นายกฯประกาศ 3 เดือนก่อนสงกรานต์จับรถโดยสารสาธารณะผิดกฎหมายทุกคดี-สั่งทำสมุดประจำรถ



นายกฯประกาศ 3 เดือนก่อนสงกรานต์ดำเนินคดีรถโดยสารสาธารณะผิดกฎหมายทุกคัน-สั่งทำสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับ เวลาขับ ทุกเส้นทาง รถต้องเปลี่ยนการใช้แก๊สหุงต้มมาเป็นแก๊ส NGV ไม่อยากให้ตายมาก คสช.เผย 6 วันยึดรถดื่มแล้วขับ 4,208 คัน

 

เมื่อเวลา 13.05 น. วันที่ 4 มกราคม 2560 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงสถิติตัวเลขอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ยังสูงอยู่ ว่า เรื่องของการจราจรให้ไปถามความคิดของคนที่จะมาเป็นรัฐบาลต่อไปว่า จะแก้อย่างไร วันนี้อย่ามาถามตน แต่ถ้ามาถามตนจะตอบว่า ได้ทำทุกวิถีทางแล้ว ไม่ว่าจะใช้มาตรา 44 การยึดรถ การจับกุม ทำหมดแล้ว แต่ก็ยังมีตายอยู่ หลักการง่ายๆ ถ้ามีกิจกรรมก็จะมีผลอย่างนี้เกิดขึ้น คนใช้รถมาก น้ำมันถูก ถนนดีขึ้น รถก็วิ่งเร็วมากขึ้น ขณะที่สังคมคนยังดื่มสุราขับรถอยู่เหมือนเดิม แล้วจะมีกฎหมายไหนที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ นอกจากจิตใจการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน ท่านมาถามจะแก้อย่างไร การประชุมครม.พูดคุยเรื่องนี้กันยาวพอสมควร

“ผมมีวิธีเดียวคือ จากนี้เป็นต้นไป ภายใน 3 เดือน จะดำเนินคดีทุกอย่างไม่ว่าจะเกี่ยวกับรถ คนขับ รถไม่ได้มาตรฐาน รถตู้ที่บรรทุกเกินที่นั่งจำนวนที่กำหนด เบียดเสียดยัดเยียดบนรถประจำทางทั้งหมด รถโดยสารประจำทางทั้งหมดที่ให้บริการ จะต้องมีสมุดประจำรถ ลงชื่อคนขับ เวลาขับ ทุกเส้นทาง โดยด่านตรวจทุกด่านจะต้องตรวจทั้งหมด ถ้าขับเกินเวลาต้องยึดรถ เอาคนลง แล้วหารถใหม่ คนขับใหม่ ผมจะใช้มาตรการนี้เข้มงวดใน 3 เดือน ก่อนถึงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ครั้งต่อไป อย่าโวยวาย ถ้าใครวิ่งไม่ได้ เดี๋ยวผมหารถมาวิ่งเอง รถพวกนี้เป็นรถร่วมบริการทั้งสิ้น ถ้าทุกคนต้องการความปลอดภัย ต้องร่วมมือกับผม ถ้าไม่อยากให้มีการตายมาก เพราะวันนี้ทำเต็มที่แล้ว มีด่านมากกว่าปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่มากกว่าปีที่แล้ว ยึดรถเป็นหมื่น แล้วต้องมาดูแลรักษารถอีก แล้วยังบาดเจ็บสูญเสียอีก”นายกฯกล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ไปดูรถตู้ให้บรรทุกเท่าไหร่ตามกฎหมายกำหนด ต้องมีสายรัดนิรภัย และต้องดูคาดหรือไม่ ส่วนรถกระบะใช้บรรทุกของ ก็ไปนั่งท้ายกันเป็นสิบๆคน วิธีทางแก้ต้องมีมาตรการในเชิงป้องกัน และต้องแก้ปัญหาในระยะยาว แต่วันนี้จะแก้ปัญหาระยะสั้นก่อน บอกไปเท่าไหร่ก็แก้ไม่ได้ แก้ปัญหาด้วยมาตรา 44 ก็ยังแก้ไม่ได้ ดังนั้น จะมีอะไรมากไปกว่านี้ ต้องบังคับใช้กฎหมายก่อนที่จะมากกว่าไปนี้

“เพราะผมรับไม่ได้ ตายคนเดียวผมก็รับไม่ได้ คนบาดเจ็บ สูญเสียคือใคร พ่อแม่ ครอบครัว ลูกเมีย อนาคตหายไปทั้งหมด ความหวังของครอบครัวหมดไปทั้งสิ้น เหล่านี้ทุกคนต้องช่วยผม อย่ามากดดันรัฐบาลว่าต้องทำอะไร เพราะมันทำหมดแล้ว นี่คือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น “พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เรื่องของการใช้รถตู้เหมือนกัน รถตู้ต้องอยู่ในกรอบกติกา รถตู้ป้ายเหลืองไม่ใช่ปล่อยปะละเลย ที่ผ่านมาทุกรัฐบาลทำไมปล่อยให้มีรถตู้ผิดกฎหมายวิ่งอยู่ ก็เอาเขามาขึ้นทะเบียนให้เรียบร้อย เป็นป้ายเหลืองไปก่อนในช่วงจัดระเบียบ วันหน้าต้องเป็นป้ายรถขนส่งทั้งหมด ถูกต้องตามกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่การใช้เชื้อเพลิงก็ไม่ให้ความร่วมมือ ใช้แก๊สแอลพีจีซึ่งเป็นแก๊สหุงต้มมาใช้ในการขนส่ง พอเกิดอะไรขึ้นมารัฐบาลต้องรับผิดชอบอีก ฉะนั้น ต้องหามาตรการเปลี่ยนใช้แก๊สเอ็นจีวี ส่วนต้องเปลี่ยนภายในระยะเวลาเท่าไหร่จะหามาตรการมา ต่อไปนี้จะตรวจที่นั่งในรถตู้ ดูซิจะออกมาเดินขบวนกันอีกไหม ไม่อย่างนั้นมันก็จะเจ็บตายกันอยู่แบบนี้ และเดี๋ยวตนจะให้ถอดตัวกฎหมายต่างประเทศให้ดูว่า เขาห้ามอะไรบ้าง ใบขับขี่ทำอย่างไร

แต่ของเราแตะอะไรไม่ได้เลย บอกละเมิดสิทธิมนุษย์ แล้วอย่างนี้จะมาเอาอะไรกับตน บอกกฎหมายทุกอันละเมิดสิทธิมนุษยชนหมด เราปล่อยให้ตายไม่ได้แล้ว เพียงแต่เรื่องของระบบขนส่งที่ผ่านมา ทั้งส่วนของรถไฟ รถเมล์ ขสมก.เคยได้รับการปรับปรุงหรือไม่ จึงต้องมีรถตู้มาเสริม แต่ก็ดันไม่ปลอดภัย มันเป็นทั้งระบบ ตนไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ

นายกฯ กล่าวว่า ทุกคนไม่ได้อยู่ในเรื่องของระเบียบมาแต่แรก รัฐบาลปฏิรูปมาตลอดเวลา แต่ทำไม่ได้หรอก ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือ กฎหมายมีทุกตัว ต่อไปนี้พลขับโดนหมด บริษัทขนส่ง ผู้ประกอบการต้องไปดูแลเรื่องประกันรถ ต่อไปนี้ หากรถไหนไม่พร้อม ไม่ให้ออกจากท่า เราห้ามอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ช่วยกันมันก็ลำบาก มันก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ อับอายเขา เพราะสูญเสียเยอะทั้งคน และงบประมาณมากมาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งหมดคือเรื่องของการปฏิรูปที่ต้องทำแบบนี้

“ปล่อยมาสมควรแล้ว ด้วยกระแสต่อต้าน กระแสไม่เห็นด้วยเยอะแยะ และความสูญเสียที่เกิดขึ้นใครรับผิดชอบ ถามกันทุกปีมาตรการ ระเบียบมาตรฐานความปลอดภัย ทำแล้วกัน ถ้าไม่ทำมีเรื่องแน่ ตนจะเข้มงวดแล้ว”นายกรัฐมนตรีย้ำ

คสช.เผย 6 วันยึดรถดื่มแล้วขับ 4,208 คัน

เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยถึง การ​เข้าสู่วันสุดท้ายของมาตรการลดอุบัติเหตุช่วงปีใหม่ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือระมัดระวังในการเดินทาง แต่ก็ยังคงมีการเกิดอุบัติเหตุในบางพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกส่วนจะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการความปลอดภัยของการใช้เส้นทางให้มากขึ้น โดยเฉพาะรถบริการสาธารณะ ด้วยการตั้งจุดตรวจตามเส้นทางและบริเวณสถานีขนส่ง หรือจุดเชื่อมต่อคมนาคม เพื่อให้มาตรการดูแลความปลอดภัยมีความเข้มข้นยิ่งขึ้น

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า มาตรการลดอุบัติเหตุที่ยังคงดำเนินการต่อเนื่องคือ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” โดยในวันที่ 3 มกราคม 2560 ตรวจพบผู้กระทำผิดในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยประมาทด้วยการดื่มแล้วขับดังนี้

รถจักรยานยนต์ พบการกระทำความผิด 14,143 ครั้ง เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องยึดรถจักรยานยนต์ไว้ 458 คัน และส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 7,370 คน

รถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคล พบการกระทำความผิด 10,536 ครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ยึดใบขับขี่ไว้ 562 คน ยึดรถยนต์ 132 คัน ส่งผู้กระทำความผิดดำเนินคดี 3,924 คน

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่าตลอด 6 วัน ที่ผ่านมา (29 ธ.ค.2559–3 ม.ค.2560 ) เจ้าหน้าที่ได้ยึดรถที่ฝ่าฝืนมาตรการดื่มไม่ขับไว้แล้ว จำนวน 4,208 คัน (แยกเป็น รถจักรยานยนต์ 2,965 คัน และรถยนต์ 1,243 คัน) และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในส่วนรถจักรยานยนต์ 38,168 คน รถโดยสารสาธารณะ รถยนต์ส่วนบุคล 20,889 คน

สำหรับจุดบริการประชาชนตามหน้าค่ายทหารและเส้นทางคมนาคมของกองทัพบก ยังมีประชาชนเข้าใช้บริการต่อเนื่อง 8,486 คน และมีผู้เข้าเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแหล่งท่องเที่ยวและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของหน่วยทหาร จำนวน 17,308 ราย

ที่มา thaitribune




Create Date : 05 มกราคม 2560
Last Update : 5 มกราคม 2560 1:02:35 น. 0 comments
Counter : 240 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.