กาชาดสากลชี้สหรัฐยิงโทมาฮอว์กใส่ซีเรียเป็นสงครามระหว่างประเทศเข้าข่ายอาชญากรสงครามเพราะละเมิดกฎหมายม



สหรัฐถล่มโทมาฮอว์ก 59 ลูกใส่ซีเรียพลเรือนรอบฐานทัพอากาศตาย 9 เป็นเด็ก 4 กาชาดสากลชี้เป็นสงครามระหว่างประเทศ ที่ถูกบังคับโดยกฎหมายมนุษยธรรมสากล ผู้นำสหรัฐอาจถูกนำตัวขึ้นเป็นอาชญากรสงครามได้เพราะละเมิดกฎหมายนานาชาติ

 

สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรียเมื่อวันที่ 7 เมษายนว่า กรณีที่สหรัฐยิงจรวดโทมาฮอว์ก 59 ลูกถล่มฐานทัพอากาศ Shayrat ที่อยู่ตอนกลางของประเทศซีเรียเมื่อวันที่ 6 เมษายนนั้นทำให้พลเมืองเสียชีวิต 9 คนในจำนวนนี้เป็นเด็ก 4 คน โดยอ้างรายงานของสำนักข่าว SANA

รายงานข่าวเปิดเผยว่าพลเรือน 5 คนเสียชีวิตในหมู่บ้าน Shayrat  ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับฐานทัพอากาศแต่อยู่ห่างออกมา ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 3 คน จรวดโทมาฮอว์กยังถล่มเข้าใส่หมู่บ้าน Al-Hamrat ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 4 คนในจำนวนนี้เป็นเด็ก 1 คน ส่วนจรวดอีกหลายลูกถล่มเข้าไปยังหมู่บ้าน Al-Manzul อยู่ห่างจากฐานทัพอากาศของซีเรียประมาณ 4 กิโลเมตรมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 คน

ขณะที่วอชิงตันประกาศว่าได้ยิงโทมาฮอว์ก 59 ลูกใส่ฐานทัพอากาศ Shayra เป็นเพราะประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมพ์ ตอบโต้ที่ทหารรัฐบาลซีเรียใช้วิธีการ“ป่าเถื่อน”ทิ้งระเบิดอาวุธเคมีสังหารพลเรือนของตนเองเมื่อวันที่ 4 เมษายน  โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐเชื่อว่าเครื่องบินที่ซีเรียส่งไปทิ้งระเบิดเมือง Khan Sheikhun ขึ้นจากฐานบิน Shayrat  สหรัฐจึงปฏิบัติการต่อฐานบินนี้

เจ้าหน้าที่สหรัฐเปิดเผยว่าก่อนปฏิบัติการได้แจ้งให้รัสเซียทราบล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นและอาจนำไปสู่วิกฤติ

รายงานข่าวเปิดเผยว่านับเป็นครั้งแรกในสงครามซีเรียที่สหรัฐโจมตีรัฐบาลซีเรียโดยตรง เพราะที่ผ่านมาจะใช้สงครามตัวแทนด้วยการหนุนหลังกลุ่มกบฎทหารซีเรียเสรีเข้าปฏิบัติการ

โทมาฮอว์กราคาลูกละเกือบ 1 ล้านดอลลาร์

โทมาฮอว์กที่สหรัฐใช้ยิงจากเรือพิฆาตในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีเป้าหมายที่ฐานทัพอากาศ Shayrat Air Base ในจังหวัดฮอมส์ สหรัฐเปิดเผยว่าใน 59 ลูกนี้พลาดเป้าหมายไป 1 ลูก ขณะที่เจ้าหน้าที่รัสเซียระบุว่ามีเพียง 23 ลูกเท่านั้นที่เข้าเป้าหมายฐานทัพอากาศ   สหรัฐเปิดเผยว่าเครื่องบินรบซีเรีย 20 ลำถูกทำลาย  

สำหรับจรวดร่อน Tomahawk เป็นขีปนาวุธขนาดยาว 18-20 ฟุต ที่ใช้พลังขับเคลื่อนโดยเครื่องบินไอพ่น สามารถเดินทางได้ในระยะ 1,500 ไมล์ด้วยความเร็ว 550 ไมล์ต่อชั่วโมง บรรทุกหัวระเบิดปกติและหัวระเบิดนิวเคลียร์น้ำหนัก 1,000 ปอนด์ เดินทางด้วยระบบนำวิถี GPS ไม่เดินทางด้วยวิถีตรงจะถูกกำหนดด้วยระบบนำวิถีตามที่ผู้ยิงต้องการ

โทมาฮอว์กราคาลูกละเกือบ 1 ล้านดอลลาร์ ดังนั้นเฉพาะการยิงใส่ซีเรียครั้งนี้ราคา 59 ล้านดอลลาร์

กาชาดสากลตีความเป็นสงครามระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 7 เมษายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ว่าคณะกรรมการกาชาดสากล (the International Committee of the Red Cross) ลงความเห็นว่ากรณีที่สหรัฐยิงจรวดโทมาฮอว์กใส่ซีเรียนั้นถือเป็น “สงครามระหว่างประเทศ” (International armed conflict) ซึ่งกาชาดมีสิทธิเข้าไปดูแลพลเรือน,ผู้บาดเจ็บและนักโทษสงครามได้ทั้ง 2 ฝ่ายของคู่ขัดแย้ง

ไอโอแลนด้า แจ้คเมต์ (Iolanda Jaquemet) โฆษกของกาชาดสากลตอบสำนักข่าวรอยเตอร์ในเรื่องนี้ว่า “การดำเนินการทางทหารใดๆของรัฐในอาณาเขตของประเทศอื่นโดยปราศจากความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งถือเป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างประเทศ” หรืออีกนัยหนึ่งเป็นสงครามระหว่างประเทศ

“ดังนั้นเท่าที่มีข้อมูลในขณะนี้ การที่สหรัฐโจมตีฐานทหารของซีเรีย สถานการณ์กลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ”แจ้คเมต์กล่าว โดยเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก แอนดรูว์ แคลพแฮม ศาสตราจารย์กฎหมายระหว่างประเทศจากสถาบันการศึกษาในเจนีวา (the Graduate's Institute in Geneva)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าวอชิงตันระบุว่ารัฐบาลซีเรียได้ใช้แก๊สโจมตีในเขตเมือง Khan Sheikhoun ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มกบฎ สังหารประชาชนกว่า 70 คนส่วนใหญ่เป็นพลเรือนรวมทั้งเด็กด้วย

ขณะที่ผู้บัญชาการทหารของซีเรียปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือ อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียระบุว่าสาเหตุที่แก๊สรั่วออกมาเกิดจากคลังแสงของกลุ่มกบฎถูกกองทัพอากาศซีเรียโจมตี

ในอดีตการสู้รบที่ผ่านมาการโจมตีทางอากาศของสหรัฐที่เป็นผู้นำประเทศพันธมิตรอื่นๆเป้าหมายอยู่ที่กองกำลังของกลุ่มรัฐอิสลาม ซึ่งก็เป็นศัตรูของรัฐบาลซีเรียเช่นกัน

รายงานข่าวเปิดเผยว่าภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมสากล( International humanitarian law = IHL) พลเรือนที่อยู่ในสงครามจะต้องได้รับการยกเว้น,สถานพยาบาลจะต้องได้รับการคุ้มครอง ไม่ว่าความขัดแย้งนี้จะเป็นความขัดแย้งภายในหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ

นักรบในสงครามทั้ง 2 ฝ่ายต้องปฏิบัติตามหลักการสำคัญในการป้องกันและให้ความสำคัญ  โดยมีการแบ่งแยกระหว่างทหารและพลเรือน อีกทั้งระหว่างที่ตั้งทางทหารและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน

“หลักการนี้ถูกละเมิดจากทุกฝ่ายในสงครามซีเรีย” ผู้สอบสวนอาชญากรรมสงครามแห่งสหประชาชาติเปิดเผย

แจ้คเมต์เปิดเผยว่า สงครามระหว่างประเทศระบุว่าหากมีทหารของฝ่ายใดถูกจับได้จะถือเป็นนักโทษสงคราม(prisoners of war)อนุญาตให้กาชาดสากลเข้าไปดูการปฏิบัติต่อนักโทษและสภาพที่คุมขังรวมทั้งจะต้องได้รับการดูแลจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด

กฎหมายว่าด้วยมนุษยธรรมสากล (international humanitarian law) ถูกตราขึ้นในระหว่างการประชุมเจนีวาปี 1949 (the Geneva Conventions of 1949 ) อธิบายความขัดแย้งด้านอาวุธ (Armed Conflict)ว่า

สงครามระหว่างประเทศ ( international armed conflict) เป็นการต่อต้านกันระหว่าง 2 ประเทศหรือมากกว่า 

ส่วนความหมายที่ว่าเป็นสงครามภายใน (non-international armed conflict) เป็นการต่อสู้กันระหว่างทหารรัฐบาลและทหารฝ่ายตรงข้ามกลุ่มอื่นภายในประเทศเดียว

ดอนัลด์ ทรัมพ์ อาจเป็นอาชญากรสงคราม

รายงานข่าวเปิดเผยว่าในกรณีที่กาชาดสากลระบุว่าการที่สหรัฐใช้โทมาฮอว์กถล่มซีเรียเมื่อวันที่ 4 เมษายนนั้นเข้าข่ายเป็นสงครามระหว่างประเทศแล้ว พลเมืองจะต้องได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย IHL ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนานาชาติ ดังนั้นกรณีที่จรวดร่อนโทมาฮอว์กทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 9 คนและบาดเจ็บจำนวนหนึ่งนั้นถือว่าสหรัฐละเมิด IHL โทษหนักก็คือนายดอนัลด์ ทรัมพ์ ในฐานะผู้สั่งการจะต้องเป็นอาชญากรสงคราม ( Serious violations of international humanitarian law are called war crimes )

ทั้งนี้การกระทำของสหรัฐต่อซีเรียครั้งนี้ยังเข้าข่ายที่กำหนดไว้ว่า “การโจมตีครั้งนี้ (โทมาฮอว์ก 59 ลูก)ก็รู้อยู่แล้วว่าจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของพลเรือน,พลเรือนได้รับบาดเจ็บหรือทำลายทรัพย์สินพลเรือน”

นอกจากนี้กฎหมาย IHL ที่ถือว่าเป็นอาชญากรสงครามยังกำหนดไว้อีก 2 ประเภทคือเป็นการก่ออาชญากรรมต่อสันติภาพและการทำสงครามรุกรานประเทศอื่นซึ่งสหรัฐจะเข้าข่ายประเด็นนี้ด้วยคือทำสงครามรุกรานประเทศอื่น

แนวทางการดำเนินการ

1.รัฐบาลซีเรียจะต้องรวบรวมหลักฐานล่าสุดทั้งภาพถ่าย วิดีโอ ที่สหรัฐทำให้เกิดความเสียหายต่อซีเรีย จากนั้นส่งมอบให้เอกอัครราชทูตซีเรียประจำสหประชาชาติยื่นต่อสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการ

2.รัฐบาลซีเรียจะต้องนำหลักฐานความเสียหายที่เกิดขึ้นยื่นฟ้องต่อศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (International Criminal Court) เพราะการกระทำของสหรัฐครั้งนี้ถูกกาชาดสากลที่เจนีวาระบุแล้วว่าเป็นสงครามระหว่างประเทศ  (ที่สหรัฐละเมิด IHL)เพราะหลักฐานการยิงจรวดโทมาฮอว์กเข้าใส่ประเทศซีเรียนั้นสำนักข่าวต่างๆเสนอไปทั่วโลกและทำให้พลเรือนเสียชีวิตถึง 9 คน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 0:27:12 น.
Counter : 2199 Pageviews.  

สร้างเด็กฉลาดด้วยการเล่านิทาน โดย ผ.ศ.(พิเศษ) ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ



“กาลครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว...” ประโยคคุ้นหูที่สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้กับเด็กๆ ที่หมายถึงการเริ่มต้นการเล่านิทานสักเรื่อง อาจเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาหรือเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ให้เด็กมีความสนุกสนาน ผ่อนคลายอารมณ์ สอดแทรกแนวคิด คุณธรรม ทักษะการใช้ชีวิตในด้านต่างๆ สร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ ผ่านการเล่าด้วยน้ำเสียง สีหน้า แววตา ท่าทางของผู้เล่าอย่างน่าสนใจ ซึ่งอาจจะมี สื่อ อุปกรณ์ (หุ่นมือ หุ่นนิ้วมือ) หรือหนังสือประกอบจะทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น

 

นอกจากนี้ยังต้องเลือกเนื้อหาของนิทานให้เหมาะกับพัฒนาการตามวัยและความสนใจของเด็ก เช่น เด็กเล็กชอบดูภาพสีสดใส เกี่ยวกับสัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบตัว คำศัพท์ใหม่ๆ เด็กโตชอบเรื่องที่มีจินตนาการมีลำดับเหตุการณ์ เป็นต้น

ข้อมูลจาก รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า นิทานเปรียบเสมือนอาหารสมองและอาหารใจที่ช่วยพัฒนาสมองของลูก รวมถึงยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกได้เป็นอย่างดี แต่คุณพ่อและคุณแม่ยุคใหม่กลับมองข้ามความสำคัญของการเล่านิทานให้ลูกฟังไป แล้วหันมาใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์สื่อสารอย่าง ทีวี แท็บเลต โทรศัพท์มือถือ เกมคอมพิวเตอร์ ช่วยเลี้ยงลูกแทนเพราะเข้าใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะช่วยทำให้ลูกฉลาดทันสมัย ก้าวทันเทคโนโลยี เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยเทคโนโลยีมากเกินไปมักจะเกิดผลเสียต่อพัฒนาการด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการสื่อสาร เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว ซึ่งจะส่งผลให้เด็กพูดช้า หรือไม่พูด บางท่านเข้าใจผิดว่าเสริมสร้างสมาธิให้ลูก เพราะขณะที่เด็กใช้อุปกรณ์สื่อสารแล้วอยู่นิ่ง ไม่ซนแต่กลับตรงกันข้ามที่กลับทำให้เด็กมีสมาธิสั้น เนื่องจากภาพที่ปรากฏมีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเล่นเกมที่จะต้องกดแข่งกับความเร็วเพื่อให้ได้คะแนนสูงๆ ทำให้เด็กหุนหันพลันแล่น ขาดความยั้งคิด เป็นต้น ต่างกับการเล่านิทานที่เป็นการสื่อสารสองทางระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง ลูกจึงได้เรียนรู้วิธีการสื่อสารผ่านประสาทสัมผัสต่าง ๆ และสอดแทรกความสนุกสนานควบคู่กันไปด้วย

ประโยชน์ดีๆ ที่ควรเล่านิทานให้ลูกฟัง

หนังสือนิทานเป็นอุปกรณ์หรือของเล่นส่งเสริมพัฒนาการของลูกที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งการเลือกหนังสือนิทานและวิธีการเล่าเรื่องที่เหมาะสมกับวัยของเด็กจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย สังคมและอารมณ์ของเด็กให้ดีขึ้น ส่วนจะมีอะไรอีกบ้างนั้นมาดูกัน

1. เด็กเรียนรู้ภาษาได้เร็วขึ้น ทั้งการรับรู้และการใช้ภาษา การฟังนิทานจะทำให้เด็ก รู้จักคำศัพท์ต่างๆ การเชื่อมโยงของการใช้คำต่างๆ การลำดับเหตุการณ์ในการเล่าเรื่อง โดยการเล่าเรื่องควรให้เด็กมีโอกาสโต้ตอบหรือเล่าเรื่องตามจินตนาการ นอกจากนั้นพ่อแม่ยังสามารถสอนภาษาที่สองหรือสาม เช่น ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน จากการอ่านนิทานให้ลูกน้อยได้ฟังอีกด้วย

2. สร้างเสริมสมาธิ การฟังนิทานบ่อยๆ ช่วยให้เด็กสนใจติดตามฟัง มีจิตใจจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น หากเลือกเล่านิทานที่เหมาะกับช่วงวัยจะทำให้เด็กเข้าใจ อยากรู้และติดตามต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถือเป็นการช่วยฝึกสมาธิให้ลูกได้ดีอีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลชัดเจน

3. กระตุ้นจินตนาการ ขณะที่ฟังการเล่าเรื่องเด็กจะมีการใช้สมองคิดตาม เพราะน้ำเสียงที่เรากำลังเล่านิทานและเนื้อหาของเรื่อง จะกระตุ้นให้เด็กสร้างจินตนาการเป็นภาพในสมอง และเกิดการรับรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เด็กไม่เคยพบเจอ ผ่านตัวละครต่างๆ ในนิทาน จึงช่วยพัฒนาศักยภาพด้านจินตนาการของเด็กอย่างเห็นผล

4. ปลูกฝังให้เด็กเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ทุกครั้งที่เด็กได้ฟังนิทาน เขาจะคิดต่อเนื่องไปอย่างอัตโนมัติ ซึ่งถ้าหากลูกๆ คุณโตพอที่จะพูดคุยได้แล้ว เขาจะแสดงออกทางด้านความคิดให้คุณเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นการเล่านิทานซ้ำๆ จะช่วยฝึกฝนให้เด็กรู้จักการจับประเด็นและมองสิ่งต่างๆ เป็นระบบ รวมทั้งเข้าใจภาพรวมของเรื่องนั้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว

5. เพาะนิสัยรักการอ่าน การเล่านิทานเป็นการกระตุ้นให้เด็กรักการอ่าน โดยพื้นฐานแล้วเด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในตัว ฉะนั้นหากคุณพ่อคุณแม่เลือกที่จะเล่านิทานเฉพาะบางตอน หรือเล่าแบบทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ลูกค้นหา รวมถึงพาลูกไปร้านหนังสือแล้วให้เขามีส่วนร่วมในการเลือกหนังสือนิทานเองบ้าง ก็จะทำให้เขาอยากรู้ว่าเนื้อหาของนิทานเรื่องนั้นว่าเป็นอย่างไร จึงอยากที่จะอ่านเองหรือดูภาพและจินตนาการตามไป แค่นี้การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องน่าสนุกและสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกไปในตัวได้แล้ว

6. ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ ขณะฟังนิทานเด็กได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีความกล้าแสดงออกจินตนาการหรือความคิดของตน ซึ่งส่งผลต่อการสร้างความมั่นใจในตนเองในอนาคต

7. บ่มเพาะคุณธรรม โดยเนื้อหาในนิทานควรสอดแทรกความมีระเบียบวินัย คุณธรรม คุณงามความดี การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การแบ่งปัน การมีจิตเมตตา เอื้ออาทรกับผู้อื่น การให้อภัย ซึ่งเป็นประสบการณ์และทักษะในการดำเนินชีวิตที่ลูกสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

8. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ช่วงเวลาการเล่านิทานเป็นเวลาแห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว ลูกรู้สึกว่าได้รับความรัก ความเอาใจใส่ ความอบอุ่น เฝ้าคอยติดตามเวลาแห่งความสุขนี้ทุกวัน

วิธีการเล่านิทานให้มัดใจเด็ก

รู้อย่างนี้แล้ว ผู้ปกครองคงอยากจะรีบเล่านิทานให้ลูกฟัง แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าจะเล่าให้สนุกและชวนติดตามได้อย่างไร วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้การเล่านิทานเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่อมาฝากกัน

- เริ่มจากเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมว่าขณะนั้นอารมณ์ของลูกอยากฟังนิทานหรือไม่ หากเป็นช่วงเวลาที่ลูกอยากทำกิจกรรมอื่นก็ไม่ควรบังคับมาฟังนิทาน และในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น หลังกินข้าว หรือก่อนนอน เป็นต้น

- ต่อมาคือการเลือกเนื้อหาของเรื่องที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็กซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือประกอบก็ได้ แต่การดำเนินเรื่องควรเล่าด้วยความสนุกสนานไม่ใช่การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง

- ท้ายนี้เป็นเรื่องของวิธีการเล่านิทาน คุณพ่อคุณแม่ควรเล่าด้วยน้ำเสียง สีหน้าท่าทาง อารมณ์ที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะมีการเลียนเสียงของธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เสียงคลื่น เป็นต้น รวมถึงประยุกต์สิ่งของที่มีอยู่รอบตัวมาสร้างเป็นฉากประกอบในนิทาน ให้ลูกมีส่วนร่วมในตอบคำถาม เล่าเรื่องหรือแสดงท่าทางประกอบการเล่านิทาน จะทำให้เด็กรู้สึกว่านิทานเรื่องนี้มีความน่าสนใจและช่วยกระตุ้นจินตนาการและพัฒนาการของเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันควรหมั่นตั้งคำถามให้เด็กๆ ได้คิดตามและตอบโดยไม่ต้องคาดคั้นเอาคำตอบ เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในนิทานของคุณ แค่นี้ต่อให้คุณแม่เล่านิทานเรื่องเดิมซ้ำกี่รอบลูกๆ ก็จะไม่เบื่อ

เพียงเท่านี้นิทานก็จะเป็นเหมือนคู่มือเสริมสร้างความฉลาดที่สนุกกับการเรียนรู้ของลูกรักได้ในทุกๆ วัน ว่าแต่คืนนี้...คุณอย่าลืมหันมาสร้างบรรยากาศแห่งความสุขด้วยการเล่านิทานให้ลูกรักฟังกันล่ะ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 0:26:09 น.
Counter : 255 Pageviews.  

การประชุม TOWN HALL : โดย เชิดชัย ขันธ์นะภา



ใครที่ติดตามข่าวการเมืองของประเทศตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย (คือกลุ่มวัฒนธรรม Anglo-Saxon) จะสังเกตเห็นว่านโยบายสำคัญๆ ของประเทศ นอกจากเกิดในรัฐสภา และเกิดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว นโยบายที่สำคัญๆ ยังต้องมีการพูดจาและปรับความเข้าใจ และปรับทัศนคติกัน ในการประชุมของท้องถิ่น (TOWN HALL MEETING) โดยเฉพาะเขาให้ความสำคัญกับ TOWN HALL MEETING มาก และถือว่าเป็นส่วนสำคัญสำหรับการบริหารประเทศแบบประชาธิปไตย

 

แม้แต่ประธานาธิบดีอย่างนายโดนอล ทรัมพ์ และประธานรัฐสภา(วุฒิ) อย่างนาย Paul RYAN ยังต้องเข้าร่วมการประชุม TOWN HALL เพื่อแสดงต่อประชาชนว่าพวกเขาเท้าติดดินและประเทศเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

ถ้าจะถามถึงหลักการที่เป็นที่มาที่ไปของประเพณีแบบนี้ คงจะต้องอ้างว่ามาจากประเพณีของเมือง(POLIS) ในกรีกโบราณ ที่กำหนดนโยบายการเมืองการปกครอง โดยชาวเมืองมาร่วมกันถกแถลงนโยบายเมือง หรือ ชาวPOLIS(แปลว่าเมือง)ปรึกษากัน แบบนี้ เขาเรียกว่าคือ POLITICS  ที่เป็นประชาธิปไตยทางตรง(Direct)  เพราะต่อมาเมื่อเมืองเติบใหญ่และโตขึ้น ดังปรากฏในอาณาจักรโรมัน มีความจำเป็นต้องปรับปรุงระบบ จึงต้องให้มีผู้แทน(SENATUS) ทำการปรึกษากัน(ทำการแทนประชาชน) ถึงนโยบายของประชาชน กลายเป็นประชาธิปไตยที่ต่อมา มีคำนิยามว่าเป็นประชาธิปไตยแบบทางอ้อม(Indirect) คือผ่าน SENATUS ซึ่งเป็นวิธีที่ย่นย่อมาจากการให้ชาวเมืองถกแถลงกันเองโดยตรง

จากรูปแบบที่ต้องการให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการเมืองการปกครองของประเทศ ดังนั้น ประเพณี TOWN HALL MEETING จึงได้ถือกำเนิดมาตามลำดับและปฏิบัติอยู่ในทุกๆยุคต่างๆที่มี ขุนนางและชนชั้นกษัตริย์ปกครองดินแดนและชาติต่างๆเป็นเวลายาวนานกว่า2,000 ปี TOWN HALL MEETING นี้ ได้เป็นศูนย์รวมทีทำให้ประชาธิปไตยฝังรากลงแน่นในอังกฤษ และทำให้อังกฤษกลายเป็นประเทศแรกที่ปกครองอยู่ภายใต้ระบบ CONSTITUTIONAL MONARCHY ในคริสต์ศตวรรษ 17 หรือเป็นประชาธิปไตยมาเกือบ400 ปีแล้ว ซึ่งเกิดก่อนปฏิวัติอเมริกัน ประมาณ 140 ปี และก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส ประมาณ 150 ปี นี่คือรากหญ้าที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย. ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน

จะเห็นว่า TOWN HALL MEETING ที่กล่าวถึงมานี้ เป็นการพูดถึงจิตวิญญาณของประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่ไม่เข้าใจและไม่รู้เรื่องก็อาจจะมองไปว่าเรื่องประชุมTown Hall นั้นเป็นเรื่องการปกครองท้องถิ่น(ซึ่งในสายตาของคนพวกนี้ ก็เห็นการปกครองท้องถิ่นไม่สำคัญ รวมทั้งดูถูกเหยียดหยามการปกครองท้องถิ่นอีกต่อด้วย) มันประจวบจริงๆที่ TOWN HALL MEETING เป็นกิจกรรมระดับปกครองท้องถิ่น แต่มัน(การประชุม) ก็เป็นประชาธิปไตยทางตรง ที่เข้าถึงประชาชน อย่างถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เป็นข้อสรุปความคิดของ “ผู้แทน” (อำมาตย์) ซึ่งชอบแอบอ้างประชาชน เพื่อประโยชน์ของตนเอง การทำแบบนี้ในประเทศที่พูดถึงข้าวต้นนี้ เป็นตัวอย่างให้เห็นการรักษาและการคงอำนาจของประชาชน โดยบีบให้ “ผู้แทน” ต้องมารับฟังความเห็นประชาชน ในการประชุม TOWN HALL ส่วนการปกครองท้องถิ่นในประเทศเหล่านั้น (ประเทศประชาธิปไตย) คือระบบเส้นเลือดฝอยที่นำอาหารและออกซิเจน ไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในทุกส่วนของ"ร่างกาย" ทำให้ชาติเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรงและมีพลัง หาใช่ร่างทรงที่อำมาตย์สามารถชัก/กระตุก/ดึง ให้ยกแขนยกขาตามปรารถนาของอำมาตย์ได้

ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับของประเทศไทยได้กล่าวถึงอำนาจของประชาชนและอำนาจจากประชาชนในหลายๆ กรณี แต่ดูเหมือนว่าในทางปฏิบัติไม่เกิดมรรคผล ประชาชนไม่สามารถดูแลประเทศได้โดยตรง เช่น ดูกรณีการกำกับดูแลองค์กรปกครองท้องถิ่นในประเทศไทย ในรัฐธรรมนูญ(ฉบับที่เคยใช้) กำหนดให้องค์กรภาคประชาชนเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแล ปรากฏว่าในทางปฏิบัติไม่มีผลใดๆ เกิดขึ้นและในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรากฏว่ามีการกำหนดให้มีสภาประชาชนแต่ก็ปรากฏว่าไม่เป็นมรรคผลเช่นกัน การกำกับดูแลองค์กรปกครองท้องถิ่นจึงอยู่ในกำมือของรัฐบาลกลาง องค์การท้องถิ่น"อยู่ในแถว" ตามที่กรมสั่งการของรัฐบาลกำหนดให้ทำ แล้วเรียกว่าเป็น “การปกครองท้องถิ่น” ไปทำไม ที่ร้ายกว่านั้น คือ มีดาบสอง เงื้ออยู่ ที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีการปกครองท้องถิ่นจริง(มีแต่ร่างทรง หรือ “WAYANG” ในภาษาแขกมลายู) ดาบสองดังกล่าวคือ ท้องถิ่นมีอำนาจหารายได้(เก็บภาษี) เอง เพียงไม่เกิน 10% ของงบประมาณที่ใช้จ่ายดูแลประชาชน โดยแม้แต่ภาษีที่ในกฎหมายยอมรับวาเป็นภาษีของท้องถิ่นเอง รัฐบาลกลางก็ยังไม่ยอมให้ท้องถิ่นจัดการจัดเก็บเอง แต่รัฐบาลจะจัดเก็บให้ แล้วส่งเม็ดเงินให้ท้องถิ่น ตกลงอำนาจการคลังของท้องถิ่นแทบจะไม่มี(เพราะหารายได้มาเองเพียงไม่เกิน 10%  ของงบประมาณรายจ่าย) แล้วอย่างนี้เสียงในลำคอมันจะเปล่งออกมาได้หรือ ท้องถิ่นก็คงต้องตะกุกตะกัก และเป็นร่างทรง(ของใครต่อใคร) ต่อไป การปกครองท้องถิ่นในไทยถือว่าเป็น “หนังตะลุง” อย่างเยี่ยม รัฐบาลกลางนอกจากจะมีอำนาจทั่วราชอาณาจักรแล้ว ยังสร้างโครงข่ายปกครองเพิ่มอีกชั้นมาครอบ เรียกชั้นการปกครองนี้ว่าการปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งไม่ใช่ “ท้องถิ่น” โดยสิ้นเชิง แต่เป็นส่วนต่อและแขนขาโดยตรงของการปกครองส่วนกลาง(พูดตรงๆ ก็คือ รัฐบาลกลาง) นี่คือ ชั้น(LAYER) ที่สร้างความซ้ำซ้อนเพิ่มเติม ซึ่งใช้เงินประชาชนหล่อเลี้ยงมากมาย และเป็นภาระมากกว่าจำเป็น เพราะเขาขจัดการปกครองท้องถิ่นไม่ได้ เพราะไม่ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจอะไร ลองนึกภาพดูว่าถ้าเมืองในประเทศไทย(ซึ่งมีมากกว่า 3,000 เมือง) จำเป็นต้องประท้วงรัฐบาลกลาง เช่น แบบกรณี SANCTUARY CITIES ในสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีนายกเทศมนตรีจำนวนมากซึ่งเห็นคนละแบบกับ CEO สูงสุด และสามารถใช้หลักการ “ท้องถิ่น” ดูแลผลประโยชน์ให้ประชาชนโดยไม่จำเป็นต้องไป“ยืนเข้าแถว” ตามนโยบายรัฐบาลกลางจะทำได้ไหม  อังกฤษและญี่ปุ่นมีความคล้ายประเทศไทยมากในความเป็นรัฐ ซึ่งในอังกฤษและญี่ปุ่นสามารถทำได้อย่างที่ทำในสหรัฐฯ ดังนั้นถ้าจะเข้าใจข่าว(ในช่วงนี้) เกี่ยวกับการประชุม TOWN HALL ว่าทำไมมันถึงสำคัญ ถึงขนาดประธานาธิบดีและประธานรัฐสภา(วุฒิ) ของบางประเทศ ต้องเข้าร่วมประชุม"ท้องถิ่น" ก็ขอเสนอนัยยะที่เกี่ยวข้องและพาดพิงกันอยู่ ดังกล่าวมานี้

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 0:24:53 น.
Counter : 246 Pageviews.  

หยุดแล้ว...หยุดแบบไหน? โดย สิริอัญญา



สิริอัญญา เขียนเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2560 กรณี ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความไว้เมื่อวันที่ 31 มีนาคมว่า “ได้หยุดแล้ว แล้วเมื่อไหร่พวกคุณจะหยุด” หลังจากที่รัฐบาลเรียกเก็บภาษีหุ้น คำกล่าวนี้เป็นการเลียนแบบพุทธวจนที่ว่า “เราหยุดแล้ว เธอสิยังไม่ยอมหยุด” พระพุทธองค์ตรัสแก่องคุลีมาล บรรดาผีโม่แป้งทั้งหลายก็นำมาโม่กันต่อไป ขยายความกันให้คึกโครมเห็นว่าเป็นข้อความสำคัญ อ่านความเป็นมาได้ดังนี้.....

 

นายทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความล่าสุดให้เป็นที่ฮือฮากันอย่างเคย โดยโพสต์ข้อความว่า “ได้หยุดแล้ว แล้วเมื่อไหร่พวกคุณจะหยุดจากนั้นสื่อทั้งหลายทั้งอยู่ในค่ายสังกัดและนอกค่ายสังกัด ก็มาขยายความกันคึกคักครึกโครม

การที่สื่อในสังกัดที่จัดเป็นลิ่วล้อบริวารช่วยโหมประโคมข้อความนั้นย่อมเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อเป็นผีโม่แป้งรับจ้างมาโม่แป้งแล้วก็ต้องโม่กันร่ำไป ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อรับงานกันมาแล้ว ถึงจะขี้จะเยี่ยวและไม่มีสาระอย่างไรก็ต้องเอามาโหมประโคมกัน

แต่การที่คราวนี้ทุกสื่อทุกสำนักเอาเรื่องนี้มาขยายความกันคึกคักครึกโครมก็เพราะว่าข้อความที่นายทักษิณ ชินวัตร เอามาโพสต์นั้นเป็นข้อความสำคัญ เป็นข้อความที่อิงจากพระพุทธวจน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับองคุลีมาล ซึ่งชาวพุทธทุกคนแม้กระทั่งชาวโลกทั่วไปก็รู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี

ดังนั้นการที่พระพุทธวจนมาปรากฏขึ้นจากโพสต์ของนายทักษิณ ชินวัตร จึงเป็นเรื่องที่ต้องฮือฮากันอยู่แล้ว บางพวกก็เอามาฮือฮากันเพราะสำคัญผิดคิดว่าเป็นของแปลกใหม่ เป็นเรื่องคมคาย คมขำ เป็นเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้ง และเป็นถ้อยคำที่มีพลานุภาพมาก

ความเรื่องนี้มีพระสูตรแสดงไว้ว่า ครั้งหนึ่งองคุลีมาลหลงเชื่อคำอาจารย์ตนว่าถ้าฆ่าคนแล้วตัดเอานิ้วมาคล้องคอคนละนิ้วให้ได้หนึ่งพันนิ้วแล้วก็จะประสบความสำเร็จในวิชาที่ร่ำเรียนจากสำนัก จึงได้ฆ่าผู้คนจำนวนมากและตัดเอานิ้วมาร้อยคล้องคอไว้ จนขาดอีกเพียงนิ้วเดียวก็จะครบจำนวนที่ต้องการ

ในขณะนั้นแม่ขององคุลีมาลทราบข่าวว่าทางการจะยกกองทัพมาปราบปรามองคุลีมาล จึงเดินทางมาเพื่อจะบอกความแก่ลูก องคุลีมาลเดินตามทางมาข้างหลัง ซึ่งถ้าหากทันกับมารดาองคุลีมาลก็คงจะฆ่ามารดาตนเพื่อบรรลุความเชื่อว่าจะสำเร็จวิชาที่ร่ำเรียน

ยามนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณอันประเสริฐว่า ถ้าโปรดองคุลีมาลได้ทันเวลา องคุลีมาลก็สามารถบรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าหากไม่ทันเวลาคือองคุลีมาลได้ประหารมารดาตนเสียแล้ว เป็นการกระทำมาตุฆาต จะเป็นการตัดมรรคผลนิพพานอย่างสิ้นเชิง

ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตาแก่เหล่าสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จไปที่องคุลีมาล องคุลีมาลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดีใจเพราะถ้าหากฆ่าแล้วก็จะได้นิ้วครบจำนวนที่ต้องการพอดี จึงวิ่งตามพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ทัน ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าพระพุทธองค์ทรงดำเนินด้วยพระบาทอย่างช้าๆ แต่ถึงจะเร่งฝีเท้าเท่าใดก็ไม่ทัน

องคุลีมาลจึงร้องตะโกนว่า หยุดก่อน ขอให้สมณะหยุดก่อน พระพุทธองค์ทรงประทานพระพุทธดำรัสว่า เราหยุดแล้ว เธอต่างหากที่ยังไม่หยุด องคุลีมาลก็ร้องซ้ำเป็นครั้งที่สอง พระพุทธองค์ก็ตรัสเช่นเดิมเป็นครั้งที่สอง องคุลีมาลจึงร้องตะโกนว่า สมณะท่านโกหก ท่านยังไม่หยุด พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงหันพระพักตร์มาทางองคุลีมาล แล้วตรัสว่าเราหยุดแล้ว เราหยุดการเบียดเบียน หยุดการฆ่าทั้งปวง หยุดสรรพกิเลสสิ้นเชิงแล้ว

องคุลีมาลได้ฟังพุทธดำรัสเช่นนั้นก็ได้คิด หลังจากสอบถามข้อสงสัยบางประการแล้วก็หมดพยศจึงขออุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทานอุปสมบทแก่องคุลีมาล และในที่สุดท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

ดังนั้นในบริบทของถ้อยคำที่ว่า “เราหยุดแล้ว เธอสิยังไม่ยอมหยุด” จึงมิใช่คำกล่าวธรรมดา ผู้กล่าวความนี้เป็นพระตถาคตเจ้าที่ดับกิเลสสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีกิเลส และ อาสวะใดๆเหลืออยู่ หยุดความเกิด และความดับสิ้นเชิงแล้ว ไม่หวนกลับขึ้นมาใหม่อีก ดุจดังตาลยอดด้วนฉะนั้น

คำกล่าวในบริบทดังกล่าวนั้น เป็นคำกล่าวกับมหาโจรที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค ที่พร้อมจะฆ่าทุกคน แต่ด้วยอานุภาพของความสัตย์ จึงทำให้มหาโจรใหญ่ได้ฟังแล้วก็ชะงักอาการที่ต้องการจะฆ่าคน

คำกล่าวในบริบทดังกล่าวนั้นถือได้ว่าเป็นการกระทำสัตยาธิษฐานอย่างหนึ่ง เป็นการกระทำอิทธิฤทธิ์อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา คืออ้างอิงเอาความเป็นผู้หยุดสนิทแห่งกิเลสอาสวะทั้งหลาย หยุดความเบียดเบียนและการฆ่าทั้งหลายเป็นที่ตั้ง ทำให้มหาโจรร้ายต้องชะงักจังงังอยู่กับที่

แต่ที่นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวข้อความเดียวกันนี้ เป็นคนละบริบทกัน และห่างไกลกันลิบลับกับพระพุทธวจนดังกล่าว ในประการดังต่อไปนี้

ประการแรก นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังเป็นผู้มีกิเลสซึ่งน่าจะมีทั้งกิเลสหยาบ กิเลสละเอียดเยี่ยงปุถุชนทั้งหลาย จึงไม่มีอานุภาพเป็นการกระทำสัตยาธิษฐาน

ประการที่สอง นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวข้อความดังกล่าวหลังจากที่ได้พรรณนาความยาวเหยียดว่าถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายมากมายโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งความจริงเป็นอย่างไรนั้น คนทั้งหลายก็ย่อมรู้กันอยู่ จึงเป็นคำกล่าวเพื่อให้สังคมเข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ที่อาฆาตพยาบาทจองเวร มิใช่คำกล่าวเพื่อหยุดการฆ่าดังเช่นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับองคุลีมาล

เอากันแค่สองประการนี้ก็พอจะเห็นได้ว่าการอ้างอิงและการใช้ข้อความอันสูงส่งล้ำลึกที่เป็นพระพุทธวจนนั้นเป็นคนละเรื่อง คนละบริบท คนละความหมาย และด้วยอาการอย่างนี้ คนทั้งหลายจึงฮือฮากัน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 เมษายน 2560    
Last Update : 9 เมษายน 2560 0:23:52 น.
Counter : 257 Pageviews.  

อาจารย์สอนกฎหมายชี้ไม่มีกฎหมายมาตราใดห้ามคนนั่งในแค๊ปและนั่งท้ายรถกระบะ



อาจารย์คมสัน โพธิ์คง ผู้สอนกฎหมายอธิบายกฎหมายเรื่องรถกระบะและเรื่องรัดเข็มขัดนิรภัย โดยสรุปก็คือไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามนั่งในแค๊ปและท้ายรถกระบะ ดังนั้นอ่านกฎหมายให้ดี อย่ามั่ว ระวังมาด้วยรถถังแต่จะไปด้วยรถกระบะกับเข็มขัดนิรภัย ดังนี้.....

 

อยู่ดีๆ รัฐบาลและ คสช.ก็ฮาราคีรีตัวเองด้วยเรื่องรถกระบะกับเข็มขัดนิรภัย เสื้อแดงหัวเราะเยาะ ชอบใจ พยายามทำมาก็หลายเรื่องไม่ได้ผล อยู่ๆดีก็ฆ่าตัวตายซะงั้น วิธีคิดแบบราชการไม่คำนึงถึงความเป็นจริงในสังคมที่ยังไม่พร้อมเต็มรูปแบบ ความปลอดภัยดีแน่ แต่กระเป๋าตังค์ชาวบ้านเขารับภาระไม่ไหว มาด้วยรถถัง แต่ระวังจะไปด้วยรถกระบะกับเข็มขัดนิรภัย

ห้ามนั่งกระบะหรือไม่รัดเข็มขัดนิรภัยกันแน่ เขียนมาให้ติ่งตู่และนักเกรียนกฎหมายได้อ่าน

มีข้อมูลบอกว่า เรื่องห้ามนั่งหลังกระบะมีมานานแล้วเราทำผิดมาตั้ง ๓๘ ปี แล้ว โดยมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ จริงหรือไม่ เอ้าลองอ่านกัน

มาตรา ๒๐ ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถบรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของ ต้องจัดให้มีสิ่งป้องกันมิให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ อันอาจก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ ทำให้ทางสกปรกเปรอะเปื้อน ทำให้เสื่อมเสียสุขภาพอนามัยแก่ประชาชน หรือก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน

ไม่มีข้อความหรือหลักการใดๆเลยในมาตรา ๒๐ ที่บอกว่าห้ามนั่งหลังกระบะตามที่มีการตีความ(มั่วๆ)เลย มีแต่บอกว่า ต้องมีการจัดให้มีการป้องกันไม่ให้ คน สัตว์ หรือสิ่งของที่บรรทุกตกหล่น รั่วไหล ส่งกลิ่น ส่องแสงสะท้อน หรือปลิวไปจากรถ ไม่มีข้อความห้ามนั่งหลังกระบะ ตีความกันเกินเลย ซึ่งหมายความว่า หากมีที่กั้น หลังคา ปิดกันไม่ให้หล่นจากรถก็ใช้ได้ ดังนั้นอย่ามั่วกันว่า ประชาชนเขาทำผิดมานานกว่า ๓๘ ปี

แต่ที่เป็นปัญหาเรื่องห้ามนั่งหลังกระบะ จะมีหลังคาปกปิดหรือไม่ก็ตาม หรือห้ามนั่งในแค๊ป(จนต้องเอาเด็กใส่กล่องตั้งในแค๊ป )นั้น ไม่ได้มาจากมาตรา ๒๐ แต่มาจากข้อ ๒ ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๔/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พศ. ๒๕๖๐ที่ให้แก้มาตรา ๑๒๓ วรรคสองต่างหาก

มาตรา ๑๒๓ เดิม มีเนื้อความดังนี้

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๓๘

“มาตรา ๑๒๓ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถยนต์ยอมให้ผู้อื่นนั่งที่นั่งตอนหน้าแถวเดียวกับที่นั่งผู้ขับขี่รถยนต์เกินสองคน

ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะขับขี่รถยนต์ และต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์ ซึ่งนั่งที่นั่งตอนหน้าแถวเดียวกับที่นั่งผู้ขับขี่รถยนต์รัดร่างกายไว้กับที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์ และคนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะโดยสารรถยนต์ด้วย

ประเภทหรือชนิดของรถยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัยตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา”

ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขแล้ว ข้อความเป็นดังนี้

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๑๔/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก

มาตรา ๑๒๓ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถยนต์ยอมให้ผู้อื่นนั่งที่นั่งตอนหน้าแถวเดียวกับที่นั่งผู้ขับขี่รถยนต์เกินสองคน

ผู้ขับขี่รถยนต์ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะขับขี่รถยนต์ และต้องจัดให้คนโดยสารรถยนต์รัดร่างกายไว้กับที่นั่งด้วยเข็มขัดนิรภัยขณะโดยสารรถยนต์ และคนโดยสารรถยนต์ดังกล่าวต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งในขณะโดยสารรถยนต์ด้วย

ประเภทหรือชนิดของรถยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัยตามวรรคสอง ให้เป็นไปตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ดังนั้น เมื่อเราดูมาตรา ๑๒๓ วรรคสองเดิม ก็จะพบว่า เดิมบังคับการรัดเข็มขัดนิรภัยมีเฉพาะผู้ขับขี่กับผู้โดยสารตอนหน้า(ซึ่งวรรคหนึ่งกำหนดไม่เกิน ๒คน) ซึ่งหมายความว่าบังคับเฉพาะสองคนที่นั่งด้านหน้า ซึ่งไม่บังคับที่นั่งด้านหลัง หากเป็นรถกระบะ คือ ต้องมีการรัดเข็มขัด เฉพาะสองคนด้านหน้า แต่ในแค๊ป ในกระบะหลัง ไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องรัดเข็มขัดนิรภัย ชาวบ้านจึงนั่งในแค๊ปและหลังกระบะได้ โดยไม่ผิดกฎหมายไงครับ เพราะไม่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยและไม่มีกฎหมายห้ามนั่งในกระบะ

เมื่อมีการออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๑๔/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พศ. ๒๕๖๐ แก้ไขมาตรา ๑๒๓ ได้แก้ข้อความ ที่ให้คนขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าเท่านั้นที่ต้องรัดเข็มขัดนิรภัย เป็นให้ทุกคนที่โดยสารรถยนต์ต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่ง ซึ่งหมายความว่าในแค๊ป และ หลังกระบะต้องรัดเข็มขัดนิรภัย

จึงเป็นที่มาของการห้ามนั่งในแค๊ป และห้ามนั่งในกระบะหลังรถไงครับ เพราะในแค๊ปและหลังรถกระบะ ไม่มีเข็มขัดนิรภัย จนเป็นปัญหาใหญ่โตจนรัฐบาลและ คสช.ต้องกระอักเลือดโดนด่าอยู่ในวันนี้ไงครับ

ผมมีข้อสังเกตุส่วนตัวหลายประการในการบังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกนี้ดังนี้

๑. หากรถกระบะสามารถจัดเข็มขัดนิรภัยที่ได้มาตรฐานตามข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ผมค้นหาข้อกำหนดใหม่ในปี ๒๕๖๐ไม่พบ สงสัยว่ายังไม่ประกาศ) ตามมาตรา ๑๒๓ วรรคท้าย ได้และสามารถรัดติดที่นั่งในตอนหลังได้ทุกตำแหน่ง ก็หมายความว่า คนสามารถโดยสารกระบะท้ายและในแค๊ปได้ ไม่ว่าจะมีหลังคาหรือไม่ก็ตาม (ไม่รวมทางพิเศษ)

๒. ข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องกำหนดประเภทและชนิดรถยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย ที่เป็นไปตามมาตรา ๑๒๓ วรรคท้าย ผมยังไม่เห็น และหาไม่พบ สันนิษฐานว่า ยังไม่มีการประกาศข้อกำหนด ดังกล่าว ดังนั้นจึงมีความเห็นว่า

๒.๑ หากไม่มีข้อกำหนดตามมาตรา ๑๒๓ วรรคท้าย ตำรวจก็ไม่สามารถจับกุมรถกระบะที่มีคนบรรทุกท้ายกระบะและนั่งในแค๊ปได้ เพราะยังไม่กำหนดประเภทไว้ จะใช้ของเดิมก็ไม่ได้เพราะต้องสอดรับกับมาตรา ๑๒๓ วรรคสองใหม่ที่แก้ไข หากยังไม่มีข้อกำหนด ที่จับมาก็กรุณาคืนค่าปรับด้วยนะครับ เพราะเงื่อนไขการบังคับใช้กฎหมายไม่สมบูรณ์เนื่องจากไม่มีการกำหนดประเภทรถยนต์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย เอาไว้ จะเอาหลักเกณฑ์ใด เมื่อฉบับเก่าๆมันใช้กับสองที่นั่งด้านหน้าเท่านั้น

๒.๒ หากมีข้อกำหนดแล้ว ก็มีคำถามเยอะแยะเหมือนกัน เช่น

(ก) รถยนต์แค๊ปที่จดทะเบียนก่อนวันที่ ๒๑ มีนาคม พศ. ๒๕๖๐ ไม่ควรอยู่ในบังคับของมาตรา ๑๒๓ วรรคสองและวรรคสาม เพราะเป็นรถที่จดทะเบียนก่อนไม่มีเข็มขัดนิรภัยมาแต่ต้น เพราะในข้อกำหนดเก่าของตำรวจเช่น ฉบับวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ ยังวางหลักให้ประชาชนได้ปรับให้มีเข็มขัดนิรภัยครบโดยใช้เวลาถึง สองปี แต่ทำไมในกรณีนี้จึงไม่ให้มีการปรับตัว บังคับทันที ทั้งที่น่าจะรู้ว่ามีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก

(ข) ที่นั่งในแค๊ปหากจัดให้มีเข็มขัดนิรภัยตามที่กำหนด นั่งได้หรือไม่ หรือยังห้ามอีก

(ค) รถสาธารณะเช่นรถเมล์ของ ขสมก. รถสองแถวจะห้ามรับคน ด้วยหรือไม่เพราะรถเมล์ต้องยืนกันบนรถ(ปลอดภัยมากๆ ชนทีเจ็บตายทุกรอบ) รถสองแถวสาธารณะ(ปลอดภัยตายเทกระจาดเหมือนรถกระบะอื่นๆ) ก็ยืนในกระบะเช่นกัน หากยกเว้น มีมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายอย่างไร ว่าปลอดภัย เลือกปฏิบัติหรือไม่ รถตุ๊กๆ ทำอย่างไร

(ง) อย่างที่บอกว่าหากรถกระบะหากจัดให้มีเข็มขัดนิรภัยได้ทุกที่นั่งทั้งในกระบะด้วยต้องวิ่งได้ อย่าใช้วาทกรรมนะว่าห้ามนั่งในกระบะ อีกนะ จะอายเขาหรือเปล่า

๓. การออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๑๔/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกลงวันที่ ๒๑ มีนาคม พศ. ๒๕๖๐ เป็นการใช้อำนาจที่ไม่รอบคอบ ก่อปัญหาการใช้กฎหมายที่ไม่ลงตัวมากมาย สร้างภาระให้แก่ประชาชนอย่างมาก เพิ่มดุลยพินิจตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ลงตัวไม่เกิดความเป็นธรรม

สุดท้าย ขอยกพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันรพี เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๑ เป็นเครื่องเตือนใจ

"...กฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับกับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงกันข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีและอยู่ได้ด้วยความสงบ..."

และพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรของสํานักอบรมศึกษากฎหมาย แห่งเนติบัณฑิตยสภา ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันเสาร์ ที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๔

“…….ผู้มีหน้าที่ในด้านกฎหมายจะต้องคิดอ่านกระทําการให้กฎหมายได้เป็นปัจจัยผดุงความเที่ยงธรรมและสงบสุขอย่างแท้จริง งานนี้เป็นงานหนักและลําบากยากยิ่ง จะทําสําเร็จได้ก็ด้วยความกล้าหาญอดทนและความเพียรพยายาม ทุกคนจะต้องเตรี ยมกาย เตรียมใจให้พร้อมและมั่นคง ที่จะใช้ความรู้ ความสามารถของตน และที่จะรวมความคิด สติปัญญากัน ต่อสู้เอาชนะอุปสรรคทั้งปวง เพื่อดําเนินงานให้ บรรลุจุดหมาย สําคัญที่สุด ขอให้ถือหลักเหตุผลและความจริง ซึ่งจะนํามาปฏิบัติได้ เป็นหลักปฏิบัติงาน และสํานึก ให้ตระหนักแก่ใจว่า กฎหมายที่เปิดโอกาสให้เบียดเบียนกันได้ มีอคติมิใช่มีความยุติธรรม เป็นรากฐาน การนําบทบัญญัติที่ปฏิบัติไม่ได้ตามสภาพที่เป็นจริ งของชีวิตมาบังคับใช้ เป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้ อนแตกแยกในชาติและประชาชน บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ จะยังความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นได้ ต้องตราขึ้นตามสภาพการณ์และสภาพชีวิตที่แท้จริง ของบ้านเมืองและบุคคล”

คมสัน โพธิ์คง

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 08 เมษายน 2560    
Last Update : 8 เมษายน 2560 5:12:38 น.
Counter : 332 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.