คนขับรถรับจ้างที่พบพาน หลายปีก่อน ตอนที่ผมเดินทางกลับจากประชุมประจำปีของหน่วยงานที่กรุงเทพฯ ขณะที่เดินทางออกจากบ้านพี่สาวแถวท่าพระจันทร์ เพื่อเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน ซึ่งมีผู้โดยสารพลุกพล่านน้อยกว่าสถานีรถไฟหัวลำโพง กอปรกับจะทำเวลาในการเดินทางได้ดีกว่าไม่ต้องผ่านเข้าเมือง ผมได้เรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งยังเป็นวัยรุ่นมาก แท็กซี่คันนั้นได้จอดรับผมเมื่อผมบอกว่าจะไปที่สามเสน ก็ตกลงรับผมขึ้นบนรถแท็กซี่ไปยังเป้าหมาย ระหว่างทางได้พูดคุยสัพเพเหระไปตามเรื่อง ลักษณะท่าทางก็ดูออกว่ายังขับรถยนต์ไม่คล่องมากนัก แกก็ยอมรับว่าเพิ่งจะหัดขับไม่นานนัก เพราะเพิ่งจบปริญญาตรีรัฐศาสตร์จากรามคำแหง ยังหางานทำไม่ได้และอยากสอบปลัดอำเภอ แต่ในยุคนั้นปลัดอำเภอต้องรอ ราวสองสามปีจึงจะเปิดสอบสักครั้ง ซึ่งแกคงต้องรออีกราวสองปี แกเลยอยากแบ่งเบาภาระพ่อแม่ไปก่อน หลังจากพูดคุยไปมาสักพัก เลยบอกว่าไม่ลองลงนิติศาตร์ดูก่อนหรือ เพราะเทียบโอนหน่วยกิตจะใช้เวลาเรียนน้อยลงด้วย ช่วงรอสอบปลัดอำเภอจะได้ทบทวนทางอ้อมด้วย เผื่อทำงานเป็นปลัดอำเภอจะได้ใช้วิชากฎหมายเป็นทางผ่าน แกก็บอกว่า ดีเหมือนกัน กำลังเคว้งคว้างอยู่ ว่าจะเรียนต่อหรือหางานทำแทนการขับรถแท็กซี่ แต่การขับรถก็มีเวลาว่างส่วนหนึ่ง ในการทบทวนวิชาจากครูตู้ครูเทปในยุคนั้น ซึ่งมีการขายชีทและเทปบรรยายกันมากในยุคก่อน แม้ว่าจะมีการห้ามอัดเทปออกขาย แต่ก็ยังมีการลักลอบอยู่เหมือนกัน หลังจากรถแท๊กซี่ถึงสถานีรถไฟสามเสนแล้ว แกก็ยกมือไหว้ขอบคุณผม และผมก็อวยพรให้แกโชคดีให้สอบปลัดอำเภอให้ได้ ถ้าสอบปลัดได้ ก็พยายามเรียนนิติศาสตร์แล้วจบเนติบัณฑิตให้ได้ เผื่อไปสอบเป็นอัยการหรือผู้พิพากษา ชีวิตจะได้ไปโลดไปได้อีกไกล เพราะอายุก็ยังน้อยอยู่คงไปได้อีกไกล อีกครั้งหนึ่ง ตอนขึ้นรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ จะไปธุระที่แถวสุขุมวิทเพื่อไปหาเพื่อน ขณะที่ดูป้ายชื่อนามสกุลคนขับรถแท็กซี่หลังเบาะที่นั่ง เห็นนามสกุลคนขับรถแท็กซี่ ก็จำได้ว่าเพื่อนสนิทคนหนึ่งนามสกุลดังกล่าว เพื่อนเป็นคนสุราษฏร์ธานี เพื่อนเล่าเองว่า พ่อแกเป็นสหายพรรคคอมมิวนิสต์ มีอาชีพเป็นทนายความดังที่สุราษฎร์ธานี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เดินทางเข้าป่าไปร่วมกับสหายในป่า และค่อยกลับมาทำงานในเมือง เป็นฝ่ายจัดตั้งสนับสนุนในเมือง แต่ในที่สุดถูกล้อมปราบยิงตายคาที่ พร้อมกับเงินสดราวสองแสนบาทที่จะนำไปให้สหาย ก็ถูกตำรวจยึดไปแต่ไม่ลงบัญชีไว้ว่าพบที่ศพคนตาย ที่รู้ว่า เงินสดหายไปสองแสนบาท เพราะมีการถอนเงินสดจากธนาคารในวันตาย และเงินในบัญชีธนาคารก็ถูกถอนไปเป็นจำนวนดังกล่าว ครอบครัวเพื่อนทราบข่าวจากวงในและสหายที่หลบหนีไปได้ หลังจากนั้น ครอบครัวเพื่อนก็ขายบ้านและที่ดิน ย้ายมาที่กรุงเทพฯ โดยยังพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง ที่ได้จากการขายบ้านและที่ดิน ส่วนแม่เพื่อนก็รับจ้างซักผ้า/เย็บผ้าเป็นรายได้เสริม เพราะต้องส่งพี่ชาย เพื่อนและน้องชายเรียนระดับมหาวิทยาลัย ผมเคยไปบ้านเพื่อนที่กรุงเทพฯ ก็เพียงครั้งเดียว แต่นานมากแล้วเพราะค่อนข้างไกล แต่ตอนเรียนค่อนข้างสนิทกันพอสมควร เพราะอยู่ในกลุ่มเดียวกันในตอนวัยรุ่น หลังจากจบการศึกษาก็แยกย้ายกันไป ทราบข่าวว่าเพื่อนจะไปสอบเป็นผู้พิพากษา ส่วนผมก็กลับมาหางานทำที่บ้านเกิด เลยขาดการติดต่อไปเลยเช่นกัน เพราะยุคนั้น โทรศัพท์เป็นอะไรที่หายากมาก หลังจากสอบถามคนขับรถแท็กซี่ว่า " เป็นอะไรกับหน่อยครับ เห็นใช้นามสกุลนี้ " " อ๋อ เป็นพี่ชายแกเอง รู้จักหน่อยเหรอ " คนขับรถถาม " ครับ ไม่เจอนานแล้ว ผมสนิทกับแกมากตอนเรียน ตอนนี้แกไปทำงานที่ไหนแล้วครับ " ผมถาม " ไปเป็นผู้พิพากษาที่เชียงใหม่ แกพาแม่ไปอยู่ด้วย ส่วนผมยังทำงานที่กรุงเทพฯ " คนขับรถตอบ " อ้าว ได้ข่าวว่าพี่จบปริญญาตรีสองใบไม่ใช่หรือ เพราะจำได้หน่อยเคยบอกผมนานแล้วครับ " ผมถาม " ใช่ แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ เพราะผมทะลึ่งมีเมียสองเอง และมีลูกอีกสองคน เมียคนแรกหย่าไปแล้ว หลังจากผมมีคนที่สอง ตอนนี้ผมอยู่กับเมียคนที่สอง แต่ก็ต้องส่งเสียลูกทั้งสองคน ผมเคยไปทำงานบริษัทก็ไม่พอกิน ครั้นจะสอบเข้ารับราชการ ก็ไม่รู้ว่าจะโดนบรรจุลงที่ไหน ลูกเมียก็อยู่ที่นี่ คงลำบากน่าดูแหละ เพราะไม่มีสมบัติพ่อแม่หลงเหลืออยู่ คนเราเลือกชีวิตแล้ว ก็ต้องสู้ต่อไป น้องอย่าผิดพลาดแบบพี่ก็แล้วกัน ริอ่านมีเมียสองคน ก็เลยเกิดปัญหา และไม่คิดหาเมียมาช่วยทำมาหากิน เลยลำบากจนทุกวันนี้ พี่ก็อายเหมือนกันเวลาเจอเพื่อนเก่า แต่ทำยังไงได้ เลือกชีวิตแบบนี้แล้ว รายได้ก็พออยู่พอกิน เพราะพี่พอพูดอังกฤษได้ มักจะมีลูกค้าประจำเป็นคนต่างชาติ เหมาไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ ช่วงนี้ลูกค้ายังไม่เข้ามา พี่เลยออกรอบหารายได้ไปใช้จ่ายก่อน " หลังจากผมถึงที่หมายแล้ว ผมก็ยกมือไหว้แกพร้อมกับจ่ายค่ารถแท็กซี่ แกบอกไม่อยากรับเงินของเพื่อนน้องชาย แต่ผมบอกฝากให้หลานแก็แล้วกัน เพราะไม่เจอเพื่อนตั้งนานแล้ว คนขับรถตู้ประจำทางอีกคนหนึ่งชื่อ หน่อย ที่รู้จักเพราะ หน่อยเป็นญาติทางฝ่ายภริยา ในช่วงแรกที่หน่อยจบใหม่ ๆ ก็หางานทำ โดยได้ทำงานกับหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ท้องถิ่น ซึ่งมักจะทำสกู๊ปข่าวประเภทภูมิปัญญาท้องถิ่น แนวคิดการพัฒนาชนบทและข่าวสัพเพเหระทั่ว ๆ ไป มีรายได้หลักจากการประกาศรับสมัครงานของหน่วยงานธุรกิจ แต่จริง ๆ เป็นการโฆษณาแฝงของหน่วยงานธุรกิจ เพื่อให้มีคนทราบว่ามีธุรกิจนี้อยู่ และค่าลงโฆษณาจะถูกกว่าลงหน้าหลัก ๆ ในยุคนั้น ยิ่งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างด้าว หน่วยงานธุรกิจชอบลงหน้านี้มากกว่า รับสมัครงาน แต่ไม่เคยรับพนักงานจริง ๆ แต่อย่างใด เป็นแต่การ PR(ประชาสัมพันธ์) แฝงที่มีต้นทุนต่ำเท่านั้น และรายได้หลักของหนังสือพิมพ์นี้ อีกส่วนก็มาจากค่าสมาชิกเป็นรายปี ทำให้มีรายได้หลักในการจัดพิมพ์จำหน่าย หน่อย มีภริยาที่รับราชการครูที่อำเภอรอบนอก อยู่ไกลจากที่ทำงานราว 60 กว่ากิโลเมตร ทางพ่อตาแม่ยายหน่อยจัดว่ามีฐานะพอสมควร ก็เลยออกรถยนต์ให้คันหนึ่งโดยผ่อนในชื่อภริยา เพื่อให้หน่อยไว้ใช้ไปกลับในวันที่เลิกงานเร็ว ไม่ต้องค้างหรือพักนอนที่บ้านน้องชายหน่อย และไว้รับส่งพ่อตาแม่ยายและภริยาเวลาไปธุระต่าง ๆ โดยทางพ่อตาแม่ยายก็ช่วยผ่อนรถยนต์ให้ด้วย รวมทั้งยุคนั้น รถยนต์เป็นอะไรที่แพงด้วย ด้วยความหน้าใหญ่ใจโตและเห่อกับมีรถยนต์ใหม่ หน่อยเลยเที่ยวนำรถยนต์คันนี้รับส่งเจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ พาเจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ไปติดต่องาน หรือพาเจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ไปขอค่าโฆษณา นัยว่าดูดีมีสกุล มีหลักมีฐานพอเพียงกับธุรกิจหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับนี้ หรือพาทีมนักข่าวไปสัมภาษณ์ลูกค้ามาลงในบทความ หรือตามแต่เจ้าของหนังสือพิมพ์จะไหว้วานไปทำธุระต่าง ๆ บางครั้ง หน่อยก็ต้องขับไปต่างจังหวัดไปติดต่อหาลูกค้ากับเรื่องงาน และร่วมสำรวจเส้นทางกับทีมงาน เพื่อจัดแข่งแรลลี่หารายได้เข้าสำนักพิมพ์รายสัปดาห์ ซึ่งในยุคนั้นนิยมขับรถแรลลี่แบบเชิงท่องเที่ยว เรียกว่า หน่อยแยกไม่ออกว่างานส่วนตัวหรือเป็นงานของธุรกิจ จริง ๆ เรื่องนี้ ทางพ่อตาแม่ยายและพี่เมียของหน่อย ตลอดจนพี่สาวหน่อย ก็เคยเตือนแล้วในเรื่องนี้ ว่าไม่สมควรนำรถยนต์ส่วนตัวไปให้บริการเจ้าของธุรกิจ ที่ไม่ยอมซื้อรถยนต์ส่วนตัวมาใช้งานเลย กับเจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์มักจะเที่ยวอาศัย หรือไหว้วานกับหยิบยืมรถยนต์จากเพื่อนฝูงเป็นประจำ การทำแบบนี้ จะทำให้เจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์จะมีนิสัยเสียในระยะยาว ถ้าเกิดหน่อยลาออกอาจจะมีปัญหาได้ เพราะสถานะหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ก็แค่พอเลี้ยงตัวได้ เพียงแต่มีบทบาทและชื่อเสียงในท้องถิ่น ที่พอจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ/เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเกรงใจ กลัวจะลงข่าวโจมตีในบางเรื่อง ในยุคที่ยังไม่มี Internet และ Social Media แต่หน่อยก็ไม่ยอมเชื่อและดื้อรั้น เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไรในเรื่องนี้ ถือว่าช่วยเจ้าของธุรกิจที่เริ่มตั้งตัวใหม่ ๆ คนดี ๆ กัน เขาคงจะดีตอบ แต่ในโลกนี้ พุทธทาสภิกขุ ท่านเคยเทศน์ว่า ความดีก็คือดี แต่การทำความดีกับผู้อื่น ผู้อื่นก็ไม่มีหน้าที่หรือภาระที่จะมาตอบแทนแต่อย่างไร หรือแบบโกวเล้งเคยเขียนไว้ ในนวนิยายกำลังภายในเรื่องหนึ่งว่า บุญคุณท่านเหลือล้นมาก จนข้าไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณอย่างไร จึงจะหมดสิ้นบุญคุณที่ท่านมีต่อข้าได้ ข้าจึงขอเนรคุณท่านซะเลย จะได้ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณกันอีกตลอดไป ต่อมา ไม่นาน หน่อยก็ได้งานที่อำเภอรอบนอกใกล้กับบ้านภริยา เป็นบริษัทขายรถเครื่อง(รถจักรยานยนต์)ผ่อนส่งในท้องถิ่น หน่อยเลยขอลาออกจากการทำงานหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ เรื่องนี้ทำให้เจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์โกรธมาก เพราะต้องหาคนทำงานใหม่กับขาดรถยนต์ใช้งาน พยายามคะยั้นคะยอให้หน่อยทำงานต่อ แต่หน่อยบอกว่า " ที่ใหม่เงินเดือนดีกว่าและใกล้บ้านภริยา " เจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เลยบอก " ได้ แล้วจะได้เห็นดีกัน " หน่อยทำงานได้เพียงสัปดาห์ เจ้าของบริษัทรถเครื่องผ่อนส่ง ก็เดินมาหาแล้วบอกว่า " พรุ่งนี้ ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ " " ทำไม่ครับพี่ ผมทำอะไรผิด " หน่อย " ผมโทรศัพท์ไปถามเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้านายเก่าของคุณ บอกว่าคุณทิ้งงาน และยักยอกเงินค่าส่งเอกสารทางไปรษณีย์ แม้ว่าเงินไม่มากนัก แต่ผมรับไม่ได้ " เจ้าของบริษัท " ผมไม่ได้ทำ ผมใช้รถยนต์ส่วนตัวรับส่งแก และส่งหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ให้แกตลอดในตอนนั้น และผมไม่ได้ยุ่งเรื่องเงินเลย " หน่อยตอบ " ผมไม่ทราบ แต่ผมในฐานะนักธุรกิจ ผมขอเชื่อเจ้าของด้วยกัน มากกว่าเชื่อลูกจ้าง เดี๋ยวฝ่ายบัญชีจะจ่ายค่าแรงคิดเป็นรายวันให้ และพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ ขอให้คุณโชคดีกับงานใหม่นะ " เจ้าของบริษัทตอบ หน่อยจึงไปหาเจ้าของหนังสือพิมพ์ถึงที่บ้าน ก็ได้รับคำตอบว่า " ผมบอกไปจริง ผมอยากให้คุณกลับมาทำงานกับผม และถ้าคุณไปทำงานที่อื่นอีก ผมก็จะบอกแบบนี้อีกเช่นกัน " เรื่องนี้เลยจบลง แบบหน่อยต้องตกงาน และหางานใหม่ไม่ได้อีกในแถวบ้านภริยา เพราะกลายเป็นข่าวดังคนรู้กันทั้งอำเภอรอบนอก ทำให้พ่อตาแม่ยายขัดใจมากกับเรื่องนี้ เห็นแกว่างงานแล้วทำท่าจะเครียด ในช่วงนั้น รถตู้สายท้องถิ่นระหว่างอำเภอ มีรายได้จากการวิ่งรถตู้ดีมาก รวมทั้งรายเหมา พ่อตาแม่ยายเลยไปดาวน์รถตู้ให้หน่อยหนึ่งคัน แล้วจ่ายค่าวิน(ค่าเข้าร่วมในสายวิ่งระหว่างอำเภอ หนึ่งแสนบาท) ทำให้หน่อยกลายมาเป็นคนขับรถตู้จนทุกวันนี้ รายได้ก็แทบไม่พอค่าผ่อน ค่าซ่อม แต่อย่างใด ดีที่พ่อตาแม่ยายสนับสนุนจึงพออยู่ได้ หลายปีต่อมา มีเรื่องเหลือเชื่ออยู่เรื่องหนึ่ง เจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ที่ตอนนี้มีรายได้หลัก ๆ ในช่วงท้าย ๆ ก่อนปิดกิจการคือ การตีพิมพ์รับสมัครงานในท้องถิ่น การประกาศทวงหนี้ของธนาคารท้องถิ่น การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของนิติบุคคลท้องถิ่น ที่ต้องประกาศทางหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 15 วันตามกฎหมาย เจ้าของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ จะลงสมัครสมาชิกวุฒิสภาในจังหวัด ได้โทรศัพท์มาหาหน่อย แล้วบอกว่า " เราเลิกแล้วต่อกันนะ ผมจะลงสมัครสว. ยังไงก็เลือกผมด้วยนะ " หน่อยได้แต่ด่าแม่และสาปส่ง ซึ่งก็ทำได้แค่นั้นเอง เพราะมากกว่านั้นคงไม่ได้แล้ว เรื่องราวชะตาชีวิตคนขับรถรับจ้าง ที่ผมพอจำได้และจดจำเรื่องราวได้ ชีวิตคนเราไม่แน่ บางอย่างคนเตือนแล้วยังดื้อรั้น ก็จะพบจุดจบไม่งดงามแน่ การใช้ชีวิตแบบไม่ระมัดระวัง เมื่อเลือกทางเดินชีวิตแล้ว ก็ต้องดิ้นรนกันจนถึงที่สุด เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะลืมเลือนหายไปเหมือนทิวทัศน์ข้างทาง ที่แปรเปลี่ยนไปตามเส้นทางที่วิ่งผ่านกาลเวลา
มีเพื่อนที่จบปริญญาตรี และชอบขับรถแท็กซี่ค่ะ
โดย: tuk-tuk@korat
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|