นอกจากที่ตาบอด ยังมีต้นสวาปามอีก โดย สำเริง คำพะอุ



สำเริง คำพะอุ เขียนไว้ในสำนักข่าวเจ้าพระยา นิวส์ ถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่งท้ายปี 2559 ให้จำคุก ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯกทม.สมคาด สืบตระกูล เลขานุการผู้ว่าฯกทม.สมัยนั้นและชวน พัฒนวรานนท์ อดีตผอ.เขตบางซื่อ ที่จัดซื้อที่ดินตาบอดแพงกว่าราคาจริง 36 ล้านบาท รวมทั้งยังมีเงินค่านายหน้าอีก 18 ล้านบาท หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Kickback มักเกิดกับผู้มีอำนาจหน้าที่ในการให้คุณให้โทษทางการเงินเช่นอนุมัติให้สัมปทานหรือรับเหมาก่อสร้าง จากนั้นเงินก็วิ่งย้อนกลับมาที่ตนเป็น % แล้วแต่ตกลงกัน ดังนี้.....

 

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ได้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ส่งท้ายปี 2559 เป็นคดีที่ค่อนข้างสะเทือนเลื่อนลั่น  ต่อนักการเมือง นักกิจกรรม และข้าราชการคดีหนึ่ง

โดยศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินจำคุก นายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่า  และนายชวน  พัฒนวรานนท์ อดีตผู้อำนวยการเขตบางซื่อ และคนอื่นๆ กรณีที่ กทม.  ซื้อที่ดินเป็นที่จอดรถขยะ และรถอื่นๆของเขตบางซื่อ ในวงเงิน 270  ล้านบาท  แพงกว่าความเป็นจริง  36 ล้านบาท  และมีค่านายหน้า 18 ล้านบาท

ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ ตาบอด อีกต่างหาก

เส้นทางการเงินที่ว่าเป็นค่า นายหน้า 18  ล้านบาท  ยังไปปรากฏอยู่ในบัญชีของนายพิจิตต  รัตตกุล นายสมคาด  สืบตระกูล และนายชวน พัฒนวรานนท์  (ปรากฏในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์) ด้วย

ผมจำคดีนี้ได้ดี เพราะเมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นเป็นขณะที่ผม  เป็นคอลัมนิสต์อยู่ที่หนังสือพิมพ์ สยามรัฐ รายวัน คอลัมน์ วันต่อวัน

ผมให้ความสนใจกับกรณีที่ กทม.  ซื้อที่ดินตาบอดแห่งนี้  ในขณะที่ นักข่าว กทม.  ไม่ค่อยจะสนใจ  ที่ผมสนใจเพราะ ทำไม กทม. ไปซื้อที่ดินตาบอด และทำไม กทม. ต้องแยกเช็คค่าที่ดิน ออกมาต่างหากอีกจำนวนหนึ่ง ที่ว่ากันว่า เป็นค่านายหน้า

ผมเพิ่งจะเจ้าใจ และร้อง อ๋อ  เมื่อได้เห็นคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

อยากให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน เพื่อที่จะได้วิเคราะห์กันต่อไป ดังนี้

ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกดร.โจ พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. 5 ปี คดีซื้อที่ดินตาบอดเขตบางซื่อเมื่อปี 2538 หลังศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยให้จำคุกอดีตผอ.เขตบางซื่อ 10 ปี และอดีตเลขานุการผู้ว่าฯกทม. 7 ปี โดยพิพากษาแก้ให้จำคุกอดีตเลขาฯผู้ว่าฯกทม. เหลือ 5 ปี และอดีตผอ.เขต 7 ปี จำเลยยื่นประกัน ศาลตีราคาประกัน 8 แสน-1 ล้านบาท พร้อมห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ด้านดร.พิจิตตหัวเราะได้ ย้ำไม่เครียด

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 27 ธ.ค. ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายพิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯกทม. นายญาณเดช ทองสิมา อดีตรองผู้ว่าฯกทม. นายมหินทร์ ตันบุญเพิ่ม อดีตที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. นาย สมคาด สืบตระกูล อดีตเลขานุการผู้ว่าฯกทม. นายประเสริฐ สมะลาภา อดีตปลัดกทม., นายสมควร รวิรัฐ อดีตผอ.สำนักการคลัง กทม. นางอรุณพรรณ แก้วมรินทร์ อดีตผอ.กองระบบการคลัง กทม. และนายชวน พัฒนวรานนท์ อดีตผอ.เขตบางซื่อ เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีใช้อำนาจในหน้าที่ ให้กรุงเทพมหานครจัดซื้อที่ดินใช้เป็นที่จอดรถขยะ รถน้ำ และรถอื่นๆ ของกทม. ย่านบางซื่อ ในราคา 270 ล้านบาท ซึ่งแพงเกินจริงเป็นเงินกว่า 36 ล้านบาท และรับค่านายหน้าขายที่ดินเป็นเงิน 18 ล้านบาท

อัยการโจทก์ฟ้องเมื่อเดือนต.ค. 2553 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 4 ธ.ค.38-16 ก.ย.40 จำเลยเรียกทรัพย์สินจากการดำเนินการจัดซื้อที่ดินของนายสุพจน์ และนางสุณี มโนมัยพันธุ์ เพื่อจัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นที่จอดรถขยะรถน้ำ ของกทม. หลังประกาศให้ประชาชนเสนอขายที่ดินแก่ กทม. ต่อมานายชวนรายงานว่า นายสุพจน์และนางสุณีเสนอขายที่ดิน 17 แปลง เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา พร้อมอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ตั้งอยู่ในซอยเรียงปรีชา ถนนประชาราษฎร์ 1 แขวงและเขตบางซื่อ กทม. ตารางวาละ 60,000 บาท

บริษัทวินโล จำกัด เสนอขายที่ดินเนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ราคาตารางวาละ 65,000 บาท ต่อมานายชวน ผอ.เขตบางซื่อ มีหนังสือสอบถามราคาประเมินที่ดินของนายสุพจน์เพียงรายเดียว รวม 15 โฉนด ไปยังสำนักงานที่ดินกทม. ที่ตีราคาประเมินที่ดินดังกล่าวตารางวาละ 42,000 บาท ขณะที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ตีราคาประเมินตารางวาละ 60,000 บาท

นอกจากนี้ ที่ดินนั้นก็ไม่ปรากฏว่าทางเข้า-ออกมีการจดทะเบียนโอนเป็นทางสาธารณประโยชน์ แต่ทางเข้า-ออกตกเป็นภาระจำยอมโดยการจัดซื้อที่ดินได้เสนอให้จำเลยพิจารณาอนุมัติจัดซื้อที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวโดยวิธีการพิเศษ ตามข้อบัญญัติกทม.เรื่องการพัสดุ พ.ศ. 2538 โดยมีนายสมควร รวิรัฐ ผอ.สำนักการคลัง กทม. เป็นประธานกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ ซึ่งขัดข้อบัญญัติกทม.เรื่องการพัสดุพ.ศ. 2538 เนื่องจากไม่ใช่พัสดุที่ต้องซื้อเร่งด่วน แต่คณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษเชิญนายสุพจน์และนางสุณี มโนมัยพันธุ์ ต่อรองราคา โดยไม่พิจารณาผู้เสนอขายรายอื่นก่อนมีมติให้จัดซื้อที่ดินดังกล่าว ในราคาตารางวาละ 59,900 บาท รวมเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 76 ตารางวา ซึ่งรวมราคาหลังต่อรองลงแล้ว 270 ล้านบาท กระทั่งวันที่ 16 ก.ย.2540 จำเลยมอบอำนาจให้นายชวน ผอ.เขตบางซื่อ ทำสัญญาจัดซื้อที่ดินจากนายสุพจน์

ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อปี 2558 ว่านายสมคาด สืบตระกูล จำเลยที่ 4 กระทำผิดตามมาตรา 149 ให้จำคุก 8 ปี ส่วนนายชวน พัฒนวรานนท์ จำเลยที่ 8 กระทำผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินฯ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามมาตรา 149 และ 157 ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักสุด จำคุกจำเลยที่ 8 เป็นเวลา 10 ปี ต่อมาอัยการโจทก์ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 ยื่นอุทธรณ์

โดยวันนี้นายพิจิตต จำเลยที่ 1 นายสมคาด จำเลยที่ 4 และนายชวน จำเลยที่ 8 พร้อมทนายความและบุคคลใกล้ชิดเดินทางมาศาล ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า จำเลยที่ 1, 4 และ 8 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตฯ และฐานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้นายสุพจน์ มโนมัยพันธุ์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินจ่ายเงินจำนวน 18 ล้านบาทให้นายชูศักดิ์ ศรีประเสริฐ นายหน้าขายที่ดิน เป็นค่ามัดจำที่ดินและค่านายหน้าในการซื้อขายที่ดิน

นายสุพจน์เจ้าของที่ดินได้เขียนเช็ค 2-3 ครั้ง จำนวน 18 ล้านบาทให้นายชูศักดิ์ ศรีประเสริฐ นายหน้าขายที่ดินซึ่งอ้างว่าเพื่อจ่ายค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมที่ดิน แต่ปรากฏว่าภายหลังมีการนำแคชเชียร์เช็คเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องหลังจากการซื้อขายที่ดิน จึงเชื่อว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินของกทม. และมีการโอนเงินเข้าบัญชีของนายพิจิตต จำเลยที่ 1 โดยที่ไม่ได้มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน และไม่ได้ยื่นแบบภาษีเงินได้ที่มีเงินเข้าภายหลังจากกทม.ซื้อที่ดินของนายสุพจน์เพียงไม่กี่วัน

ชี้ชัดว่าเป็นเงินที่เกี่ยวข้องการขายที่ดินของนายสุพจน์ให้แก่กทม. ฟังได้ว่าจำเลยที่ 8 และพวกเรียกรับเงินจากนายสุพจน์เป็นการตอบแทนที่จำเลยที่ 8 กับพวกช่วยดำเนินการให้กทม.ซื้อที่ดิน และจำเลยที่ 8 ทราบดีว่า ที่ดินดังกล่าวมีสิ่งปลูกสร้าง แม้นายสุพจน์จะยกสิ่งปลูกสร้างให้กับกทม. แต่จำเลยที่ 8 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกทม.ไม่จดทะเบียนสิทธิ์นิติกรรมที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ตรงตามความเป็นจริงว่ามีสิ่งปลูกสร้าง การที่จำเลยที่ 8 ไม่แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินก็เพื่อช่วยเหลือนายสุพจน์ไม่ให้ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายที่ดินและค่าธรรมเนียมจดทะเบียน จำเลยที่ 8 จึงมีความผิด ตามมาตรา 149 และ 157

ขณะที่นายสมคาด จำเลยที่ 4 เป็นคณะ กรรมการตซช. มีหน้าที่พิจารณาและตรวจสอบทำเลที่ดินที่กทม.ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งจำเลยที่ 4 มีความเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 8 ในการซื้อขายที่ดิน และจำเลยที่ 8 ไม่มีเหตุโกรธเคืองหรือปรักปรำจำเลยที่ 4 การที่จำเลยที่ 8 ซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวน 3 ล้านบาท สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 4 แสดงว่าจำเลยที่ 8 ประสงค์จะแบ่งเงินให้จำเลยที่ 4 ที่จำเลยที่ 4 อ้างว่าไม่ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 8 สั่งซื้อแคชเชียร์เช็คให้กับตัวเองนั้นเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และพยานที่เบิกความก็เป็นทีมงานของจำเลยที่ 4 จึงเชื่อว่าเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 4 มากกว่า

ส่วนเงินฝาก 1 ล้านบาทในบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขานนทบุรี ของจำเลยที่ 4 ที่อ้างว่าเป็นเงินมรดกที่ได้รับจากมารดาจึงนำมาเข้าบัญชีตนเองนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 4 อยู่บ้านเดียวกับมารดาตลอดและทราบดีว่าการเก็บเงินสดไว้กับตนเองจำนวนมากจะไม่ปลอดภัย หากมารดาเก็บเงินได้มากขนาดนี้จำเลยที่ 4 จะต้องนำเข้าฝากไว้กับธนาคารนานแล้ว และที่อ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกเป็นข้อต่อสู้ที่ไม่อาจรับฟังได้ ที่สำคัญคือจำเลยที่ 4 ไม่สามารถนำสืบแหล่งที่มาของเงินจำนวน 1 ล้านบาทได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลย 4 ได้รับเงินจากจำเลยที่ 8 ที่เรียกค่าตอบแทนการดำเนินจัดซื้อที่ดินจากนายสุพจน์

นอกจากนี้ จำเลยที่ 8 ได้ถอนเงินจำนวน 5 ล้านบาทและนำเงินฝากเข้าบัญชีกระแสรายวันธนาคารเอเชีย สาขาสาทร และนำเงินเข้าธนาคารไทยทนุ สาขาชิดลมอีกจำนวน 5 ล้านบาท ของนายพิจิตต และเมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของนายพิจิตต จำเลยที่ 1 นายสุพจน์ และเงินที่ จำเลยที่ 8 ฝากเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 แล้วก็เป็นเงินส่วนหนึ่งที่นายสุพจน์ได้จากการขายที่ดินให้กับกทม.

แม้โจทก์ไม่สามารถที่จะหาหลักฐานเชื่อมโยงเงินจำนวนดังกล่าวได้ชัดเจน แต่ก็เป็นหน้าที่จำเลยที่ 1 จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงถึงเงินจำนวนดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า เงินจำนวน 10 ล้านบาทเป็นเงินที่มีอยู่เดิมและได้แจ้งต่อป.ป.ช.ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง เห็นว่าในสำเนารายการแสดงบัญชีทรัพย์สินจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดทำเอง ซึ่งการแสดงรายการสินทรัพย์เป็นเงินสดไม่มีอะไรเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่ามีเงินสดจำนวนดังกล่าวอยู่จริง ทั้งนี้ หากจำนวนเงินสดที่แจ้งไว้มีมากถึง 13 ล้านบาท ย่อมจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันที่มาของเงินได้ไม่ยาก

แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีหลักฐานมาแสดงจำนวนเงินสดที่จำเลยที่ 1 แจ้งไว้ในรายการทรัพย์สิน จึงไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมประกอบธุรกิจและใช้บัญชีธนาคาร ต้องทราบดีว่าหากเก็บเงินสดไว้จะไม่ปลอดภัยและขาดประโยชน์ที่จะได้จากดอกเบี้ย เมื่อตรวจสอบบัญชีของจำเลยที่ 1 ทั้งสองธนาคาร ทราบว่ามีการเบิกเงินเกินบัญชี มียอดหนี้ธนาคารมาตลอดทั้งสองบัญชี ซึ่งสภาพการเงินเป็นหนี้ 10 ล้านบาท ต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคาร 2 แห่ง แห่งแรก 7 หมื่น แห่งที่สอง 8 หมื่นบาท จึงยังฟังไม่ได้ว่าเหตุใดที่จำเลยที่ 1 ต้องเก็บเงินสดไว้กับตัวเอง ยอมเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคาร

พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้ ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1, 4 และ 8 ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับ ทรัพย์สินสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบฯ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ส่วนที่จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 อ้างว่ากทม.ไม่ได้รับความเสียหายและโทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา นั้นเกินสมควร

เห็นว่าแม้จำเลย 4 และ 8 จะเรียกรับเงิน แต่ศาลปกครองได้มีคำวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ไม่ทำให้กทม.ได้รับความเสียหาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 8 ปี และจำคุกจำเลยที่ 8 เป็นเวลา 10 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าหนักเกินไป จึงพิพากษาแก้โทษให้เหมาะกับพฤติการณ์แห่งคดี จึงพิพากษาแก้โทษเป็นจำคุก จำเลยที่ 1 และ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา คนละ 5 ปี และให้จำคุกจำเลยที่ 8 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เป็นเวลา 7 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ภายหลังทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1, 4 และ 8 ระหว่างฎีกาสู้คดี พร้อมนำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดินให้ศาลพิจารณา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาของศาลว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราวหรือไม่

ต่อมาเวลา 16.30 น. ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกันนายพิจิตต จำเลยที่ 1 และนายสมคาด จำเลยที่ 4 คนละ 8 แสนบาท โดยไม่ได้กำหนดเงื่อนไข ส่วนนายชวน จำเลยที่ 8 ตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล

นายพิจิตตกล่าวภายหลังด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า ขณะนี้ทำงานอยู่องค์กรระหว่างประเทศ ทุกวันนี้ก็เอาใจช่วยผู้ว่าฯกทม.ทุกคนอยู่ ส่วนเรื่องการสู้คดีในชั้นฎีกาให้เป็นเรื่องของทนายความ ก็ไม่รู้สึกเครียด เพราะเครียดกว่านี้ก็เคยมา นายพิจิตตกล่าวพร้อมหัวเราะ

ที่มา thaitribune




Create Date : 04 มกราคม 2560
Last Update : 4 มกราคม 2560 10:55:11 น. 0 comments
Counter : 346 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.