กรณีเจ้าพนักงานยิงคนตายขณะทำการตรวจค้นจับกุมยาเสพติดนักกิจกรรมทางสังคมจนเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ากร



เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีเหตุที่เจ้าพนักงานยิงคนตายในขณะทำการตรวจค้นจับกุมยาเสพติด ซึ่งอ้างว่าเป็นการวิสามัญนักค้ายาเสพติด จนกลายเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลายวันติดต่อกันว่า กระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่

 

ทั้งนี้ มีข้อมูลจากสื่อสารมวลชนว่า ในวันเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 เวลาประมาณ 10.00 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจ ตั้งจุดตรวจที่เขตอำเภอเชียงดาว จว.เชียงใหม่ พบรถเก๋งซุกซ่อนยาบ้า 2,800 เม็ด จับกุมคนขับไว้ได้ แต่อีกคนที่นั่งมาด้วยกันวิ่งหลบหนี เมื่อติดตามก็เงื้อระเบิดจะขว้างเจ้าหน้าที่ทหารจึงใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว

หลังเกิดเหตุมี 33 องค์กรชนเผ่า รวมตัวกันออกมาแสดงความเห็นว่า คนถูกยิงเป็นชนเผ่า เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นนักกิจกรรมทางสังคม ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและผู้ด้อยโอกาส การกระทำที่เกิดเหตุนั้น เห็นว่าเกินกว่าเหตุ

พร้อมนี้ ก็ออกแถลงการณ์ว่า เจ้าหน้าที่กระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรม ขอให้ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับความปลอดภัย มีมาตรการและกลไกตรวจสอบความปลอดภัย ตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ความเป็นธรรมกับคนตาย รวมทั้งเพื่อนคนตายที่ถูกจับกุมไปด้วย

ในแถลงการณ์นั้นเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และองค์กรด้านสิทธิมนุษย์ ได้ตรวจสอบข้อ เท็จจริงด้วย

หลังจากนั้น องค์กรสิทธิมนุษย์ระดับโลก ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หน่วยงานของไทยตรวจสอบการตายโดยทันทีและอย่างโปร่งใส พร้อมกับบอกด้วยว่า ผู้ที่ถูกยิงตายเป็นนักกิจกรรมที่มีชื่อเสียงจากเครือข่ายต้นกล้าเล็ก ในเขต อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ มีส่วนร่วมในการรณรงค์เพื่อ ส่งเสริมสิทธิของชนเผ่าชาติลาหู่ และชนกลุ่มน้อยที่อ่อนแอในภาคเหนือของไทย เพื่อให้ได้สัญชาติ เข้าถึงดารดูแลสุขภาพและการศึกษา

รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงบอกว่า ได้ตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย มีตำรวจ,แพทย์,อัยการ และ ฝ่ายปกครอง ส่วนกองทัพบกก็ตั้งคณะกรรมการด้วยเช่นกัน

มีหลายหน่วยงานอยากรู้ผลตรวจร่างกายด้านนิติวิทยาศาสตร์ ที่ก็ยังไม่มีรายงานผลการตรวจอย่างเป็นทางการ ในขณะเดียวกัน มีเสียงเรียกร้องในสื่อออนไลน์ ให้เปิดเผยภาพวงจรปิด ขณะเกิดเหตุวิสามัญฆาตกรรมนักกิจกรรมชาวลาหู่เพื่อให้หายคลางแคลงใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในช่วงเวลาตรวจค้นรถยนต์คันที่เกิดเหตุนั้น

ถึงเวลานี้การถกเถียงกันไปมา ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไร รังแต่จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างบุคคล, กลุ่ม หรือองค์กรขึ้นได้โดยง่าย

ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเมื่อผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายโดยอ้างว่าคนร้ายนั้นกำลังเงื้อจะขว้างด้วยระเบิดมือ จึงจำเป็นต้องใช้อาวุธยิงสวนออกไปเพื่อป้องกันตัวเป็นการวิสามัญฆาตกรรมแล้ว

พนักงานสอบสวนก็จะต้องทำสำนวนการสอบสวนคดีวิสามัญ ส่งพนักงานอัยการแล้วให้ศาลทำการไต่สวนการตาย ยังมีสำนวนการสอบสวนหลักอีก 2 สำนวน ทั้งสำนวนที่กล่าวหาผู้ตาย และสำนวนกล่าวหาผู้ที่ฆ่าผู้ตาย

เชื่อได้ว่ากระบวนการยุติธรรมในกรณีที่การตายเป็นการกระทำของเจ้าพนักงานนั้น มีขั้นตอนที่ประกันความยุติธรรมได้การวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายคดียาเสพติด พบเห็นบ่อย ๆ หรือคดีอื่น ๆ ที่มีพฤติการณ์โหดร้ายกระทบความรู้สึกของสังคม ทีไม่ยอมให้เจ้าพนังงานจับกุมแต่กลับจะใช้อาวุธต่อสู้ จึงจำเป็นที่เจ้าพนักงานต้องป้องกันตัว

เรื่องนี้ นอกจากจะเป็นการพิสูจน์ให้เห็นกันในอนาคตว่า คนตายรายนี้แม้ว่าจะเป็นนักกิจกรรมที่สำคัญในด้านใดก็ตาม ได้กระทำความผิดในข้อหาหลักและต่อสู่ขัดขวางพยายามที่จะฆ่าเจ้าพนักงานก่อนจริงหรือไม่ ยังเป็นอุทาหรณ์ให้บรรดาพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ออก ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้พึงตระหนักให้มากว่า

การเป็นเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติการตามหน้าที่ เข้าไปเพื่อจับกุมคุมขังบุคคลใด ๆ ที่เชื่อว่าได้กระทำความผิด ไม่เพียงแต่มีพฤติการณ์ว่า คนร้ายขัดขืนเท่านั้น แต่ยังจะต้องให้ปรากฏด้วยว่า คนร้ายนั้นพยายามต่อสู้หรือทำร้ายที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงจะพึงวิสามัญฆาตกรรมได้

มีตัวอย่างแต่หนหลังหลายคดี ผู้ทำวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายไปแล้ว ครั้นศาลไต่สวนกลับปรากฏข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกัน จนเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานนั้น ถูกฟ้องให้ต้องรับโทษเสียเอง

ที่มา thaitribune




Create Date : 26 มีนาคม 2560
Last Update : 26 มีนาคม 2560 16:17:51 น. 0 comments
Counter : 196 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.