แถลงการณ์เครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ(คป.ตร.) Police Watch ฉบับที่ ๔/๒๕๖๐



เรื่อง ขอให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจดำเนินการตามความต้องการของประชาชน ในการแยกงานสอบสวนออกจากตำรวจ และให้อัยการมีอำนาจตรวจสอบ ควบคุมการสอบสวนคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียน

 

ตามที่คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตามรัฐธรรมนูญ ได้ออกคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น ด้าน พิจารณาแนวทางปฏิรูป โดยด้านสำคัญที่สุดคือ การบังคับใช้กฎหมายและการสอบสวน ซึ่ง ดร.สมคิด เลิศไพทูรย์โฆษกคณะกรรมการฯ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ ..๖๐ ว่า คณะกรรมการมีแนวทางพิจารณาให้ระบบงานสอบสวนมีความเป็นอิสระในลักษณะเดียวกับศาล แต่จะยังคงให้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั้น

คป.ตร. เห็นว่า ปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดโครงสร้างองค์กร สายงานและระบบการบังคับบัญชาแบบมีชั้นยศและวินัยแบบทหาร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ตามพยานหลักฐานและกฎหมาย เนื่องจากต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ผู้ไม่เชื่อฟัง ก็เกิดความหวาดหวั่นว่าอาจถูกกลั่นแกล้งทั้งจากการแต่งตั้งโยกย้ายรวมทั้งการลงโทษทางวินัยได้โดยง่าย

ฉะนั้น การยังให้งานสอบสวนอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีระบบการปกครองมีชั้นยศแบบทหาร ไม่ว่าจะออกแบบอย่างไร ผู้ปฏิบัติก็จะไม่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง อีกทั้งเป็นการหน่วงรั้งการปฏิรูประบบงานสอบสวนที่ล้าหลังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนไปอีกนาน

จึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปด้วยการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดตามความต้องการของประชาชน โดยแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้อยู่ในระบบข้าราชการพลเรือนรวมทั้งให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนในคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียนตั้งแต่เริ่มคดี ตามที่สำนักวิจัยนิด้าโพลได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนรายงานเมื่อวันที่ ..๖๐ว่า

. ร้อยละ ๖๙.๗๕ ต้องการให้แยกงานสอบสวนออกจากตำรวจเพื่อให้มีหลักประกันความยุติธรรม

. ร้อยละ ๗๙. ต้องการให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนในคดีสำคัญหรือเมื่อมีการร้องเรียน

. ร้อยละ ๙๐.๓๑ ต้องการให้มีการบันทึกภาพและเสียงการสอบปากคำบุคคล

อนึ่ง ประเด็นการทำให้งานสอบสวนมีความเป็นอิสระนั้น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็ได้มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มพนักงานสอบสวนที่รวมตัวกันจัดตั้งสหพันธ์พนักงานสอบสวนแห่งชาติออกแถลงการณ์เรียกร้องให้แยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยเหตุผลว่าจะทำให้พ้นจากระบบการปกครองบังคับบัญชาแบบมีชั้นยศ เป็นช่องทางให้ตำรวจผู้ใหญ่ใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตรับส่วยสินบนรวมทั้งการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ดังนั้น คป.ตร.จึงขอให้คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจตระหนักถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชนอันเนื่องมาจากปัญหางานสอบสวนที่ยังคงอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรับฟังความคิดเห็นเสียงเรียกร้องทั้งของประชาชนและพนักงานสอบสวนผู้ปฏิบัติงาน ดำเนินการปฏิรูปโดยแยกงานสอบสวนออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้พนักงานอัยการมีอำนาจตรวจสอบควบคุมการสอบสวนคดีสำคัญตามกับหลักสากลเช่นนานาอารยะประเทศด้วย

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2560    
Last Update : 11 สิงหาคม 2560 10:01:03 น.
Counter : 1510 Pageviews.  

เวียดนามกลายเป็นสวนทุเรียนใหญ่ เนื้อที่หลายหมื่นไร่ไฮเทคอีกต่างหาก



เวียดนามค่อยๆ กลายเป็นแหล่งปลูกทุเรียนใหญ่ อีกแห่งหนึ่งในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบบไม่รู้ตัว จากที่ทำได้ไม่ดี เมื่อหลายปีก่อน ไม่กี่ปีมานี้ "ทุเรียนหมอนทองเวียดนาม" ได้รับการยอมรับจากตลาดใหญ่จีน

 

ทั้งส่งออกโดยตรงข้ามพรมแดน และ จำหน่ายผ่านแพล็ตฟอร์มการค้าออนไลน์ อย่างเป็นลำเป็นสัน จากเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ทางตอนใต้ของประเทศ เกษตรกรสวนทุเรียนขยายกิจการไปยังเขตที่ราบสูงภาคกลาง กลายเป็นทุเรียนพันธุ์ดีที่นั่น มีการจดทะเบียนรับรองเป็นผลไม้ปลอดสารพิษ ทางการท้องถิ่นติดตรารับรองให้ อย่างเป็นทางการ

จากการปลูกแบบลองผิดลองถูก วันนี้เกษตรกรจำนวนไม่น้อย เริ่มนำเทคโนโลยีเข้าช่วย ทำให้สามารถสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ ให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ รดน้ำทุนเรียน จากที่ไหนก็ได้ และ รดได้ในทุกเวลาที่ต้องการ จากที่เคยต่อสู้กับราคาตกต่ำสุดขีดในฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรรายหนึ่งลงทุน สร้างระบบห้องเย็นทันสมัยขึ้นมา แช่เย็นและแช่แข็งทุเรียนเอาไว้ เพื่อจำหน่ายนอกฤดูกาล ซึ่งได้ราคาดีกว่า

ทั้งหมดนี้คือ รายละเอียดส่วนหนึ่งเกี่ยวกับเกษตรกรสวนทุเรียน ในคอมมูนเฟื้อกเหลิก (Phước Lộc)อำเภอดะฮวาย (Đạ Huoai) .เลิมโด่ง (Lâm Đồng) ที่เป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพดี ปลอดสารพิษทุเรียนจากที่นี่ได้รับประกันในด้านคุณภาพ ความนุ่มเนียน หอมหวาน ของพันธุ์หมอนทอง ที่ปลูกจากเขตดินภูเขา ในที่ราบสูงตอนกลางของประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้าจดทะเบียน เป็น "ทุเรียนดะฮวาย

ภาพที่เผยแพร่โดยสื่อของทางการวันสองวันมานี้ แสดงให้เห็นผลทุเรียนที่ให้พูใหญ่ เนื้อหนานุ่ม สีเหลืองอร่าม ไม่ต่างกับพันธุ์หมอนทองที่ปลูกในภาคตะวันออกของไทย และ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากทุเรียนที่ปลูกในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขงเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งให้เนื้อออกมาสุกแดง เนื้อเละ ไม่แน่น กลิ่นค่อนข้างฉุน ซึ่งว่ากันว่าเป็นพันธุ์ที่ไปจากประเทศฟิลิปปินส์ แต่ในวันนี้แทบจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

อำเภอดะฮวาย อยู่ห่างจากเมืองด่าลัต (Đà Lạt) เมืองท่องเที่ยวตากอากาศ ที่มีชื่อเสียงของเวียดนามในจังหวัดเดียวกัน เป็นระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ในอำเภอนี้มีเกษตรกรสวนทุเรียนราว 1,000ครอบครัว รวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 2,000 เฮกตาร์ (12,500 ไร่) แต่ปัจจุบันมีเพียง 15 ครอบครัวกับสวนราว20 เฮกตาร์ (250 ไร่) ที่ผลิตทุเรียนได้มาตรฐานของอำเภอ และ ได้ติดป้ายเป็น "ทุเรียนดะฮวาย" รับประกันคุณภาพ

ไม่ต้องแปลกใจเลย เพราะอะไรจึงทำให้การปลูกทุเรียนที่นี่ ก้าวหน้าไปไกลกว่าที่อื่นๆ ก็เพราะว่าเกษตรกรทั้ง 15 ครอบครัวนั้น มีพื้นเพดั้งเดิม อยู่ที่อำเภอกายเลย (Cai Lậy) .เตี่ยนซยาง (Tiền Giang)ซึ่งได้ชื่อเป็นสวนผลไม้ ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ที่นั่นมีสวนทุเรียนอยู่นับหมื่นๆ ไร่ ทั้ง 15 ครอบครัวอพยพไปปักหลักที่คอมมูนเฟื้อกเหลิก .ดะฮวาย .เลิมโด่ง มาเป็นเวลากว่า 15 ปีแล้ว นำประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคน ไปเริ่มต้นใหม่ในเขตเขา

นายเหวียนวันเติม (Nguyễn Văn Tâm) เกษตรกรวัย 56 ปีกล่าวว่า มาตรการหนึ่งที่กำหนดคุณภาพของทุเรียนดะฮวายก็คือ เกษตรกรที่นั่นจะไม่ตัดทุเรียนอ่อน หรือ "ทุเรียนเขียว" ออกจำหน่ายอย่างเด็ดขาด แต่จะตัดก่อนถึงกำหนด ที่จะสุกค้างต้นไม่เกิน 10 วัน การทำผิดพลาดแค่ครั้งเดียว อาจทำให้ผู้บริโภคขาดความเชื่อถือไปตลอดกาล

นายเติมบอกว่า เมื่อครั้งพวกเขาอพยพ ไปยังคอมมูนเฟื้อกเหลิก ได้พบว่าที่นั่นปลูกทุเรียนอยู่ก่อนแล้วแต่เป็นพันธุ์ที่คุณภาพไม่ดีนัก ปัจจุบันเกษตรกรเกือบทั้งหมด หันไปใช้กิ่งพันธุ์จาก .เตี่ยนซยาง เพื่อให้เป็น "ทุเรียนดะฮวาย" มาตรฐานเดียวกัน ทุเรียนที่ตัดปีแรกให้เนื้อดี กลิ่นหอม แต่ลูกเล็ก เกษตรกร 15ครอบครัว กลับไปยังที่ราบปากแม่น้ำโขงอีกหลายครั้ง พัฒนากิ่งตอน เพื่อคัดพันธุ์ใหม่ จนกระทั่งได้ผลิตลูกที่ได้มาตรฐาน "เหวียดแก๊ป" (VietGAP หรือ Vietnamese Good Agricultural Practices) คือการเกษตรแบบยั่งยืนและปลอดภัย เกษตรกรที่เหลือในอำเภอเดียวกัน ก็กำลังดำเนินรอยตามกันไป

นายเหวียนวันเติม (Nguyễn Văn Tâm) โชว์ตู้ควบคุมที่สวนทุเรียนของเขา ระบบที่ติดตั้งในตู้ใบนี้ จะรับข้อความเป็นคำสั่งจากเขา ผ่านโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปิดน้ำราดต้นทุเรียนจากข้างขน ลงสู่ราก เป็นการรดน้ำ แบบเวียดๆ ระบบนี้ยังสั่งให้ปุ๋ยแบบเวียดๆ ได้อีกด้วย. -- Photo Courtesy of Tuoi Tre Online. ">

2

นายเจิ่นกิมเจื่อง (Trần Kim Trường) แห่งสำนักงานการเกษตรและพัฒนาชนบท .ดะฮวาย กล่าวว่าเกษตรกรทุเรียนที่นั่น พยายามขอมาตรฐานเครื่องหมายการค้าจากทางการ ตั้งแต่สามปีที่แล้ว แต่ในที่สุดทุกคนก็ได้พบว่า ตนเองยังไม่พร้อม จนกระทั่งเมื่อต้นปีนี้ จึงสามารถทำตามมาตรฐานได้เป็นครั้งแรก

ปัจจุบันมีเกษตรกรจำนวนหนึ่ง ซึ่งแต่ละครอบครัวมีสวนทุเรียน ตั้งแต่ 2-5 เฮกตาร์ (12.5-31.25 ไร่) ได้ลงทุนติดตั้ง ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถ "สั่งการจากทางไกล" รดน้ำต้นทุเรียนได้เป็นรายต้นโดยปล่อยน้ำจากส่วนบน ราดลงไปตามลำต้น ซึ่งถือเป็นการคิดค้นใหม่ ทำให้เกิดความชุ่มชื้นตั้งแต่บนลำต้น ลงไปจนถึงราก วิธี "สั่งทางไกล" นี้ ยังประยุกต์ใช้กับการให้ปุ๋ยต้นทุเรียนในสวนอีกด้วย

นายเหวียนวันเติม ก็เป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าของสวน ที่รดน้ำทุเรียน โดยส่งข้อความสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือ ไปยังระบบที่ควบคุมการจ่ายน้ำด้วยไฟฟ้า ทำให้เกษตรกรอย่างเขา ไม่ต้องเคร่งเครียดกับเรื่องนี้จนเกิดไป และ ไม่ต้องจ้างแรงงานจำนวนมาก ในการจัดการ

นายเหวียนฮว่างเวิน (Nguyễn Hoàng Vân) เกษตรกรอีกคนหนึ่งกล่าวว่า การติดตั้งระบบให้น้ำ-ปุ๋ย โดยสั่งการผ่านโทรศัพท์มือถือนี้ มีมูลค่าเท่าๆ กับ การจำหน่ายทุเรียนราว 3 เฮกตาร์ (เกือบ 19 ไร่) แต่สามารถช่วยประหยัดค่าจ้างแรงงานได้ในระยะยาว และ ยังมีเวลาทำอย่างอื่นได้อีกมากมายในชีวิตประจำวัน

เกษตรกรอีกหลายครอบครัวยังคงค้นคิดไปเรื่อยๆ ในการหาทางเพิ่มผลผลิต แต่ลดต้นทุนลงในขณะเดียวกัน หลายครอบครัวได้พบว่า การปล่อยให้วัชชพืชบางชนิด ขึ้นปกคลุมสวนนั้น แท้จริงแล้วช่วยรักษาความชุ่มชื้นของดินได้เป็นอย่างดี วัชชพืชยังช่วยเพิ่มฮิวมัส หรือมูลดินที่มีแร่ธาตุอาหาร แทนที่จะคอยแย่งสารที่มีประโยชน์ต่อต้นทุเรียน ตามที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นสวนทุเรียนบางแห่งของเกษตรกร ในเขต .ดะฮวาย จึงมีหญ้าขึ้นสูงเพียงเข่า

นายเหวียนฮายเจิว ( Nguyễn Hải Châu) เกษตรคนหนึ่งกล่าวว่า เขาได้เรียนเกี่ยวกับเทคนิคนี้ ตอนไปฝึกอบรมจากเจ้าหน้าที่เกษตรอำเภอ โดยวัชชพืชสามารถช่วยรักษาความชุ่มชื้น ของผืนดินที่ค่อนข้างจะแห้งแล้งในเขตที่ราบสูงได้เป็นอย่างดี


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2560    
Last Update : 10 สิงหาคม 2560 22:13:33 น.
Counter : 551 Pageviews.  

Eco-Cooler พัดลมไอเย็นไร้ไฟฟ้าจากขวดพลาสติกเครื่องแรกของโลก



ขวด ขวด และขวด ไม่ว่าจะมองไปทางไหน เราก็เจอแต่ขวดน้ำ จนตอนนี้ขยะจากขวดพลาสติกมีปริมาณมากขนาดที่สามารถพันรอบโลกได้มากกว่า 150 รอบกันเข้าไปแล้ว

 

จริงอยู่ว่าขยะดังกล่าวถูกนำไปรีไซเคิล แต่ก็มีปริมาณที่น้อยมากหากเทียบกับจำนวนขยะที่มีทั้งหมด ซึ่งหากจะรอการย่อยสลายก็ปาเข้าไปอีก 450 ปี นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้บรรดานักออกแบบและนักประดิษฐ์ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นต่างทดลองปลุกชีพขยะดังกล่าวด้วยหน้าที่ใช้งานแบบใหม่ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้าน เลยไปจนถึงการสร้างนวัตกรรมอีกมากมาย เช่นเดียวกับ Ashis Paul นักประดิษฐชาวบังคลาเทศที่ใช้ขวดพลาสติกเป็นต้นทางในการทำพัดลมทำความเย็นที่ไม่ต้องพึ่งไฟฟ้า แต่ใช้หลักการfluid dynamics หรือพลศาสตร์ของเหลวในการทำความเย็น

Eco-Cooler เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญระหว่างที่ Ashis กำลังสอนการบ้านวิชาฟิลิกส์ให้ลูกสาว เขาก็ฉุกคิดได้ว่าอากาศจะเย็นขึ้นได้ก็เมื่อมีการเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว เขาจึงนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์เพื่อสร้างพัดลมไอเย็นขึ้น ซึ่งพัดลมที่สามารถปรับอุณหภูมิให้เย็นลงได้อย่างน้อย 5 องศาเซลเซียสที่ว่าสามารถทำได้ง่ายๆ โดยในขั้นตอนแรกคือการเลือกหน้าต่างต้องการติดตั้ง จากนั้นก็ตัดแผ่นไม้กระดานให้พอดีกับขนาดช่องหน้าต่างและเจาะรูจำนวนมากเพื่อสอดปากขวดน้ำพลาสติกใช้แล้วขนาด 2 ลิตร ที่มีการตัดด้านล่างออกเป็นรูปกรวยเข้าไปในแผ่นไม้กระดานตามแบบพิมพ์เขียว โดยเมื่ออากาศไหลผ่านด้านกว้างของขวดมายังคอขวด อากาศก็จะถูกบีบผ่านช่องว่างขนาดเล็กบริเวณปากขวดทำให้อากาศไหลเร็วขึ้น ด้วยวิธีนี้จึงทำให้อากาศเย็นไหลเข้าสู่ด้านในบ้านนั่นเอง

Eco-Cooler ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอย่าง Intel บริษัทผู้ผลิตชิฟคอมพิวเตอร์รายใหญ่ Garmeenกลุ่มธนาคารเพื่อคนยากไร้ในบังคลาเทศ และบริษัทโฆษณา Grey Group ในการร่วมทดลองและผลิตต้นแบบจำลองจนสามารถใช้งานได้จริง ก่อนจะช่วยเผยแพร่โครงการดังกล่าวผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้คนที่ประสบปัญหาสามารถนำไปประดิษฐ์พัดลมดังกล่าวด้วยตนเอง ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการช่วยเหลือและติดตั้ง Eco-Cooler ให้กับชาวบ้านไปแล้วกว่า 25,000 หลังคาเรือน ในหมู่บ้าน Nilphamari Daulatdia, Paturia Modonhati และ Khaleya และเริ่มขยายตัวไปทั่วทั้งบังคลาเทศ โดยอาสาสมัครจะเข้าไปสอนชาวบ้านทีละขึ้นทีละตอน

พัดลมไอเย็นไร้ไฟฟ้าเครื่องแรกของโลกที่ Ashis ตั้งใจประดิษฐขึ้นเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ รวมถึงผู้ที่ประสบปัญหาแบบเดียวกันเท่าที่จะช่วยได้เครื่องนี้ นอกจากช่วยแก้ปัญหาการอยู่อาศัยท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุในบังคลาเทศและพื้นที่ที่ประสบปัญหาแบบเดียวกัน แต่ยังเป็นทางออกที่เอื้อประโยชน์โดยตรงแก่กลุ่มผู้ยากไร้ รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการนำขยะจากขวดพลาสติกมาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ผู้คนและลดจำนวนขยะที่เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกันด้วย


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2560    
Last Update : 10 สิงหาคม 2560 6:38:25 น.
Counter : 288 Pageviews.  

'สตาร์ทอัป' สไตล์ ธนินท์ เจียรวนนท์



“สหพัฒน์โตแล้วแตกและแตกแล้วโต” (เขียนโดยคุณ สมใจ วิริยะบัณฑิตกุลเป็นตัวอย่างของหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนถึงกรณีศึกษาของนายห้างเทียม โชควัฒนา ผู้ก่อตั้งกลุ่มสหพัฒน์ โดยใช้กลยุทธ์ในการเปิดโอกาสให้ผู้บริหารในแต่ละองค์กรมีอิสระในการทำงานและขยายอาณาจักรไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งทำให้กรุ๊ปในภาพรวมสามารถเจริญเติบใหญ่จนเป็นองค์กรชั้นนำระดับประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา

อีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์การบริหารงานในรูปแบบนี้คือ ธนินท์ เจียรวนนท์ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ผู้ซึ่งได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและการทำงานจากการที่ได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ ที่ให้รับผิดชอบบริหารองค์กรตั้งแต่อายุน้อย จนเป็นแรงดลใจให้เขากลายเป็นคนที่ชอบที่จะให้โอกาสคนหนุ่มคนสาวเช่นกัน เมื่อได้ก้าวขึ้นมาบริหารกิจการของตัวเอง

จากบทสัมภาษณ์ “My Personal History” โดยนิตยสาร Nikkei Asian Review ธนินท์ได้รับการมอบหมายจาก ดร.ชำนาญ ยุวบูรณ์ ซี่งในขณะนั้นเป็นอธิบดีกรมการปกครองและประธานสหพันธ์สหกรณ์ค้าไข่แห่งประเทศไทย ให้เป็นผู้จัดการสหกรณ์ฯ ตั้งแต่อายุเพียง 20 ปี เนื่องจากเห็นแววและเชื่อมั่นเด็กหนุ่มคนนี้ว่าจะทุ่มเทและมีความสามารถนำพาสหกรณ์ฯ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการส่งออกให้ก้าวหน้าและประสบความสำเร็จได้

ธนินท์ได้เรียนรู้หลักการบริหารงานบริหารคนจาก ดร.ชำนาญ ผู้ซึ่งจบการศึกษาในระดับปริญญาเอกด้านกฎหมายจากฝรั่งเศสเป็นอย่างดี จนมีผู้เล่าว่าในขณะนั้นหนุ่มน้อยวัยเพียง 20 ปีสามารถบริหารกิจการสหกรณ์ฯ ให้เจริญรุดหน้าไปด้วยดี โดยมีผู้อาวุโสวัย 50 ที่ ดร.ชำนาญเป็นผู้แต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้ช่วย

ด้วยเหตุนี้ทำให้บุคคลผู้ใกล้ชิดธนินท์เปิดเผยว่า ประสบการณ์นี้เองทำให้ธนินท์เป็นผู้ที่ชอบที่จะให้โอกาสคนรุ่นใหม่เสมอในการเข้ามาเสนอความคิด และจะคอยดูแลแนะนำช่วยเหลือด้านต่างๆ รวมทั้งเงินทุนและความรู้หลักคิดในการบริหารจัดการต่างๆ

การที่ธนินท์เปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือนี่เองเป็นหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จของเครือซีพีในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ที่ทำให้เครือฯ สามารถแตกไลน์ธุรกิจออกไปมากมาย โดยกิจการไก่ย่างห้าดาว หรือข้าวกล่องในร้านเซเว่น เป็นหนึ่งในตัวอย่างของธุรกิจใหม่ที่เกิดจากไอเดียของคนรุ่นใหม่ที่ธนินท์ได้รับฟังและให้โอกาสได้ “ปล่อยของ” แสดงฝีมือจนประสบความสำเร็จ

วิธีคิดและวิธีการทำงานแบบนี้ของธนินท์ ซึ่งได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมองค์กรของเครือซีพี ช่วยให้เครือได้แตกไลน์ธุรกิจออกไปอย่างมากมายและกว้างขวาง และอาจมีส่วนที่ทำให้มีผู้เข้าใจผิดและครหานินทาซีพีว่าทำไปหมด ทำไปเสียทุกอย่าง ก็มาจากการที่ธนินท์เปิดกว้างให้พนักงานและผู้บริหารมีอิสระสามารถครีเอทธุรกิจใหม่ได้อย่างไม่มีข้อจำกัดนั่นเอง

ก่อนที่โลกจะรู้จัก กระทิง รุ่งเรือง พูนผล หรือคำว่า สตาร์ทอัป หรือ แองเจิล อินเวสเตอร์ ซึ่งหมายถึงผู้ฟูมฟัก อุ้มชูสตาร์ทอัป แต่ในหลายทศวรรษที่แล้วมี ธนินท์ เจียรวนนท์ เด็กหนุ่มผู้เคยได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ให้เข้ามาทำงานสำคัญ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จด้วยโมเดลธุรกิจแบบแองเจิล อินเวสเตอร์ ด้วยการเปิดเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามา “แตกและโต” ด้วยเช่นกัน

แต่สิ่งที่ธนินท์หรือนายห้างเทียมแตกต่างจากผู้ฟูมฟักสตาร์ทอัปในยุคนี้คือการคงธุรกิจที่แตกใหม่เหล่านี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของเครือ ในขณะที่แองเจิลอินเวสเตอร์มักจะเป็นการลงทุนในระยะสั้นเพื่อช่วยตั้งไข่ก่อนที่จะขายหุ้นออกไปเมื่อสตาร์ทอัปสามารถยืนบนขาของตัวเองได้แล้วหรือมีผู้ลงทุนใหม่


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 10 สิงหาคม 2560    
Last Update : 10 สิงหาคม 2560 1:14:38 น.
Counter : 261 Pageviews.  

พบฝุ่น PM2.5 ใน 14 เมืองของไทย เกินค่าความปลอดภัย



กรีนพีชฯ อัพเดทสถานการณ์มลพิษ PM2.5 พบม.ค.-มิ.ย. 60 เมือง 14 เเห่งในไทย มีความเข้มข้นของฝุ่นเกินค่าความปลอดภัย WHO จี้รัฐติดตั้งสถานีวัดคุณภาพอากาศครอบคลุมทั่วปท. เข้มงวดควบคุมควันดำ

 

วันที่ 8 .. 2560 กรีนพีช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดแถลงข่าว เรื่อง Unmask Our Cities:อัพเดทสถานการณ์มลพิษ PM2.5 พร้อมเสวนา เรื่อง ฝุ่นละออง PM2.5 แผนการจัดการมลพิษทางอากาศ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย อาคารแคปปิตอล .พหลโยธิน กรุงเทพฯ

..จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีชฯเปิดเผยถึงสถานการณ์มลพิษ PM 2.5 ในประเทศไทยว่า จากการประมวลค่าเฉลี่ยของความเข้มข้นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน  (PM2.5) จากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 19 จุด ใน 14 เมืองทั่วประเทศ ช่วงครึ่งปีแรก (..-มิ..) ของปี 2560 พบว่า ค่าเฉลี่ยความเข้มข้นของ PM 2.5 ทั้ง 14 เมืองได้แก่ เชียงใหม่ ลำปาง น่าน ตาก ขอนแก่น สระบุรี กรุงเทพฯ ปราจีนบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ชลบุรีระยอง ราชบุรี และสงขลา เกินค่าความปลอดภัยตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดไว้ไม่ควรเกิน 10 ไมโครกรัม/ลบ..

“2 เมืองที่มีค่าเฉลี่ยของความเข้มข้น PM 2.5 สูงสุด ได้แก่ ขอนแก่น 44 ไมโครกรัม/ลบ.. และสระบุรี 40ไมโครกรัม/ลบ.. ซึ่งสูงกว่าระดับที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ 4 เท่า” ผู้ประสานงานฯ กรีนพีช กล่าวและว่า เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของความเข้มข้นพบอันดับไม่แตกต่างจาก 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-59)หนึ่งในนั้น .เชียงใหม่ติด 1 ใน 5 จังหวัดมาโดยตลอด สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการคมนาคมและการเผาในที่โล่ง

ส่วนจะทำอย่างไรเพื่อให้มลพิษทางอากาศถูกใช้เป็นตัวชี้วัดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ..จริยา กล่าวว่ากรมควบคุมมลพิษทำได้ในเรื่องการกำหนดมาตรฐานใหม่ ติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศให้ครอบคลุม และการกำหนดนโยบาย แต่การกำหนดนโยบายต้องถูกขับเคลื่อนจากทุกกระทรวง เพราะมลพิษ PM 2.5 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรมควบคุมมลพิษเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องคมนาคมอุตสาหกรรม การผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะกระทรวงอุตสาหกรรมต้องจำกัดการปล่อยมลพิษ หรือออกกฎให้วัดคุณภาพอากาศจากฝาปล่อง พร้อมกับจัดสร้างฐานข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย

ด้าน นายเสกสรร แสงดาว ผอ.ส่วนแผนงาน สำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ(คพ.) กล่าวว่า ปัจจุบันกรมควบคุมมลพิษมีสถานีการตรวจวัดคุณภาพอากาศขนาดไม่เกิน PM 2.5 ใน 18จังหวัด 26 สถานี อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 จะขอจัดซื้อเพิ่มเติมอีก 20 ชุด ใช้ในพื้นที่วิกฤติ 13 ชุด คือในภาคเหนือ 6 ชุด ได้แก่ .แพร่ ลำปาง เชียงราย และกทม.-ปริมณฑล 6 ชุด และใช้ในพื้นที่ทั่วไป 7 ชุดได้แก่ .สุราษฎร์ธานี ชลบุรี สระแก้ว นครสวรรค์ เลย และพระนครศรีอยุธยา ซึ่งคาดว่าจะจัดซื้อครบทุกสถานีในปี 2562 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณด้วย

ขณะที่หลายประเทศได้เริ่มตรวจวัดปริมาณมลพิษ PM2.5 ในบรรยากาศ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย 65สถานี, สิงคโปร์ 22 สถานี, ฟิลิปปินส์ 22 สถานี, เกาหลีใต้ 50 สถานี, จีน 900 สถานี, กัมพูชา 1 สถานี ส่วนเมียนมา และลาว ยังไม่มีการตรวจวัดมลพิษ PM2.5

ขณะที่ นายสนธิ คชวัฒน์ เลขาธิการชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยจะต้องยอมรับว่า ค่าPM2.5 เป็นสารก่อมะเร็งตามประกาศขององค์การอนามัยโลก ดังนั้นต้องควบคุมแหล่งกำเนิดให้ปล่อยฝุ่นละอองออกมาไม่เกินมาตรฐาน โดยกำหนดให้มีการทำบัญชีการปล่อย PM2.5 จากทุกแหล่งกำเนิดก่อน และจะต้องปรับปรุงมาตรฐานในบรรยากาศและแหล่งกำเนิดให้สอดคล้องกับประเทศใกล้เคียง เช่น จีน สิงคโปร์ สหภาพยุโรป

นอกจากนี้สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศของไทยทุกแห่งควรติดตั้งเครื่องมือวัดค่า PM2.5และส่วนราชการต้องรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงพิษภัยจากฝุ่นละอองขนาดเล็กและหลีกเลี่ยงการสัมผัส ที่สำคัญหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและด้านสุขภาพอนามัยต้องให้ความสำคัญและมีมาตรการเข้มงวดในการควบคุมควันดำ (Black Carbon) ที่ปล่อยออกมา เช่น การระบายอากาศจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน การเผาวัสดุเหลือใช้ในการเกษตรกรรม และขยะในพื้นที่โล่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า PM2.5 คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 1 ใน25 ของส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ เรียกว่า เล็กมากจนกระทั่งสามารถเล็ดลอดขนจมูกเข้าสู่ร่างกายได้ สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอด และหากปล่อยให้เข้าสู่กระแสเลือด เกิดการสะสม จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็ง องค์การอนามัยโลก จึงกำหนดอย่างเป็นทางการให้PM 2.5 อยู่ในกลุ่ม 1 ของสารก่อมะเร็ง ในปี 2556


ที่มา thaitribune




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2560    
Last Update : 9 สิงหาคม 2560 20:31:05 น.
Counter : 225 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.