กำแพงกั้นชายแดนของทรัมป์กับการใช้ Internet of Things โดย พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.



ไม่บ่อยนักที่จะมีนโยบายที่เป็นที่พูดถึงและถูกวิจารณ์กันอย่างมากดังเช่นการที่จะสร้างกำแพงกั้นเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก ซึ่งจะเป็นกำแพงที่มีความยาวถึง 2,000 ไมล์ตลอดแนวชายแดนของทั้งสองประเทศและคาดว่าจะใช้งบประมาณประมาณ 15 – 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งงบประมาณดังกล่าวยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทั้งค่าใช้จ่ายสำหรับค่าจ้างบุคลากร เจ้าหน้าที่ และวัสดุอุปกรณ์สำหรับการลาดตระเวนต่างๆ เป็นต้น

 

แนวชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกมีความยาวเกือบ 2,000 ไมล์ ซึ่งเป็นแนวชายแดนที่เป็นพื้นดินที่ถือว่ายาวมากโดยเฉพาะเมื่อมีการเปรียบเทียบกับแนวชายแดนภาคใต้ของเม็กซิโก อย่างไรก็ดี ผู้อพยพเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายส่วนใหญ่ที่มาจากเม็กซิโกมักจะเดินทางเข้าสู่สหรัฐอเมริกาผ่านจากประเทศอื่นที่อยู่ทางใต้ของเม็กซิโก

งบประมาณมูลค่า 25 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ประมาณว่าต้นทุนในการสร้างกำแพงชายแดนคือ 12.8 ล้านเหรียญสหรัฐต่อไมล์ ซึ่งขณะนี้มีการสร้างรั้วอยู่แล้วความยาวประมาณ 670 ไมล์ แต่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่ารั้วกั้นเหล่านี้จะยังคงอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ แต่สัญญาณต่างๆ ล้วนมุ่งไปที่เรื่องการสร้างกำแพงใหม่ตลอดแนวชายแดน อีกทั้งผู้ที่จะมารับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นยังคงไม่ชัดเจน แต่ขณะนี้ยังคงตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีของสหรัฐอเมริกา

ทรัมป์ให้คำตอบว่า จะใช้คอนกรีต เหล็กเส้นและเหล็กในการก่อสร้างกำแพง โดยทรัมป์บอกเป็นนัยว่ากำแพงนี้จะสูงประมาณ 90 ฟุต ซึ่งเป็นกำแพงกั้นชายแดนที่สูงมากกว่าที่เคยสร้างเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ที่มีความสูง 55 ฟุต
กำแพงชายแดนนี้จะเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และอาจจะเป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่

จากบทสัมภาษณ์ของ Todd Sternfield ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Superior Concrete Products โดย Todd ได้กล่าวว่าในการสร้างกำแพงนี้จำเป็นจะต้องใช้คอนกรีตถึง 250,000 รอบการขนโดยรถบรรทุก นอกจากนี้ยังต้องใช้เหล็กเสริมความแข็งแรงและวัสดุอื่นๆ อีกหลายตัน ซึ่งการจะสร้างกำแพงนั้นสามารถทำได้แต่ใช้เงินมากและไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อีกปัญหาหนึ่งของโครงการก่อสร้างกำแพงคือการจัดการเรื่องที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ตามแนวเขตชายแดน โดยรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่เจ้าของที่ดินเหล่านั้นในราคาที่เป็นธรรมซึ่งถือเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีก หรือจะทำการเวนคืนโดยยึดเอาที่ดินเหล่านั้นมาเป็นของรัฐบาลโดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชย ซึ่ง โดนัล ทรัมป์ ยังคงกล่าวย้ำว่าอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้มาตรการการยึดเอาที่ดินเหล่านั้นมาเป็นของรัฐบาล แต่วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่มักจะทำกัน เพราะเป็นการบังคับในการยึดที่ดินคืนจากเจ้าของที่ดิน โดยขณะนี้กำแพงชายแดนที่มีอยู่ตอนนี้ ทำให้เกิดความตึงเครียดทางเศรษฐกิจ เมื่อกำแพงจะต้องสร้างผ่านที่ดินเอกชน สนามกอล์ฟ Texas ต้องหยุดดำเนินกิจการเมื่อกำแพงชายแดนได้แบ่งแยกพื้นที่ของสนามกอล์ฟ

การสร้างกำแพงระยะทางระหว่าง 1,300 และ 2,000 ไมล์ตลอดแนวชายแดนนั้น เป็นเรื่องที่ท้าทาย ทั้งแนวเขตที่เป็นพื้นที่ธรรมชาติ แนวชายแดนบางส่วนที่เป็นเนินเขาสูง แม่น้ำและพื้นที่ขรุขระต่างๆ ซึ่งยิ่งทำให้การสร้างกำแพงยิ่งยากมากขึ้น ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีทางเลือกอื่น ที่สามารถสร้างกำแพงได้โดยไม่ต้องรุกที่ดินเอกชน และทำลายภูมิประเทศทางธรรมชาติ

ทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นไปได้แทนที่แนวเขตที่ต้องสร้างขึ้นคือ การใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ซึ่งสามารถช่วยให้เราสามารถรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนได้และสามารถติดตามได้ด้วยว่า อะไรที่เข้าและออกจากประเทศของเรา ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการนำมาใช้กันอยู่แล้ว โดยในประเทศหลายประเทศ ได้มีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามแนวเขตชายแดน

หลังจากที่ประเทศอิสราเอลถูกจู่โจมตามแนวชายแดนทิศใต้ จึงได้ให้บริษัท Magna BSP ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบรักษาความปลอดภัยมาออกแบบระบบให้ โดย Magna BSP สามารถตรวจจับการบุกรุกของมนุษย์ที่ไม่ว่าจะเดินเท้า คลาน ว่ายน้ำหรือขับรถผ่านแนวเขตชายแดนได้ โดยไม่มีข้อผิดพลาดเลย และยังสามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้หน่วยลาดตระเวนตามชายแดนรู้ตำแหน่งของผู้บุกรุกที่แน่นอนด้วย และยังสามารถตรวจจับวัตถุ เช่น อาวุธได้ด้วย นอกจากนี้ เมื่อมีการสร้างกำแพงกั้นก็ตาม แต่อย่าลืมว่า “โดรน” ก็ยังสามารถข้ามผ่านกำแพงไปได้ แต่อย่างไรก็ตามระบบของ Magna BSP สามารถตรวจจับโดรนและอากาศยานอื่นๆ ได้ แม้ในเวลากลางคืนก็ตาม

อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่มีการใช้งานกันอยู่แล้วคืออาคารเซนเซอร์ อาคารเหล่านี้บรรจุไว้ซึ่งเทคโนโลยีมากมาย ทั้งเรดาร์ กล้องอินฟราเรด การตรวจจับความร้อน และการเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยลาดตระเวนชายแดนได้เป็นอย่างดี อาคารเหล่านี้ทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายร่วมกับอาคารอื่นๆ ด้วย โดยเมื่อมีคนข้ามผ่านเครือข่ายในการตรวจจับ จะมีสัญญาณแจ้งเตือนพร้อมวิดีโอแบบ real-time แสดงผลทันที

แต่การแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ ก็ยังมีความท้าทายเช่นกัน โดยตอนเปิดตัวเทคโนโลยีครั้งแรกนั้น พบว่าเทคโนโลยีมีราคาสูงมาก และมีความผิดพลาดบ่อยครั้ง โดยในปี ค.ศ. 2006 การทดสอบของ SBInet ผู้เริ่มต้นใช้เทคโนโลยีนี้เป็นรายแรกๆ ต้องใช้เงินเกินงบประมาณที่ตั้งไว้หลายเท่าเพื่อการแก้ไขปัญหา ซึ่งหลังจากนั้น เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นตามมา สามารถทำงานได้ดีขึ้น มีความถูกต้องแม่นยำ และใช้งานได้ในระยะไกล หน่วยลาดตระเวนชายแดนสามารถนั่งทำงานในห้องทำงานและยังสามารถตรวจสอบบุคคลที่บุกรุกได้ในระยะไกลออกไป 7 ไมล์ และสามารถแจ้งให้หน่วยลาดตระเวนในพื้นที่นั้นๆ บุกจับได้โดยทันที

การสร้างกำแพงคอนกรีตขนาดใหญ่ จำเป็นจะต้องใช้เงินทุนสูงและยากที่จะรื้อถอน และประสิทธิภาพการใช้งานยังคงจำกัดอยู่เพียงการข้ามชายแดนผ่านทางการเดินเท้าหรือใช้ยานพาหนะข้ามชายแดนเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ที่ผู้อพยพเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาจะใช้เป็นเส้นทางผ่านแบบนั้น

เจ้าหน้าที่หน่วยการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา รายงานว่าวิธีทั่วไปสำหรับการอพยพเข้ามายังสหรัฐอเมริกาแบบผิดกฎหมายส่วนใหญ่จะใช้วิธีการเดินทางทางอากาศ หรืออุโมงค์ ที่กำแพงก็ไม่สามารถกั้นได้ ดังนั้น หากจะต้องลงทุนเงินจำนวนมหาศาล เพื่อสร้างกำแพงกั้น ก็อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด การตรวจตราที่ใช้ได้ดีกว่า มีความแม่นยำ และตอบสนองได้อย่างรวดเร็วคือการนำเทคโนโลยี Internet of things มาใช้ หรืออาคารเซนเซอร์ หรือกล้องสอดแนมต่างๆ อาจจะใช้งานง่ายกว่าการสร้างกำแพงคอนกรีตขนาดใหญ่กั้น แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างนโยบายที่สุดโต่งแต่ไม่น่าเป็นไปได้ ก็อาจเกิดประโยชน์ในเชิงการเมืองระดับโลกอย่างที่ทรัมป์กำลังทำอยู่ ซึ่งอาจเป็นผลดีกับการบริหารงานบางอย่างของทรัมป์ก็เป็นได้ เพราะทรัมป์ไม่น่าโง่จนไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยากและไม่มีประสิทธิภาพจริง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2560 4:57:43 น.
Counter : 425 Pageviews.  

สื่อมวลชน : ต้องปฏิรูปเหมือนกัน โดย วสิษฐ เดชกุญชร



ใครที่ได้เห็นภาพสื่อมวลชนที่ไปรุมล้อมท่าน เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เพื่อบันทึกภาพและเสียงของท่านเมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านไปนี้ ที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คงมีความรู้สึกคล้ายๆ กับผม คือรู้สึกว่าเป็นภาพที่น่าทุเรศที่สุดภาพหนึ่ง เป็นที่เข้าใจว่าสื่อมวลชนย่อมรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้ภาพและเสียงของท่านเพื่อจะนำไปเผยแพร่ตามหน้าที่และอาชีพของตน เพราะท่าน เจ้าพระคุณสมเด็จฯกำลังจะได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช

 

แต่สื่อมวลชนซึ่งผมเดาว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นพุทธศาสนิกชนนั้น น่าจะได้ตระหนักในกิริยามรรยาทและประเพณีนิยม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะทรงสมณศักดิ์หรือไม่ก็ตาม แต่จากภาพที่เห็นนั้น สื่อมวลชนเข้าไปใกล้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เกินไป จนผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังค้ำศีรษะท่าน ส่วนที่นั่งอยู่ข้างหน้าและใกล้ท่านที่สุดนั้นก็เป็นผู้หญิง ที่น่าเกลียดอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือ พากันถือวิสาสะ (ทะลึ่ง) วาง ไมโครโฟนลงบนอาสนะของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ

ผมเดาว่าตามปกติทางวัดคงมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลต้อนรับผู้ที่ไปกราบนมัสการท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯอยู่แล้ว แต่วันนั้นมีสื่อมวลชนเป็นจำนวนมากเข้าไปในวัดด้วย อาจเป็นประสบการณ์ใหม่ เจ้าหน้าที่จึงตั้งตัวไม่ทัน แต่จะอย่างไรก็ตามสื่อมวลชนเองน่าจะสำนึกในความควรและไม่ควรปฏิบัติเมื่อตนเข้าไปในปูชนียสถาน และต่อหน้าปูชนียบุคคล

วันนั้นท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ถึงกับต้องออกปากเตือนสื่อมวลชนว่า ผู้ที่มาร่วมภายในงานก็ดี นักข่าวหรือผู้สื่อข่าวก็ดี ควรเห็นใจซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นเราต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเข้าใจกันแล้ว ก็ควรที่จะประสานกันให้เป็นไปด้วยความงดงาม ดูดี ไม่ใช่ตุ้บตั้บๆ อย่างที่ทำกันทั่วไปอย่างทุกวันนี้ คิดว่างานนี้ครั้งนี้คงจะเป็นงานขั้นต้น ท่านทั้งหลายไม่ต้องแย่งกันจับภาพ เราจับภาพ ไปพร้อมๆ กัน แล้วมันจะสวยจะงาม 

แล้วสถานที่นี้ เราก็นึกดูก็แล้วกัน เป็นพระอุโบสถที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐทรงสร้างไว้ พวกเรารู้กันดีแล้ว ต่อจากนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าที่แห่งใดก็ตาม ก็ขอไม่ต้องยื้อแย่งกัน อาตมาจะนั่งให้ถ่ายอย่างดีๆŽ

สื่อมวลชนเป็นเหมือนอภิสิทธิชนพวกหนึ่ง เพราะมักได้รับอนุญาตให้เข้าไปในสถานที่หรือบริเวณที่คนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาต เพื่อแพร่ข่าวและภาพกิจกรรมในสถานที่หรือบริเวณนั้น ก่อนที่จะไปทำหน้าที่ของตน สื่อ มวลชนควรจะเตรียมตัวเตรียมใจไปให้พร้อม ไม่เฉพาะแต่นำเครื่องไม้เครื่องมือไปเท่านั้น แต่ควรแต่งตัวให้สุภาพและประพฤติตนให้สอดคล้องกับสถานที่ด้วย

ในกรณีของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนั้น สื่อมวลชนควรจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นทั้งปูชนียสถานและโบราณสถาน และเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปและพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยและชาวพุทธ

เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและคณะรัฐมนตรีได้เห็นพ้องต้องกันให้ตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ปรากฏว่าองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน 30 องค์กรได้ออกแถลงการณ์คัดค้าน หาว่ากฎหมายฉบับที่จะออกนี้เน้นหลักการควบคุมสื่อมวลชน โดยใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซงการทำหน้าที่โดยอิสระของสื่อมวลชน

และอ้างด้วยว่า องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้ พัฒนาระบบการกำกับดูแลกันเองด้าน จริยธรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของสื่อมวลชน และตอบสนองความเปลี่ยนแปลงของสังคมŽ

ภาพที่เห็นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามเมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ คงจะเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า ระดับความรับผิดชอบของสื่อมวลชนอยู่ในระดับไหน และระบบการกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรมได้ พัฒนาไปแล้วเพียงใด

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2560 0:28:05 น.
Counter : 338 Pageviews.  

การดำเนินคดีผู้กระทำผิด-เจ้าหน้าที่ไทยควรส่งจำเลยฟ้องร้องก่อนที่จะนำออกมาเสนอเป็นข่าวเพื่อให้เป็นมาต



ประเทศไทยมีคดีทุจริตและการค้ายาเสพติดที่กระทำเป็นขบวนการ ทั้ง 2 ประการทำให้เกิดความเสียหาย เช่นการทุจริตในการบินไทย,ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและข้าวจีทูจี,ทุจริตด้วยการบุกรุกอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ไม่เพียงแต่จะสูญเงินภาษีอากรของประชาชนในช่วงแรกเท่านั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายจับกุมยังต้องติดตามดำเนินคดีทำให้ประเทศเสียงบประมาณเพื่อดำเนินการอีกระลอก ขั้นตอนควรนำคดีขึ้นฟ้องร้องก่อนที่จะนำมาเปิดเผยเป็นข่าวตามหลักการสากล เพราะ ?

 

หากเราย้อนกลับไปดูวิธีการทำงานของสำนักงานสืบสวนการฉ้อฉลอุกฉกรรจ์แห่งสหราชอาณาจักรหรือเอสเอฟโอ (The Serious Fraud Office of UK) ที่มีอำนาจตามกฎหมาย Bribery Act 2010 ทำหน้าที่ในการสอบสวนและดำเนินคดีทั้งในเรื่องการฉ้อโกงและการคอร์รัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ,เอกชน,บริษัทต่างๆ จะเห็นได้ว่าหน่วยงานนี้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีบริษัทโรลส์-รอยซ์ ติดสินบนหลายประเทศเพื่อจะได้ขายเครื่องยนต์เครื่องบินให้กับประเทศนั้นๆ ประเทศไทยโดยการบินไทยก็ได้รับสินบนรวมอยู่ด้วย การสอบสวนของเอสเอฟโอในคดีนี้ใช้เวลา 5 ปีเริ่มจากปี 2012 ใช้ทีมงานกว่า 70 คนและใช้เงินไปแล้ว  13 ล้านปอนด์ (ประมาณ 557 ล้านบาท) หรือเป็นเงินที่มากสุดเป็นประวัติการณ์ของเอสเอฟโอ ก่อนที่เรื่องจะกลายเป็นข่าวในปี 2017

การสอบสวนของเอสเอฟโอไม่ได้แพร่งพรายมาสู่สื่อมวลชน แต่จะเป็นข่าวก็ต่อเมื่อได้มีการตกลงกันเรียบร้อยโดยบริษัทโรลส์-รอยซ์ ยอมเสียค่าปรับแก่รัฐบาลสหรัฐราชอาณาจักร เสียค่าสอบสวนให้กับเอฟสเอฟโอ เสมือนหนึ่งก็คือการ “ยอมความ” ไม่สู้คดีเพราะหากสู้คดีต่อไปบริษัทต้องใช้เงินมากกว่านี้และเรื่องอาจจะถูกเปิดเผยมากขึ้นต่อสาธารณะชน กฎหมายบางประเทศอนุญาตให้ดำเนินการได้ในเรื่องการเสียค่าปรับและการยอมความ โดยเฉพาะในคดีติดสินบนและบริษัทผู้ให้สินบนจะต้องยอมรับผิดด้วยว่าตัวเองได้กระทำลงไป  แต่หากบริษัทต้องการต่อสู้คดีก็ได้ โดยอัยการจะทำหน้าที่ยื่นฟ้องและเรื่องจะเปิดเผยหลังจากศาลประทับรับฟ้องเพราะถือเป็นข้อมูลสาธารณะ ( Public records) ไปแล้ว

เช่นเดียวกับการจับกุมยาเสพติดในสหรัฐอเมริกาหน่วยงานที่รับผิดชอบคือสำนักงานปราบปรามยาเสพติด(The Drug Enforcement Administration หรือDEA) ที่อยู่ภายใต้กระกทรวงยุติธรรม หน่วยงานมีหน้าที่ประสานกับสำนักงานสืบสวนกลาง (the Federal Bureau of Investigation หรือFBI)สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร ( Immigration and Customs Enforcement หรือ ICE)ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆในการสอบสวนทั้งภายในและภายนอกสหรัฐที่ส่งยาเสพติดเข้าไปจำหน่ายในสหรัฐ  เมื่อขอหมายศาลดำเนินการจับกุมแล้วจะไม่แพร่งพรายให้ใครรู้เพราะยังมีการ “ขยายผล” จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ครั้นจับกุมบุคคลในขบวนการได้แล้วอาจเป็นกว่า 100 คนในหลายเมืองหลายรัฐ จึงให้อัยการดำเนินคดีฟ้องร้อง  เมื่อศาลประทับรับฟ้องแล้วก็จะกลายเป็นข่าวให้ได้รับทราบกัน คดียาเสพติดไม่มีการยอมความ

เราเห็นว่ากรรมวิธีนี้ประเทศไทยควรจะนำมาพิจารณาปรับใช้ เพราะไม่ใช่จับกุมนายไซซะนะ พิมพาวงศ์ นักค้ายาเสพติดชาวลาวได้กลายเป็นข่าวคึกโครมว่าจะไปสอบคนนั้นคนนี้ทั้งไฮโซ ดารา นักแสดง ลูกนักการเมือง ฯลฯ ทำให้เกิดการไหวตัวในขบวนการได้ หรือกรณีพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ซึ่งไปสร้างบ้านพักตากอากาศในพื้นที่รุกล้ำอุทยานแห่งชาติทับลานหรือกรณีอื่นใดที่มีการบุกรุกอุทยานแห่งชาติ,ป่าสงวนแห่งชาติที่ผิดกฎหมาย ต้องสอบสวนถึงขั้นขอหมายศาลเพื่อการจับกุมเสียก่อน จากนั้นยื่นฟ้องต่อศาลเรื่องจึงสมควรนำเสนอเป็นข่าวได้เพราะถือเป็นข้อมูลสาธารณะไปแล้ว

การนำเรื่องออกเปิดเผยก่อนน่าจะเกิดผลเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรม ประการแรกเจ้าหน้าที่ทำงานยังไม่เรียบร้อย เมื่อนำข้อมูลมาเปิดเผยก่อนทำให้ไม่อาจจับกุมได้ทั้งขบวนการเพราะย่อมมีการไหวตัวแน่นอนเพื่อการทำลายหลักฐานหรือเปลี่ยนแปลงหลักฐาน  ตัวอย่างเช่นคดีเงินกู้ที่นายวิชัย ปั้นงาม หายตัวไปก็ไม่สมควรที่จะนำออกมาเผยแพร่จะต้องรวบรวมหลักฐานออกหมายจับและส่งฟ้องร้องทั้งขบวนการเสียก่อน  ประการที่สองบุคคลที่ถูกกล่าวหายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะรับฟ้องเพื่อให้มีการต่อสู้คดีและตัดสินคดี  ประการที่สามผู้กระทำผิดสามารถยื่นฟ้องร้องสวนกลับได้ทันทีด้วยการใช้กฎหมายมาปกป้องตัวเองเช่นการอ้างว่าเจ้าหน้าที่แก้ไขต่อเติมเอกสาร ตัวอย่างเช่นกรณีรถเมล์ NGV ที่จะนำเข้ามาแล่นในกทม. หากพบว่าบริษัทผู้นำเข้าทำผิดจะต้องทำสำนวนว่ามีการทุจริตตามหลักฐานที่ศุลกากรได้มาคือไม่ได้มาจากมาเลเซียแต่มาจากประเทศจีน จากนั้นส่งฟ้องร้องผู้นำเข้าว่าทำผิดสัญญาอันเป็นการผิดกฎหมายเพื่อให้ศาลตัดสิน ก่อนที่จะดำเนินการขั้นต่อไปนั่นคือการปรับและการยกเลิกสัญญา รวมทั้งขอให้ศาลสั่งด้วยว่าบุคคลที่มีรายชื่อประกอบการเหล่านี้จะไม่ได้รับการทำธุรกิจกับรัฐอีกต่อไปในอนาคต เป็นต้น

ก่อนที่รัฐบาลไทยจะดำเนินการเรื่อง “ไทยแลนด์ 4.0” และ“สตาร์ทอัพ” (ทั้งที่จริงความหมายอาจแตกต่างกัน) สมควรแก้ไขวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อยมีมาตรฐาน เพราะนี่คือพื้นฐานที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ หากทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ไม่ต้องห่วงปัญหาประชาธิปไตยของประเทศไทยเพราะจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ใครทำผิดก็จะได้รับความยุติธรรมจากการทำผิดของเขาเอง ไม่ใช่เรื่องของการกลั่นแกล้ง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2560 7:37:43 น.
Counter : 317 Pageviews.  

วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศ ประกอบสำนวนคดีธรรมกาย



ดีเอสไอ ส่งภาพถ่ายทางอากาศวัดพระธรรมกายให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติประกอบสำนวนคดี ชี้พื้นที่ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 95 เป็นของมูลนิธิธรรมกาย ส่วนอีกร้อยละ 5 เป็นของวัดพระธรรมกาย

 

เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2560 - พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และคณะพนักงานสอบสวน ที่รับผิดชอบคดีที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกายว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอและผู้เชี่ยวชาญของศาลยุติธรรม ด้านวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้นำหลักฐานภาพถ่ายทางอากาศของวัดพระธรรมกายและมูลนิธิธรรมกายที่แปลผล โดยระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดและระบุจุดต่างๆ แล้ว มาส่งมอบให้คณะพนักงานสอบสวน เพื่อนำมาประกอบสำนวนในการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย โดยพบว่า พื้นที่ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 95 เป็นของมูลนิธิธรรมกาย ส่วนอีกร้อยละ 5 เป็นของวัดพระธรรมกาย

สำหรับภาพถ่ายทางอากาศดังกล่าวถูกนำมาใช้ประกอบสำนวนคดี เพื่อเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนรายละเอียดของคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเป็นผู้ชี้แจง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2560 2:42:34 น.
Counter : 390 Pageviews.  

คู่รักไทยทะเลาะบ่อยที่สุดในเอเซีย สมาร์ทโฟนเป็นสาเหตุหลัก



พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต เผยผลสำรวจความสัมพันธ์ของคู่รักคนไทย ทะเลาะกันบ่อยที่สุดในเอเชีย และสมาร์ทโฟนเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก

 

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 พรูเด็นเชียลประกันชีวิต แจ้งว่ายินดีต้อนรับเข้าสู่เดือนแห่งความรัก เดือนที่คนมีคู่ ต่างก็เตรียมหาของขวัญให้กับคนรักในวันวาเลนไทน์ กันอย่างแฮปปี้สุด ๆ ส่วนคนไม่มีคู่ ก็อยู่กับคุณพ่อ คุณแม่ ไปก่อน และที่สำคัญไม่ต้องเศร้าไป เพราะคุณอาจเป็นผู้โชคดีที่ไม่ต้องมาเจอกับเรื่องปวดหัวแบบคนมีคู่ก็เป็นได้ เพราะผลสำรวจจาก 10 ประเทศในเอเชีย พบว่า คู่รักคนไทยมีปากเสียงกันบ่อยที่สุด และสมาร์ทโฟนก็กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการทะเลาะกันอีกด้วย

พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต ได้เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความสัมพันธ์ ประจำปี 2559 เพื่อสร้างความเข้าใจในสถานะความสัมพันธ์ส่วนบุคคลทั้งในประเทศและประเทศอื่น ๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยประเทศไทย มีอัตราความสมหวังในความสัมพันธ์ อยู่ในอันดับที่ 5 จาก 10 ประเทศ ที่ร่วมสำรวจในเอเชีย ซึ่งผลสำรวจได้สะท้อนหลากหลายแนวคิด เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของคนไทย ทั้งของคู่รัก ครอบครัว เพื่อนและเพื่อนร่วมงาน

ทั้งนี้ ผลสำรวจได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของชาวไทยในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล ซึ่งระบุว่า คนไทยมีปากเสียงกันบ่อยที่สุดในเอเชีย และสมาร์ทโฟนได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการทะเลาะกันของคู่รักนอกเหนือจากเรื่องเงินเหล้าและบุหรี่ ซึ่งคนไทยมากกว่าครึ่งระบุว่า คู่รักของตนชอบใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือมากกว่าใช้เวลากับตน

สำหรับ ผลการสำรวจความสัมพันธ์ด้านต่างๆ ในประเทศไทย มีดังนี้

คู่รัก : ทะเลาะกันบ่อยที่สุดในเอเชียเพราะแฟนติดมือถือ

คนไทยมีปากเสียงกับคู่รักของตนเองบ่อยที่สุดในเอเชียโดย 37%  ระบุว่า คู่รักของตนทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ทุกสัปดาห์ 28% ระบุว่ามีความคิดจะเลิกรากับคู่รักอย่างจริงจังทุกสัปดาห์ ซึ่งสาเหตุหลักของการทะเลาะกันของคู่รักได้แก่เรื่องเงิน (45%) เหล้าและบุหรี่ (35%) และที่น่าตกใจคือ การใช้เวลากับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนมากเกินไป (32%) กลายมาเป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการทะเลาะกัน

จะคบกันให้ราบรื่น นิสัยเราต้องเข้ากันได้ดีด้วย

คนไทยให้ความสำคัญกับ “ความเข้ากันได้” สูงสุดในทวีปเอเชีย โดยคู่รัก 77% ระบุว่า การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือทั้งคู่ต้องเข้ากันได้ นอกจากนี้ การหัวเราะร่วมกันคู่รักที่มีอารมณ์ขัน (75%) และหลากหลายกิจกรรมที่สามารถเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย (73%) ก็เป็นคุณสมบัติที่คู่รักใฝ่หาเพื่อกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย

พ่อแม่กับลูกเล็ก : พ่อแม่คนไทยพอใจกับความสัมพันธ์ที่มีกับลูก

ความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูกของคนไทยถือว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของทวีปเอเชียด้วยคะแนน 51/100 โดยพ่อแม่ชื่นชอบการทำกิจกรรมร่วมกันกับลูกมากที่สุด (68%) ตามมาด้วยกิจกรรมที่ลูก ๆ ทำให้พ่อแม่สนุกสนาน หัวเราะ (61%)

พ่อแม่คนไทยใจดีที่สุดในเอเชีย

คนไทยเป็นพ่อแม่ที่ใจดีที่สุดในเอเชียโดยพ่อแม่กว่า 76% มอบของขวัญเพื่อเซอร์ไพรส์ลูกทุกอาทิตย์โดยพบว่า 43% ของพ่อแม่เหล่านี้ให้ของขวัญลูกทุกวันซึ่งนับว่าสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย

ลูกกับพ่อแม่สูงวัย : สำหรับคนไทยพ่อแม่ต้องมาก่อนแต่งแล้วยังอยู่บ้านกับพ่อแม่

คนไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์เกี่ยวกับพ่อแม่ของตนสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย (54%) รองจากประเทศกัมพูชาโดยครึ่งหนึ่ง (50%) ของคนไทยที่แต่งงานแล้วยังคงอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของตนหรือของคู่สมรสอย่างไรก็ตามพบว่าคนไทยมีความถี่ในการมีปากเสียงกันกับพ่อแม่สูงที่สุดในเอเชียด้วยเช่นกันโดย 22% มีปากเสียงกันทุกอาทิตย์

ลูกคนไทยอยากให้พ่อแม่สนับสนุนและยืนหยัดเพื่อลูก ๆ สูงสุด

ลูกๆ ในวัยผู้ใหญ่คาดหวังให้พ่อแม่คอยให้การสนับสนุนและยืนหยัดเพื่อพวกเขาสูงสุด (73%) โดยกว่า 78% ยังคาดหวังความช่วยเหลือในเวลาฉุกเฉินจากพ่อแม่ซึ่งสูงเป็นอันดับสองของเอเชีย

เพื่อนและเพื่อรร่วมงาน : ขำ ๆ เพื่อนกันอย่าซีเรียส

คนไทยให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับเพื่อนสูงเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชีย (46%) โดยเป็นรองเพียงประเทศฟิลิปปินส์ และเวียดนามทั้งนี้คนไทยเห็นว่าเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเป็นสิ่งสำคัญในความสัมพันธ์กับเพื่อนโดยกว่า 2 ใน 3 ( 68%) ของคนไทยวัยผู้ใหญ่เห็นว่าการทำให้เพื่อนหัวเราะหรือยิ้มได้เป็นสิ่งสำคัญ

การเงินและความสัมพันธ์ : เงินทองของนอกกาย ฉุกเฉินพึ่งพากันได้

คนไทยค่อนข้างช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามเกิดเหตุฉุกเฉินทางการเงินโดยผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่ รู้สึกว่า พวกเขาสามารถพึ่งพาพ่อแม่ (78%) ญาติ (66%) หรือเพื่อน (62%) หากเกิดเหตุฉุกเฉินที่ต้องใช้เงิน

นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีความกตัญญูตอบแทนบุพการีให้เงินพ่อแม่ใช้ โดยคนไทย 79% ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่พ่อแม่ของตน และขณะเดียวกัน 51% ยังได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อแม่ของตนอยู่เช่นกัน ซึ่งในส่วนของคู่รักพบว่า มีการช่วยเหลือทางการเงินจากทั้งฝ่ายสามีและภรรยา โดยสามีให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ภรรยามากกว่าที่ 73%

เทคโนโลยีและความสัมพันธ์ : คนไทยส่วนใหญ่คิดอยากจะลด ละ เลิก เล่นมือถือเพื่อให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น!

ท่ามกลางวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่พึงพาเทคโนโลยีเป็นอย่างมากทำให้ยุคดิจิตัลส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของชาวไทยโดยตรงคนไทยต้องแข่งขันกับสมาร์ทโฟนเพื่อดึงความสนใจจากคนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคนในครอบครัวโดยผลสำรวจที่น่าตกใจเปิดเผยว่า

คนไทยกว่าครึ่ง (51%) ระบุว่าคู่รักของตนชอบใช้เวลากับโทรศัพท์มากกว่าใช้เวลากับตน และพ่อแม่เกือบครึ่ง (42%) คิดว่าลูกของตนใช้เวลากับคอมพิวเตอร์มากเกินไป

อย่างไรก็ตามคนไทยส่วนใหญ่พร้อมจะลดการใช้เทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นโดยคนไทยเกือบทั้งหมด (93%) ระบุว่าจะพิจารณาการงดใช้เทคโนโลยี 1 วันเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับบุคคลอื่น ๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2560    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2560 20:44:58 น.
Counter : 307 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.