บทเรียนจาก"เต้าหู้ไข่"...กับความรู้ ทัศนคติ สิทธิมนุษยชน และระบบสุขภาพ โดย ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะ



"การแพ้"ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ถึงแก่ชีวิตได้หากแพ้รุนแรง ดังนั้นไม่ว่าจะแพ้ หรือสงสัยว่าแพ้อะไร ทางที่ดีควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าแพ้จริง และการพิสูจน์นั้นควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ และอยู่ในสถานที่ที่พร้อมดูแลหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

 

ฉาก:

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศ xyz มีข่าวสังคมกระจายกันว่า เด็กกินอาหารโรงเรียนแล้วผื่นขึ้น ไปหาหมอ หมอคาดว่าอาจแพ้เต้าหู้ไข่ เด็กเลยแจ้งครู ครูไม่เชื่อพร้อมบอกว่าตนเองเป็นนักวิทยาศาสตร์ บังคับให้กินให้ดู ผื่นไม่ขึ้นเลยตราหน้าว่าโกหก ทำโทษให้กราบหน้าเสาธง ข่าวแพร่สะพัดถึงความไม่เหมาะสม แต่ยังบอกว่าตนเองทำถูกต้อง

ความรู้พื้นฐาน:

อเมริกาเค้ามีตัวเลขละเอียด คาดประมาณปีที่แล้วว่าผู้ใหญ่ร้อยละ 30 และเด็กร้อยละ 40 เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะแพ้อะไรก็ตาม เช่น อากาศ ฝุ่นไร อาหาร แมลง ยา ฯลฯ นับเป็นโรคเรื้อรังลำดับต้นๆ ของประชาชนโดยรวมของเค้าเลยทีเดียว

เอาแค่อาการคัดจมูกจากโรคภูมิแพ้นั้น เค้าบอกว่าปีหนึ่งๆ ทำให้คนมาหาหมอถึง 16 ล้านครั้ง หยุดงานและหยุดเรียนรวม 6 ล้านวัน และเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาราว 17,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่แพ้อาหารนั้นทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ...สูงกว่าคัดจมูก

โดยตามสถิติแล้ว ถั่ว นม อาหารทะเล เป็น 3 สาเหตุยอดนิยม อย่างไรก็ตามคาดว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่มีอาการแพ้อาหารจะแพ้อาหารหลายชนิด

เมื่อเจ็บป่วยย่อมมีการสูญเสีย ลองมาดูกันว่าแพ้แล้วตายจากอะไรบ้าง

สาเหตุการเสียชีวิตจากอาการแพ้นั้น ยามาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยอาหาร และแมลง

ยาส่วนใหญ่ที่แพ้คือ เพนนิซิลลิน คาดประมาณว่ามีคนแพ้ราวร้อยละ 10

ตัวเลขเมืองเราค่อนข้างกระจัดกระจาย ยังไม่ได้รับการรวบรวมแบบเป็นระบบเท่าของเขา จึงขอไม่กล่าวถึง

ทัศนคติเชิงวิชาชีพ:

ในวงการหมอและบุคลากรทางการแพทย์เรามีหลักจริยธรรมวิชาชีพ อันประกอบด้วยหลักการกระทำใดๆ ที่ต้องก่อให้เกิดคุณประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดโทษ เคารพสิทธิและการตัดสินใจของผู้ป่วย รวมถึงไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

สำหรับแวดวงครู ก็มีจรรยาบรรณวิชาชีพครูเช่นกัน กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศไว้ว่ามีหลักการอยู่ 5 ข้อดังนี้

1.จรรยาบรรณต่อตนเอง ครูต้องมีวินัยในตัวเอง ต้องพัฒนาวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ

2.จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ครูต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร

3.จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจ โดยไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญของศิษย์และผู้รับบริการ หรือเรียกรับ ยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ

4.จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์

5.จรรยาบรรณต่อสังคม ครูพึงปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน:

ตามหลักสากล เด็กๆ มีสิทธิในการมีชีวิตรอด มีสิทธิที่จะได้รับการพัฒนา มีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองสวัสดิภาพทั้งทางกายและใจ และมีสิทธิในการแสดงออกซึ่งการมีส่วนร่วมคิดร่วมทำในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเค้า

บทเรียนจาก "เต้าหู้ไข่":

"การแพ้"ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ถึงแก่ชีวิตได้หากแพ้รุนแรง ดังนั้นไม่ว่าจะแพ้ หรือสงสัยว่าแพ้อะไร ทางที่ดีควรระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงไว้ก่อน จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าแพ้จริง และการพิสูจน์นั้นควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ และอยู่ในสถานที่ที่พร้อมดูแลหากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

การดื้อดึงพิสูจน์ให้เห็นจริงในทุกเรื่องนั้นอาจก่อให้เกิดอันตราย หากไม่รู้อย่างเชี่ยวชาญลึกซึ้งว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และความเสี่ยงยิ่งเท่าทวีคูณหากตนเองไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะจัดการภาวะไม่พึงประสงค์ได้ กระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ดีนั้นจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เป็นสำคัญ มิฉะนั้นจะสถาปนาตนเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็คงไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

การดื้อดึงโดยยึด "ตัวกูของกู" เป็นที่ตั้ง กระทำในสิ่งที่อันตราย แถมยังเป็นอันตรายที่เกิดแก่ผู้อื่น (ไม่ใช่ตนเอง) ยังเป็นการละเมิดและลิดรอนสิทธิ และอาจขัดต่อจริยธรรมวิชาชีพ รวมถึงขัดต่อหลักกฎหมายบ้านเมือง

ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นจากทั้งเรื่อง "ความไม่รู้ในเรื่องการแพ้", "ความไม่รู้ตัวว่าตนเองไม่รู้อะไร", "การไม่คำนึงถึงหลักจริยธรรมวิชาชีพ", "การไม่ตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่นและขื่อแปในบ้านเมือง" และ "การยึดติดกับทิฐิของตน"

สิ่งที่ทำไปนั้นก่อให้เกิดผลกระทบทั้งต่อตัวเด็ก และสังคมวงกว้าง ตอกย้ำประเด็นการมีอยู่ของความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่นำไปสู่การกระทำที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม แม้จะมีแหล่งข้อมูลและความรู้เรื่องต่างๆ พร้อมที่จะให้เข้าถึง ปรึกษา หรือนำไปใช้

แต่สุดท้ายก็แพ้ "ทิฐิแห่งตน"

นัยยะต่อการพัฒนาระบบสุขภาพ:

วันก่อนนั่งอ่านหนังสือวิชาการในการจัดการปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความยากจน ชื่อ Inequality: What can be done? โดย Prof.Anthony B. Atkinson แล้วทำให้ฉุกคิดและสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

"...ในการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานเศรษฐกิจปัจจุบัน ข้อมูลเชิงประจักษ์บ่งชี้ชัดเจนว่า ไม่มีทางลดทอนปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ หากประเทศไม่ลงทุนทรัพยากรให้เพียงพอ..."

"...มีหลักฐานจากหลายประเทศบ่งบอกชัดเจนว่า หากรัฐดำเนินมาตรการทุกวิถีทางเพื่อลดค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องบริการสาธารณะต่างๆ จะก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้นตามมาอย่างแน่นอน และปัญหานั้นจะไปโฟกัสที่เรื่องการไม่สามารถดูแลคนที่จำเป็นต้องได้รับบริการต่างๆ เหล่านั้น..."

แปลง่ายๆ คือ ท่ามกลางสถานการณ์ที่รัฐยิ้มกริ่มกับผลสัมฤทธิ์ในการลดรายจ่ายจากนโยบายที่ใช้กับประชาชนนั้น ประชาชนตาดำๆ จะน้ำตานอง

ในขณะที่ประเทศหนึ่งกำลังยิ้มแยกเขี้ยวเพราะใช้อำนาจเพื่อลดรายจ่ายด้านสุขภาพทุกวิถีทาง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าควรลงทุนเพิ่ม พร้อมตีตราลงทะเบียนคนจน เพื่อง่ายต่อการตั้งเกณฑ์ให้บริการสาธารณะ และการตั้งเกณฑ์ให้ร่วมจ่ายหลากหลายวิธี...

นี่อาจเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงการก้าวย่างสู่หลุมดำ ที่ต่างประเทศเคยประสบปัญหา และถ่ายทอดประสบการณ์เพื่อเตือนไว้แล้วล่วงหน้า

แต่เหตุใดเหล่าวงอำนาจจึงกระทำการเช่นนี้อยู่?

หรือมั่นใจ...ว่าประเทศเราเจ๋งกว่าเขา?

หรือพอใจ...ที่จะเห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมเพราะแสดงถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจ?

หรือเพราะเหตุผลอื่น...โปรดช่วยกันชี้แจงให้ทราบที!!!

แต่เหนืออื่นใด...ย่างก้าวดังกล่าวดูละม้ายคล้ายคลึงกับบทเรียนจาก "เต้าหู้ไข่" ที่ขับเคลื่อนจากมูลเหตุของ "ทิฐิแห่งตน" ใช่ไหม?

ผู้เขียน: ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 กันยายน 2559    
Last Update : 4 กันยายน 2559 21:23:29 น.
Counter : 419 Pageviews.  

รัฐบาลชวนผู้สูงวัยสมัครกองทุนการออมแห่งชาติภายใน 25 กันยายนออม 1,200 บาทรับเพิ่มเท่าตัวเป็น 2,400 บา



รัฐบาลเชิญชวนผู้อายุ 50 ปีและ 60 ปีขึ้นไปร่วมกองทุนการออมแห่งชาติออม 1,200 บาทได้รับเพิ่มเท่าตัวเป็น 2,400 บาทกองทุนนำเงินไปลงทุนออกดอกผลเพิ่มเติ่มได้อีก สมัครภายในวันที่ 25 กันยายนนี้ที่กอช.-กรุงไทย-ออมสินและธกส.

 

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2559 พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในวันที่ 25กันยายนนี้ จะครบ 1 ปีของการให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ได้ จากปกติจะรับสมัครเฉพาะผู้ที่มีอายุ 15 – 60 ปีเท่านั้น โดยเงื่อนไขนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ที่สมัครสมาชิกกองทุนฯภายใน 25 กันยายนนี้และจะได้เป็นสมาชิกต่อไปอีก 10 ปี นับจากอายุตัวในวันสมัคร รัฐบาลจึงขอเชิญชวนผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รีบสมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ จนถึงวันที่ 25 กันยายนนี้ เพราะหากพ้นกำหนดไปแล้ว จะไม่สามารถสมัครสมาชิกกองทุนฯ ได้อีก

ส่วนเงื่อนไขที่ให้ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปออมได้ 10 ปี ก็จะสิ้นสุดลงด้วย นั่นคือสมาชิกจะมีสิทธิออมเงินได้ถึงอายุ 60 ปีเท่านั้น

พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เร่งรัดให้กองทุนการออมแห่งชาติ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชนให้มากที่สุด เพราะถือเป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ที่ทุกคนควรได้รับรวมทั้งขอให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยทุกระดับ ที่ทำงานใกล้ชิดประชาชน ช่วยสื่อสารข้อมูลออกไปด้วย โดยไม่จำเป็นต้องเจาะจงเพียงแค่ผู้สูงอายุเท่านั้น เพราะทุกคนสามารถนำไปบอกต่อ หรือพาผู้สูงอายุไปสมัครสมาชิกกองทุนฯ ได้

“ผลประโยชน์ที่สมาชิกกองทุนฯ ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปจะได้รับ คือ เงินสมทบที่รัฐบาลจะจ่ายเข้าบัญชีให้เท่ากับจำนวนเงินที่สมาชิกออมเข้ากองทุน แต่ไม่เกินปีละ 1,200 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือฝาก 1,200 บาท ได้เพิ่มอีก 1,200บาทต่อปี และยังมีผลตอบแทนที่กองทุนฯ ได้นำเงินสะสมและเงินสมทบไปลงทุนหาดอกผลให้กับสมาชิกเพิ่มเติมด้วย”พล.ต.สรรเสริญกล่าว

ส่วนการขอรับเงินคืนนั้นขึ้นอยู่กับความสมัครใจของสมาชิก คือ ผู้ใดที่ออมครบ 10 ปี จะมีอยด 13,200 บาทตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะได้รับบำนาญตลอดชีพทุกเดือน แม้ว่าเงินออมหมด แต่กองทุนก็ยังจ่ายให้อยู่ ส่วนผู้ใดที่ไม่ต้องการออมถึง 10 ปี จะขอรับเงินคืนเมื่อใดก็ได้ โดยกองทุนจะทยอยจ่ายคืนให้ทุกเดือนจนกว่าเงินออมจะหมด และหากสมาชิกเสียชีวิต ทายาทก็จะได้รับเงินก้อนที่เหลืออยู่ในบัญชีทั้งหมด

พล.ต.สรรเสริญกล่าวว่า ยอดผู้สมัครสมาชิกกองทุนฯ จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 มีจำนวนทั้งสิ้น 437,501 ราย มียอดเงินกองทุน 1,313 ล้านบาท โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร รองลงมาคือ ค้าขาย นักเรียนนักศึกษาและอื่น ๆ และในจำนวนนี้เป็นสมาชิกที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 46 หรือราว 201,000 ราย

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกกองทุนฯ ได้ที่ ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน และธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนเงินออม 0 2017 0789 กด 0 ในวันและเวลาทำการ

เว็บไซต์กองทุนการออมแห่งชาติ

//www.nsf.or.th/

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 04 กันยายน 2559    
Last Update : 4 กันยายน 2559 18:28:39 น.
Counter : 285 Pageviews.  

สวนขวัญวรรณศิลป์ : กฎ (กด) ของใคร



 กฎ (กด) ของใคร

การศึกษาก้าวไปถึงไหนหนอ
หลายคนก่อมุ่งสัมฤทธิ์ประสิทธิ์ผล
หลายคนมุ่งมองจังหวะประโยชน์ตน
หลายหลายคนเหยียบบ่าเพื่อนเลื่อนตนโต
โยกข้ามหัวข้ามหูดูสับสน
ย้ายข้างล่างถางข้างบนจนฉาวโฉ่
อ้างคุณธรรมนำหน้าตั้งตาโชว์
หลักการโก้ขายความคิดให้ติดตาม
คนของใครนายโตได้โตด้วย
คนดีซวยโดนจวกดึงพวกข้าม
คุณธรรมหดหายหัวใจทราม
ตั้งคำถามเงินทองของนำทาง
มีเงินถือซื้อหาแผ่นฟ้าได้
พวกเป็นใหญ่เอื้ออำนวยช่วยดันสร้าง
ต่างตำรับอับโชคโยกล้างบาง
ให้เอ่ยอ้างร้อยเหตุผลก็จนใจ
เรื่องส่วนตัวสำคัญกว่างานอื่น
แกล้งชมชื่นระเริงหลงเข้าพงไผ่
หลบเรียวหนามแย่งกันถางหวังข้างใน
คนอยู่ใกล้ติดตักมักได้ดี
อ้างว่าความเหมาะสมนิยมนัก
เลือกที่รักมักที่ชังช่างบัดสี
การศึกษาจะก้าวไปในวันนี้
คงเหมือนเก่าเต่าล้านปียังมีแรง

ฐปกรณ์  โสธนะ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 03 กันยายน 2559    
Last Update : 3 กันยายน 2559 21:34:31 น.
Counter : 246 Pageviews.  

เผยหลักเกณฑ์ใหม่ประเมินผลการทำงาน'ผู้อำนวยการสถานศึกษา'ชี้ไม่ผ่านปีแรกอาจถูกลดสถานภาพกลับไปเป็นครู



ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.)เผยหลักเกณฑ์ใหม่ในการเข้าสู่ตำแหน่งรองผู้อำนวยการและผู้อำนวยการสถานศึกษาต้องเป็นผู้ที่มีความเหมาะสม ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและประสบการณ์ หากประเมินปีแรกไม่ผ่านจะถูกลดสถานภาพเป็นครูตามเดิม

 

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2559 รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมเรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการศธ. เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เสนอให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของรองผู้อำนวยการสถานศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษาใหม่ โดยหลักเกณฑ์ใหม่ จะต้องให้ได้มาซึ่งผู้ที่มีความเหมาะสม ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและประสบการณ์ ผ่านการเป็นครู หรือศึกษานิเทศก์มาไม่น้อยกว่า 10 ปี มีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 4 ปี ต่อเนื่องได้ไม่เกิน 8 ปีหรือ 2 วาระ และการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนจะไล่ตามขนาดโรงเรียน ตั้งแต่โรงเรียนขาดเล็ก กลาง ใหญ่ ตามลำดับ ซึ่งเท่ากับว่า ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษาขนาดกลาง จะต้องมีประสบการณ์ครูและการบริหารโรงเรียนมาไม่น้อยกว่า 14 ปี ส่วนโรงเรียนขนาดใหญ่ ต้องไม่น้อยกว่า 18 ปี

นพ.กำจร กล่าวต่อว่า การสอบคัดเลือก จะคัดเลือกผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดเล็กเท่านั้น โดยเปิดโอกาสให้ครูหรือศึกษานิเทศก์ที่มีประสบการสอนมาไม่น้อยกว่า 10 ปี สมัครสอบคัดเลือก เมื่อสอบผ่านความรู้ทั่วไป ภาค ก และความรู้เฉพาะตำแหน่ง ภาค ข จะได้รับการขึ้นบัญชีไว้ที่ส่วนกลางและสามารถเลือกโรงเรียนที่ต้องการไปเป็นผู้บริหารได้ 4อันดับ เพื่อให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.) ทำการคัดเลือกอีกรอบหนึ่ง หาก กศจ. เห็นว่าไม่มีผู้เหมาะสม ก็สามารถกลับไปคัดเลือกจากรายชื่อที่ขึ้นบัญชีไว้ในส่วนกลางได้ ทั้งนี้เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนแล้ว จะมีการประเมินผลการทำงานเป็นรายปี ซึ่งประเมินโดยครูในโรงเรียน ผู้ปกครอง กศจ. หากไม่ผ่านประเมิน ก็อาจถูกลดสถานภาพกลับไปเป็นครูตามเดิม ส่วนโรงเรียนขนาดกลาง และโรงเรียนขนาดใหญ่ จะเป็นการเข้าสู่ตำแหน่ง โดยการประเมินผลการทำงาน และเลื่อนไปตามลำดับ

ส่วนระดับรองผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นจะไม่มีการสอบแต่ให้ผู้อำนวยการโรงเรียนคัดเลือกครูที่มีประสบการณ์สอนไม่ต่ำกว่า 6 ปี ในโรงเรียนของตัวเอง มาดำรงตำแหน่งจากนี้จะต้องนำหลักเกณฑ์ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุม ก.ค.ศ.เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป

“หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการโรงเรียนใหม่นี้จะแก้ปัญหาเรื่องการบริหาร ซึ่งผู้ที่สอบคัดเลือกได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนได้ตั้งแต่อายุน้อย ทำให้ครูที่มีประการณ์ต้องมาคอยสอนงาน สร้างปัญหาให้กับโรงเรียน โดยต่อไปผู้อำนวยการโรงเรียน จะดำรงตำแหน่งได้แห่งละไม่เกิน 8 ปี และจะเข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่ ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี ซึ่งถือว่าโรงเรียนจะได้ผู้ที่มีประสบการณ์บริหารตามลำดับ” นพ.กำจรกล่าว

ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงระบบการประเมินผู้บริหารสถานศึกษาด้วยว่า จะประเมินจากตัวชี้วัดการปฏิบัติงานและประเมินการทำงานแบบ 360 องศาทุกๆ ปี ซึ่งเป็นการประเมินร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ กศจ. ครู และผู้ปกครอง หากผลการประเมินออกมาดีและมีผลงานเชิงประจักษ์ ก็สามารถดำรงตำแหน่งต่อได้อีก 1 วาระ แต่หากผลการประเมินไม่ดี โดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่ดำรงตำแหน่งนั้น (Probation) ก็ให้กลับไปดำรงตำแหน่งครูหรือศึกษานิเทศก์เช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตผู้อำนวยการสถานศึกษาอาจขยับไปเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ตามลำดับ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ผู้ผ่านประสบการณ์การทำงานด้านการศึกษามาอย่างรอบด้านจึงเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาเชิงระบบจากการเข้าสู่ตำแหน่งเร็วเกินไปด้วย ทั้งนี้ เมื่อได้จัดทำร่างต่างๆ เสร็จแล้วจะเสนอหลักเกณฑ์ใหม่ดังกล่าวให้ที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 03 กันยายน 2559    
Last Update : 3 กันยายน 2559 20:09:18 น.
Counter : 262 Pageviews.  

เคล็ด(ไม่)ลับ..ดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ โดย ดร.อภิสิทธิ์ ฉัตรทนานนท์ ประธานมูลนิธิคุณแม่คุณภาพ



ทุกคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่า น้ำ เป็นสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เพราะร่างกายประกอบด้วยน้ำถึง 70 % และน้ำยังเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนประกอบของเลือด ช่วยการไหลเวียนโลหิต การย่อย การดูดซึม และนำพาสารอาหารไปยังเซลต่างๆ ทั่วร่างกาย ที่สำคัญน้ำยังมีส่วนช่วยให้สมองทำงานได้ดีและทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่งอีกด้วย

 

ข้อมูลจาก ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ เลขานุการโครงการอาหารไทย หัวใจดี มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยว่า มีคำแนะนำกันมาตั้งแต่เป็นเด็กว่า  “ใน 1 วัน ควรดื่มน้ำวันละ 6 - 8 แก้ว” แต่หลายคนยังมักไม่ชอบดื่มน้ำ โดยเฉพาะ “น้ำเปล่า” แล้วจะมีสักกี่คนที่ดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ ซึ่งหากในแต่ละวันร่างกายได้รับน้ำน้อยจนเกินไปก็จะส่งผลเสียให้กับร่างกาย เช่น เลือดจะมีความหนืด จนทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายไม่เพียงส่งผลให้เส้นเลือดตีบตัน สมองเสื่อมเพราะเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น

ทั้งนี้ในแต่ละวันร่างกายจะสูญเสียน้ำตลอดเวลา ทั้งจากทางเหงื่อ การหายใจ และการขับถ่าย โดยเฉพาะประเทศเราเป็นเมืองร้อนทำให้มีโอกาสเสียน้ำได้ง่าย ร่างกายจึงต้องการน้ำในปริมาณที่มากขึ้น สำหรับผู้สูงอายุจะไม่ค่อยมีความรู้สึกกระหายน้ำ แม้ในยามที่ร่างกายต้องการก็ตาม จึงต้องเน้นย้ำการได้รับน้ำอย่างเพียงพอในผู้สูงอายุ โดยปกติคนเราต้องการน้ำ 0.05 ลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น น้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ควรได้รับน้ำ 2.5 ลิตร (หรือ 2,500 ซีซี) โดยที่การดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มักจะทำให้ร่างกายขาดน้ำจึงไม่นับสิ่งเหล่านี้เป็นปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวันรวมไปถึงนมด้วย เพราะนมเป็นอาหารดังนั้นไม่ควรจะคิดว่าการดื่มนมนั้นจะทดแทนการดื่มน้ำเปล่าได้ สำหรับหญิงให้นมบุตรอาจต้องการปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นจากปกติ เนื่องจากต้องสูญเสียน้ำไปในน้ำนม หรือถ้าหากคุณเป็นไข้หวัด คุณควรพยายามดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ และเพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย สำหรับผู้ที่มักมีปัสสาวะสีเหลืองเข้มอาจเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าร่างกายของคุณกำลังต้องการน้ำเพิ่มมากขึ้น ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจข้อควรรู้และการดื่มน้ำที่ฉลาดอย่างถูกวิธี เพื่อการมีสุขภาพดีกันดีกว่า..

สำหรับ น้ำที่ดื่ม ควรเป็นน้ำสะอาด ปราศจากสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และควรเป็นน้ำที่มีอุณหภูมิปกติคือไม่ร้อนจัดหรือเย็นจัด ยกเว้นในบางกรณี เช่น ตอนเช้าถ้าเป็นไปได้ควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพราะจะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ร่างกายต้องการน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (1 แก้วมีขนาดประมาณ 240 ซีซี) ไม่นับ รวม ชา กาแฟ ควรแบ่งการดื่มน้ำเป็นช่วงๆ ดังนี้

- ตอนเช้าหรือหลังตื่นนอน ควรดื่ม 1 แก้ว เนื่องจากในขณะที่เราหลับอยู่ ร่างกายของเราขาดน้ำมานาน เลือดจึงมีความเข้มข้นสูง และอยู่ในสภาวะที่ขาดน้ำ

ตอนสาย ประมาณ 9.00 - 10.00 น. หลังจากร่างกายสูญเสียน้ำจากการทำกิจกรรมในช่วงเช้าไปแล้ว เราควรดื่มน้ำในเวลานี้ 2 แก้ว

ช่วงบ่าย ประมาณ 13.00 - 14.00 น. หลังรับประทานอาหารกลางวัน ให้ค่อยๆ จิบน้ำไปเรื่อยๆ ให้ได้ 2 - 3 แก้ว

ตอนเย็น ช่วงเวลา 16.00 น.เป็นต้นไป ควรดื่มให้ได้ 2 – 3 แก้วจนกว่าจะเข้านอน

ก่อนเข้านอน ควรดื่มอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนเข้าไปชะล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นก็จะช่วยให้หลับสบาย

เคล็ดลับดื่มน้ำอย่างไรให้ได้ประโยชน์

- จิบน้ำทีละน้อยตลอดทั้งวัน โดยไม่จำเป็นต้องรอจนกว่าจะรู้สึกกระหาย และไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ 2 – 3 แก้ว ติดต่อกันทันทีแต่ให้ดื่มตามปกติ

- อย่าดื่มน้ำมากเกินไปก่อนที่จะรับประทานอาหาร หากจะดื่มควรดื่มน้ำก่อนสักประมาณครึ่งชั่วโมง หรือ 45 นาที และในระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ไม่เต็มที่ อาหารไม่ย่อยและเกิดอาการท้องอืด

- หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที ค่อยดื่มน้ำตามปกติ ไม่ควรดื่มน้ำทันที เพื่อให้กระเพาะจะได้ย่อยอาหารเสียก่อน

- ควรดื่มน้ำทุกครั้งที่รู้สึกกระหาย และควรค่อยๆ ดื่ม อย่าดื่มทีละมากๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับไต ปอด ม้าม ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย

รู้เคล็ดลับดีๆของการดื่มน้ำแล้วอย่าลืมนำไปปฏิบัติกันดูเพราะนอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพที่แข็งแรงห่างไกลโรคภัยแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณดูสวยสดใสแล้ว คุณก็จะมีความสุขและสนุกกับการใช้ชีวิตในทุกๆวัน

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 02 กันยายน 2559    
Last Update : 2 กันยายน 2559 15:03:43 น.
Counter : 308 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.