ผู้บริหารสื่อเผยตัวเลขยอดขายนสพ.อยู่ในช่วงขาลง 13 ปี หายไป 50% สื่อดิจิทัลกับเพิ่มขึ้น 50%



ปฏิรูปสื่อ VS ความอยู่รอดผู้บริหารเครือมติชนชี้ยอดขายนสพ.ลดฮวบหายไปกว่าครึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ยันคนอ่านไม่ได้หายแต่พฤติกรรมการอ่านเปลี่ยนไป ด้านผจก.กองทุนพัฒนาสื่อฯหวังสื่อมืออาชีพมีมาตรฐานสูงมีความถูกต้อง-แตกต่างกว่าสื่อสังคมออนไลน์

เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2559 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สถาบันอิศราฯ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดงานสัมมนายุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารสารศาสตร์ ครั้งที่ 12 ประจำปี 2559 หัวข้อ “ปฏิรูปสื่อ : ทางออกสังคมไทย?” ณ ห้อง JM 402 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

ช่วงเช้า มีเวทีการวิพากษ์ “ขบวนการปฏิรูปสื่อ” โดยมีวิทยากร ประกอบด้วย รศ.มาลี บุญศิริพันธ์ นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน นายภัทระ คำพิทักษ์ อดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล กรรมการควบคุมจริยธรรมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ  

รศ.มาลี กล่าวถึงเรื่องการปฏิรูปว่า มีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปกันทุกปี และตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ปฏิรูปมาก็ไม่ได้ผล เพราะเรามัวแต่ไปคิดปฏิรูปเรื่องกลไกโครงสร้าง ไม่ได้ลงลึกไปที่ตัวบุคคล เช่น การเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ การสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับหน้าที่สื่อว่ามีความสำคัญมากขนาดไหน ขณะที่มหาวิทยาลัยสอนภาคปฏิบัติในห้องเรียน แต่เมื่อออกไปข้างนอกก็พบว่า มีความแตกต่างกัน

"สื่อมีหน้าที่ต้องเสนอความจริงอย่างเที่ยงตรง ให้ข้อมูลเท็จจริงผ่านสื่อ แต่ที่ผ่านมาก็พบปัญหาควบคุมกันเองไม่ได้ สภาการหนังสือพิมพ์ฯ ใครไม่พอใจก็ลาออก กลายเป็นเสือกระดาษทำอะไรไม่ได้ ขณะที่สัดส่วนกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ยังพบว่า มีสัดส่วนของภาคประชาชนอยู่น้อยมาก หรือบางครั้งก็เป็นนักวิชาการเข้ามานั่งในสัดส่วนนี้แทนภาคประชาชน ทั้งนี้ ถ้าเราทำให้ภาคประชาชน ผู้บริโภคมีความเข้มแข็งมีพื้นที่ให้สามารถตรวจสอบสื่อได้ ก็เชื่อว่าจะช่วยตรวจสอบสื่อได้มากขึ้น เช่นเดียวกันโซเชียลมีเดียทุกวันนี้ที่มีบทบาทเข้ามาช่วยตรวจสอบสื่อได้มาก อย่างไรก็ตาม เป็นห่วงเรื่องการเอากฎหมายเข้ามาใช้ เพราะกลัวว่าจะกลายเป็นการสร้างปัญหาในระยะยาว"

นายจักร์กฤษ กล่าวถึงการปฏิรูปสื่อว่า ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มีการพูดถึงเรื่องการปฏิรูป 11 ด้าน ซึ่งการปฏิรูปสื่อเป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนี้ เพราะปรากฎการณ์ที่สร้างความรุนแรง ยิงชีปนาวุธความรุนแรงใส่กันตลอด 24 ชั่วโมงของสื่อ แต่ก็มีคำถามว่า สื่อที่ทำให้เกิดปัญหาใช่สื่อกระแสหลักหรือไม่ ซึ่งความจริงคือ สื่อทีวีดาวเทียม สื่อกระแสรอง ไม่ใช่สื่ออาชีพ ซึ่งกรอบแนวความคิดตั้งต้นของรัฐคือต้องการจัดการกับสื่อเหล่านี้ แต่มาระบุรวมว่า ต้องการปฏิรูปสื่อทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม นายจักร์กฤษ กล่าวว่า ช่วงแรกการปฏิรูปสื่อโดยสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตั้งหลักดี มีกรรมการที่เป็นสื่อมวลชน มีความรู้ด้านสื่อเข้าไปให้ความคิดความเห็น แต่เมื่อ สปช. หมดวาระ มีการตั้ง สปท.ขึ้นมาแทน ซึ่งคณะกรรมาธิการสื่อมวลชนของ สปท. ยอมรับว่าต่างจาก สปช.

"ต้องยอมรับว่า ในสปท. มีแนวคิดเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งในโลกเสรีนี้ไม่มีใครเข้าทำหรือกำหนดให้มีใบอนุญาตฯ เช่นนี้ อีกกรณีคือพบว่า สปท. มีแนวคิดที่จะกำหนดให้มีตัวแทนภาครัฐ จำนวน 3 ตำแหน่ง เข้ามาดำรงตำแหน่งในสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ซึ่งเรื่องนี้เป็นอันตรายมากสำหรับสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังห่วงปัญหาเรื่องวิกฤตศรัทธา ทัศนคติที่มีต่อสื่อ จะทำให้เกิดการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะจะปรากฎออกมาผ่านมาตรา 44 ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จะต้องมีการต่อสู้กันเต็มที่"

นายภัทระ กล่าวว่า ทุกครั้งที่คุยเรื่องการปฏิรูปสื่อ ที่ผ่านมามักตั้งต้นจากการชี้นิ้วหาคนผิด โทษคนโน้นคนนี้ แต่สิ่งที่น่าจะเป็นข้อคิดและอาจต้องตั้งหลักดีๆ คือไม่จำเป็นต้องอาศัยกฎหมาย แต่เป็นนการตกลงกันเองของสื่อ

"สื่อมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง เวลาเปลี่ยนภาษาเปลี่ยน ภาพความโกลาหล ทุกคนแข่งขันกันทางธุรกิจ จนบางครั้งเรายังทำกันแทบไม่ทัน ดังนั้นจึงมองว่า การปฏิรูปสื่อมาถึงจุดกลายเป็นระบบที่มีชีวิตอยู่ในตัวเอง หมุนอยู่ในตัวเอง แต่พอเราไปคิดแบบเก่า ปฏิรูปสื่อมุ่งที่รัฐ เจ้าของกิจการ รวมถึงปฏิรูปตัวเราเอง ผมคิดว่าผิดหมด เพราะระบบมีชีวิตของมันเอง และถ้ารัฐคิดจะออกกฎหมายมาคุมสื่อ และยังคิดอย่างนี้ก็เรียกว่า โคตรเฉย บรมเฉย เพราะถ้าคุมก็คุมได้เฉพาะหนังสือพิมพ์ร้าง ทีวีร้างเท่านั้น"

นายภัทระ กล่าวถึงหลักใหญ่เกี่ยวกับเรื่องสื่อในรัฐธรรมนูญว่า เน้นการควบคุมกันเอง เพราะมองว่าระบบต่างๆ ที่มีชีวิตชีวากำลังทำหน้าที่เต็มที่ ทั้งนี้ปัญหาคือเราจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติ หรือกดทับมัน

"อีกประเด็นที่คิดว่าสื่อสามารถทำได้คือสร้างระบบการจัดการกองบรรณาธิการที่ดีเพื่อสร้างเนื้อหาที่แตกต่างๆ เป็นกำแพงเหล็ก พูดคุยต่อรองกับเจ้าของกิจการ รักษาพื้นที่การทำงานของสื่อเอาไว้ ขณะที่ในแง่มหาวิทยาลัย ต้องมีการปรับตัวหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ ไม่ใช่ทุกวิชาใส่คำว่าดิจิทัลเพิ่มเข้าไปเพื่อให้ดูทันสมัย แต่ต้องสร้างหลักสูตรวิชาที่เหมาะสม นอกจากนี้การตรวจสอบจากภาคประชาชนก็มีส่วนสำคัญ"

ด้านนายชวรงค์ กล่าวถึงโจทย์ของการปฏิรูปสื่อของรัฐในยุคนี้ว่า คือต้องการปฏิรูปสื่อการเมือง ปัญหาเรื่องเทคโนโลยีการแข่งขันเป็นข้ออ้าง สับขาหลอก เพื่อออกกฎหมาย จัดการ แต่โดยส่วนตัวยืนยันมาตลอดและมีจุดยืนคือ ไม่เอากฎหมาย แต่เมื่อเข้ามาโดนกรอกหูตลอดว่า ต้องเอากฎหมาย ดังนั้นถ้าพอรับได้คือ ยอมรับร่างแรก สมัยสื่อร่วมร่างกับอาจารย์มีชัย ครั้งเป็นกฤษฎีกา เพื่อแก้ปัญหากรณีผู้ไม่เป็นสมาชิก หรือผู้ที่ลาออกไป จัดการไม่ได้ เพราะในร่างนี้จะมีคณะกรรมการทำหน้าที่ในการสอบสวนสื่อที่ไม่ได้เป็นสมาชิก ส่วนสื่อที่เป็นสมาชิกองค์กรทางวิชาชีพก็จะสอบสวนกันเอง

"การออกกฎหมายเกี่ยวกับสื่อ เป็นเรื่องที่ฝ่ายการเมืองต้องการมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถทำได้ ขณะที่วันนี้ สปท. กำลังพยายามทำอยู่ เราจึงส่งสัญญาณไปยัง สปท.แล้วว่า ไม่เห็นด้วย ซึ่ง สปท.ก็ขอให้เราแก้ไขไปในประเด็นที่ไม่เห็นด้วย แต่พบว่า ผู้ร่างๆได้ดีมาก จนไม่มีทางแก้ไข เพราะวิธีคิดตั้งต้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากร่างของอาจารย์มีชัย ซึ่งมีฐานความคิดจากมุมมองที่ต้องการคุ้มครองส่งเสริมวิชาชีพ แต่ร่างของ สปท.ตั้งต้นที่ต้องการควบคุมกำกับดูแลสื่อ ฉะนั้นวันนี้เราจึงใช้วิธีแก้จากร่างอาจารย์มีชัย"

ที่มา thaitribune




Create Date : 26 พฤศจิกายน 2559
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2559 4:03:26 น. 0 comments
Counter : 233 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.