กลุ่มประท้วงในสหรัฐได้เฮ-ผู้พิพากษาระงับคำสั่งดอนัลด์ ทรัมพ์ห้ามผู้อพยพและคน 7 ประเทศเข้าสหรัฐ
ศาลชั้นต้นรัฐบาลกลางสหรัฐออกคำสั่งชั่วคราวห้ามนำคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมพ์มาใช้บังคับผู้ลี้ภัยอพยพและคนจาก 7 ประเทศเข้าสหรัฐมีผลทั่วประเทศตั้งแต่ 3 กุมภาพันธ์ กลุ่มต่อต้านได้เฮระบุไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ - DHS เผยผู้ถือใบเขียวจากทุกชาติเข้า-ออกได้ตามปกติ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2017 ว่าศาลชั้นต้นรัฐบาลกลาง,ซีแอตเติ้ลได้ออกคำสั่งห้ามชั่วคราวมไม่ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามคำสั่งฝ่ายบริหาร (executive order)ของประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมพ์ ที่ห้ามผู้อพยพรวมทั้งห้ามพลเมือง 7 ประเทศเข้าสหรัฐโดยคำสั่งนี้มีผลทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์เป็นต้นไปมีระยะเวลา 4 เดือน คำสั่งชั่วคราวของผู้พิพากษาครั้งนี้ (temporary restraining order) เป็นตัวแทนโดยรวมของผู้ยื่นฟ้อง แต่ฝ่ายบริหารรัฐบาลทรัมพ์ก็มีสิทธิ์ที่จะยื่นอุทธรณ์เพื่อให้คำสั่งฝ่ายบริหารมีผลบังคับต่อไป นายเจมส์ รอบาร์ท ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรัฐบาลกลาง,ซีแอตเติ้ล (ได้รับการแต่งตั้งในยุครัฐบาลจอร์จ ดับเบิ้ลยู.บุช แห่งพรรครีพับลิกัน) ออกคสั่งให้มีผลบังคับทันทีในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยให้คำสั่งของฝ่ายบริหารระงับหรือทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมก่อนที่คำสั่งฝ่ายบริหารมีผลบังคับได้ 1 สัปดาห์ มีการคาดการณ์ว่าผู้พิพากษารอบาร์ทจะเขียนรายละเอียดและเหตุผลของคำสั่งในสุดสัปดาห์นี้ก่อนที่จะส่งมอบให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ เจย์ อินสลี ผู้ว่าการรัฐวอชิงตันที่เมืองซีแอตเติ้ลตั้งอยู่ฉลองชัยชนะครั้งรี้โดยระบุว่าเป็นชัยชนะของรัฐวอชิงตัน ไม่มีใคร-แม้แต่ประธานาธิบดี จะอยู่เหนือกฎหมาย (no person - not even the president - is above the law) ทางด้านนายบ๊อบ เฟอร์กูสัน อัยการสูงสุดของรัฐวอชิงตัน ขณะนี้คำสั่งของศาลถือเป็นการปิดตายคำสั่งของประธานาธิบดี พร้อมกับหวังว่ารัฐบาลกลางจะยอมรับกฎเกณฑ์ ทางด้านกระทรวงยุติธรรมยังไม่ตัดสินใจยื่นอุทธรณ์คำสั่ง กระทรวงจะต้องรอทบทวนคำสั่งของศาลที่จะเขียนออกมาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะพิจารณาในก้าวต่อไป คำแถลงของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐออกมาสั้นๆ ทั้งนี้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐจะทำหน้าที่ด้านกฎหมายแทนรัฐบาล ประธานาธิบดีทรัมพ์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 27 มกราคม ใน 3 ประเด็นเรื่องผู้อพยพคือห้ามผู้ลี้ภัยอพยพทั้วหทมด (all refugees) เดินทางเข้าสหรัฐเป็นเวลา 120 วัน,ผู้ลี้ภัยอพยพจากประเทศซีเรียห้ามเข้าตลอดไป,พลเมืองที่ถือพาสปอร์ต 7 ประเทศประกอบด้วยอิหร่าน,อิรัก,ลีเบีย,โซมาเลีย,ซูดาน,ซีเรียและเยเมนห้ามเข้าสหรัฐเป็นเวลา 90 วัน คำสั่งดังกล่าวทำให้บุคคลดังกล่าวถูกควบคุมตัวที่สนามบินเมื่อเดินทางถึงสหรัฐ บางรายถูกส่งกลับประเทศเดิมที่เดินทางมา จนเกิดการประท้วงลุกลามไปทั่วประเทศและการฟ้องร้องคำสั่งมีตามมา รัฐวอชิงตันได้ยื่นฟ้องคำสั่งประธานาธิบดีผ่านศาลชั้นต้นรัฐบาลกลางที่ซีแอตเติ้ล ต่อมารัฐมินเนโซต้าขอร่วมเป็นโจทก์ ผู้พิพากษาชี้ว่ารัฐยื่นฟ้องคำสั่งประธานาธิบดีเป็นไปตามกฎหมาย ทำให้อัยการสูงสุดของรัฐวอชิงตันที่เป็นคนของพรรคเดโมแครตสามารถนำตัวนายทรัมพ์ขึ้นศาลได้ คำฟ้องของรัฐวอชิงตันระบุว่ารัฐได้รับความเสียหายจากคำสั่งดังกล่าว โดยยกตัวอย่างเช่นนักศึกษา,อาจารย์และบุคคลากรในมหาวิทยาลัยของรัฐที่รัฐเป็นผู้สนับสนุนการศึกษาต้องติดอยู่ในต่างประเทศ ผู้พิพากษารอบาร์ทได้อ้างถึงข้อถกเถียงของทนายจากกระทรวงยุติธรรมที่เกิดความหวั่นเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อนักศึกษาของมหาวิทยาลัยในรัฐวอชิงตันจะได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งยังอ้างคำสั่งฝ่ายบริหารโดยยกตัวอย่างเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 (ที่กลุ่มก่อการร้าย)โจมตีสหรัฐ ผู้พิพากษารอบาร์ทชี้ว่าการโจมตีสหรัฐในครั้งนั้น (9/11)ไม่มีคนที่มาจาก 7 ประเทศโจมตีสหรัฐ คำสั่งของประธานาธิบดีจะต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญ คำสั่งจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่เรื่องนิยาย คำสั่งของผู้พิพากษาครั้งนี้ส่งความยินดีไปยังกลุ่มประท้วงต่างๆทั่วประเทศอีกทั้งคาดว่าการประทวงจะสงบลง นายเอริค เฟอร์เรโร่ โฆษกของ Amnesty International USA กล่าวคำสั่งนี้เป็นเพียงชั่วคราว สภาคองเกรสควรจะก้าวเข้าไปเพื่อบล้อคคำสั่งที่ไม่ชอบนี้เพื่อให้มีผลตลอดไป ยังมีอีก 4 รัฐที่ได้รับเรื่องฟ้องร้อง คำสั่งศาลออกมาหลังจากที่อัยการของ 4 รัฐได้ยื่นฟ้องคำสั่งของฝ่ายบริหารที่ระบุว่าออกมาเพื่อความปลอดภัยของประเทศเป็นสำคัญ แต่อัยการ 4 รัฐมองว่าออกมาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมเพราะมีเป้าหมายห้ามพลเมืองที่มีความเชื่อทางศาสนา (หมายเหตุ-รัฐธรรมนูญสหรัฐใน First Amendment ประกันถึงเสรีภาพในการแสดง เสรีภาพในการพูด เขียนและเสรีภาพในความเชื่อด้านศาสนา) ก่อนหน้านี้เมื่อเช้าวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ผู้พิพากษารัฐบาลกลางแห่งบอสตัน ไม่อนุญาตให้มีการต่ออายุคำสั่งของฝ่ายบริหารที่สั่งห้าม 3 เดือน โดยผู้ฟ้องต้องการให้ temporary restraining order ยาวมากกว่า 3 เดือน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยว่าคำสั่งของฝ่ายบริหารมีผลกระทบประมาณ 60,000 คนที่ถือพาสปอร์ตจาก 7 ประเทศ ในขณะที่สื่อมวลชนเสนอรายงานจากข้ออ้างของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐว่ามีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 100,000 คน ขณะที่นายลีโอนี บริ้งค์มา ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรัฐบาลกลาง,อเล้กซานเดรีย เวอร์จิเนียได้สั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางจัดทำบัญชีรายชื่อมายื่นภายในวันพฤหัสบดีหน้าว่า ใครบ้างที่ถูกปฏิเสธเข้าสหรัฐหรือใครบ้างที่ถูกส่งตัวกลับ ขณะที่รัฐฮาวายได้ยื่นฟ้องเช่นกันว่าคำสั่งประธานาธิบดีไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลออกคำสั่งบล้อคทั่วประเทศ กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ( Department of Homeland Security)ออกคำแถลงเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ว่าไม่มีแผนการที่จะห้ามประเทศอื่นนอกเหนือไปจาก 7 ประเทศ DHS เปิดเผยด้วยว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้ถือใบเขียว (green card)ของสหรัฐไม่ว่าจะเป็น 7 ประเทศหรือประเทศอื่นใด รวมทั้งไม่กระทบต่อบุคคลที่ช่วยเหลือกองทัพสหรัฐ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้บางคนที่เป็นชาวอิรัก(ถือใบเขียว)และช่วยเหลือด้วยการเป็นล่ามให้กองทัพสหรัฐมานานก็ถูกกักตัวที่สนามบิน จนให้ทนายยื่นฟ้องและสามารถกลับเข้าสู่สหรัฐได้ นสพ.นิวยอร์กไทมส์ รายงานเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐได้จัด conference call กับสายการบินต่างๆหลังจากคำสั่งศาลออกมา โดยระบุให้สายการบินอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยอพยพและบุคคลถือพาสปอร์ต 7 ประเทศที่สั่งห้ามเข้าสหรัฐไปก่อนหน้านี้ขึ้นเครื่องบินเข้าสู่สหรัฐได้ ทั้งนี้นิวยอร์ก ไทมส์ไม่อาจระบุได้เพราะ conference call เป็นเรื่องภายในระหว่างเจ้าหน้าที่กับสายการบิน คำฟ้องที่รัฐวอชิงตันยื่นฟ้องต่อศาล สรุปดังนี้ คำสั่งของประธานาธิบดี...ทำให้ครอบครัวชาวรัฐวอชิงตันแตกแยก,เป็นอันตรายต่อชาวรัฐวอชิงตันหลายพันคน,ทำลายเศรษฐกิจรัฐวอชิงตัน,ทำอันตรายต่อบริษัทที่ใช้รัฐวอชิงตันเป็นฐานบริษัท,เป็นการแทรกแซงอธิปไตยของรัฐวอชิงตันที่ยังยินดีที่จะต้อนรับบรรดาผู้ลี้ภัยอพยพและคนเข้าเมือง Temporary Restraining Order คำสั่งห้ามชั่วคราว (A restraining order) เป็นคำสั่งศาลเพื่อปกป้องบุคคลหรือสาธารณะทั่วไป ที่อาจเกี่ยวข้องกับความรุนแรงในครอบครัว,การล่วงละเมิดทางใดทางหนึ่ง,การคุกคามและการคุกคามทางเพศ ในสหรัฐอเมริกาแต่ละรัฐจะมีกฎหมายที่ว่านี้แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะมุ่งเรื่องความรุนแรงในครอบครัว เช่นศาลอาจจะสั่งให้สามีที่ทำร้ายร่างกายภรรยาห้ามเข้าใกล้ในระยะ 300 หลา เป็นต้น บุคคลที่ถูกคุกคามหรือถูกล่วงละเมิดมีสิทธิ์ยื่นฟ้องร้องขอความคุ้มครองต่อศาล เมื่อศาลออกคำสั่งแล้วหากบุคคลผู้ถูกห้ามนั้นไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจะถูกจับกุมและตัดสินลงโทษ กฎหมายบางรัฐถือว่าการขัดคำสั่งศาลเป็นโทษทางแพ่งหรือทางอาญา ในกรณีนี้เป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นรัฐบาลกลางมีผลบังคับทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในระยเวลา 4 เดือน ที่มา thaitribune
Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2560 | | |
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2560 0:13:14 น. |
Counter : 354 Pageviews. |
| |
|
|
|