นักโทษบราซิลก่อเหตุชุลมุนในคุก ตายกว่า 30 คน



นักโทษแก๊งอิทธิพลสองขั้วขัดแย้ง ก่อเหตุฆ่าตัดหัว 3 ราย ในคุกบราซิล

 

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เกิดเหตุรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นที่เรือนจำอัลกากูซ ซึ่งเป็นเรือนจำที่ใหญ่ที่สุดในรัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ของเรือนจำเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นว่า เหตุรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากมีนักโทษจากแก๊งหนึ่งสามารถบุกเข้าไปในพื้นที่ที่สมาชิกของแก๊งคู่อริถูกควบคุมตัวอยู่ โดยเจ้าหน้าที่พบว่ามีนักโทษอย่างน้อย 3 คนที่ถูกฆ่าอย่างโหดร้ายด้วยการตัดศีรษะ แต่สื่อท้องถิ่นบางแห่งรายงานว่าน่าจะมีผู้ถูกฆ่าจากเหตุรุนแรงครั้งนี้หลายสิบคน

รายงานแจ้งว่า เรือนจำแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองนาตาล เมืองเอกของรัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต และสร้างขึ้นเพื่อรองรับนักโทษได้ 620 คน แต่ปัจจุบันมีนักโทษถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำแห่งนี้ 1,100 คน อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างระบุว่า ความแออัดไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเกิดเหตุรุนแรงในเรือนจำ แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของสงครามระหว่างแก๊งค้ายาเสพติดในประเทศบราซิล ซึ่งเป็นตลาดค้าโคเคนที่สำคัญของโลกและยังเป็นเส้นทางในการขนส่งยาเสพติดที่สำคัญ

พลตำรวจตรีเวลลิงตัน คามิโล ผู้บัญชาการตำรวจในรัฐรีโอกรันดีโดนอร์เต เปิดเผยว่าเหตุจลาจลเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 14 ม.ค. 60 หลังนักโทษที่เป็นสมาชิกกลุ่มอาชญากร 2 ฝ่ายปะทะกันในเรือนจำ ทั้งยังมีเสียงปืนและเสียงระเบิดดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ และญาติของนักโทษจำนวนมากรวมตัวกันด้านหน้าเรือนจำเพื่อรอฟังสถานการณ์ เบื้องต้นคาดว่าเป็นความ ขัดแย้งระหว่างแก๊งพีซีซี แก๊งอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ กับแก๊งเรดคอมมานด์

ย้อนกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเพิ่งจะเกิดเหตุสังหารหมู่ขึ้นในเรือนจำหลายแห่งของบราซิล จนทำให้มีนักโทษเสียชีวิตราว 100 คน จนทางการบราซิลต้องส่งเจ้าหน้าที่หน่วยฉุกเฉินเข้าประจำการในเรือนจำ 2 แห่งที่มีการนองเลือดมากที่สุด แต่คาดว่ามูลเหตุน่าจะมาจากการที่เรือนจำมีสภาพแออัด ทางนักโทษจึงอยากจะเรียกร้องให้มีการจัดการ ก่อนจะลงมือจราจลและก่อเหตุสุดสยองดังกล่าว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 18 มกราคม 2560    
Last Update : 18 มกราคม 2560 11:42:49 น.
Counter : 576 Pageviews.  

รองนายก ฯ ย้ำเดินหน้าปรองดอง ให้พรรคการเมืองมีส่วนร่วม



“พล.อ.ประวิตร” เดินหน้าปรองดอง เน้น ให้ทุกพรรคการเมืองมีส่วนร่วม ย้ำ ไม่เกี่ยวกับการยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ห้ามประชุมพรรค

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการเตรียมการสร้างความสามัคคีปรองดอง ว่าในเรื่องความปรองดองนั้นจะพิจารณาตั้งคณะกรรมการฯ ในวันที่ 16 ม.ค. 60  ให้แล้วเสร็จ  ซึ่งทางพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มอบหมายให้เข้ามาดูแลการสร้างความปรองดอง โดยให้ทุกพรรคการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการพูดคุย พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นว่าจะสร้างความปรองดองในสังคมไทยได้อย่างไร ทั้งนี้การปรองดองไม่ใช่เป็นเรื่องของพรรคการเมืองเพียงอย่างเดียว แต่ประชาชนที่เข้าไปสังกัดพรรคการเมือง และมีแนวความคิดต่างๆก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นได้

“เรื่องเหล่านี้ ผมย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ ไม่เกี่ยวกับการอภัยโทษ และนิรโทษกรรม แต่เป็นเรื่องการสร้างข้อตกลงร่วมกัน เช่นใน หมู่บ้านจะอยู่ร่วมกัน และตกลงกันว่าการใช้น้ำ ทางทิศเหนือใช้วันจันทร์ ทางด้านทิศใต้ใช้วันอังคาร อย่างงี้เรียกว่าเป็นการตกลงร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่การขัดกฎหมาย และผมก็ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง แต่เป็นข้อตกลงที่ทุกฝ่ายยอมรับ เพื่อสร้างความปรองดองของคนในประเทศต่อไปในอนาคต” พล.อ.ประวิตร กล่าว

สำหรับรูปแบบการสร้างความปรองดองนั้น จะมีตัวแทนพรรคการเมืองแต่ละพรรค มาแสดงความคิดเห็น และเสนอแนะ โดยเราจะที่ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นผู้ใหญ่ ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายกฎหมาย นักวิชาการ และผู้ที่เกี่ยวข้องมารับฟัง พร้อมรวบรวมประเด็นทั้งหมด เพื่อเขียนเป็น กติกา และจะมาชี้แจงให้พรรคการเมือง และทุกๆฝ่ายรับทราบ ซึ่งกติกาข้อใดที่ไม่เห็นด้วยก็สามารถหารือกันได้

ขณะเดียวกัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าของคณะกรรมการปฏิรูป ยุทธศาตร์ชาติและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตั้งคณะกรรมการ ส่วนข้อเสนอให้พรรคเมืองเข้าหารือเพื่อลงสัตยาบรรณ นั้นเป็นแนวคิดของพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้พูดคุยกันแล้ว ซึ่งในเบื้องต้นเข้าใจว่าขั้นตอนคือการให้พรรคการเมืองแต่ละพรรคมาหารือกันถึงแนวทางและความร่วมมือในการทำให้ประเทศชาติดีขึ้น โดยจะมีการบันทึกรายละเอียดของการประชุม ข้อเสนอของพรรคการเมือง ในลักษณะของสัจจะวาจา เป็นสัญญา แต่หลักการสำคัญในการปรองดองอยู่ที่ทุกคนต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปหรือไม่ ที่สำคัญการปรองดองมีหลายวิธี แต่ทั้งหมดต้องทำด้วยกฎหมาย เป็นที่ยอมรับของสังคม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา

นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่าขออย่ามองเรื่องการนิรโทษกรรมหรือลดโทษเพราะยังไม่ถึงเวลา และคดีก็มีทั้ง คดีอาญา คดีแพ่ง คดีการเมือง ซึ่งแต่ละประเภทก็ต้องหาแนวทางว่าจะดำเนินการอย่างไรและต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชน

ด้านนายถาวร เสนเนียม แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กล่าวถึงการตั้ง ป.ย.ป.ว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่การสร้างความปรองดองอย่างเดียวก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บ้านเมืองสงบ หากระบบราชการยังคงมีปัญหาบ้านเมืองก็จะวุ่นวาย ดังนั้นฝากไปยัง ป.ย.ป.ด้วยว่าเหตุที่บ้านเมืองวุ่นวายนั้นไม่ได้มาจากความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน แต่เกิดจากระบบบริหารราชการ ระบบบริหารบ้านเมืองปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต

“กปปส.มีความยินดีและพร้อมที่จะไปพูดคุย” นายถาวรกล่าวตอบถึงข้อเสนอ พล.อ.ประวิตรในการเชิญทุกฝ่ายเข้ามาพูดคุยเพื่อนำไปสู่การทำข้อตกลงเอ็มโอยูเพื่อยุติความขัดแย้ง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า จุดยืนของ นปช.พร้อมให้ความร่วมมือ จะไม่เป็นอุปสรรค เพียงแต่มีข้อสังเกตบางประการที่อยากให้ผู้มีอำนาจและประชาชนพิจารณาว่า ตัวแบบความปรองดองที่เกิดขึ้นในหลายประเทศและได้รับการยอมรับในระดับสากลเขาเดินกันอย่างไร โดยเมื่อทุกฝ่ายเห็นว่าต้องปรองดองจึงให้สหประชาชาติเข้าดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการซึ่งมีชาวต่างประเทศอยู่ด้วยมาทำหน้าที่ และแม้บางประเทศไม่ใช้สหประชาชาติ และไม่มีต่างชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการ แต่มีกระบวนการสรรหาที่ส่วนต่างๆ คัดเลือกและให้การรับรอง ทั้งสภาผู้แทนฯ วุฒิสภา ภาคประชาสังคมและคู่ขัดแย้ง เป็นต้น

“ไม่มีประเทศไหนสร้างความปรองดองสำเร็จโดยอำนาจของคู่กรณีในความขัดแย้ง ส่วนของไทยกำลังจะตั้งคณะกรรมการโดยอำนาจนายกฯ จึงต้องพิจารณาว่าคณะผู้มีอำนาจชุดนี้มีบทบาทเป็นคู่กรณี หรือเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งหรือไม่” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า ความจริงใจในการทำเรื่องนี้ ถ้าเริ่มด้วยความจริงใจจากฝ่ายผู้มีอำนาจ เชื่อว่าน่าจะให้ผลเป็นรูปธรรมในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจดีกว่าย่ำอยู่ที่เดิมมาแล้วหลายปี และเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่จะประคับประคองให้เดินหน้าต่อไป

นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องให้ผู้ที่ขัดแย้งทั้งหลายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ยังติดปัญหาอยู่คือ บางส่วนอาจรู้สึกไม่อยากเสียหน้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และบางส่วนโดยเฉพาะผู้มีอำนาจในปัจจุบันอาจไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งความขัดแย้งโดยตรง

“การให้นักการเมืองมาลงเอ็มโอยูยังเป็นเรื่องผิวเผินและไม่ครอบคลุม เพราะจริงๆ ความขัดแย้งในสังคมไทยในช่วงประมาณ 10 ปีนี้มา ไม่ได้มีอยู่เฉพาะฝ่ายการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยซับซ้อนและเกี่ยวพันกับหลายฝ่ายหลายองค์กร” นายจาตุรนต์กล่าวและว่า ยังไม่แน่ใจว่า คสช.และรัฐบาลมีความจริงใจแค่ไหน ต้องดูท่าทีในการแสดงความเห็นด้วย ถ้าพูดอะไรขอไปที หรือโยนความผิดไปให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ มันก็อาจจะพังไปตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้ว

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 มกราคม 2560    
Last Update : 17 มกราคม 2560 15:12:01 น.
Counter : 227 Pageviews.  

ครูไม่ดีชาติไม่พัฒนา



จากคอลัมน์ โลกสองวัย โดย บางกอกเกี้ยน

หนังสือพิมพ์มติชน 16 มกราคม 2560

วันครูปีนี้ 16 มกราคม เป็นปีที่ 61 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบขำขวัญว่า "ชาติพัฒนา ด้วยครูดี มีคุณภาพ ศิษย์ซาบซึ้ง ในพระคุณครู"

ว่าแล้วพลเอกประยุทธ์มิได้มอบคำขวัญเท่านั้น ยังแสดงให้เห็นถึง "…ศิษย์ซาบซึ้งในพระคุณครู"

ด้วยการกราบคุณครูบนเวทีหอประชุมคุรุสภาเนื่องในวันครู

คุณครูที่นายกรัฐมนตรีจะแสดงความซาบซึ้งในพระคุณปีนี้ไม่ใช่ครูของโรงเรียนวัดนวลนรดิศ ที่ยังมีครูอาวุโสอีกบางคน เช่น คุณครูเริ่ม วิบูลพาณิชย์ (เกิด 15 กุมภาพันธ์ 2466) เดือนหน้าอายุ 94 ปี เต็มแล้วครับ

แต่เป็นครูจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 2 คน ที่เคยสอนในชั้นปีที่ 4 และปีที่ 5

กระนั้น การมีวันครูนับเป็นนิมิตที่ดี อย่างน้อยเป็นวันหยุดของครู เป็นวันที่ครูจะมาร่วมชุมนุมกันที่คุรุสภา โดยเฉพาะครูอาวุโสจะได้มีโอกาสพบกับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นครู ทั้งที่เป็นข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งที่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนนั้น ซึ่งสมาคมศิษย์เก่าจัดให้มีพิธีไหว้ครู เช่น สมาคมนักเรียนเก่านวลนรดิศ จัดให้มีพิธีไหว้ครูและรับประทานอาหารร่วมกันเมื่อวานนี้ ( 15 มกราคม) ที่โรงเรียน

คำขวัญวันครูของนายกรัฐมนตรีปีนี้แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าชาติพัฒนาด้วยครูดีมีคุณภาพ

ปัญหาการศึกษาของไทยวันนี้มีหลายประการ

ประการหนึ่งคือ "ครูดี มีคุณภาพ"

การจะให้ครูดี ไม่น่ายาก ด้วยเหตุเพราะคนดีหาไม่ยาก มนุษย์ทุกคนย่อมเป็นผู้ใฝ่ดี เป็นผู้มีความดีของตัวเองนับแต่แรกเกิด เมื่อเจริญเติบใหญ่ ความประพฤติที่ผิดแผกย่อมเกิดจากเหตุหลายประการ อาทิ สิ่งแวดล้อม ทั้งจากครอบครัว จากพ่อแม่ จากญาติพี่น้อง จากชุมชน และจากสังคม

ประชาชนในแต่ละประเทศย่อมมีพฤติกรรมจากสภาพแวดล้อมของประเทศนั้น ของสังคมนั้น ดังนั้น การที่ผู้คนจะเป็นคนดี สภาพแวดล้อมต้องดีด้วย

เมื่อสภาพแวดล้อมดี ความดีของคนในประเทศนั้นตามต่อมาคือระบบการเมืองการปกครอง และการศึกษา รวมไปถึงภาวะเศษรฐกิจชีวิตความเป็นอยู่

ทุกสังคมย่อมมีองค์ประกอบสำคัญคือความเป็นชาติ การมีศาสนาหรือจริยธรรมเป็นเครื่องกำหนด และมีสถาบันการเมืองการปกครองเป็นเครื่องยึดถือ อาทิ สถาบันกษัตริย์ และความเท่าเที่ยมกันของคนในชาติ

การที่ประชาชนในชาติจะดำรงอยู่ร่วมกันได้ มีหลัก 2 ประการ

ประการแรกคือหลักธรรมแห่งจริยธรรม ประการต่อมาคือหลักกฎหมายจริยธรรมไม่มีโทษที่กำหนดขึ้นเป็นหลักชัดเจน ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมจึงไม่มีโทษ เว้นแต่สังคมนั้นจะลงโทษกันเอง เช่น ไม่คบหาสมาคมด้วย

ส่วนกฏหมายมีการลงโทษชัดเจน

ดังนั้น การจะเป็นคนดีจากจริยธรรมที่ประพฤติปฏิบัติจึงเกิดขึ้นกับตัวเอง ส่วนจะเป็นคนดีไม่ทำผิดกฏหมายด้วยความเท่าเทียมกัน

ส่วนการจะให้ครูมีคุณภาพ ประกอบด้วยปัจจัยหลายประการ อย่างน้อยคือปัจจัยทางด้านการศึกษาให้ครูได้รับการศึกษา ได้รับการพัฒนาตามระบบระบอบของทางโลก โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีให้ครูรู้เท่าทัน

คุณภาพของครูกับความเป็นครูดีอาจควบคู่ไปด้วยกันได้ เพราะหากได้ครูดี มีคุณภาพ ย่อมก่อให้เกิดนักเรียนดีมีคุณภาพ เมื่อนักเรียนดีมีคุณภาพ สำเร็จการศึกษาออกมา มีโอกาสสร้างชาติให้พัฒนาก้าวไปข้างหน้าได้ดังที่ว่า "เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ"

ชาติจะพัฒนาได้ด้วยครูดีมีคุณภาพที่สอนสั่งให้เด็กเป็นคนดี เป็นเด็กฉลาด จะได้เติบโตขึ้นมาพัฒนาชาติก้าวไปข้างหน้าทัดเทียมกับชาติอื่น

แต่หากครูไม่ดี ไม่มีคุณภาพ อย่าหวังว่าชาติจะพัฒนาก้าวหน้าไปถึงไหนกับเขานะขอรับท่านนายกฯ

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 มกราคม 2560    
Last Update : 17 มกราคม 2560 11:44:08 น.
Counter : 366 Pageviews.  

พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฉบับใหม่มีผลบังคับค่าเก็บขยะทั่วประเทศครัวเรือนละ 150 บาท/เดือน-ผู้หาประโยชน์จาก



พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฉบับใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว ผู้เก็บ ขน กำจัดหรือหาประโยชน์จากขยะและสิ่งปฏิกูล ต้องได้รับใบอนุญาต ปรับค่าธรรมเนียมเป็นอัตราเดียวกันประกอบด้วยติดแผ่นประกาศเสียใบละ 200,ทำธุรกิจเก็บขยะ-ปฏิกูล 5 หมื่นต่อปี เจ้าของบ้านมีขยะต่อเดือนไม่เกิน 120 กก.หรือ 600 ลิตร เสียค่าจัดเก็บเดือนละ 150 บาท สูบส้วมไม่เกิน 100 กก.เสีย 250 บาท ส่วนท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ดำเนินการ

 

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2560 มีประกาศราชกิจจานุเบกษา เรื่อง พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ สาระสำคัญคือ

รมว.มหาดไทย-รมว.สาธารณสุขรักษาการตามพ.ร.บ.

มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตราท้ายพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นค่าธรรมเนียม และกำหนดกิจการอื่นเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง เว้นแต่การออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม และยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้เป็นอำนาจของ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย การออกกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย จะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ระยะเวลาการจัดเก็บ ลักษณะการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย รวมทั้งต้นทุนและความคุ้มค่าในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ก็ได้

กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

มาตรา ๖ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นหมวด ๓/๑ การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย มาตรา ๓๔/๑ มาตรา ๓๔/๒ มาตรา ๓๔/๓ และมาตรา ๓๔/๔ แห่งพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕

หมวด ๓/๑ การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย

มาตรา ๓๔/๑ การเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ในเขตพื้นที่ของราชการส่วนท้องถิ่นใด ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น แต่ไม่รวมถึงองค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ราชการส่วนท้องถิ่นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอื่น รวมทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือเอกชนเป็นผู้ดำเนินการหรือทำร่วมกับราชการส่วนท้องถิ่นก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาฯ

ใบอนุญาตจัดการเก็บ ขน กำจัดขยะมีอายุ 1 และ 5  ปี

มาตรา ๓๔/๒ ผู้ใดประสงค์จะดำเนินกิจการรับทำการเก็บ ขน กำจัด หรือหาประโยชน์จากการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย โดยทำเป็นธุรกิจหรือโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนด้วยการคิดค่าบริการ ต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ทั้งนี้ การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การขอรับใบแทนใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในข้อกำหนดของท้องถิ่น

ใบอนุญาตที่ออกให้ตามวรรคหนึ่งให้มีอายุดังต่อไปนี้

(๑) ใบอนุญาตการรับทำการเก็บและขนสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้มีอายุหนึ่งปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต

(๒) ใบอนุญาตการกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้มีอายุห้าปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต

(๓) ใบอนุญาตการหาประโยชน์จากการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้มีอายุห้าปีนับแต่วันที่ออกใบอนุญาต

ผู้ใดได้รับใบอนุญาตตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ถือว่าได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขแล้ว

มาตรา ๙ ให้ยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและค่าบริการท้ายพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ และให้ใช้อัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัตินี้แทน

อัตราค่าธรรมเนียม

๑.ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปิดแผ่นประกาศ หรือเขียนข้อความหรือภาพ ติดตั้ง เขียนป้าย หรือเอกสาร หรือทิ้งหรือโปรยแผ่นประกาศเพื่อโฆษณาแก่ประชาชน ฉบับละ ๒๐๐ บาท

๒.ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการรับทำการเก็บและขนสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ฉบับละ ๑๐,๐๐๐ บาท

๓.ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ฉบับละ ๕๐,๐๐๐ บาท

๔.ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตการหาประโยชน์จากการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ฉบับละ ๕๐,๐๐๐ บาท

๕.ค่าธรรมเนียมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย

๕.๑ การเก็บและขนมูลฝอย

๕.๑.๑ กรณีมีปริมาณมูลฝอยต่อเดือนไม่เกิน ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร เดือนละ ๑๕๐ บาท

๕.๑.๒ กรณีมีปริมาณมูลฝอยต่อเดือนเกิน ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๑๕๐ บาท

๕.๒ การกำจัดมูลฝอย

๕.๒.๑ กรณีมีปริมาณมูลฝอยไม่เกิน ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร เดือนละ ๒๐๐ บาท

๕.๒.๒ กรณีมีปริมาณมูลฝอยต่อเดือนเกิน ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๓ ในกรณีมีปริมาณมูลฝอยต่อเดือน ตาม ๕.๑ หรือ ๕.๒ เกิน ๓,๖๐๐ กิโลกรัม หรือ ๑๘,๐๐๐ ลิตร หรือ ๑๘ ลูกบาศก์เมตร ให้เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก ๕.๑ และ ๕.๒ ได้อีก โดยคิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร ในอัตราหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๔ การเก็บและขนมูลฝอย หรือการกำจัดมูลฝอย ในลักษณะครั้งคราว

๕.๔.๑ การเก็บและขนมูลฝอยเป็นรายครั้ง ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๔.๒ ในกรณีมีปริมาณมูลฝอยที่เก็บและขนเป็นรายครั้งเกิน ๒๔๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๒๐๐ ลิตร หรือ ๑.๒ ลูกบาศก์เมตร ให้เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก ๕.๔.๑ ได้อีก โดยคิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๒๔๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๒๐๐ ลิตร หรือ ๑.๒ ลูกบาศก์เมตร ในอัตราหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๔.๓ การกำจัดมูลฝอยเป็นรายครั้ง ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๒๐ กิโลกรัม หรือ ๖๐๐ ลิตร หรือ ๐.๖ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๔.๔ ในกรณีมีปริมาณมูลฝอยที่กำจัดเป็นรายครั้งเกิน ๒๔๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๒๐๐ ลิตร หรือ ๑.๒ ลูกบาศก์เมตร ให้เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก ๕.๔.๓ ได้อีก โดยคิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๒๔๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๒๐๐ ลิตร หรือ ๑.๒ ลูกบาศก์เมตร ในอัตราหน่วยละ ๒๐๐ บาท

๕.๕ การเก็บและขนสิ่งปฏิกูล หรือการกำจัดสิ่งปฏิกูล ในลักษณะครั้งคราว

๕.๕.๑ การเก็บและขนสิ่งปฏิกูลเป็นรายครั้ง ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๐๐ กิโลกรัม หรือ ๕๐๐ ลิตร หรือ ๐.๕ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๒๕๐ บาท

๕.๕.๒ ในกรณีมีปริมาณสิ่งปฏิกูลที่เก็บและขนเป็นรายครั้งเกิน ๒๐๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๐๐๐ ลิตร หรือ ๑ ลูกบาศก์เมตร ให้เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก ๕.๕.๑ ได้อีก โดยคิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๒๐๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๐๐๐ ลิตร หรือ ๑ ลูกบาศก์เมตร ในอัตราหน่วยละ ๒๕๐ บาท

๕.๕.๓ การกำจัดสิ่งปฏิกูลเป็นรายครั้ง ให้คิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๑๐๐ กิโลกรัม หรือ ๕๐๐ ลิตร หรือ ๐.๕ ลูกบาศก์เมตร และให้เก็บหน่วยละ ๓๐๐ บาท

๕.๕.๔ ในกรณีมีปริมาณสิ่งปฏิกูลที่กำจัดเป็นรายครั้งเกิน ๒๐๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๐๐๐ ลิตร หรือ ๑ ลูกบาศก์เมตร ให้เก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก ๕.๕.๓ ได้อีก โดยคิดเป็นหน่วย หน่วยละ ๒๐๐ กิโลกรัม หรือ ๑,๐๐๐ ลิตร หรือ ๑ ลูกบาศก์เมตร ในอัตราหน่วยละ ๓๐๐ บาท

๕.๖ ในกรณีที่คำนวณปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยแล้วเศษเกินกึ่งหนึ่งของหน่วยตามที่กำหนดใน ๕.๑ ถึง ๕.๕ ให้คิดเป็นหนึ่งหน่วย

เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ

ดยที่การจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศ แต่ปัจจุบันการบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยมีบัญญัติไว้ในกฎหมายหลายฉบับ และมีหน่วยงานที่รับผิดชอบหลายหน่วยงาน ทำให้ขาดการบูรณาการร่วมกัน โดยเฉพาะการกำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยแต่ละประเภท อีกทั้งอัตราค่าธรรมเนียมในการให้บริการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่ราชการส่วนท้องถิ่นจัดเก็บยังไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายจริง

ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด สมควรกำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดแยก เก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการให้บริการ รวมทั้งกำหนดให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจนำสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่จัดเก็บได้ไปใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ได้จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้.

พระราชบัญญัติ รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535

//www.koratnreo.org/Filedownload/swro2553/2554/11.pdf

กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ.๒๕๓๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.๒๕๓๕

//www.tsc-training.co.th/Interior0111.pdf

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 17 มกราคม 2560    
Last Update : 17 มกราคม 2560 10:08:04 น.
Counter : 502 Pageviews.  

1 ใน3 คนไทยเชื่อผิดๆ คนท้อง ออกกำลังกายไม่ได้ เผยรออกกำลังกาย ขณะตั้งครรภ์ช่วยแม่และลูกแข็งแรง



เผยผลสำรวจความเชื่อคนไทย พบว่าร้อยละ 31 ยังเชื่อแบบผิดๆว่าออกกำลังกายตอนตั้งครรภ์ไม่ได้ เผยการออกกำลังกาย ขณะตั้งครรภ์จะมีผลดี ช่วยให้สุขภาพแม่และลูกแข็งแรง คลอดง่าย และน้ำหนักลูกปกติ นอกจากนี้ยังช่วยให้สุขภาพจิตแม่ดีขึ้นด้วย

 

นายแพทย์ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล รองโฆษกกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลง เหลือ 679,502 คน ในปี 2558 จากเดิม 780,975 คน ในปี 2555 กรม สบส.จึงร่วมกับ อสม.ทั่วประเทศ รณรงค์ให้หญิงตั้งครรภ์ฝากครรภ์ให้ครบถ้วนตามเกณฑ์มาตรฐาน ตั้งแต่อายุครรภ์ก่อน 12 สัปดาห์ และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน อย่างไรก็ดี หญิงตั้งครรภ์ ควรมีกิจกรรมทางกาย หรือการออกกำลังกาย ให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้ร่างกายพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์และคลอดด้วย

นายแพทย์ภัทรพล กล่าวว่า กรมสบส.ได้สำรวจความเชื่อของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไปทั้ง 4 ภาค รวมทั้งเขตกทม.และปริมณฑล ในเดือนตุลาคม 2559 รวมกลุ่มตัวอย่าง 501 คน ผลปรากฏว่า บางส่วนยังเข้าใจเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง  โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 31 มีความเชื่อว่าขณะตั้งครรภ์ไม่สามารถออกกำลังกายได้ โดยกลุ่มอายุ 15-20 ปีเชื่อไม่ถูกต้องมากที่สุด ร้อยละ 46 และภาคกลางมีความเชื่อไม่ถูกต้องสูงที่สุด ร้อยละ 54 รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม.และปริมณฑล และภาคเหนือ ส่วนภาคใต้เชื่อไม่ถูกต้องต่ำที่สุด ร้อยละ 17       

นายแพทย์ภัทรพล กล่าวต่อว่า  การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ จะมีผลดีทั้งแม่และเด็กในครรภ์ เนื่องจากระหว่างตั้งครรภ์ร่างกายและระบบต่างๆจะมีการเปลี่ยนแปลงมาก  การออกกำลังกายจะช่วยลดอาการไม่สบายต่างๆที่เกิดจากการตั้งครรภ์ เช่น อาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ลดอาการปวดหลัง ท้องผูก ท้องอืด อีกทั้งยังทำให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดท่างานได้ดีขึ้น   ท่าให้ทารกได้รับสารอาหารจากแม่มากขึ้น นอนหลับได้ดี กล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการคลอดแข็งแรงขึ้น ท่าให้คลอดได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม และลดอาการปวดในแม่ได้

ด้าน นายแพทย์กิตติ ลาภสมบัติศิริ ผู้อำนวยการกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า หญิงตั้งครรภ์สามารถมีกิจกรรมทางกายได้เหมือนคนปกติทั่วไป โดยไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งในการทำงาน เช่น การเดินขึ้นลงบันได การทำเกษตรกรรม การทำงานในโรงงาน หรือในการเดินทาง เช่น เดิน หรือปั่นจักรยาน ไปสถานที่ต่างๆ หรือการออกกำลังกายในเวลาว่าง เช่น การว่ายน้ำ หรือการทำโยคะ ยิ่งเป็นแม่ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอก่อนตั้งครรภ์ สามารถทำต่อเนื่องขณะตั้งครรภ์ได้เลย ทั้งนี้ควรมีกิจกรรมทางกาย อย่างน้อย วันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ โดยค่อยๆเริ่มเพิ่มระดับความหนัก และระยะเวลา ซึ่งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ลูกแข็งแรง แม่ปลอดภัย

ประโยชน์ของการออกกำลังกายของคนท้อง

  1. การออกกำลังกายที่ไม่หักโหมมากนักจะทำให้คุณแม่รู้สึกปลอดโปร่ง สดชื่นสบายตัว มีท่าทางกระฉับกระเฉง เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยลดอาการปวดเมื่อยที่หลัง และลดอาการเป็นตะคริวได้

  2. ช่วยให้คุณแม่นอนหลับสบายและผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงาน รวมถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอด

  3. คุณแม่จะมีเรี่ยวแรงและพลังในการใช้ชีวิตในแต่ละวันเพิ่มขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดดี รวมทั้งทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มพลังและความอดทนเมื่อต้องเจ็บครรภ์เป็นเวลานานและตอนเบ่งคลอด

  4. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น การขับถ่ายเป็นปกติ ท้องไม่ผูกหรือมีอาการท้องผูกลดน้อยลง

  5. การออกกำลังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญอาหารส่วนเกิน ไขมันจึงไม่สะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากนัก จึงช่วยควบคุมน้ำหนักของคุณแม่มิให้เพิ่มมากขึ้นจนเกินไป และทำให้คุณแม่สามารถรับประทานอาหารได้มากขึ้นโดยไม่อ้วน แต่ได้ประโยชน์กับลูกน้อย

  6. คุณแม่ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระหว่างการตั้งครรภ์จะส่งผลดีต่อลูกน้อยอย่างมาก เพราะในขณะที่ออกกำลังกาย ระบบการไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น การถ่ายเทออกซิเจนไปสู่ลูกจึงดีขึ้น ทำให้เจ้าตัวน้อยในท้องเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรง ในช่วงต้นของการออกกำลังกาย ฮอร์โมนอะดรีนาลินที่หลั่งออกมาจะผ่านไปยังมดลูกในท้อง ทำให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนได้ออกกำลังกายไปพร้อม ๆ คุณแม่ ส่วนสารแห่งความสุข (Endorphin) ที่ได้รับจากการออกกำลังกายจะทำให้คุณแม่มีความสุขอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง ลูกจึงมีความสุขไปพร้อมกับแม่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ลูกน้อยยังสามารถทนต่อสภาพความเครียดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ในครรภ์และในระหว่างการคลอดได้ดี ไขมันจะสะสมที่ตัวลูกไม่มาก แม้น้ำหนักแรกคลอดของลูกอาจน้อยไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับผิดปกติ แต่จะส่งผลดีในระยะยาว คือ ช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะเด็กอ้วนในระยะ 5 ขวบแรกได้ ซึ่งผลดีนี้อาจจะมีไปถึงช่วงที่โตเป็นผู้ใหญ่ด้วย

  7. คุณแม่สามารถปรับตัวได้ดียิ่งขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระหว่างการตั้งครรภ์

  8. คุณแม่จะมีความพร้อมในการคลอดมากขึ้น ถ้ามีการบริหารร่างกายตลอดเวลาการตั้งครรภ์

  9. คุณแม่ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมักจะคลอดบุตรง่าย เพราะจากการศึกษาพบว่า คุณแม่ที่เป็นนักกีฬาจะคลอดบุตรได้ง่ายและสะดวกมากกว่าคุณแม่ทั่วไปที่ไม่ได้ออกกำลังกาย

  10. หลังคลอดร่างกายของคุณแม่จะฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพปกติได้เร็ว ยิ่งถ้าคุณแม่สามารถบริหารร่างกายหลังคลอดด้วยแล้วรูปร่างก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วยิ่งขึ้น

การออกกำลังกายประเภทไหนที่ปลอดภัยในช่วงตั้งครรภ์

  1. โยคะ –เน้นที่การยืดกล้ามเนื้อเพื่อผ่อนคลายและการฝึกหายใจ ควรเลี่ยงท่าที่อันตราย

  2. การเดินและวิ่งเหยาะๆ

  3. การว่ายน้ำ

  4. การออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ หรือการออกกำลังกายในน้ำเพื่อเตรียมคลอด (คล้ายๆกับแอโรบิกในน้ำ แต่ออกแบบมาสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ)

  5. การเต้นรำเบาๆ

  6. การขี่จักรยาน - ขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถขี่จักรยานได้อย่างปลอดภัยเพียงแค่เลือกเส้นทางที่ไม่ขรุขระเกินไป และควรเลือกเบาะนั่งนุ่มๆหรือมีที่กันกระแทกแต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นควรขี่จักรยานออกกำลังกายแบบอยู่กับที่จะปลอดภัยกว่าเพื่อป้องกันการล้ม

ที่มา thaitribune




 

Create Date : 16 มกราคม 2560    
Last Update : 16 มกราคม 2560 15:38:38 น.
Counter : 272 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

p_chusaengsri
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 52 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add p_chusaengsri's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.