สื่อต้องขยายพื้นที่รายงานข่าวคนจน-คนรวยต่อเนื่อง สร้างความเข้าใจ-ช่วยแก้ปัญหา-พัฒนาประเทศยั่งยืน
เช่นเดียวกับทุกปีที่ผ่านมา พวกเราสื่อมวลชนจะมารวมตัวกันในวันที่ 5 มีนาคม ณ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จากเดิมที่เคยคึกคัก ... วันนักข่าวปีนี้กลับอบอวลด้วยกลิ่นอายความเศร้าด้วย นักข่าวอาวุโสเจ๊ยุนางยุวดี ธัญญสิริ ป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล และคล้อยหลังวันนักข่าวปี 2560ไม่ถึงสัปดาห์ เจ๊ยุ ผู้ผ่านร้อนหนาวมาถึง 71 ปี ก็จากมวลมิตรนักข่าวและแหล่งข่าวไปอย่างสงบ ทิ้งไว้เพียงตำนานของนักข่าวสาวผู้กล้าแกร่งและทรนงในวิชาชีพ ให้เล่าขานเป็นตำนานอันทรงคุณค่าของวงการสื่อมวลชนไทย ... มรว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริได้รับเชิญมาปาฐกถาเรื่อง สื่อมวลชนกับการสืบสานพระราชปณิธาน ในหลวงร.9 ในช่วงต้นก่อนเข้าเนื้อหาท่านยังเอ่ยถึงเจ๊ยุ ว่าป่วยเข้าโรงพยาบาล เสียใจที่ไม่ได้เจอกัน เพราะ เพิ่งจะไปเที่ยวดอยตุงสนุกสนานด้วยกันไม่มีวี่แววว่าจะป่วยไข้ ไฮไลต์ของปาฐกถาสำหรับสื่อมวลชน ท่านได้เปิดประเด็นถึงสังคมไทยที่มีความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง และกลายเป็นรากฐานของความยุ่งยากอื่นๆตามมา ทั้งการที่ประเทศไทยมีหนี้สิน โอกาสการศึกษาน้อย งานไม่ดี รายได้ต่ำ เกษตรกรเป็นหนี้สินมาก ช่องว่างคนรวย คนจนขยายตัวมากขึ้น อันนำไปสู่คำถามที่ว่า การศึกษาไม่ตอบโจทย์ ใช่หรือไม่ แล้วการศึกษามีไว้เพื่ออะไร เพื่อพัฒนาประเทศใช่หรือไม่ .... แม้แต่สื่อมวลชนก็ได้รับแรงกระแทกดังกล่าว ถึงขั้นต้องปิดกิจการและเลิกจ้างไปหลายราย แล้วจะทำอย่างไรเพราะปัญหายังหนักเท่าเดิมในปีนี้ อีกทั้งโลกออนไลน์ยังทำให้คนแตกแยกเป็นฝ่ายเป็นกลุ่ม ปัญหาจะแก้ได้หรือไม่ถ้าสังคมยังไม่มีเอกภาพ ไม่มีความรู้และเอาอารมณ์เป็นที่ตัวตั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงสรุปจากงานอย่างต่อเนื่องยาวนานว่าเมื่อประชาชนยังเดือดร้อน ย่อมไม่เป็นอิสระ ต้องพึ่งพิงคนอื่นและกลายเป็นปัญหาในการพัฒนาประชาธิปไตย เมื่อคนจนถูกจำกัดด้วยโอกาสจนกระทั่งจนมุม จึงกลายเป็นเหยื่อการเมืองโดยง่าย เป็นมวลชนของแต่ละฝ่ายและมุ่งแต่เอาชนะกันทุกเรื่องจนเกิดเป็นรัฐประหาร ไม่ว่ารัฐประหารกี่ครั้งก็กลับมาที่เดิม เพราะเราอาจมองข้ามรากเหง้าของปัญหาไป นั่นคือเมื่อคนยังยากจนและยังมีความเหลื่อมล้ำในสังคมอย่างรุนแรงจึงไม่มีอิสระในชีวิต และไม่สามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ เราพูดถึงทั้งคนจน คนชนบท คนเมือง รัฐบาล ทหารและความเป็นประชาธิปไตยที่ขาดไม่ได้คือ สื่อมวลชน ระหว่างประชาชนและรัฐบาลมีสื่ออยู่ตรงกลาง เราถึงเรียกว่าสื่อมวลชน ผมขอตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ในเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรงมากและเป็นรากฐานของวิกฤติต่างๆที่กล่าวมานี้ สื่อมวลชนช่วยชี้ให้สังคมเห็นปัญหาและเป็นเวทีให้เกิดการแก้ไขมากน้อยแค่ไหน... มรว.ดิศนัดดา ตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า ในเรื่องความเหลื่อมล้ำ สื่อมวลชนช่วยชี้ให้สังคมเห็นปัญหา และเป็นเวทีให้เกิดการแก้ไขมากน้อยแค่ไหน สื่อได้เสนอข่าวและเป็นตัวกลางระดมความคิดเพื่อหาทางออกหรือไม่ ข้าราชการทำงานแบบไซโล ต่างคนต่างทำ ชาวบ้านพึ่งพาไม่ได้ สื่อเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้มากพอหรือเปล่า มีข่าวความทุกข์ยากของคนชนบทมากแค่ไหน..... ท่านสรุปว่าหากสื่อนำเสนอข่าวแบบนี้มากๆและสม่ำเสมอ คนในชาติจะรู้ความจริงว่าประเทศไทยเป็นอย่างไร โอกาสในการแก้ปัญหาให้สำเร็จก็จะมีมากขึ้น ปัจจุบันสื่อให้พื้นที่อย่างมากกับเรื่องการเมือง ความขัดแย้ง อาชญากรรมและบันเทิงซึ่งเป็นหน้าที่ปกติ แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รัชกาลที่ 9พยายามแก้ไขมาตลอด กลับไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเท่าที่ควร ซึ่งจริงๆน่าจะเป็นเรื่องหลักที่เราทุกคนต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไข รวมทั้งสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของคนหมู่มาก หากสื่อใส่ใจและทำอย่างต่อเนื่องย่อมเกิดกระแสผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนได้แน่นอน มันจึงเป็นหน้าที่ของสื่อในการร่วมแก้ไขและพัฒนาประเทศซึ่งปัจจุบันหน้าที่นี้มันหายไป.... ข้อเสนอข้อเดียวสำหรับสื่อจากมรว.ดิศนัดดาก็คือ สื่อควรเปิดพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของความเหลื่อมล้ำ พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการร่วมกันหาแนวทางแก้ไขด้วยการสื่อออกไปให้กว้างขวางที่สุดและอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้า สังคมก็จะดีขึ้นสื่อมวลชนจึงควรจะต้องร่วมมือ ร่วมใจกันทำอย่างจริงจังและจริงใจ การนำชาวต่างประเทศมาเรียนรู้งานพระราชดำรินั้นเป็นประโยชน์ยิ่ง แต่จะยังประโยชน์ยิ่งขึ้น หากสื่อทำให้คนไทยด้วยกัน เข้าใจประเทศไทย ร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื้อรัง ร่วมใจกันพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติให้อยู่ได้อย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของที่รัชกาลที่9 ซึ่งจะก่อประโยชน์มหาศาลกับชาวไทยทุกคน ที่มา thaitribune
Create Date : 12 มีนาคม 2560 |
Last Update : 12 มีนาคม 2560 11:12:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 297 Pageviews. |
|
|