ผิวขาว......กระจ่างใส เคล็ดลับผิวใสกว่าที่เคย
1. ครีมกันแดด ชีวิตนี้ลืมไม่ได้
เพราะ 90% ที่ทำให้ผิวหมองคล้ำคือแสง และ 90% ของแสงนั้นคือแดด แต่ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดจากดวงอาทิตย์ หรือแสงจากหลอดไฟ ล้วนทำให้ผิวหมองคล้ำลงทั้งสิ้น เพราะเมื่อผิวสัมผัสแสงจะเกิดกลไกปกป้องผิวตามธรรมชาติ นั่นคือ ผิวจะผลิตเมลานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีของผิวมากขึ้น จึงทำให้ผิวของเราคล้ำลง ที่จริงเมลานินเพียงมีความสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้ถูกแสงทำลาย แต่เมลานินเพียงอย่างเดียวไม่สามารถปกป้องผิวเราได้ทั้งหมดและที่สำคัญเราไม่ต้องการให้ผิวสร้างเมลานินซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้ผิวคล้ำมากเกินไป โชคดีที่ครีมกันแดด สามารถปกป้องผิวได้ทั้งจากแสงแดด และแสงไฟ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของผู้กลัวคล้ำคือ อย่าลืมทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องเผชิญกับแสงไม่ว่ากลางแจ้งหรือในร่มที่มีแสงไฟส่องสว่างตลอดเวลาก็ตาม
2. UV นี่แหละตัวร้าย
ความร้ายกาจของรังสีอัลตราไวโอเลตที่ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่ใช่แค่เป็นรังสีที่มีปริมาณมากเท่านั้น แต่คุณสมบัติอันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตคือสามารถทะลุและสะท้อนเข้าทำลายผิวคุณได้เกือบทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นขอย้ำอีกครั้งว่า ผู้ที่รักผิวขาวควรต้องทาครีมกันแดดเสมอ.... ขาดไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าสภาพอากาศอย่างไร หรือสถานที่ใดก็ตามลองดูจากตารางต่อไปนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมผิวคุณจึงคล้ำขึ้นได้แม้ว่าจะไม่อกแดดเลยก็ตาม
ความรุนแรงของรังสียูวี*
กลางแจ้ง รุนแรง 10.00 น. 15.00 น. 100%
ในห้อง ทะลุผ่านกระจกหน้าต่าง [3 มม.] ได้ 85 %
ในร่มริมทะเล สะท้อนจากน้ำทะเล 75%
ใต้ร่มบนทราย สะท้อนจากทราย 25%
วันเมฆครึ้ม ทะลุผ่านเมฆลงมาได้ 50%
ขับรถ ทะลุผ่านกระจกรถยนต์ 70%
*ความรุนแรงของรังสียูวีในแต่ละหัวข้อ อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานที่และสภาพผิวที่ต่างกัน
3. เรียนรู้เรื่องครีมกันแดด
ทุกวันนี้ครีมกันแดด มีทั้งแบบที่มีสารเคมีที่สามารถดูดซับรังสี UV ได้หรือแบบเป็นชั้นเคลือบผิวที่สามารถสะท้อนแสง UV ได้ ครีมกันแดดส่วนมากจะมีส่วนผสมของทั้งสองอย่างนี้ และมีฤทธิ์ป้องกันแสงได้อย่างดีเยี่ยม หากผิวคุณแพ้ง่ายให้เลือกใช้ครีมกันแดดแบบที่เป็นเคลือบผิวจะปลอดภัยกว่า
4. SPF เท่าไรถึงจะดี
แท้จริงแล้ว ผิวคนเราจะมีความไวต่อแสงแดดในระดับที่ต่างกันไป คุณจะต้องตรวจดูว่าผิวของคุณมีความไวต่อแสงมากน้อยเพียงไรแล้วค่อยหาครีมกันแดดที่เหมาะสมกับผิวคุณ โดยปกติผิวคนเอเชียทั่วไปมักใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป ซึ่ง SPF 15 หมายถึงช่วยเพิ่มความต้านทานของผิวในการป้องกันแสงแดดได้ 15 เท่า สมมติว่าผลตรวจผิวพบว่า ผิวคุณจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อถูกแดดนาน 15 นาที โดยไม่มีการป้องกันเลย เมื่อคุณทาครีมกันแดด SPF 15 ก็เท่ากับว่าคุณอยู่ใต้แสงแดดได้นาน 225 นาที โดยที่ผิวยังไม่ถูกเผา ในขณะเดียวกันถ้าคุณทาครีมกันแดด SPF 10 แล้วทาทับด้วยแป้งกันแดด SPF 15 ไม่ได้หมายถึงว่าคุณได้รับการป้องกัน 25 เท่า แต่คุณจะได้รับการป้องกัน 2 ชั้น คือ 15 เท่า และ 10 เท่า โดยยึดค่า SPF สูงสุดเป็นหลัก
5. PA + + + อีกข้อดีที่ไม่ควรลืม
อย่าลืมว่ารังสี UV มีทั้ง A และ B ครีมกันแดดส่วนใหญ่มักเน้นไปที่รังสี UV B เพราะเป็นตัวที่แผดเผาเซลล์ผิวชั้นนอก และก่อให้เกิดเมลานิน ซึ่งส่งผลต่อสีผิวมากกว่ารังสี UV A เมื่อป้องกันรังสี UV B ได้ ก็ดูเหมือนจะป้องกันไม่ให้ผิวคล้ำได้ชัดเจน แต่ในขณะที่คุณสัมผัสแดดโดยไม่ได้รับอันตรายจากรังสี UV B รังสี UV A ที่มีคุณสมบัติ ทำลาย กำลังทำอันตรายผิวคุณยิ่งกว่า เพราะปริมาณมากกว่า มีความเข้มข้นคงที่ทุกเวลาตลอดวันแทรกซึมลงไปในผิวได้ลึกกว่า จึงทำลายได้ถึงโครงสร้างชั้นในของผิว ก่อทั้งริ้วรอยก่อนวัยและความหม่นหมอง ปัจจุบัน เราระบุค่าการป้องกันรังสี UV A เป็น PA และมีหน่วยเป็น + ค่าสูงสุดในยปัจจุบันคือ PA + + + ดังนั้น ทุกครั้งที่เลือกครีมกันแดดต้องไม่ลืมดูค่า PA + + + ด้วยทุกครั้ง เพราะผิวขาวไม่ใช่แค่เรื่องสีผิวแต่ต้องหมายถึงความกระจ่างใสไม่หม่นหมองของเซลล์ผิวด้วย
6. อินฟราเรด ร้ายเพราะไม่รู้
ที่เราพูดกันว่าแสงทำให้ผิวคล้ำขึ้น ที่จริงแล้วหมายถึงรังสีในแสงและความจริงที่ต้องระวังคือตัวการหลักๆ ของรังสีเหล่านั้นไม่ได้แค่รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ UV ทั้ง A และ B ที่เราได้ยินกันเท่านั้น แต่ยังมีรังสีอินฟาเรด หรือ IR ในปริมาณที่สามารถทำให้ผิวคุณหมองคล้ำลงได้เช่นกัน ดังนั้น สำหรับผู้ที่กลัวผิวคล้ำเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าคุณต้องการปกป้องผิวจากรังสีอย่างเบ็ดเสร็จจริงๆ ควรหาครีมกันแดดที่ระบุว่าป้องกันรังสีอินฟาเรดด้วยก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
7. เคล็ดลับทาครีมกันแดดให้ได้ผล
การทาครีมกันแดด ผิวเอเชียอย่างพวกเรามักเริ่มในระดับ SPF 15 ขึ้นไป มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานที่ พฤติกรรม และระยะเวลาที่คุณต้องอยู่กลางแดด หากคุณจำเป็นต้องอยู่กลางแดดจ้าโดยเฉพาะแดดในช่วง 10.00 น. ถึง 14.00 น. ให้ใช้ครีมกันแดดที่มีฤทธิ์ปกป้องอย่างสมบูรณ์ที่สุดไว้ก่อน เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมีประสิทธิภาพสูงสุดในการทำลายผิวคุณ ควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15 นาทีแล้วทาซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง โดยเฉพาะภายหลังการว่ายน้ำ เหงื่อออก ลมแรง หรือหลังจากการเช็ดตัว ทาทั้งผิวหน้า ลำคอเรื่อยไปจนถึงไหล่ และอย่าลืมเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันและผิวของคุณไว้ด้วย เพื่อที่จะได้ใช้เป็นประจำทุกวันและทุกเวลาในยามกลางวัน
8. นอนหลับ... ซ่อมผิวได้
ผิวพรรณของเราจะมีระบบซ่อมแซมตัวเองในขณะหลับ ผลสำรวจพบว่าระบบการซ่อมแซมจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 5 ทุ่มไปจนถึงตี 1 เราจึงควรนอนหลับให้ได้ในช่วงเวลานั้น และต่อเนื่องอย่างน้อย 6 8 ชั่วโมงในแต่ละวัน การนวดฝ่าเท้าด้วยน้ำมันงาก่อนนอนเป็นวิธีช่วยให้นอนหลับสนิทยิ่งขึ้น ถ้าหายากเกินไปใช้ครีมบำรุงผิวแทนก็ได้ หรืออีกวิธีคือรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของกรดอะมิโนโทรปีน ซึ่งมีผลให้สมองหลั่งสารเคมีเซโรโทนินที่ทำให้จิตใจสงบ และช่วยให้หลับได้ลึกกว่าเดิม ผิวซ่อมแซมตัวเองได้มากเท่าไร เราก็จะได้ผิวใหม่ที่ขาว... กระจ่างใสได้มากเท่านั้น ดังนั้นอยากมีผิวสดใส ก่อนเข้านอนคืนนี้ลองรับประทานอาหารที่อุดมด้วยสารทรโทปีนดูอย่างเช่น กล้วย ผลไม้ที่มีสีเหลือง อินทผลัม หรือโยเกิร์ต
9. ผิวใสเพราะหายใจเป็น
ออกซิเจน 7% จากทั้งหมดที่เราหายใจเข้าปอดมีผลโดยตรงต่อผิวเพราะเซลล์ผิวต้องใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิต และซ่อมแซมตัวเอง เช่นเดียวกับเวลาหายใจออกร่างกายก็จะขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากเซลล์ด้วย หากไม่ขับออกไปก็จะกลายเป็นสารพิษตกค้าง ผิวหม่นหมอง ยิ่งได้รับออกซิเจนครบตามต้องการเท่าไร เซลล์ผิวก็จะแข็งแรงและเปล่งปลั่งสดใสเท่านั้น การหายใจที่ถูกต้องจึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผิวไม่หมองคล้ำ ตอนเป็นทารก การหายใจของคนเราจะเป็นไปอย่างดีที่สุด นั่นคือหายใจยาว ช้าและลึกทำให้ส่งออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้แต่เมื่อเติบโตขึ้น เรากลับหายใจไม่เต็มที่เหมือนตอนเป็นทารก ถ้าต้องการผิวสดใสเปล่งปลั่ง ก็ต้องเริ่มต้นหัดวิธีหายใจใหม่ให้เหมือนตอนเป็นเด็กอีกครั้ง
10. ออกกำลังกาย... ให้ผิวสวย
ที่เราเคยได้ยินอยู่เสมอว่าหน้าสวยต้องมีเลือดฝาดนั้นเป็นความจริง หลักการที่เข้าใจได้ง่ายๆ คือถ้าการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดี การซ่อมแซมผิวและการผลิตเซลล์ผิวใหม่ก็จะเป็นไปอย่างดีด้วย และเซลล์ผิวใหม่ที่อ่อนเยาว์จะขาวและเปล่งประกายสดใส ดังนั้น เมื่อผิวคุณสามารถผลิตเซลล์ผิวใหม่ได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว คุณก็จะมีผิวที่ดูอ่อนเยาว์ และขาวขึ้น การออกกำลังกายสักสามครั้งในแต่ละสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30 นาที จะช่วยให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ออกกำลังกายไม่ควรทาครีมรองพื้นหรือมอยส์เจอไรเซอร์ใดๆ เพราะจะไปปิดกั้นรูขุมขนให้ไม่สามารถระบายเหงื่อได้ตามปกติ การระบายเหงื่อถือเป็นอีกวิธีหนึ่งในการขจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย
11. ยิ่งเครียด... ผิวยิ่งคล้ำ
ที่ผู้ใหญ่มักบอกเสมอว่ายามโชคไม่ดี สีหน้าจะหมองคล้ำ นั้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำทำนายแต่เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะถ้าคุณเครียด หรือจิตไม่ปกติ ก็จะส่งผลให้ผิวผลิตเมลานินมากกว่าปกติด้วย ผิวหน้าก็จะหมองคล้ำขึ้นจริงๆ ดังนั้น หากต้องการผิวหน้าขาว สดใส ต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เครียด เลือกอาหารที่มีคุณค่าครบ รับประทานผักผลไม้มากๆ พักผ่อนเต็มที่ดื่มน้ำมากๆ รู้จักผ่อนคลายบ้าง อย่าลืมว่าจิตใจผ่องใส ผิวหน้าก็ผ่องใส เคล็ดลับง่ายๆ ที่ไม่อาจละเลย
12. ผลัดผิว... เผยผิวใส
ความจริงก็คือ เซลล์เกิดและตายเป็นวงจรทุกวัน เซลล์ผิวเก่าเสื่อมสภาพไปเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่เรื่อยๆ แต่ปัญหาก็คือ เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกไม่ทันจึงทับถมกันบดบังความขาว... กระจ่างใสของเซลล์ผิวที่อ่อนเยาว์ การกระตุ้นกระบวนการผลัดผิวจึงเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น ยิ่งผลัดผิว ยิ่งเผยผิวขาว วิธีพอกหน้าผลัดผิวง่ายๆ ให้ลองใช้เนื้อมะละกอสุก เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชื่อว่า PAPAIN ที่ช่วยสลายเคราตินอันเป็นโปรตีนชนิดแข็งซึ่งทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วจับตัวกันบนผิวหนังลองทาบางๆ ที่บริเวณท้องแขนด้านในทิ้งไว้ 2 3 นาทีแล้วเช็ดออก รออีก 10 นาที เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผื่นแดงเกิดขึ้น จากนั้นจึงถูเนื้อมะละกอสุกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดแค่สัปดาห์ละครั้ง
13. คำเตือนก่อนเปิดกระป๋อง
มีตำราบำรุงผิวมากมายที่แนะนำให้ใช้ผักและผลไม้นานาชนิดทาหน้าบ้าง พอกหน้าบ้างเพื่อให้ผิวขาวขึ้น คุณต้องพยายามใช้ผักและผลไม้สดใหม่ที่สุดและปลอดสารที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ หรือที่คุณปลูกเอง หากวิธีทำระบุว่าต้องใช้น้ำผักและผลไม้ด้วย คุณก็ควรจะเป็นผู้คั้นด้วยตัวเองโดยใช้ผักและผลไม้ที่มีความสดใหม่ ไม่มีสารเคมีเจือปน น้ำผักและผลไม้ที่บรรจุกระป๋อง ผ่านการฆ่าเชื้อตามกรรมวิธี UHT หรือที่สามารถเก็บไว้ได้นานๆ ล้วนแต่ไม่ควรใช้อย่างยิ่ง เพราะนอกจากผิวจะขาวขึ้นแล้ว อาจได้ความหมองคล้ำแถมมาด้วย เพราะนอกจากผิวจะไม่ขาวขึ้นแล้ว อาจได้ความหมองคล้ำแถมมาด้วยเพราะแพ้สารเคมี สารกันบูดหรือส่วนผสมอื่นๆ ในผักและผลไม้กระป๋อง
14. ผื่นแดง... แรงกว่าที่คิด
คุณที่มีผื่นแดงเห่อขึ้นบริเวณแก้ม จมูก และคาง สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุและจะเป็นมากในวัยหมดประจำเดือน โดยมีสาเหตุมาจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอลล์ รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพอากาศ หรือแม้กระทั้งฮอร์โมนผิดปกติ โดยปกติไม่มีวิธีแก้ไข นอกจากหาต้นเหตุของปัญหาให้เจอและกำจัดให้ได้ วิธีบรรเทาที่เร็วที่สุดใช้รองพื้นที่ออกโทนเขียวเพื่อช่วยลดความแดงของผิวหนัง นอกจากนั้นก็ให้ใช้วิธีดูแลผิวตามปกติด้วยครีมบำรุงผิว พยายามหลบเลี่ยงแสงแดด ดื่มน้ำสะอาดวันละมากๆ และพยายามอย่าเครียด
15. รอยแดง... ลบได้
รอยแดงๆ บนผิวที่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่ได้เป็นผื่น ไม่มีอาการระคายเคือง ไม่คัน ไม่แสบและไม่ได้เกิดจากอาการแพ้อื่นๆ ให้ลองใช้ยาหยอดตาแต้มเบาๆ ทิ้งให้ยาหยอดตาค่อยๆ ซึมซาบและระเหยไป สักครู่รอยแดงอาจจางลงได้
16. หน้าใสเพราะสลายสิวเสี้ยน
สิวเสี้ยน... จุดดำเล็กๆ ที่รวมกันแล้วทำให้ผิวดูหมองคล้ำ สิวเสี้ยนเกิดจากการอุดตันของไขมันในรูขุมขน ไม่ได้เกิดจากการสะสมของสิ่งสกปรกอย่างที่เราเคยเชื่อกัน เพราะสีดำๆ ที่เห็นนั้นไม่ใช่สิ่งสกปรกแต่เป็นสีของไขมันที่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำเมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเมื่อไขมันโดนอากาศ คุณสามารถป้องกันการอุดตันของรูขุมขนได้ด้วยวิธีง่ายๆ เพียงแค่คุณไม่ละเลยการทำความสะอาดผิวหน้าอย่างพิถีพิถันสม่ำเสมอ ยิ่งคุณใช้เครื่องสำอางยิ่งต้องทำความสะอาดผิวให้ครบขั้นตอน ควรเพิ่มขั้นตอนด้วยการใช้มาส์กพอกหน้า ที่สามารถทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าสะอาด รูขุมขนไม่อุดตัน ก็ไม่เกิดสิวเสี้ยน นี่แหละความสำคัญของการทำความสะอาดผิวหน้า กิจวัตรประจำวันที่คุณไม่ควรเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
17. ยาปฏิชีวนะ... เลี่ยงได้ก็ดี
อีกสาเหตุที่คุณนึกไม่ถึงอาจมาจากยาปฏิชีวนะ โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะที่คุณรับประทานเป็นประจำ หากไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยง เพราะยาประเภทนี้ทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำไม่สดใส และทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กที่มีส่วนช่วยให้ผิวสุขภาพดี ลองเช็คกระเป๋ายาของคุณดู ถ้าไม่รู้ว่ายาที่ทานประจำมีย่ปฏิชีวนะอยู่ด้วยหรือไม่ ลองหาคำว่า ANTIBIOTIC บนบรรจุภัณฑ์ หรือถามจากเภสัชกรได้
18. แต่งผม... กระทบถึงผิว
หากจุดด่างดำ รอยคล้ำ ผิวกระดำกระด่างมักเกิดบริเวณขมับและไรผมเป็นประจำ ลองหยุดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมดูสักพัก แล้วสังเกตดูว่าจุดด่างดำเหล่านั้นจางลงหรือไม่ เพราะผลิตภัณฑ์แต่งผมส่วนใหญ่มักเป็นที่ดูดซับความสกปรก และบางอย่างตัวผลิตภัณฑ์เองอาจทำให้ผิวคุณแพ้จนเกิดเป็นรอยคล้ำบนผิว ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ รวมทั้งสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผมก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ผิวได้เช่นกัน