแห่งความคุลมเครือและการเว้นช่องว่างให้ผู้ชมเติมแต่งจินตนาการของตัวเองเข้าไป เช่น การใส่สองฉากคีย์เวิร์ดของหนังไว้อย่างแนบเนียน นั่นคือ 1.ฉากที่อาจารย์บรรยายในห้องเรียนถึงการถ่ายรูปที่อาจจะตั้งใจให้เรา เห็น หรือ ไม่เห็น ในบางสิ่ง (= นิสัยของพระเอก / การที่ธรรม์โกหกเจน / อาชีพตากล้องของธรรม์) 2.ฉากตั๊กแตนตัวเมียกัดหัวตัวผู้ขาดขณะผสมพันธุ์ (= ความสัมพันธ์ของเนตรกับธรรม์ / ฉากขี่คอ) รวมไปถึงฉากอื่นๆ อย่างขวดมากมายที่วางอยู่หน้าห้องเนตร (= ขวดฟอร์มาลีน), เงื่อนงำแสงสีขาวในภาพถ่ายที่ปรากฏบริเวณกระจกห้องวิทยาศาสตร์, การที่อยู่ๆ กล้องลั่นชัตเตอร์เองตอนที่ธรรม์นอนหนุนตักเจน, ฉากที่แสงแฟลชติดๆดับๆใส่ธรรม์ (= เนตรอยากให้ธรรม์รับรู้ความรู้สึกเหมือนที่เธอโดน) และส่วนที่น่ากลัวที่สุดผมว่าน่าจะเป็นฉากที่พี่ต้นหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ใช่ครับ
นั่นอาจจะเป็นผีน้องเนตร แต่ถ้าเกิดสิ่งที่เขาหันไปเจอคือกระจกที่สะท้อนภาพธรรม์ล่ะครับ แล้วในนั้นกลับไม่ได้มีเพียงภาพเขากับธรรม์! แต่มีใครบางคนขี่คอธรรม์อยู่! (นี่หรือเปล่าเหตุผลที่พี่ต้นทำกระจกในห้องตัวเองแตก)
แต่แท้จริงแล้วเหตุผลที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุดคือ ผมว่าชัตเตอร์เป็นหนังผีที่เจ็บปวดดีเหลือเกิน ผมคิดว่าตัวละครทั้งสามนั้นต่างตัดสินใจกระทำอะไรลงไปอยู่บนพื้นฐานของความรักทั้งสิ้น ธรรม์โกหกเจนเพราะเขารักเธอและอยากอยู่กับเธอตลอดไป (แน่นอนเขาเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ แต่ความรักคือความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ แต่เกิดขึ้นโดยสุจริตใจมิใช่หรือ) ผมมิอาจจะโกรธเกลียดธรรม์หรือตราหน้าว่าเขาเป็นพวกเลวชาติหรอกครับ ผมสงสารเขามากกว่าและตัวละครนี้ก็ทำให้ผมสงสารปนสมเพชตัวเองในบางทีด้วย, ด้านเจนนั้นเธอเลือกจะเชื่อธรรม์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ความเชื่อจะจางหายเลือนลางไป เธอก็สามารถเติมเต็มมันใหม่อีกครั้งได้เสมอ นั่นก็เพราะเจนรักธรรม์ เมื่อเขาอยากจะพึ่งพิงเธอ เธอก็พร้อมจะปกป้องเขาไว้ในอ้อมแขนของเธอเสมอ, ส่วนเนตรนั้นก็มาหาธรรม์ก็เพราะเธอยังรักเขาอยู่ (แต่เป็นความรักชนิด ทั้งรักทั้งแค้น) เธอมาอยู่ใกล้เขา -ขี่คอเขา- ก็เพราะนั่นคือห้วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ (จำได้มั้ยว่าฉากที่เธอขี่คอธรรม์หน้าตาเธอมีความสุขขนาดไหน) เธออาจจะอยากเก็บภาพนั้น(และธรรม์)ไว้ชั่วนิรันดร์
เพียงแต่เธอนั้นอยู่ต่างที่ต่างมิติและต่างเวลา การพยายามมาของเธอนั้นจึงนำมาซึ่งความน่าสะพรึงกลัว
ในความเห็นส่วนตัวแล้วผมคิดว่าชัตเตอร์เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นตัวแทนที่ดีของความน่ากลัวของความรัก อันตรายร้ายแรงของมันนำไปสู่โศกนาฎกรรมอย่างที่เราเห็นกัน
อีกสิ่งที่น่ากลัวอย่างสุดแสนก็คือ ภาพถ่าย อันเป็นสิ่งที่มีบทบาทต่อหนังอย่างที่สุด เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวที่ธรรม์ตัดสินใจ กดชัตเตอร์ ในคืนนั้น (อนันดาเล่นฉากถ่ายรูปอันกล้ำกลืนนี้ได้สุดยอดมาก) ชีวิตของเขาและเพื่อนๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และก็เพราะรูปนี้ไปประจักษ์ต่อสายตาของเจน ผู้หญิงที่เขารัก -และเธอก็รักเขา- จึงมิอาจเชื่อเขาได้อีกต่อไป มันเป็นสิ่งน่ากลัวมากที่การกระทำเพียงชั่วแว่บเดียวในอดีต มาตามทำลายทุกอย่างในปัจจุบัน
เรื่องของภาพถ่ายนั้นทำให้ผมคิดถึงคนคนหนึ่ง เธอเคยบอกว่าจะไม่ถ่ายรูปคู่กับผมเด็ดขาดเพราะมันจะทำให้เราเจ็บปวด ในตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจนัก แต่เมื่อผ่านผันการจากลากันมันก็ทำให้ผมเข้าใจ ธรรม์กับเจนก็น่าจะเข้าใจเช่นกัน
คุณลองมองไปภาพข้างบนที่ผมแปะไว้สิ เจนกับธรรม์ในตอนนั้นดูมีความสุขดีใช่มั้ย พวกเขามองภาพนี้แล้วก็รู้สึกดีมาตลอดแหละ แต่มาถึงตอนนี้ล่ะภาพถ่ายใบนี้จะทำให้เธอและเขารู้สึกอย่างไร
สำหรับผม เมื่อมองภาพนี้ทีไรผมก็รู้สึกเจ็บปวดใจแทนพวกเขาเหลือเกิน เพราะวันเวลานั้นมันไม่มีทางหวนกลับมาอีกแล้ว
Create Date : 19 เมษายน 2548 |
|
31 comments |
Last Update : 19 เมษายน 2548 1:46:42 น. |
Counter : 13641 Pageviews. |
|
|
|
ศิลปิน: สุเทพ วงศ์กำแหง
ฉันมองภาพถ่าย ที่เธอให้ไว้
เป็นภาพเตือนใจ แม้ตัวห่างไกล ก็เหมือนยังอยู่
เธอ ถอด วิญญาณ ให้มาสิงสู่
คอยจ้องมองดูฉันหรือไร
..แม้มีวันใดที่อยู่เงียบเหงา ยังช่วยบรรเทา
คล้ายดังว่าเรา อยู่ชิดเคียงใกล้
ยล ภาพ ประโลม โน้มนำเราให้
คอยส่งดวงใจไป สู่กัน
..ดวง ตา มี แวว แจ่มใส เตือน จิตใจ อยู่ทุกวัน
ลืม ตา หลับ ตา ก็ ฝัน เอาภาพนั้นมา แนบ กาย
..ฉันมีเพียงภาพ แต่ห่างเจ้าของ
เคียงข้างประคอง ฉันได้แต่มองลุ่มหลงภาพถ่าย
เฝ้า กอด ถนอม มิยอมแหนงหน่าย
พอช่วยผ่อนคลาย ให้อุ่นใจ
ดนตรี
..ดวง ตา มี แวว แจ่มใส เตือนจิตใจ อยู่ทุกวัน
ลืมตา หลับตา ก็ฝัน เอาภาพนั้นมา แนบ กาย
..ฉันมีเพียงภาพ แต่ห่างเจ้าของ
เคียงข้างประคอง ฉันได้แต่มอง ลุ่มหลงภาพถ่าย
เฝ้า กอด ถนอม มิยอมแหนงหน่าย
พอช่วยผ่อนคลาย ให้อุ่นใจ.