สงครามถังไม้โอ๊กตักน้ำบ่อเพียงใบเดียว ![]() สงครามถังไม้โอ๊ก Oaken Bucket เป็นการรบระหว่างสองนครรัฐคือ Bologna กับ Modena ในคาบสมุทรอิตาลี เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1325 จากการที่ทหาร Modena ได้ลักลอบเข้าไปในนครรัฐ Bologna แล้วขโมยถังไม้โอ๊กที่ใช้ตักน้ำบ่อในใจกลางเมือง ทั้ง ๆ ที่ตัวถังไม้โอ๊กใบนี้ก็ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ หรือมีคุณค่าทางจิตใจต่อพลเมืองแต่อย่างใด ![]() แต่เรื่องนี้ทำให้ชาว Bologna รู้สึกว่า เสียเหลี่ยม(เล่ห์เหลี่ยม)เสียหน้าเสียศักดิ์ศรี จึงได้ขอให้ทาง Modena ส่งถังไม้โอ๊กคืนด้วย แต่ Modena ปฏิเสธที่จะส่งถังไม้โอ๊กคืน ทำให้ Bologna ประกาศสงครามทันที โดยได้รวบรวมทหารราบจำนวน 30,000 นาย และนักรบบนหลังม้าจำนวน 2,000 นาย ทำการเดินทัพเข้าไปยังสนามรบ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่ปัจจุบัน คือ Zappolino ใน Bolagna ในการเผชิญหน้ากันในสนามรบ กองทัพ Modena จะมีคนน้อยกว่า เพราะระดมทหารราบได้เพียง 5,000 นาย และนักรบบนหลังม้าจำนวน 2,000 นาย รวมทั้งตอนที่ตั้งรับเพื่อเตรียมรบ กองทัพกลับอยู่กันอย่างกระจัดกระจายในที่ราบ ขณะที่ทหารฝ่ายศัตรู Bologna ได้ยึดครองอยู่บนพื้นที่สูงรอบเนินเขา ซึ่งเป็นชัยภูมิที่ได้เปรียบกว่าในการรบ แม้จะกองทัพ Bologna จะมีจำนวนทหาร มากกว่า Modena ถึง 6 เท่าหรือ 6/1 และล้อมฝ่ายศัตรู Modena ไว้หมดแล้ว แต่กองทัพ Modena กลับสู้รบอย่างกล้าหาญ ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการสู้รบ ผลการรบจบลงด้วย กองทัพ Bologna ต่างพากันวิ่งหนีตาย โดยมีกองทัพ Modena ไล่ล่าติดตามกองทัพ Bologna จนรุกเข้าไปในเขตนครรัฐ Bologna พร้อมกับเดินทัพผ่านประตูเมือง และทำลายป้อมปราการปราสาทหลายแห่ง พร้อมกับปิดประตูน้ำสายน้ำ Reno ซึ่งชักน้ำเข้าเมือง Bologna ทำให้คนทั้งเมืองขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ ![]() เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว กองทัพ Modena ที่ล้อมเมืองไว้จะเข้าพิชิตชัยก็ได้ แต่กองทัพ Modena กลับเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น แต่ตัดสินใจที่จะทำชาวเมือง Bologna อับอายขายหน้า ด้วยการจัดมหกรรมการแสดงล้อเลียนชาวเมือง Bologna โดยการจำลองการแข่งขันกรีฑาแบบยุคโบราณ การละเล่นเรื่อง ความละอายชั่วนิรันดร์ของ Bologna ที่ส่งกองทัพเดินทางออกไปสู้รบ(แต่แพ้หลุดลุ่ย) และราวกับว่ายังเย้ยหยันชาวเมือง Bologna ยังไม่พอ ดังนั้น ก่อนที่กองทัพ Modena จะยกทัพกลับ พวกทหารก็ยังหยิบถังไม้โอ๊กใบที่ 2 ที่ใช้ตักน้ำจากบ่อน้ำด้านนอกประตูเมืองบานหนึ่ง ประมาณการว่ามีคนตาย 2,000 คน ในการสู้รบเรื่องที่ไร้สาระและหลีกเลี่ยงได้ ตามที่ Alessandro Tassoni กวีอิตาลี ในศตวรรษที่ 17 ได้เขียน La secchia rapita หรือ War of the Bucket ผู้นิพนธ์เรื่องราวนี้ได้เขียนเย้ยหยันไว้ อีกหลายปีต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาสงบศึกและทำข้อตกลงสันติภาพ ทางนครรัฐ Modena ได้ส่งคืนทรัพย์สินจำนวนหนึ่ง ที่เคยยึดมาจากนครรัฐ Bologna เพื่อแสดงความปรารถนาดี แต่ ถังไม้โอ๊ก ทางนครรัฐ Modena ไม่ยอมส่งคืนแต่อย่างใด จนถึงทุกวันนี้เมือง Modena ได้เก็บรักษาถึงไม้โอ๊ก ไว้ในห้องใต้ดิน Torre della Ghirlandina ส่วนรูปจำลองของถังไม้โอ๊กใบเดิม จะวางโชว์ที่ศาลากลางเมือง Modena ![]() Torre della Ghirlandina ![]() มูลเหตุของสงคราม ตั้งแต่ตอนปลายยุคกลาง Middle Ages จนกระทั่งถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ Renaissance ทางตอนเหนือของ Italy มีการแบ่งกลุ่มสนับสนุนทางการเมืองเป็น 2 ขั้วอำนาจ คือ Ghibellines กับ Guelfs Ghibellines ถือข้าง Holy Roman Emperor ฝ่ายราชอาณาจักร นครรัฐ Modena เป็นฝ่าย Ghibellines Guelfs ถือข้าง Pope ฝ่ายศาสนาจักร แต่อยาก 2 in 1 ในช่วงนั้น นครรัฐ Bologna เป็นฝ่าย Guelphs อยู่ทางตอนเหนือ ความขัดแย้งทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย คือ การแย่งชิงดินแดนระหว่างพรมแดนกัน และอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยกองทัพที่บุกเข้ายึดดินแดนอีกฝ่ายหนึ่งได้มากกว่า หรือการอ้างสิทธิ์ว่าพระเจ้ามอบหมายให้มา โดยผ่านทางพิธีกรรมศาสนา ในปี 1176 Frederick Barbarossa แพ้ในสงคราม Battle of Legnano ที่รบกับ Lombard League ผู้นำทัพ โดยมี Pope Alexander III เป็นผู้หนุนหลัง นั่นคือ จุดเริ่มต้นเรื่องราวบาดหมางไม่พอใจ ตั้งแต่ยุคกลางของฝ่าย Guelphs กับ Ghibellines ที่ต่างทำสงครามระหว่างกันหลายครั้งและยืดเยื้อยาวนาน ในปี 1296 Bologna ได้ยึดเมือง Bazzano กับ Savigno จาก Modena Pope Boniface VIII ก็ประกาศยืนยันสิทธิ Bologna ในเรื่องนี้ ในช่วง 1837-1851 Azzo VIII d'Este Marquis of Ferrara ที่ปกครองนครรัฐ Modena ฝ่าย Ghibellines เริ่มเผชิญหน้ารบกับ Bologna ฝ่าย Guelphs ต่อมา Passerino Bonacolsi ผู้สืบทอดอำนาจ ซึ่งมาจากเมือง Mantuan โดยได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากพวกขุนนาง Modena ทั้งยังเป็นพวกที่ฝักใฝ่ Emperor Louis IV of Bavaria ฝ่าย Ghibellines ที่ไม่พอใจ Pope ฝ่าย Guelphs เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และอยากแย่งชิงอำนาจ/ดินแดนเพิ่ม Passerino Bonacolsi ฝ่าย Ghibellines จึงเริ่มทำสงครามกับฝ่าย Guelphs และยึดเมือง Parma กับ Reggio ของ Bologna มาได้ Pope John XXII ที่ถือข้าง Bologna ฝ่าย Guelphs จึงประกาศคว่ำบาตร Passerino Bonacolsi โทษฐานกบฏต่อศาสนจักร แล้วขอให้ใครก็ได้อุทิศตนเป็นนักรบศาสนา Crusader ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์กับคนที่เป็นอันตรายต่อพระองค์หรือทรัพย์สินของพระองค์ ในช่วงหลายเดือนก่อนสงครามถังไม้โอ๊กตักน้ำ จะเกิดขึ้น มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพรมแดน ในเดือนกรกฎาคม กองทัพ Bologna ได้บุกเข้าเขตแดน Modena และทำลายทุ่งนาที่มีคลองกั้นด้วยไฟและดาบ ในเดือนสิงหาคม กองทัพ Bologna ได้ปลุกระดมมวลชน บุกเข้าทำลายทรัพย์สินและดินแดนต่าง ๆ ของ Modena โดยทำการเลวร้ายนานถึง 2 สัปดาห์ ในตอนปลายเดือนกันยายน Passerino Bonacolsi ผู้นำทัพ Modena จึงเริ่มตีโต้กลับ ที่ป้อมปราการ Monteveglio ของ Bologna คนเฝ้าประตูป้อมทรยศรับสินบนจากทหาร Modena ด้วยการแอบเปิดประตูให้ทหาร Modena 2 คนเข้าเมืองได้ ภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียด/สถานะการณ์สู้รบ และความเป็นปรปักษ์ระหว่างกันที่ยาวนาน ทหาร Modena ที่ลอบเข้าไปในใจกลางเมือง Bologna จึงขโมยถังไม้โอ๊กที่ตักน้ำบ่อใจกลางเมืองออกมา 1 ใบ เรื่องนี้สร้างความอับอายให้กับชาว Bologna เพราะถือว่าเสียเหลี่ยม/ถูกหยามน้ำหน้า จึงเรียกร้องให้ Modena ส่งถังไม้โอ๊กคืน แต่เมื่อถูกปฏิเสธจึงประกาศสงครามกับ Modena ทันที ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างยับเยินของ Bolagna แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา คือ ความบาดหมางที่ยืดเยื้อยาวนานแบบไม่เผาผีกัน ระหว่างฝ่าย Guelphs กับ Ghibellines และบางทีความขัดแย้งระหว่าง Guelphs กับ Ghibellines ได้กลายเป็นบทละครอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ ความบาดหมางระหว่างสองตระกูล Montague และ Capulet ใน Romeo and Juliet ของ Shakespeare ![]() ภาพวาดสีน้ำมันในปี 1870 โดย Ford Madox Brown หลังจากสงครามถังไม้โอ๊ก ฝ่าย Ghibellines ที่เมือง Modena เป็นแกนนำ ก็ผงาดมีอำนาจเหนือฝ่าย Guelphs ที่มีเมือง Bologna เป็นแกนนำ ในปี 1447 ฝ่าย Ghibellines กลับแพ้ภัยตนเอง เพราะจัดตั้งสาธารณรัฐ Ambrosian Republic แต่สงครามระหว่างฝ่าย Ghibellines กับ Guelphs ก็ยังรบกันต่อเนื่อง ในปี 1529 Charles I จาก Spain ได้ทำสงคราม Italian Wars ซึ่งเป็นสงครามแย่งชิงดินแดนในอิตาลีหลายครั้ง จากกองทัพของหลายชนชาติที่ต้องการยึดนครรัฐ Italy เป็นเมืองขึ้น ฝ่าย Ghibellines กับ Guelphs ต่างมีศัตรูร่วมกัน เพราะราชันย์ผู้รุกรานเป็นชนต่างด้าวคนต่างแดน ทั้งสองฝ่ายจึงเจรจาสงบศึกและร่วมกันรบกับศัตรูร่วมกัน ![]() เรียบเรียง/ที่มา https://bit.ly/2QpXjr6 https://bit.ly/2NALwaJ เรื่องเล่าไร้สาระ ในอดีตนครรัฐในอิตาลีต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ต่างมีภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน และต่างไม่ชอบขี้หน้าพลเมืองต่างนครรัฐ มีดีอยู่อย่างคือ การยอมรับผลงานด้านศิลป์กับวิชาการ ทำให้ศิลปิน/นักวิชาการ(สอนเป็นภาษาละติน)ต่างออกเดินสาย หารายได้และรับจ้างเจ้านครรัฐต่าง ๆ ก่อนหน้านั้นมีหลายรายมาก ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เช่น มิเชลลานเจโล่ กับ ลีโอ นาโด ดาวินซี่ ลูก้า พาซิโอลี่ ผู้คิดค้นหลักการบัญชี สินทรัพย์ = หนี้สิน+ทุน ท่านยังเป็นเพื่อนซี้กับดาวินซี ทั้งคู่ชอบเดินทางร่วมกัน ไปรับจ้างเจ้านครรัฐต่าง ๆ ร่วมกันในวัยฉกรรจ์ Pope มักอ้างว่าพระเจ้าให้ศาสนจักรเหนือราชอาณาจักร Rome คือ สัญลักษณ์จักรวรรดิ์/ราชอาณาจักร Pope จึงสร้างพระราชวัง Vatican ราชอาณาจักรมุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ใน Rome ความพยายามที่ให้ศาสนจักรอยู่เหนือราชอาณาจักร ทำให้มีปัญหากระทบกระทั่งกับหลายชาติ เช่น อังกฤษ เยอรมัน รวมทั้งหลายนครรัฐในคาบสมุทรอิตาลี ต่างเกลียดชังคนในตระกูล Medici Medici คือ ตระกูลเจ้าพ่อมาเฟีย ผูกขาดอำนาจครอบงำในการแต่งตั้ง Pope หลายพระองค์ จากพ่อสู่ลูกสู่หลาน คนในครอบครัว Medici มีบทเรียนความเจ้าเล่ห์/เหี้ยมโหดของตระกูล Medici คือ Cesare Borgia (14751507) ลูกชาย Pope Alexander VI ซึ่งในยุคนั้นบาทหลวงยังไม่ต้องถือเพศพรหมจรรย์ ที่ราชาต้องทำตนเป็นทั้งหมาจิ้งจอกกับราชสีห์ ในหนังสือ เจ้าผู้ปกครอง โดย นิคโคโล มาเคียเวลลี อนึ่งก่อนหน้านั้น โยฮันน์ กูเทนแบร์ก (1398-1468) ได้ผลิตเครื่องพิมพ์ทำให้มีการพิมพ์หนังสือแพร่หลาย และในยุคนั้นไม่มีเรื่องลิขสิทธิ์สิทธิบัตร จึงมีการ C&D Copy and Development จากเดิมที่พิมพ์แต่หนังสือภาษาละติน ก็กลายเป็นพิมพ์หนังสือภาษาชาวบ้านของแต่ละชาติ เพราะซื้อง่ายขายคล่องอ่านเข้าใจง่ายกว่า ภาษาท้องถิ่นเลยทำให้เกิดชาตินิยม และความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจึงมีมากขึ้น พอ ๆ กับเอกสารใต้ดินที่ผลิตขึ้นมา ได้บ่อนทำลายความเชื่อ/ความมั่นคงเดิม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตามมา ในที่สุดอำนาจตระกูล Medici ก็สิ้นสุดลง การแต่งตั้ง Pope จึงเริ่มเปลี่ยนแปลง เป็นการเลือกตั้งในแบบปัจจุบัน และบาทหลวงห้ามมีลูกเมียอีก เบนิโต มุสโสลินี คือ ผู้มีบทบาทมากที่สุด ในการหลอมรวมชาติอิตาลี เป็นผู้นำที่มีคนรักคนชังมากที่สุด เพราะทำให้อิตาลีมีชัยกับแพ้สงคราม พอ ๆ กับทีมชาติอิตาลีในศึกฟุตบอลโลก
|
บทความทั้งหมด
|