วิถีธุรกิจ สื่อไต้หวันตีข่าวผู้ผลิตชิ้นส่วนโอด Apple สั่งออเดอร์น้อย แถมขอลดราคา



สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องมาหลายปีและยังไม่มีท่าทีที่จะกระเตื้องขึ้นมากนัก อาการโอดครวญของบรรดาผู้ผลิตเครื่องและผู้ผลิตชิ้นส่วนต่างเริ่มมีแผลปริใหญ่เปิดออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดแม้แต่ทาง Apple ที่มักจะลอยตัวเหนือปัญหาเหล่านี้ได้มาแล้วหลายๆ ครั้ง ก็ไม่สามารถหนีพ้นไปจากวงจรเหล่านี้อีกต่อไป ล่าสุดอ้างอิงการเปิดเผยของแหล่งข่าวในไต้หวันดินแดนชั้นนำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมนั้น

ได้มีการระบุว่าผ่านเว็บไซต์ Digitimes อ้างอิงว่าคำสั่งซื้อชิ้นส่วนจากทาง Apple ประจำปี 2016 สำหรับสายการผลิตเครื่องโทรศัพท์ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้นมีจำนวนลดลงไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการประเมินสภาพกำลังซื้อและการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนว่าใกล้ทะลักจุดอิ่มตัวมากเข้าไปอีกขั้นแล้ว นอกจากนั้นเองทาง Apple ยังต้องควบคุมค่าใช้จ่ายต้นทุนในการจ้างผลิตชิ้นส่วนเหล่านี้ยิ่งขึ้น ซึ่งกลายเป็นการปรับลดราคาคำสั่งซื้อลงตามไปด้วยอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนหลายๆ รายอาจจะมีรายได้ลดลงไปบ้าง (อย่างกัดฟันยอม) ไม่เช่นนั้นแล้วก็อาจจะเป็นทางผู้ผลิตชิ้นส่วนในจีนก้าวเข้ามารับกินไปแทน

ยกเว้นผู้ผลิตชิ้นส่วนรายสำคัญของ Apple เพียงสองรายจากไต้หวันที่รอดตัวจากมาตรการรัดเข็มขัดในครั้งนี้ ซึ่งก็คือทาง Taiwan Semiconductor Manufactruing Co. (TSMC) โรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วน Apple A10 และทาง Largan Precision ผู้ผลิตชิ้นส่วนเลนส์กล้องเจ้าประจำ ซึ่งเป็นสองบริษัทที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมากจนไม่มีตัวเลือกอื่นในการเข้ามาทดแทนได้ในเวลานี้

ที่มา macstroke




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2559    
Last Update : 28 สิงหาคม 2559 11:08:12 น.
Counter : 223 Pageviews.  

สตม.รวบ 2 เกาหลีใต้แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกตุ๋นเงินเหยื่อกว่า 500 รายสูญเงินกว่าพันล้านวอน ก่อนหนีมาซ่อน



ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรวบ 2 หนุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวเกาหลีใต้ผู้ต้องหาตามหมายจับของตำรวจสากลตั้งแก๊งคอลเซนเตอร์หลอกโกงเงินข้ามประเทศกว่า 500 ราย เหยื่อสูญเงินกว่า 1,700 ล้านวอนประมาณ 53 ล้านบาท ก่อนหนีมาซ่อนตัวในไทย

 

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2559 เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. แถลงผลจับกุม นายซุกวู ยาง(Sukwoo YANG) อายุ 31 ปี สัญชาติเกาหลีใต้และนายซางจี ยูน(Sanggi YOON)อายุ 29 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ ผู้ต้องหาตามหมายจับตำรวจสากล(Red Notice)ในความผิดฐานอาชญากรทางการเงินข้ามชาติ

พล.ต.ท.ณัฐธร เปิดเผยว่า นายซุกวู ยาง และ นายซางจี ยูน ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์ ที่เมืองโฮจิมินห์ประเทศเวียดนามและใช้ข้อมูลลูกค้าธนาคารที่แฮกมาได้ โทรศัพท์ติดต่อเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายในหลายประเทศโดยเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้ ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารเชิญชวนร่วมลงทุนและให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงและมีผู้หลงเชื่อและได้รับความเสียหายกว่า 500 ราย มูลค่าความเสียหาย 1,700 ล้านวอนหรือประมาณ 53 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนตุลาคม 2558 ผู้ต้องหาได้ปิดบริษัทหนีเข้ามาในประเทศไทย

จากการสืบสวนคาดว่าบุคคลกลุ่มนี้อาจกำลังเตรียมใช้ประเทศไทยเป็นฐานก่อเหตุในรูปแบบเดียวกันอีกแต่มาถูกจับกุมได้เสียก่อน สตม.ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกและข้อมูลการสื่อสาร จนกระทั่งวานนี้ (25 ส.ค.59)ชุดสืบสวนพบตัวบุคคลคนต่างด้าวทั้งสองรายที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งย่านพหลโยธิน เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวตามหมายจับตำรวจสากลในความผิดฐานอาชญากรทางการเงินข้ามชาติ

เบื้องต้นสตม.ได้พิจารณาเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากเป็นบุคคลต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 12 อนุ 7 มีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม และควบคุมตัวเพื่อดำเนินการต่อไป พร้อมทั้งบันทึกข้อมูลในฐานข้อมูลบุคคลต้องห้ามไม่ให้เดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยได้อีก

พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวอีกว่า ปัจจุบันอาชญากรทางการเงินข้ามชาติใช้เทคโนโลยีระดับสูงมีความซับซ้อนในการกระทำความผิด มีการแฮกฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้ารวมถึงข้อมูลทางการเงินของทางธนาคาร จึงขอเตือนไปยังประชาชนให้ระวังตกเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะการติดต่อทางโทรศัพท์ อีเมล์หรือสื่อสังคมออนไลน์ โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนสถาบันการเงิน ขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือชักชวนให้ทำธุรกรรมทางการเงิน

ทั้งนี้ประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดหรือพบคนต่างชาติผิดกฎหมายขอให้แจ้งข้อมูลผ่านสายด่วน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โทร. 1178 หรือ www.immigration.go.th ได้ตลอด 24 ชั่วโมง “Good guys in, Bad guys out”

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 27 สิงหาคม 2559    
Last Update : 27 สิงหาคม 2559 11:29:24 น.
Counter : 311 Pageviews.  

ทหาร-ตร.บุกจับโรงงานผลิตน้ำหมักสมุนไพรเพิ่มพลังทางเพศพบสารตั้งต้นอันตรายต่อสุขภาพหวังต่อยอดผลิตเป็นส



เจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ บุกค้นโรงงานผลิตน้ำหมักสมุนไพรเพิ่มพลังทางเพศยี่ห้อ"เต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ"พร้อมสารตั้งต้นอันตรายซุกซ่อนห้องลับใต้ดินยึดของกลางจำนวนมากเตรียมดำเนินคดีกับเจ้าของโรงงาน รับสารภาพเปิดมา 5 ปี เตรียมต่อยอดเป็นสินค้าโอทอป

 

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2559 เวลา 15.00 น. ตำรวจ สภ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา สนธิกำลังทหารกองทัพภาคที่ 2 ฝ่ายปกครอง และสาธารณสุข บุกตรวจค้นบ้านพักเลขที่ 16 หมู่ 3 ต.สูงเนิน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เปิดเป็นร้านจำหน่ายเหล้าเบียร์และน้ำอัดลมบังหน้า

ส่วนพื้นที่ด้านหลังเปิดเป็นโรงงานผลิตยาบรรจุขวดอ้างสรรพคุณน้ำหมักสมุนไพรเพิ่มพลังทางเพศ ยี่ห้อ “เต็มพลัง ตราผู้ใหญ่สุพรรณ” จำหน่ายในราคาสุดถูกขวดละ 10 บาท เมื่อตรวจค้นบริเวณหลังบ้านพบสารเคมีอันตรายอย่างน้อย 3ชนิด บรรจุถังขนาดใหญ่ แกลลอนและกระสอบจำนวนมากนำเข้าจากต่างประเทศซุกซ่อนในโกดังเก็บสินค้า

ส่วนพื้นที่ตัวโรงงานถูกปิดกั้นรั้วล็อคกุญแจหนาแน่น เจ้าหน้าที่ต้องใช้ครีมขนาดใหญ่ตัดกุญแจก่อนบุกเข้าไปตรวจค้นโดยละเอียด พบยาเพิ่มพลังบรรจุในลังจำนวนมากพร้อมส่งจำหน่าย มีทั้งเก็บสต๊อกซุกซ่อนในห้องนอนของคนงานและส่วนที่เตรียมส่งจำหน่าย มีอุปกรณ์การผลิต บรรจุภัณฑ์ สลากครบวงจร ส่วนคนงานพากันหลบหนีไปก่อนหน้าแล้ว

ขณะที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขยืนยันเป็นยาสเตียรอยช์ มีสารก่อมะเร็ง เป็นอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค สาธารณสุขจังหวัดเคยประกาศให้เลิกผลิตและห้ามจำหน่ายมานานกว่า 5 ปีแล้ว

ต่อมา นายเดชา ใบชู อายุ 40 ปี อ้างตัวเป็นเจ้าของโรงงาน รับสารภาพว่า ตั้งโรงงานผลิตยานี้มานานกว่า 5 ปี ก่อนหน้านี้พ่อเป็นเจ้าของสูตรต้นตำหรับ ตนมาพัฒนาต่อยอดตั้งใจผลิตให้เป็นสินค้าโอทอปของ อ.สูงเนิน อยู่ระหว่างขั้นตอนการขออนุญาตให้ถูกต้องแต่มาถูกจับกุมเสียก่อน

นอกจากนี้ ตำรวจยังขยายผลตรวจค้นห้องใต้ดินลักษณะเป็น“ห้องลับ”ของบ้านพักหรูพบสารตั้งต้นที่ใช้ผลิตยาเพิ่มพลังทางเพศซุกซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงตรวจยึดของกลางไว้ทั้งหมดมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท เบื้องต้นได้ดำเนินคดีกับ นายเดชาเจ้าของโรงงานในข้อหาก่อตั้งโรงงานโดยไม่มีใบอนุญาตผลิตและจำหน่ายยาอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ยังพบสารไม่ทราบชนิดอีก 48 ถังเป็นสารสีเข้ม 30 ถัง สารน้ำใส 18 ถัง ซุกอยู่ในห้องใต้ดินภายในบ้านจึงตรวจยึดประกอบการดำเนินคดีทั้งหมด

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2559    
Last Update : 25 สิงหาคม 2559 11:23:55 น.
Counter : 255 Pageviews.  

โอกาสที่เสียไป: 12 ข้อเท็จจริงการศึกษาไทย ...การศึกษามีปัญหา..เด็กเสียโอกาส... ประเทศเสียอะไร



สถาบันอนาคตไทยศึกษาเปิดผลการศึกษา “โอกาสที่เสียไป: 12 ข้อเท็จจริงการศึกษาไทย” เผย 1 ใน5 ของเด็กก่อนวัยเรียนมีพัฒนาการที่ต่ำกว่าวัย เด็กชั้นประถมราว 140,000 คนอ่านหนังสือไม่ออก และราว 270,000 คนก็เขียนหนังสือไม่ได้ ชี้ปัญหาการศึกษาส่งผลต่อโอกาสของเด็กไทย และยังส่งผลต่ออัตราเติบโตของเศรษฐกิจไทย

 

เราพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษามานาน มีการหยิบยกปัญหาเรื่องการศึกษาขึ้นมามากมาย แต่หลายเรื่องเป็น นามธรรมมาก และบางครั้งก็ฟังเป็นเรื่องไกลตัว เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ว่าปัญหา การศึกษาทำให้โอกาสของเด็กไทยเสียไปอย่างไรบ้าง จึงขอเล่าเรื่องปัญหาผ่านช่วงชีวิตต่างๆ ของตัวละครสมมุติ ซึ่งเป็นเด็กคนหนึ่ง ว่าได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง รวมไปถึงผลกระทบที่จะตกกับพ่อแม่ นายจ้าง ภาครัฐ และ สุดท้ายทั้งหมดนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร สมมุติคุณเกิดมาเป็นเด็กหัวดี ขยันตั้งใจเรียน ที่เกิดในครอบครัวที่มีรายได้เท่ากับ รายได้มัธยฐานในเมืองไทยคือราว 16,000 บาทต่อเดือน  มีความเป็นไปได้มาก ว่าคุณจะอยู่ในบ้านในชนบทแห่งหนึ่ง เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของคนไทยยังอยู่ในเขต ชนบท พ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ของคุณก็อาจจะทำงานอยู่ในกรุงเทพ และ คุณเองนั้นก็คงอาศัยอยู่กับปู่ย่า หรือตายาย เพราะในปัจจุบันก็มีราว 40% ของ เด็กไทยที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับทั้งพ่อและแม่ พอคุณอายุได้ซัก 3 ขวบ คุณก็คงจะได้เข้าเรียนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กใกล้ๆ บ้าน ถึงแม้ว่าจะมีงานวิจัยออกมาบอกว่าการลงทุนในการศึกษาของเด็กก่อนวัยเรียนจะ มีผลตอบแทนสูงกว่าในวัยอื่นๆ มาก แต่ทรัพยากรที่ใส่เข้าไปยังไม่มาก ถ้าเทียบ งบประมาณต่อหัวเด็กก่อนประถมได้งบคิดเป็นแค่ 3 ใน 4 ของเด็กประถม คุณก็ เลยจะมีโอกาสที่จะมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย ซึ่งโอกาสจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ว่าบ้านคุณอยู่ที่ไหน

Fact 1: 1 ใน 5 ของเด็กก่อนวัยเรียน มีพัฒนาการที่ต่ำกว่าวัย

จากการ ตรวจคัดกรองพัฒนาการเด็กอายุ 3.5 ปีทั่วประเทศ สัดส่วนนี้ลดลงจากเมื่อปี 2557 ที่พบเกือบ 1 ใน 3 สัดส่วนเด็กพัฒนาการต่่ากว่าวัยนี้แตกต่างกันไป ตามพื้นที่ เช่น กรุงเทพมหานครมีสัดส่วนเด็กพัฒนาการช้าราว 10% ภาค ตะวันตกมีสัดส่วนเด็กพัฒนาการช้าสูงสุดคิดเป็น 47% ในห้องเรียนชั้นประถม สิ่งที่คุณจะเจอคือเพื่อนร่วมชั้นของคุณบางคนก็จะยังอ่าน หนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ไปจนจบชั้น ป.6

Fact 2: เด็กนักเรียนชั้นประถม 1-6 ราว 140,000 คนอ่านหนังสือไม่ออก และ ราว 270,000 คน เขียนหนังสือไม่ได้

จากผลส่ารวจของกระทรวงศึกษาเมื่อ เดือน ก.ค. 58 แม้ว่าปี 2558 จะมีการตั้งเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ก็ตามปัญหายังส่งต่อไปถึงระดับมัธยม ถึงแม้ว่าคุณจะเรียนอยู่ชั้น ม.ต้น แต่ก็พบว่ามี เพื่อนร่วมชั้นของคุณจำนวนไม่น้อยที่แม้จะอ่านหนังสือออก แต่ก็ไม่สามารถจับใจความได้ และยิ่งถ้าคุณอยู่ในโรงเรียนในหมู่บ้านชนบทโอกาสที่คุณจะทักษะการ อ่านของคุณจะใช้งานไม่ได้จะสูงเป็นเกือบ 1 ใน 2

Fact 3: ส่วนเด็กมัธยมที่อายุ 15 ปีอีกราว 1/3 ไม่สามารถอ่านจับใจความได้

จากผลการสอบนานาชาติ (PISA) พบว่าในการสอบเรื่องการอ่าน มีเด็กไทย ราว 1/3 ที่ “สอบตก” ซึ่งตามมาตรฐานของ PISA คือเด็กที่อ่านหนังสือออก แต่ไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองกำลังอ่าน (Functionally Illiterate) และถ้าเป็นโรงเรียน ที่อยู่ในเขตชนบท สัดส่วนจะเพิ่มขึ้นเป็นราว 47% คะแนนเฉลี่ย PISA ด้าน การอ่านของเด็กไทยต่่ากว่าเวียดนาม และอยู่ระดับเดียวกับเด็กจากประเทศ คอสตาริก้า และชิลี ข่าวดีก็คือคุณมีโอกาสไม่น้อยที่จะได้เรียนตลอดรอดฝั่งจนจบ ม.ปลาย (หรือ ปวช.) เพราะเด็กไทยส่วนใหญ่เข้าถึงการศึกษาในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับ ประเทศอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะนโยบายเรียนฟรีของรัฐก็เป็นได้ เพราะถึงจะไม่ฟรี เสียทีเดียว พ่อแม่ยังต้องควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มอีก บางรายอาจจะต้องกู้มาบ้าง จากเด็ก 10 คนที่เรียนป. 1 พร้อมกับคุณ ก็จะมี 6 คนที่ยังเรียนอยู่จนจบ ม.6

Fact 4: มีเด็ก 6 ใน 10 คนที่เรียนจบม. 6หรือ ปวช.

เด็กที่เข้าเรียนป.1 ราว 1 ล้านคน จะเรียนจนจบป.6 92% เรียนต่อจนจบม.3 83% และเรียนจนจบชั้น ม. 6 ประมาณ 63% เท่ากับมีเด็กที่เลิกเรียนกลางคันและมีวุฒิการศึกษาต่่ากว่า ม.6 ราว 337,000 คน ในรุ่นเดียวกัน เพื่อนของคุณในกลุ่มที่ร่วงหล่นไประหว่างทาง ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนและอยู่ในพื้นที่ห่างไกล และก็มีกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องปัจจัยทาง เศรษฐกิจ เช่น เป็นแม่วัยใส หรือถูกดำเนินคดีโดยสถานพินิจฯ เนื่องจากคุณเป็นเด็กหัวดี ยังไงก็คงต้องอยากเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็ต้องผ่านการสอบที่เรียกว่า “แอดมิสชั่น” แต่สิ่งที่โรงเรียนมัธยมที่คุณเรียนอยู่สอนอาจจะไม่ทำ ให้คุณเข้ามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะสอบแอดมิสชั่นติด คุณอาจจะต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพ เพราะในบรรดาโรงเรียนที่ส่งเด็กเข้ามหาวิทยาลัยได้ (Feeder School) ก็อยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนั้น แต่ก็จะได้เข้าเรียน ในโรงเรียนระดับท็อปเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กต่างจังหวัดเหมือนกัน

Fact 5: ใน 50 โรงเรียนที่คะแนนสอบโอเน็ต สูงสุด 34 โรงเรียนอยู่ใน กรุงเทพฯ และ 50 โรงเรียนนี้กระจายอยู่ใน 9 จังหวัดเท่านั้น

ส่วนใหญ่เป็น จังหวัดหัวเมืองทั้งสิ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่สัดส่วนการเรียนต่อระดับปริญญาตรี ของเด็กที่อาศัยในกรุงเทพฯ สูงถึง 65% ในขณะสัดส่วนทั้งประเทศอยู่ที่ 28% เท่านั้น นอกจากจะต้องย้ายมาเรียนในกรุงเทพฯ แล้ว สมัยนี้ใครๆ ก็ต้องเรียนกวดวิชา เพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัย แต่การเรียนพิเศษนอกจากจะใช้เวลา แล้วยัง ต้องเสียเงินเสียทองไม่น้อย

Fact 6: ค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษติวเข้ามหาวิทยาลัยคิดเป็น 1.3 เท่า ของ ค่าใช้จ่ายในการเรียนตามปกติ

จากผลสำรวจของส่านักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้ พบว่า 60% นักเรียนชั้นม.ปลายเรียนกวดวิชา โดยจะลงเรียนพิเศษเฉลี่ย 2-3 วิชา ในการเตรียมตัวเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย มีค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษที่ รวมค่าเดินทางและค่าที่พักแล้วเป็นเงิน 22,592 บาทต่อปี หรือคิดเป็น 1.3 เท่า ของค่าใช้จ่ายในการไปโรงเรียนตามปกติ ในความเป็นจริง ถ้าคุณมาจากบ้านที่มีรายได้มัธยฐานจริงๆ ฝันที่จะได้เรียนต่อ มหาวิทยาลัยเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะครอบครัวไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินเก็บมาก พอที่จะส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย ถึงแม้จะสามารถกู้เงินจากกองทุนกู้ยืมเพื่อ การศึกษา หรือกยศ.ได้ก็ตาม ส่วนที่เงินเหลือก็หนีไม่พ้นต้องกู้จากญาติ หรือไม่ก็ กู้นอกระบบ

Fact 7: 2/3 ของครอบครัวไทยไม่ได้มีเงินเก็บมากพอที่จะส่งลูกเรียน มหาวิทยาลัย

ถึงแม้จะสามารถกู้เงินจากกยศ.ได้ก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ ตลอดการเรียนมหาวิทยาลัย 4 ปีเฉลี่ยประมาณ 502,000 บาท ส่วนที่เหลือ สามารถกู้กยศ.ได้ส่วนหนึ่ง แต่ครอบครัวจะต้องมีเงินเก็บอีกราว 326,400 บาท ซึ่งมีถึง 65% ของครัวเรือนที่มีลูกที่จะมีเงินเก็บไม่เพียงพอ จากค่าใช้จ่ายข้างต้น พบว่ามีครอบครัวเพียง 27% ที่มีเงินเก็บมากพอโดยไม่ต้องกู้ยืม อีกราว 8% ที่ต้องกู้กยศ.เพิ่มถึงจะพอ ส่วนอีก 65% ของครัวเรือน ถึงจะกู้กยศ. แล้วก็ยังมีเงินเก็บไม่พอส่าหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือ แต่เพื่อให้เราสามารถจินตนาการต่อได้ สมมุติว่าเราทำบุญมาดี โชคดีมีป้าที่ร่ำรวยส่งเราเรียนต่อมหาลัยได้ และโชคดีต่อที่สองคือคะแนนแอดมิสชั่นสูง พอที่จะได้เรียนในมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆ ซึ่งเข้ายากกว่าและค่าเทอมถูกกว่า มหาวิทยาลัยเอกชนเกินครึ่ง ค่าเทอมมหาวิทยาลัยรัฐอันดับต้นๆ ตก 130,000 บาทตลอดหลักสูตร ในขณะที่มหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ที่ 310,000 บาท จริงๆ การสอบแอดมิสชั่นอาจจะไม่ยากอย่างที่คิด (ถ้าไม่เลือกมาก) เพราะ มหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นมากจากเมื่อ 10 ปี ก่อน จาก 123 แห่งเป็น 177 แห่ง8 หลักสูตรก็มีหลากหลาย จำนวนที่นั่งก็มีมากจนล้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าจะส่งผล ต่อคุณภาพของเด็กจบมหาวิทยาลัย

Fact 8: มีที่นั่งในมหาวิทยาลัยมากกว่าจำนวนเด็กที่เข้าสอบมหาวิทยาลัย

เปิดรับนักศึกษาผ่านการสอบแอดมิสชั่นทั้งหมด 1.51 แสนคน แต่มีนักเรียนมาสมัครสอบเพียง 1.24 แสนคน และสุดท้ายมีเด็กที่ผ่านการคัดเลือก 91,813 คนในปี 2558 แม้ตัวเลือกดังกล่าวจะยังไม่ได้รวมเด็กที่ผ่านการคัดเลือกแบบ อื่นๆ เช่น การรับตรงและโควตา แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่ามหาวิทยาลัยเปิดรับ นักศึกษาล้นเกินความต้องการ

4 ปีผ่านไป ตอนนี้คุณเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ยินดีด้วยคุณเป็นคน 1 ใน 3 ของ เพื่อนที่ร่วมชั้นกับคุณมาตอนป.1 ที่ได้เรียนจนจบปริญญาตรี ข่าวร้ายก็คือคุณ เป็น 1 ในบัณฑิตร่วมรุ่นอีกราว 260,000 คนที่จบมาจากมหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่ กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานพร้อมๆ กับคุณ ซึ่ง 1 ใน 4 มาจากคณะยอดนิยม อย่างบริหารธุรกิจ เด็กจบคณะสายสังคมคิดเป็น 2:1 ของเด็กที่จบสายวิทยาศาสตร์ เรื่องหางานไม่เป็นปัญหา คุณอาจจะเคยเห็นข่าวที่ลงตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเด็ก จบปริญญาตรีเตะฝุ่นมากที่สุด แต่คุณจะว่างงานไม่นาน มีคนส่วนน้อยมากที่หา งานทำไม่ได้ภายใน 6 เดือน

Fact 9: มีเด็กจบใหม่ที่ตกงานเกิน 6 เดือนเพียง 1%

อัตราการว่างงานของเด็กที่ จบใหม่ระดับปริญญาตรีอยู่ราว 15% แต่เมื่อดูสัดส่วนของคนที่ว่างงานเกิน 6 เดือนกลับพบว่ามีเพียง 1% โดยสาขาที่หางานยากที่สุดคือ วิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์ และบริหารธุรกิจ แต่ปัญหาคือมีโอกาสไม่น้อยที่จะได้งานที่ไม่ได้ตรงกับที่สาขาที่เรียนมา หรือเป็น งานที่ใช้ความสามารถต่ำกว่าวุฒิที่คุณมี ส่วนเงินเดือนจะได้เท่าไหร่นั้น ขึ้นอยู่ กับว่าคุณทำงานที่ไหน และขึ้นอยู่กับว่าคุณจบจากที่ไหน (ทั้งคณะและ มหาวิทยาลัย) เงินเดือนของเด็กจบใหม่หน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าคุณเป็นเด็กจบใหม่ จากมหาวิทยาลัยที่เข้าไม่ยากเท่าไหร่ และได้งานที่ต่างจังหวัด คุณก็มีโอกาสที่ จะได้เงินเดือนประมาณ 12,000 บาท แต่ถ้าคุณได้งานที่กรุงเทพ และได้จบจาก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง คุณก็อาจจะได้เงินเดือนมากเป็น 2 เท่า

Fact 10: 40% ชองเด็กจบใหม่ระดับปริญญาตรีได้งานเสมียน พนักงานขายของ

มีเพียง 24% ที่ได้ทำงานสายวิชาชีพ (เช่น นักบัญชี ทนาย) อีกราว 22% ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค สัดส่วนของเด็กจบใหม่ที่ได้เสมียนและพนักงานขายของเพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2548 ที่เคยอยู่ที่ 36% เงินเดือนของเด็กจบใหม่ระดับปริญญาตรีที่ท่างานเป็นเสมียนกับท่างานสาย วิชาชีพ ต่างกันราว 22-30% เด็กที่เพิ่งจบปริญญาตรีจะได้เงินเดือนเฉลี่ย ราว 14,500 บาท แต่ถ้าเราดูแยกตามอาชีพจะพบว่า เด็กที่ได้งานในสายอาชีพ จะได้เงินเดือนมากกว่าเด็กที่จบไปเป็นเสมียนราว 2,500-4,500 บาทขึ้นอยู่ กับว่าจะได้งานที่ไหน ส่วนต่างของ 2 อาชีพนี้จะกว้างถึง 30% ถ้าท่างานใน กรุงเทพฯ ในขณะที่เด็กที่จบปวส. แล้วท่างานเป็นเสมียนจะมีรายได้เฉลี่ย 10,330 บาท 

เด็กเสียโอกาส... ประเทศเสียอะไร 

การที่การศึกษาไม่ได้ช่วยสร้างโอกาสที่ดีขึ้นอย่างที่หวัง ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่กับตัวเด็กเอง แต่ยังทำให้เกิดผลกระทบต่อคนรอบข้าง และทำให้เสียโอกาสไปไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ นายจ้าง หรือภาครัฐเอง พ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ฝากความหวังไว้กับลูก อยากจะเห็นลูกมีโอกาสดีๆ ในชีวิต จึงไม่ลังเลที่จะทุ่มเททรัพยากรเงินทอง เพื่อซื้อหาการศึกษาที่มีคุณภาพให้กับลูก กว่า 1/4 ของพ่อแม่เคยกู้ยืมเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของลูก และ สัดส่วนนี้เกินครึ่งสำหรับพ่อแม่ที่มีฐานะยากจน พ่อแม่ที่พอมีฐานะยอมควักกระเป๋าเฉลี่ยรายละกว่า 1 แสนบาท เป็นค่าแป๊ะเจี๊ยะในการเข้าโรงเรียนที่มี ชื่อเสียง นอกจากเรียนในโรงเรียนแล้วก็ยังต้องมีค่าเรียนพิเศษ มูลค่าของธุรกิจ โรงเรียนกวดวิชาที่สูงถึง 20,000 ล้านบาท สะท้อนถึงกำลังจ่ายของพ่อแม่ที่ยอมควักกระเป๋าเพื่อให้ลูกได้การศึกษาดีๆ ภาคเอกชนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ผลสำรวจพบว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มี ทักษะเป็นเรื่องที่เอกชนเป็นกังวลมากเป็นอันดับสองรองจากความไม่สงบทางการเมือง ความรุนแรงของการขาดแคลนแรงงานทำให้ปัจจุบันบริษัทต้องใช้เวลา ในการรับสมัครงานนานขึ้น โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็นงานวิชาชีพ (professional) ต้องใช้เวลาถึง 10 สัปดาห์จากที่เคยใช้เวลาเพียง 7 สัปดาห์ ไม่น่าแปลกใจที่ ธุรกิจจัดหางานกลายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็วมาก มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 2.6 เท่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภาครัฐก็ทุ่มเทงบประมาณมากมายให้กับการศึกษามาก กระทรวงศึกษาได้รับ จัดสรรงบประมาณมากเป็นอันดับหนึ่ง ได้รับราว 5.2 แสนล้านบาท ในปี 2559 และคิดเป็น 2.6 เท่า จากเมื่อ 10 ปีก่อน15 แต่น่าเสียดายที่ทรัพยากรที่เทลงไปไม่กลายมาเป็นผลลัพธ์ดังที่คาด

เราพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษากันมานาน ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา เมื่อประมาณ 17 ปีที่แล้ว เรื่องที่ได้ประกาศไว้ตามกฎหมายมีเรื่องที่ทำสำเร็จและไม่ สำเร็จ แต่หลายเรื่องอย่างการเพิ่มคุณภาพการศึกษาให้กับเด็กกลับไม่ดีขึ้นอย่างที่ คนคาดหวัง สุดท้ายกลายมาเป็นค่าเสียโอกาสซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้เห็นการเสียโอกาสนี้ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เราจึงจะฉายภาพให้เห็นว่า ถ้า เมื่อ 17 ปีที่แล้วเราทำสำเร็จ ผลของมันจะเป็นอย่างไรต่อเศรษฐกิจในวันนี้ เรา ลองมาจินตนาการกันดูว่า ถ้าเราปฏิรูปสำเร็จนั้น เหมือนอย่างประเทศโปแลนด์ ที่ ปฏิรูปการศึกษาในช่วงเดียวกันและประสบความสำเร็จ เป็นผลให้คะแนน PISA เพิ่มขึ้น 48 คะแนนจากปี 2000 (ในขณะที่ไทยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3 คะแนน จากปี 2000) โดยเราจะนำผลการศึกษาของ Hanushek และ Woessman (2010) มาใช้ ซึ่งทำการศึกษาความสัมพันธ์ของความรู้และทักษะของแรงงานที่เพิ่มขึ้นกับการ เจริญเติบโตของจีดีพีในประเทศต่างๆ 50 ประเทศ โดยใช้คะแนน PISA ของ ประเทศนั้นๆ มาเป็นตัวแทนความรู้และทักษะของแรงงาน และเมื่อควบคุมตัว แปรอื่นๆ แล้วพบว่าถ้าเราสามารถเพิ่มความรู้และทักษะได้จนคะแนน PISA เพิ่ม ขึ้นมา 100 คะแนน จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตของจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 2% จากนั้นจึงนำมาคำนวณในกรณีของไทย สมมุติให้การปฏิรูปเริ่มมีผลในปี 2000 และคะแนน PISA ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละปีจนครบเมื่อปีที่ 10 หลังจากปีที่ 10 เป็นต้นไปจะแรงงานรุ่นใหม่ที่มีความรู้ทักษะและทักษะเต็มที่จะทยอยเข้าสู่ ตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพให้ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้หน้าตาของ เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไป

Fact 11: 1.5 ล้านล้านบาท คือต้นทุนค่าเสียโอกาสสะสม ที่เกิดจากการปฏิรูป การศึกษาที่ไม่สำเร็จ

เมื่อปี 1999 คิดเป็น 11% ของจีดีพีปี 2016 อัตราการ เติบโตจีดีพีที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2000-2016 อยู่ที่ 0.14% ซึ่งถ้าคิดเป็นระดับจีดีพีที่ เพิ่มขึ้นคิดเป็นเฉลี่ยราว 1.1 แสนล้านบาทต่อปี ผลในวันนี้อาจจะดูไม่มาก แต่ผลจะยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป เพราะการปฏิรูป ต้องใช้เวลา และอาจจะกินเวลาเป็น 10 ปี จากนั้นก็ต้องรอจนแรงงานที่มีทักษะดี ขึ้นจะเพิ่มสัดส่วนในก่าลังแรงงานจนเห็นผลชัดเจน ถ้าปฏิรูปการศึกษาสำเร็จ ในปี 1999 ในอีก 10 ปีข้างหน้า อัตราการเติบโตเฉลี่ยของจีดีพีที่เพิ่มขึ้น จากที่เพิ่ม 0.14% ระหว่างปี 2000-2016 จะเพิ่มเป็น 0.25% ระหว่างปี 2000-2026

Fact 12: ถ้าเราเริ่มปฏิรูปในวันนี้ จะต้องใช้เวลากว่า 30 ปี กว่าที่แรงงานชุด ใหม่ที่มีทักษะดีขึ้นจะกินสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงานประเทศ

เพราะแม้ เราจะเริ่มปฏิรูปการศึกษากันในวันนี้ ก็ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี กว่าจะปฏิรูปสำเร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีก 20 ปีถึงจะเห็นผลสำเร็จ แรงงานที่มีทักษะดีขึ้น เต็มที่จะเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ซึ่งในปีแรกๆ แรงงานชุดใหม่ยังเป็นส่วนน้อย กว่าจะค่อยๆ เข้าไปแทนที่แรงงานชุดเก่าที่มีอยู่เดิม ซึ่งถึงเราเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ก็ต้องรอถึงปี 2049 ที่แรงงานทักษะดีขึ้นจะกินสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของกำลังแรงงาน ผลกระทบของปัญหาการศึกษา ถ้ามองระยะสั้นก็ผลไม่มาก แต่ระยะยาวจะมีผลมหาศาล ซึ่งแม้เราจะเริ่มปฏิรูปการศึกษากันในวันนี้ ก็ต้องใช้เวลาอีก 10ปีกว่าจะปฏิรูปสำเร็จ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีก 20 ปีถึงจะเห็นผลสำเร็จ คือ เห็นว่าสัดส่วน แรงงานที่มีทักษะดีจะเป็นครึ่งหนึ่งของแรงงานทั้งหมด ซึ่งสะท้อนว่า เราต้องรีบ และเร่งทำการปฏิรูปการศึกษาให้เร็ว เพราะกว่าจะเห็นผลนาน และวิธีนี้จะเป็นวิธี กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวต่อเนื่องยั่งยืนที่สุด

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2559    
Last Update : 24 สิงหาคม 2559 19:03:39 น.
Counter : 336 Pageviews.  

แฮคเกอร์เจาะระบบ ATM ออมสินฉกเงิน 12 ล้านสั่งระงับใช้ตู้ชั่วคราว 3 พันเครื่องใช้ตู้ธนาคารอื่นได้ไม่เ



ออมสิน ปิดบริการตู้ ATM บางส่วน หลังพบเงินของธนาคารที่ใส่ในตู้เอทีเอ็มหายไป21ตู้ ยอดเงิน 12,291,000 บาท แจงเงินหายจากตู้ธนาคาร ย้ำไม่กระทบกับบัญชีหรือเงินฝากลูกค้า ในระหว่างนี้ใช้ตู้เอทีเอ็มธนาคารอื่นได้ไม่เสียค่าธรรมเนียม

 

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2559 นายชาติชาย พยุหนาวิชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯได้ขอปิดให้บริการตู้ ATM บางส่วนเป็นการชั่วคราว (เฉพาะตู้บางรุ่นที่ต้องปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของตู้ ATM) หลังพบเงินของธนาคารฯที่ใส่ในเครื่อง ATM หายไป ซึ่งไม่ใช่เงินของลูกค้า ไม่ได้กระทบบัญชีของลูกค้าแต่อย่างใด

ทั้งนี้ธนาคารได้ทำการตรวจสอบพบว่าเครื่อง ATM 1ใน 3 ยี่ห้อ ที่ธนาคารออมสินใช้อยู่ เงินในเครื่องได้หายไปเริ่มแรกพบว่ามีจำนวน 5 เครื่องที่เงินหายไปเป็นจำนวน 960,000 บาท ธนาคารฯจึงได้ตัดสินใจปิดบริการเครื่องยี่ห้อนี้ทุกเครื่อง เพื่อสำรวจเงินทั้งหมดร่วมกับบริษัทเจ้าของเครื่อง และทำการตรวจสอบวิเคราะห์สาเหตุที่เกิดขึ้น

“ธนาคารออมสิน ต้องการชี้แจงเพื่อให้ประชาชนและลูกค้าทราบสาเหตุที่ธนาคารฯต้องปิดให้บริการตู้ ATM บางรุ่น เพื่อตรวจสอบระบบ ATM ของธนาคาร และเป็นการป้องกันความเสียหายเงินของธนาคารที่อยู่ในตู้ โดยขอยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับบัญชีและเงินชองลูกค้าแต่อย่างใด และจะเร่งดำเนินการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อจับตัวผู้กระทำความผิดอย่างเร่งด่วน” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว

ทั้งนี้ ในระหว่างที่ปิดบริการตู้ ATM บางรุ่นดังกล่าว อาจทำให้ลูกค้าไม่ได้รับความสะดวก โดยลูกค้าสามารถใช้บริการตู้ ATM ที่ติดตั้งอยู่หน้าสาขาของธนาคารออมสินได้ทุกสาขา รวมถึงตู้ ATM ที่อยู่นอกสาขาบางส่วน นอกจากนียังสามารถใช้บริการผ่านทางช่องทางอื่นๆ ของธนาคารได้ตามปกติ ได้แก่บัตร ATM บัตรออมสิน วีซ่าเดบิต บริการ MyMo (Mobile Banking) และ Internet Banking หรือใช้บริการที่เคาน์เตอร์สาขาของธนาคารออมสิน ตามวันและเวลาเปิดทำการของสาขานั้นๆ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้บริการ ATM ลูกค้าสามารถใช้บริการที่ตู้ ATM ได้ทุกธนาคารในเขตพื้นที่เดียวกัน โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมการทำรายการตลอดระยะเวลาที่ปิดบริการดังกล่าว

ตำรวจเผยวิธีการทำงานของมัลแวร์

ด้าน พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น ที่ปรึกษา (สบ 10) กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัวคนร้ายที่คาดว่าเป็นกลุ่มยุโรปตะวันออกลักลอบเข้าไทย ก่อนตระเวนปล่อยมัลแวร์เข้าตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสิน ในพื้นที่ กทม.และภาคใต้ ทำให้เงินสดไหลออกจำนวนมาก สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 12 ล้านบาท จากภาพที่ปรากฏในกล้องวงจรปิดในพื้นที่ คาดว่าน่าจะมีคนร้ายประมาณ 2-3 ทีม และน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการประมาณ 25 คน เนื่องจากเหตุเกิดในหลายจุด เริ่มตั้งแต่ จ.ภูเก็ต ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี และกรุงเทพฯ ทั้งหมด 21 ตู้ นอกจากนี้ธนาคารออมสินยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบตู้เอทีเอ็มที่สงสัยว่าอาจจะโดนไวรัสอีกกว่า 200 ตู้ ทั่วประเทศ

สำหรับพฤติการณ์คนร้ายจะใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ดัดแปลงขึ้นมา เสียบเข้าไปในตู้เพื่อปล่อยมัลแวร์เข้าสู่ระบบของตู้เอทีเอ็ม โดยมัลแวร์ตัวนี้จะกระจายไปสู่ตู้ที่อยู่ใกล้เคียง จากนั้นจะมีสมาชิกของกลุ่มคนร้ายเข้ามารอรับเงินที่ออกมาจากตู้ เมื่อการโจรกรรมแล้วเสร็จ ระบบจะรีเซ็ตเครื่องกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่สามารถตรวจสอบความเสียหายได้ จนกว่าเจ้าหน้าที่จะนับยอดเงินคงเหลือว่าจำนวนเงินเข้าและออกตรงกันหรือไม่ จากการตรวจสอบคนร้ายจะเลือกเวลาก่อเหตุ ช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน และจะใช้เวลานานพอสมควร หากประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงพบเห็นกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมต้องสงสัยคือเป็นชายชาวยุโรป ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสายตรวจที่อยู่ใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้เจ้าหน้าพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.)ได้ส่งฮาร์ดดิสของตู้เอทีเอ็มดังกล่าวไปตรวจสอบที่บริษัทแม็กกาฟี่ ประเทศสกอตแลนด์ บริษัทที่มีความชำนาญ จากการตรวจสอบพบว่าฮาร์ดดิสดังกล่าวถูกมัลแวร์บล็อกคำสั่งทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

ทั้งนี้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2557 และที่ไต้หวัน ที่ถูกคนร้ายก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับไทยในช่วงเวลาเดียวกัน คือเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และจากการตรวจสอบของประเทศไต้หวัน พบว่าเซิร์ฟเวอร์ถูกควบคุมมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือว่าเป็นแก๊งที่มีความรู้ทางเทคโนโลยีสูงมาก และถือว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ส่วนคนร้ายที่เลือกก่อเหตุเฉพาะธนาคารออมสินนั้น เนื่องจากคนร้ายได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกของตู้เอทีเอ็มของธนาคารออมสิน จึงเริ่มลงมือกับธนาคารนี้ก่อนเป็นที่แรก พร้อมศึกษาข้อมูลของธนาคารอื่นๆด้วย ส่วนแนวทางการติดตามตัวคนร้าย เจ้าหน้าที่บูรณาการการทำงานร่วมกับตำรวจในพื้นที่ติดตามยานพาหนะ กล้องวงจรปิด และแหล่งที่พักต่างๆ เบื้องต้นมีเจ้าหน้าที่ตามจุดเสี่ยงต่างๆ กำลังเฝ้าอยู่

แฮกตู้ ATM ยี่ห้อ NCR

เครื่องเอทีเอ็มธนาคารออมสินที่ถูกคนร้ายแฮกนั้น เป็นเครื่องยี่ห้อ NCR มีจำนวน 3,343 เครื่อง จากทั้งหมดประมาณ 7,000 เครื่อง โดยคนร้ายจะเลือกเฉพาะตู้ที่ติดตั้งนอกสถานที่ (Stand Alone) เข้าไปติดตั้งโปรแกรมโดยการฝังมัลแวร์ แล้วใช้บัตรเอทีเอ็มที่ออกในสหราชอาณาจักร และ สกอตแลนด์ มาตระเวนกดเงินครั้งละ 40,000 บาท เมื่อกดปุ่มยกเลิก เงินก็จะไหลออกมา โดยได้ตระเวนก่อเหตุลักษณะเช่นนี้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา เริ่มต้นจาก จ.ภูเก็ต ขึ้นมาจนถึงกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ธนาคารออมสินได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแจ้งให้ธนาคารอื่น ๆ ระมัดระวังตู้เอทีเอ็มยี่ห้อ NCR ที่มีกว่า 10,000 เครื่องทั่วประเทศ

สำหรับตู้เอทีเอ็มยี่ห้อ NCR ธนาคารออมสิน ที่ถูกคนร้ายแฮก ประกอบด้วย จ.ภูเก็ต 6 เครื่อง, จ.สุราษฎร์ธานี 2 เครื่อง, จ.ชุมพร 2 เครื่อง, จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2 เครื่อง, จ.เพชรบุรี 2 เครื่อง และ กรุงเทพมหานคร 5 เครื่อง ตั้งอยู่ย่านถนนสุขุมวิท และถนนวิภาวดีรังสิต โดยก่อเหตุในช่วงระหว่างวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารพบว่ามีเงินหายจากระบบ ถึงวันที่ 8 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคารปิดให้บริการตู้เอทีเอ็มยี่ห้อ NCR เป็นการชั่วคราวเพื่อระงับความเสียหายไม่ให้ลุกลาม

ประชุม 26 สิงหาคมบูรณะการทำงานร่วม

ส่วนแนวทางการติดตามตัวคนร้าย เจ้าหน้าที่บูรณาการการทำงานร่วมกันกับตำรวจในพื้นที่ติดตามยานพาหะ กล้องวงจรปิด และแหล่งที่พักต่าง เบื้องต้นได้มีเจ้าหน้าที่ตรวจตามจุดเสี่ยงต่างๆกำลังเฝ้าอยู่

พล.ต.อ.ปัญญา กล่าวว่า วันที่ 26 ิงหาคมนี้ เวลา 14.00 น. ตนได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 และ 8 ร่วมกับตัวแทนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือแนวทางป้องกันและการติดตามตัวคนร้ายต่อไป

โปรแกรมมัลแวร์ทำงานอย่างไร

เนชั่นทีวี ช่อง 22 รายงานว่าได้สัมภาษณ์อาจารย์ปริญญา หอมเอนก ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท เอซิส โปรเฟชชันแนล เซ็นเตอร์ และยังเป็นผู้ทรงคุณวุฒิกับที่ปรึกด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หลายหน่วยงานกรณีคนร้ายแก๊งชาวต่างชาติแฮกตู้เอทีเอ็มของธนารคารออมสินหลายแห่งว่า วิธีการของแฮกเกอร์จะแฝงตัวไปที่ตู้เอทีเอ็มตอนดึก ซึ่งมีกรรมวิธีบางอย่างที่เปิดตู้เอทีเอ็มโดยไม่ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม ทั้งที่ปกติการกดเงินจากบัตรเอทีเอ็มจะกดได้ครั้งละ 2 หมื่นบาท หรือบางธนาคารอาจะกดได้ไม่เกิน 3 หมื่นบาท และเมื่อมีการแฮกระบบจะสามารถกดได้ถึง 4 หมื่นบาท หากทำถึง 100 ครั้ง ก็สามารถเอาเงินไปได้ 4 ล้านบาท

อาจารย์ปริญญากล่าวอีกว่า จากข้อมูลที่ทราบคือแก๊งคนร้ายจะใช้โปรแกรมมัลแวร์กับตู้เอทีเอ็มของธนาคารออมสิน โปรแกรมนี้ก็เป็นโปรแกรมไวรัส เหมือนโปรแกรมไวรัสคอมพิวเตอร์ แต่ถูกออกแบบให้ใช้เจาะระบบเฉพาะตู้เอทีเอ็มเครื่องนี้ ยี่ห้อนี้ แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าตู้เอทีเอ็มธนาคารออมสินที่ถูกก่อเหตุนั้นเป็นยี่ห้ออะไร และใช้โปรแกรมอะไร

ตัวไวรัสมัลแวร์จะเข้าไปเจาะระบบซอฟแวร์ทำลายโปรแกรมประมวลผลของตู้เอทีเอ็ม หลอกให้โปรแกรมมีการประมวลผลว่ามีการกดเงิน ทำให้เงินไหลออกมาโดยไม่ต้องใช้บัตรเอทีเอ็ม ซึ่งเชื่อว่าธนาคารอื่นๆก็คงทราบแล้วว่าตู้เอทีเอ็มที่โดนแฮกนั้นเป็นยี่ห้ออะไร และคงหาวีธีป้องกันแล้ว

“ประชาชนไม่ต้องตกใจกับการแฮกตู้เอทีเอ็มที่เกิดขึ้น เนื่องจากเงินฝากหรือธุรกรรมต่างๆของแต่ละท่ายยังคงอยู่ปกติ โดยเป็นความเสียหายโดยตรงของทางธนาคารออมสินเอง ไม่เกี่ยวกับลูกค้า ส่วนตู้เอทีเอ็มที่ถูกก่อเหตุนั้น เมื่อแก้ไขซอฟแวร์แล้วก็จะสามารถใช้ได้ปกติเหมือนเดิม”อาจารย์ปริญญากล่าว

ผ่าไวรัสมัลแวร์ ไขปริศนาเจาะเงินตู้เอทีเอ็ม

//www.now26.tv/view/86119

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2559    
Last Update : 24 สิงหาคม 2559 15:53:25 น.
Counter : 541 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.