ขั้นตอนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่“เด็ดปีก”วัดพระธรรมกายจะนำไปสู่การจับกุมอันใกล้นี้



เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 27 ธันวาคม 2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 กองร้อยจากนนทบุรี,สมุทรปราการ,พระนครศรีอยุธยาและลพบุรีเข้าไปสมทบกับเจ้าหน้าที่หน่วยอื่นๆก่อนหน้านี้ เตรียมพร้อมกันที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง ปทุมธานี จากนั้นในช่วงเช้าได้ยกกำลังเข้าไปประจำอยู่ด้านข้างของวัดพระธรรมกาย ไม่เพียงแต่กำลังเท่านั้นยังมีรถบรรทุกผู้ต้องขัง,รถติดเครื่องกระจายเสียงอื่นๆเข้าไปปฏิบัติการในวัดพระธรรมกาย

 

ปฏิบัติการครั้งนี้เพื่อเข้าไปรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ผิดกฎหมายเพราะปรากฎว่าวัดพระธรรมกายได้ก่อสร้างไม่ได้รับอนุญาตและถูกแจ้งข้อหาไปแล้ว 175 คดี  ล่าสุดทราบว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มอีก 2 คดี ประกอบด้วย 1.การสร้างโรงเลี้ยง 2.การสร้างโรงพยาบาล

ทำไมจึงเรียกปฏิบัติการครั้งนี้ว่า “เด็ดปีก”วัดพระธรรมกาย ดังนี้

ประการแรก การแจ้งข้อหาพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) หรือ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในข้อหาฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและรับของโจรกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนียน คลองจั่นรวมทั้งคดีบุกรุกที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์ พีซ วัลเลย์ เขาใหญ่ แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ยังยืดเยื้อเพราะพระธัมมชโยอ้างว่าอาพาธต้องรักษาตัวไม่ยอมเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ 

ประการที่สอง มีการตั้งข้อหานายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย คดีนี้ศาลอาญารัชดาฯได้ออกหมายจับในข้อหากระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันไม่ใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต โดยยุยงปลุกปั่นให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116  ปฏิบัติการดังกล่าวเพื่อปิดปากไม่ให้นายองอาจออกมาตอบโต้เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะการตอบโต้ที่เข้าข่ายยุยง ปลุกปั่นให้ศิษย์วัดพระธรรมกายระดมออกมาเพื่อปกป้องวัดพระธรรมกายหรือเป็นการระดมมวลชนทยอยเข้าวัดเพื่อขจัดขวางการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่นั่นเอง

ประการที่สาม เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2559  ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) มีมติเอกฉันท์ให้ยกเลิกใบอนุญาตของสถานีโทรทัศน์ช่องดีเอ็มซี (DMC) ของวัดพระธรรมกาย ที่มูลนิธิศึกษาธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ได้รับอนุญาต โดยพิจารณาเห็นว่าช่องนี้มีพฤติการณ์ออกอากาศในลักษณะจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ก่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่น และขัดแย้งต่อราชอาณาจักร โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษณคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่เชิญชวนลูกศิษย์วัดให้มารวมตัวที่วัดพระธรรมกาย แม้จะเป็นการอ้างว่าเป็นการมาทำบุญตามพิธีกรรมทางศาสนา แต่แท้จริงแล้วเป็นการสร้างความขัดแย้ง

คณะกรรมการบอร์ด กสทช. จึงอาศัยอำนาจตามประกาศของ กสทช. มาตรา 37 ของพ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ. 2551 และเงื่อนไขแนบท้ายการอนุญาตประกอบกิจการของช่อดีเอ็มซี ข้อ 12(4) กรณีที่เป็นประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐและส่วนรวม จึงมีมติให้ใบอนุญาตของช่องดีเอ็มซีสิ้นสุดหลังระยะเวลาการพักใช้ใบอนุญาต 30 วัน โดยสิ้นสุดวันที่ 6 มกราคม 2560 ดังนั้นจึงมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2560 เป็นต้นไป คำสั่งนี้ถือเป็นที่สิ้นสุดไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ไม่สามารถยื่นขอใบอนุญาตใหม่ได้ถือว่าคุณสมบัติไม่เหมาะสมแล้ว

นอกจากนี้ที่ประชุม กสท. ยังมีมติให้พักใบอนุญาต สถานีวิทยุกระจายเสียงคนคลองสาม คลื่นความถี่ 102.25 และสถานีวิทยุกระจายเสียงกล้าตะวัน คลื่นความถี่ 96.25 ของวัดพระธรรมกายเป็นเวลา 30 วัน

เมื่อมองภาพรวมแล้วจะเห็นได้ว่าแผนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นการบีบแต่ละจุดให้วัดพระธรรมกายมีทางเลือกน้อยลงหรือไม่อาจมีทางเลือกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วยการปลูกสิ่งก่อสร้างภายในวัดพระธรรมกายที่จะต้องถูกทยอยรื้อถอน จะนำมาเป็นข้ออ้างในการก่อสู้คดีก็ไม่ได้เพราะไม่ได้ขออนุญาต ดังที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนมามากมายหลายจุดแล้วอาทิเช่นที่ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ ,ที่ดินและบ้านพักในอ.ปากช่องของนายตำรวจใหญ่ 2 นายทั้งนามสกุลเภกะนันทน์และศรุตานนท์,การรื้อถอนสนามกอล์ฟที่กาญจนบุรีเพราะบุกรุกที่ดินส.ป.ก., การรื้อถอนไนท์คลับเชียงใหม่ที่เกิดเหตุคดี“รุมกระทืบ”ลูกชายนายพลทหารบก ฯลฯ  ดังนั้นการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างผิดกฎหมายในวัดพระธรรมกายจึงชอบด้วยกฎหมาย  หากลูกศิษย์คนใดเข้าขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จะถูกจับกุมนำตัวขึ้นรถขังผู้ต้องหาที่เตรียมไว้อย่างพร้อมมูล

ปฏิบัติการเหล่านี้ถือว่าเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ละมุนละม่อม ไม่มีการปะทะดังที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.ให้เหตุผลตลอดเวลาว่าจะไม่ให้มีการปะทะเกิดขึ้น  ดังนั้นการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ผิดกฎหมายไปเรื่อยๆอาจจะนำไปสู่การจับกุมตัวบุคคลที่ต้องข้อหาและหลบซ่อนอยู่ในวัดพระธรรมกายได้ในอนาคต

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2559    
Last Update : 27 ธันวาคม 2559 18:17:52 น.
Counter : 331 Pageviews.  

นิด้าโพล ชี้กลุ่มแฮกเกอร์ ประกาศสงครามไซเบอร์เป็นวิธีไม่เหมาะสม เพราะประเทศเสียหาย แนะรัฐเร่งชี้แจงจ



นิด้าโพล เผยผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ ชี้การแฮกข้อมูลของกลุ่มต่อต้าน พรบ.คอมพิวเตอร์ ประกาศสงครามไซเบอร์ และแฮกเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย จี้รัฐบาลชี้แจงข้อมูลเพื่อลดความขัดแย้ง

 

วันที่ 26 ธันวาคม 2559 - ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน  เรื่อง “สงครามไซเบอร์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 21  – 23 ธันวาคม 2559  จากประชาชนทั่วประเทศ เกี่ยวกับการต่อต้าน พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ต และแนวร่วมอีกหลายกลุ่ม ด้วยการประกาศสงครามไซเบอร์ และแฮกเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง

โดยจากการสำรวจ เมื่อถามถึงพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต (Internet) ของประชาชน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.62 ระบุว่า ใช้อินเทอร์เน็ต ขณะที่ ร้อยละ 35.38 ระบุว่า ไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการต่อต้าน พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเครือข่ายพลเมืองชาวเน็ต และแนวร่วม   อีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพลเมืองต่อต้าน Single Gateway ด้วยการประกาศสงครามไซเบอร์ และแฮกเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง ซึ่งในจำนวนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ต พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่

ร้อยละ 36.39 ระบุว่า เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหาย

รองลงมา ร้อยละ 19.90 ระบุว่า เป็นการพิสูจน์ศักยภาพหน่วยงานภาครัฐว่าจะสามารถรับมือ สงครามไซเบอร์ ได้แค่ไหน

ร้อยละ 17.11 เป็นวิธีการที่เหมาะสม เพราะรัฐไม่ยอมฟังเสียงต้านของประชาชนบางส่วน

ร้อยละ 11.44 ระบุว่า มีการเมืองอยู่เบื้องหลังกลุ่มต่อต้าน พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์

ร้อยละ 7.53 ระบุว่า เป็นแค่เรื่องของเด็กเกรียนต้องการแสดงศักยภาพของตัวเอง

ร้อยละ 1.96 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ และเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ยังไม่มีผลกระทบที่ชัดเจน และข้อกฎหมายยังคลุมเครือ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกวิธี, ขณะที่บางส่วนระบุว่า รัฐบาลไม่ควรปิดกั้นข้อมูลข่าวสารและละเมิดสิทธิ เสรีภาพ และความคิดเห็นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต, บางส่วนระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มต่อต้าน เพราะ พรบ. ฉบับใหม่จะช่วยคัดกรองข้อมูลหรือเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน และร้อยละ 22.27 ไม่ระบุ/เฉย ๆ

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินการของภาครัฐต่อสงครามไซเบอร์ ในครั้งนี้ พบว่า ในจำนวนผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ต ประชาชนส่วนใหญ่  

ร้อยละ 47.53 ระบุว่า รัฐเร่งชี้แจงพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ให้ชัดเจนจะได้ช่วยลดข้อขัดแย้งลง รองลงมา

ร้อยละ 30.62 ระบุว่า หาวิธีการป้องกันการแฮกเจาะข้อมูลเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ

ร้อยละ 25.46 ระบุว่า ควรสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดดำเนินคดีตามกฎหมาย  

ร้อยละ 15.98 ระบุว่า ยอมอ่อนข้อประนีประนอม โดยยอมทบทวนกฎหมาย

ร้อยละ 3.61 ระบุว่า ไม่ต้องสนใจอะไร และเดินหน้าประกาศใช้กฎหมาย

ร้อยละ 0.82 ระบุอื่น ๆได้แก่ รัฐบาลควรเจรจา และควรรับฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน และควรใช้กฎหมายไปในทิศทางที่ถูกต้องตามหลักของธรรมาภิบาล

และร้อยละ 12.89 ไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ/เฉย ๆ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2559    
Last Update : 26 ธันวาคม 2559 19:23:05 น.
Counter : 215 Pageviews.  

ไม้กางเขนไม่ได้ตรึงพระเยซูคนเดียว แต่ได้ตรึงเราทุกคนให้ตายกับพระองค์ด้วย



ถาม: ผมไม่เข้าใจ “เราตายทุกวัน และมีชีวิตใหม่ทุกวัน” ครับ หมายถึงทิ้งอดีตแล้วเริ่มใหม่ เหมือนเป็นอีกคนที่เป็นคนใหม่ทุกๆวัน ใช่มั๊ยครับ

ตอบ: อาดัมขับรถกลับบ้านด้วยความเร็วสูง แต่พอใกล้จะถึงบ้าน คืนนั้น มีอะไรบางอย่างวิ่งข้ามถนน อาดัมตกใจมาก เขาพยายามหักพวงมาลัยเพื่อจะหลบหลีกสิ่งที่เขาเห็นนั้น เขาเกิดพลาด และตกลงไปในเหวลึกข้างถนน

สักพักหนึ่ง อาดัมก็ค่อย ๆ คลานออกมาจากรถเก๋งที่เพิ่งซื้อได้ไม่กี่วัน... เลือดอาบหน้า และร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล... เขาพยายามปีนขึ้นมาจนถึงถนน เขารู้สึกกลัวมาก และพยายามโบกรถเพื่อขอขึ้นรถกลับบ้านไปด้วย แต่ไม่มีใครจอดรับเขา… เขาจึงพยุงตัวเดินกลับบ้านด้วยความหวาดกลัว

เมื่อมาถึงบ้าน เขาเคาะประตู แต่ไม่มีใครเปิดให้ เขาจึงเดินไปที่หน้าต่างห้องครัวและเคาะหน้าต่าง… แต่ภรรยาที่ทำกับข้าวรออาดัมกลับบ้านก็ไม่ได้ยิน เธอเปิดเพลงดังมาก... ขณะนั้น ลูกสาวคนโตของอาดัมเดินทำหน้าตกใจ ร้องไห้มาหาแม่ที่ทำกับข้าวอยู่ เธอยื่นโทรศัพให้คุณแม่

พอรับสาย เธอก็ทำโทรศัพตกลงที่พื้น มีอาการเหมือนจะช็อก แล้วก็ร้องไห้พร้อมทั้งตะโกนลั่นว่า “ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้ เขายังไม่ตาย สามีของฉันยังไม่ตาย” (ตำรวจพบศพของอาดัมที่เหวลึก พร้อมกับรถที่พังยับเยิน) อาดัมหยุดเคาะกระจกหน้าต่าง… เขาเริ่มถามตัวเองว่า “นี่เราตายแล้วเหรอนี่ ไม่จริงๆ เป็นไปไม่ได้...”

เมื่ออาดัมคนนี้รู้ตัวว่าเขาตายจริงๆ เขาก็ปลง และสละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีหรือเคยเป็นเจ้าของ


อาดัมคนนี้ ก็คือเราทุกคนที่ตายแล้วแต่ยังไม่รู้ตัวว่าตาย (2 คร. 5:14; โรม 6:2–13; กท. 2:20)

พี่น้องส่วนมาก ยังใช้ชีวิตของอาดัมเพื่อการเชื่อฟังและรับใช้พระเจ้า เรายังแอบรักโลกนี้และสิ่งบันเทิงทั้งหลาย และเรากลายเป็นคริสเตียนศาสนาโดยไม่รู้ตัว

เราตายต่อบาปแล้วแต่ยังดำเนินชีวิตอยู่บาป

ไม้กางเขนไม่ได้ตรึงพระเยซูคนเดียว แต่ได้ตรึงเราทุกคนให้ตายกับพระองค์ด้วย

การตายของพระเยซูมีผลสองประการ คือเพื่อตายไถ่บาปเรา และเพื่อประหารชีวิตเก่าของเราที่ได้รับมาจากอาดัม เพื่อกำจัดตัวบาปในตัวเก่าของเรา (โรม 6:6)

เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ เราก็ตายกับพระองค์ในพระองค์

เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย เราก็ได้รับชีวิตใหม่

เมื่อพระเยซูได้รับเกียรติจากพระบิดา เราก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทุกสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน คุณเพียงแต่มาหาพระเจ้าเพื่อยอมรับความจริงเหล่านี้ และดำเนินชีวิตใหม่ที่คุณได้รับจากพระเจ้า ที่เตรียมไว้ให้คุณนานแล้วในพระคริสต์


ขอให้คุณพิจารณาตัวเองนะครับ บอกกับตัวเองว่า “ฉันตายแล้ว” และฉันที่เห็นเป็นอยู่นี้คือฉันคนใหม่ ที่เป็นขื้นจากตายกับพระเยซู ฉันมีพระเยซูมาอยู่กับฉันทุกวันทุกเวลา และจะไม่จากฉันไปไหนอีกเลย

ตอนที่ผมได้รู้และเข้าใจความจริงเกี่ยวกับชีวิตของผม ที่เริ่มต้นกับพระเยซูที่กางเขน ก็เป็นวันที่ผมได้พบความหวังเพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตใหม่ ดังที่ผมหวังและตั้งใจมาจนตลอดชีวิต

การฝึกความเชื่อก็คือ บอกตัวเองและบอกพระเจ้าทุกวัน จนเราจำและชินว่าบุคคลคนนี้เป็นคนใหม่ ไม่ใช่คนเก่าคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ฉันเป็นมนุษย์วิญญาณ ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ก็อยู่ในฉันทุกวัน

ที่มา hiddenmannapage




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2559    
Last Update : 25 ธันวาคม 2559 18:43:16 น.
Counter : 258 Pageviews.  

ซูเปอร์โพลระบุประชาชนเชื่อมั่น ครม.ใหม่ 68.2% ห่วงข้าราชการใส่เกียร์ว่าง 79.4%



ซูเปอร์โพลเผยประชาชน 68.2% เชื่อมั่นการทำงานของคณะรัฐมนตรีใหม่ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่ 79.4%ห่วงข้าราชการใส่เกียร์ว่างเพื่อรอวันเลือกตั้ง

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2559 ดร.นพดล กรรณิกา ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ได้เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,230 คน ระหว่างวันที่ 18-23 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถึงเรื่อง “ปรับ ครม. ความเชื่อมั่นและความกังวลของสาธารณชน” โดยพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่

ร้อยละ 61.1 ทราบข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดแล้ว

ร้อยละ 68.2 ระบุ เชื่อมั่นต่อ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ทำงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ค่อนข้างมาก-มากที่สุด

ร้อยละ 67.5 อยากให้เร่งแก้ปัญหาการศึกษา ปฏิรูปการศึกษา นำค่านิยม 12 ประการมาใช้จริงจัง

ร้อยละ 61.3 ปัญหาการเกษตร พืชผลทางการเกษตร เศรษฐกิจชุมชน ลดต้นทุนทางการเกษตร

ร้อยละ 79.4 กังวลว่า กลุ่มข้าราชการประจำ จะใส่เกียร์ว่าง หลังปรับ ครม. เพื่อรอวันเลือกตั้งที่จะมาถึง

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 68.2 ระบุ เชื่อมั่นต่อ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งใจทำงานภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ค่อนข้างมาก-มากที่สุด แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.4 กังวลว่า กลุ่มข้าราชการประจำ หลังปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว จะใส่เกียร์ว่าง รอวันเลือกตั้งที่จะมาถึง

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ถึงแม้ว่าผลสำรวจนี้ ชี้ให้เห็นความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งๆ ที่บางคนไม่ทราบข่าวการปรับ ครม.ก็ตาม แต่ในปีหน้านี้อาจมี “ปรากฏการณ์อนาคต” (Alternative Scenario) ที่จะเกิดขึ้นได้ โดยประชาชนส่วนใหญ่กังวล คือ ปรากฏการณ์เกียร์ว่างของข้าราชการประจำหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลแต่รอวันเลือกตั้งที่จะมาถึง ซึ่งแตกต่างไปจากช่วงแรกๆ ในห้วงเวลาของการเข้ามาของ คสช. และ รัฐบาล

ดังนั้น มาตรการเข้มและยุทธศาสตร์เสริมสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของสาธารณชนต่อรัฐบาลและ คสช. จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อทำให้บ้านเมืองและยุทธศาสตร์ชาติได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2559    
Last Update : 25 ธันวาคม 2559 14:28:09 น.
Counter : 472 Pageviews.  

คดีจ้างวานฆ่านักกีฬายิงปืนทีมชาติอาชญากรรมที่สะเทือนขวัญ-หากมีสติยับยั้งยึดกฎหมายสังคมก็จะอยู่ร่วมกั



เมื่อสัปดาห์ที่แล้วศาลได้พิพากษาคดีสำคัญอันเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องสะเทือนขวัญสังคมเมื่อ 3 ปีมาแล้ว ในคำพิพากษาของศาล ให้ประหารชีวิตแพทย์หญิงที่เป็นจำเลยในคดีจ้างวานใช้ให้ฆ่าสามีนักกีฬายิงปืนทีมชาติ ส่วนมือปืน, และผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะ ศาลให้จำคุกตลอดชีวิต

 

สำหรับมารดาของนายแพทย์หญิงที่ถูกดำเนินคดีมาแต่ต้นศาลยกฟ้อง หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ทนายได้ยื่นคำร้องขอประกันด้วยหลักทรัพย์เดิม 5 แสนบวกกับหลักทรัพย์ใหม่อีก 2 ล้าน และหนังสือเดินทางเพื่อรับรองว่าจะไม่หลบหนี

มารดาของแพทย์หญิงแม้จะได้รับอิสระจากคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ท่าทางแววตามีความทุกข์

ส่วนมารดาของนักกีฬายิงปืนที่ถูกยิงตาย บอกว่าอโหสิกรรมให้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่จะไม่ผูกใจเจ็บกันอีกต่อไป

ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแพทย์หญิง โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกราชอาณาจักร

มารดาของนักกีฬายิงปืน แสดงความเห็นอีกครั้งว่า เป็นการดีที่หลานทั้งสอง ซึ่งหมายถึงบุตรของคนตายและแพทย์หญิงจะได้อยู่กับแม่

โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาแถลงข่าวทันทีที่ทนายของครอบครัวคนตายเปิดเผยว่า ในคดีอย่างนี้ยังไม่เคยมีรายใดที่ศาลจะอนุญาตให้ประกัน

โฆษกบอกว่า หากศาลจะมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จะต้องปรากฏเกตุอันควรเชื่อ

เหตุใดเหตุหนึ่งตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 5 กรณี คือ

 1.  ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี

 2. ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

 3. ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น

 4. ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ และ

 5. การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล

คดีนี้ศาลได้พิพากษาแล้ว จึงไม่มีกรณีที่จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงคงมีการพิจารณาเพียงว่า จำเลยจะหลบหนีหรือไม่ ซึ่งเห็นว่า จำเลย มีภูมิลำเนาและประกอบอาชีพที่แน่นอนไม่มีพฤติการณ์ที่สงสัยว่าจะหลบหนี

ศาลจึงใช้ดุลยพินิจจากข้อเท็จจริงต่างๆ สอดคล้องกับหลักการสากลว่าในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทำความผิด

เรื่อทั้งหมดนี้ ไม่ได้มาพูดกันถึงเนื้อหาที่ศาลได้พิจารณาไปแล้วแต่ให้เห็นภาพถึงความรู้สึกของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่ว่าจำเลยคนสำคัญ,มารดาของทั้ง 2 ฝ่าย, ทนายความ, และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ

ภาพของคดีอาชญากรรมที่สะเทือนขวัญและความรู้สึกของผู้คน แม้ว่าจะต้องขึ้งโกรธตามอารมณ์อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็ตาม

แต่หากจะได้มีสติยับยั้งให้ทุเลาเบาบางไปกับอารมณ์ขึ้งโกรธกันบ้าง แล้วยึดกฎหมายบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง มีวัฒนของการอยู่ด้วยกันอย่างมีกฎมีระเบียบ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเที่ยงธรรม

บางทีภาพที่น่ากลัวและสะเทือนขวัญเหมือนอย่างที่ได้พบเห็นทั่วไปในชีวิตประจำวันนั่นก็อาจเป็นภาพของวัฒนธรรมที่จะต้องอยู่ในสังคมร่วมกันอย่างมีความสุขกันต่อไปอีกนาน

เมื่อคนไทยมีวัฒนธรรมของความเป็นไทยด้วยกันอย่างนี้เมื่อใด แม้บ้านเมืองจะมีความขัดแย้งก็น่าจะค่อยๆ ปรับสภาพให้อยู่ด้วยกันในสังคมอย่างผาสุกได้

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2559    
Last Update : 25 ธันวาคม 2559 10:47:56 น.
Counter : 374 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.