สายพันธุ์แมลงประจำถิ่นรุ่นสุดท้ายของ Easter Island แมลง - ทาทา ยัง บนเกาะอีสเตอร์ Easter ที่แสนจะโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแปซิฟิกแสนกว้างใหญ่ ในทุกวันนี้ยังคงเหลือแมลง 10 ชนิดที่มีขนาดเล็กมาก นั่นคือ สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ของเผ่าพันธุ์แมลงพื้นเมือง/ประจำถิ่นของเกาะแห่งนี้ แมลงเฉพาะถิ่นนั้นต่างซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำภูเขา และซ่อนตัวอยู่ในที่อยู่อาศัยที่มีมลทินมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาในเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ เพื่อเยี่ยมชมรูปปั้นหัวคนที่เรียกว่า Rapa Nui หลังจากที่ชาวพื้นเมืองได้ก่ออันตรายต่อถิ่นที่อยู่ของแมลงตัวเล็ก ๆ พวกมอสและเฟิร์น moss และ ferns ที่แสนเปราะบาง การรุกรานจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต่างคุกคามถิ่นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ Iconic Moai หรือ Rapa Nui รูปปั้นหินเสาหินขนาดความสูง 40 ฟุตเห็นได้ชัด แต่ยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่สำคัญที่สุด กลับยากเกินกว่าจะมองเห็นได้ง่าย ๆ 1. ![]() 2. ![]() Credit : Michele Burgess/Alamy Stock Photo โมอาย Moai ตำนานของ Rapa Nui คือ จุดเริ่มต้นและจุดจบ การทำลายสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เดินทางมาถึง ชาวเรือโพลีนีเซียได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยเรือแคนูขนาดยักษ์ แล้วสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาในช่วงระหว่าง 800 - 1200 ก่อนคริสตศักราช อารยธรรมใหม่ของพวกชาวเรือได้เปลี่ยนเขตป่าร้อน ให้กลายสภาพเป็นเรือและวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ และดำรงชีพด้วยการทำไร่ไถนาและตกปลา เมื่อถึงจุดสูงสุดของศตวรรษที่ 17 ประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นเป็น 15,000 คน แต่เหลือเพียงไม่กี่พันคนหลังจากนั้น ในช่วงที่ชาวยุโรปมาถึงเกาะนี้ในปี 1722 ชาวเกาะที่เริ่มสร้างโมอายนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา เมื่อสิ่งมีชีวิตที่ถูกทำลายลงไปได้ก็สูญพันธุ์ไป ที่หลงเหลืออยู่ก็เริ่มปรับสภาพตัวเอง ให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าที่มีต้นปาล์มขึ้นปกคลุมค่อย ๆ กลายเป็นทุ่งหญ้า มีสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่หายไปตลอดกาล เช่น นกบนบก(บินไม่ค่อยได้)อย่างน้อย 5 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในท้องทะเล แมลงและต้นปาล์มยักษ์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า Paschalococos disperta หรือต้นปาล์มเกาะอีสเตอร์ 3. ![]() ระบบนิเวศนั้นไม่ล่มสลาย แต่ได้เปลี่ยนจากสถานะอย่างหนึ่งไปยังอีกสถานะหนึ่ง และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ใน Rapa Nui สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดขึ้นคือ ความเปราะบาง(ไม่เคยมีผู้รุกรานมาก่อน) ระบบนิเวศที่ไม่ทนทานต่อการเผาไหม้ จากพวกมนุษย์ที่เดินทางมารุกราน ช่วงระยะเวลาที่เป็นภัยแห้งแล้ง ที่ก่อให้กำเนิดขึ้นด้วย้งเงื้อมมือของพวกมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ต่างมีผลทำให้ระบบนิเวศที่มีอยู่เดิม พืช/แมลงประจำถิ่นหลายชนิดถูกทำลายลง และพวกที่อยู่รอดต่างต้องปรับตัวให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมแบบใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นมา ให้ต้องสอดคล้องกับสอดรับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น " Jut Wynne นักนิเวศวิทยาจากศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อม จาก Northern Arizona Universitys Merriam-Powell Center for Environmental Research ทุกวันนี้ บนเกาะแห่งนี้ได้กลายเป็น ที่อยู่ของเผ่าพันธุ์ที่ไม่ใช่ของประจำถิ่น มีการนำเข้ามาจากถิ่นอื่นหลายชนิดมากมาย เช่น ม้า แกะ แพะ ลูกหลานของปศุสัตว์ ที่เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่เริ่มเลี้ยงในช่วงต้นทศวรรษ 1900 แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของสิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งมีชีวิตพื้นเมืองที่แท้จริงรุ่นสุดท้ายของ Rapa Nui 4. ![]() Ecologist Jut Wynne นักนิเวศวิทยา กำลังจดบันทึกการสำรวจภาคสนาม บนพื้นที่สูงเหนือมหาสมุทรแปซิฟิค Credit : Rafael Rodriguez Brizuela ความฝันในวัยเด็กของ Jut Wynne คือ การได้ไปเยือนเกาะอีสเตอร์ ในที่สุด ฝันก็กลายเป็นจริงในปี 2008 ในปีนั้น ท่านเริ่มต้นการศึกษาเบื้องต้นด้วยการสำรวจถ้ำ 3 แห่ง ท่านสุ่มเก็บตัวอย่างแมลงในถ้ำมากกว่า 12 รายการในปี 2009 และ 2011 และท่านก็พบกับสายพันธุ์ชนิดใหม่ประจำถิ่นถึง 8 สายพันธุ์ และรวมแล้วถึง 10 สายพันธุ์ ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ท่านได้รับเงินทุนสนับสนุนการวิจัยจาก Fulbright เพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตประจำถิ่นอาศัยที่เปราะบาง ซึ่งเป็นที่อยู่ของแมลงรุ่นสุดท้าย ทำนได้มุดตัวเข้าไปลึกลงไปในถ้ำที่เปียกชื้นและโรยตัวลงไปตามหน้าผาสูงชัน เพื่อค้นหามอสและเฟิร์นซึ่งมักจะเป็นที่หลบซ่อนของพวกแมลงตัวเล็กตัวน้อย ผลการศึกษาก่อนหน้าแสดงให้เห็นว่า เดิมมีแมลงหลายสายพันธุ์มากที่มีอยู่ทั่วไปบนเกาะแห่งนี้ แมลงที่ยังหลงเหลืออยู่จึงมีแนวโน้มว่า พวกมันได้หลบหนีกลับไปยังพื้นที่ดั้งเดิมที่เคยเดินทางออกมา สะท้อนให้เห็นถึงระบบนิเวศของ Rapa Nui ที่มีอยู่ก่อนมนุษย์มาถึง จนถึงตอนนี้ Jut Wynne ได้ค้นพบแมลงหางดีด 7 ชนิด ซึ่งเป็นแมลงขนาดเล็กที่มีคุณสมบัติคือ หางดีดที่ทำให้พวกมันดันตัวขึ้นไปในอากาศและอยู่ให้ไกลห่างจากอันตราย เหมือนกับที่นั่งนักบินในเครื่องบินไอพ่นที่ดีดตัวออกมาได้เวลาเครื่องบินกำลังจะตก และท่านยังพบไอโซพอด 2 ชนิดที่รู้จักกันในชื่อ "roly-polys" และเหาหนังสือ book louse สายพันธุ์หนึ่ง ในขณะนี้กำลังรอผลยืนยันการสำรวจว่าใช่หรือไม่ Jut Wynne กล่าวว่า การค้นหาจากทีมงานของพวกท่าน ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาอาจทำให้ค้นพบสายพันธุ์ประจำถิ่นบนเกาะ ทำให้รู้จักกันมากขึ้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ 5. ![]() อยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์ การอนุรักษ์แมลงเหล่านี้จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนและเรื่องใหม่เช่นกัน มีนักท่องเที่ยวประมาณ 100,000 คน ที่เดินทางผ่านไปยัง Rapa Nui ในปี 2005 มีผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาบนเกาะมีพื้นที่รวมเพียง 63 ตารางไมล์เท่านั้น แม้ว่าอุทยานแห่งชาติจะครอบคลุมเนื้อที่เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งพวกคนเดินเท้าได้เลย เพราะพวกนักท่องเที่ยวมักจะเดินผ่านไปมา บนถิ่นที่อยู่อาศัยของแมลงบางตัว โดยมองไม่เห็นตัวพวกแมลงเหล่านี้ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของพวกแมลงกับมนุษย์ที่แตกต่างกัน ตามข้อสังเกตของ Jut Wynne แม้ว่าผลการศึกษาแมลงที่อยู่ในสภาพแวดล้อมถ้ำตามธรรมชาติ แต่พวกมันก็ยังเผชิญหน้ากับความสมดุลที่ค่อนข้างเนียน (เนียน แบบละเอียดอ่อนอย่างมากอย่างแรงของคนใต้ หมายความรวมถึงคนที่ขี้เหนียวอย่างแรง ว่า เนียนสุด ๆ) ระหว่างการศึกษาเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ กับการบุกรุกที่เป็นอันตราย มีสายพันธุ์แมลงที่แพร่กระจายและเป็นภัยคุกคามเพิ่มขึ้น แมลงสาบอเมริกัน กิ้งกือ และ พวก hitchhikers (น่าจะเรียกว่า แมลงพลอยด้วย) ที่ตอนนี่ต่างแพร่กระจายไปทั่วบนเกาะ และกัดกินแมลงประจำถิ่น และด้วยเหตุนี้ เราเชื่อว่าแมลงส่วนใหญ่บนเกาะ ย่อมตกอยู่ในอันตรายใกล้จะสูญพันธุ์ Jut Wynne 6. ![]() แม้ว่า อนาคตอาจดูไม่ชัดเจนเหมือนกับ Rapa Nui ในอดีต แต่ Jut Wynne กำลังทำงานร่วมกับ ระบบวนอุทยาน ชุมชน และรัฐบาล เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ถึงสมบัติล้ำค่าที่มองไม่เห็นของเกาะ ในตอนนี้ วนอุทยานมีการปิดเส้นทางบางแห่ง เพื่อลดการเดินทางไปมากในพื้นที่สำคัญ แม้ว่าจะเป็นมาตรการเพียงเล็กน้อย แต่การที่นักท่องเที่ยวเดินเตร็ดเตร่นอกพื้นที่ นั่นคือ การส่งสัญญาณว่า อาจมีผลกระทบขนาดใหญ่ตามมา (เพราะไปกระทบกระเทือนระบบนิเวศ หรือนำพาพวกสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในพื้นที่) ตามคำให้สัมภาษณ์ของ Jut Wynne 7. ![]() Jut Wynne กำลังตรวจสอบแมลงตัวใหม่ที่จับได้ ด้านหลังถ้ำคืองานศิลปะดั้งเดิม Credit : Nicholas Glove สมดุลที่มีต้นทุน อย่างไรก็ตามแรงจูงใจ/ผลตอนแทนทางเศรษฐกิจ ทำให้การปกป้องถ้ำเป็นเรื่องยากเช่นกัน เพราะเกาะแห่งนี้ต้องการรายได้จากนักท่องเที่ยว ทิวทัศน์และภายในถ้ำที่สวยงามต่างต็มไปด้วยงานศิลปะพื้นเมือง เป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจที่มีศักยภาพในการเชิญชวนนักท่องเที่ยว Sebastián Yancovic Pakarati ผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกทางธรรมชาติของ Rapa Nui และ Advisory Council of National Monuments และหนึ่งในทีมผู้ทำงานร่วมกันของ Jut Wynne กล่าวว่า " เกาะแห่งนี้ จะต้องพัฒนาแผนการท่องเที่ยว ที่ปกป้องสมบัติทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่ดีกว่า ก่อนที่จะเปิดประตูกว้างสำหรับการท่องเที่ยว และเชื่อมั่นว่า ผู้อยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้ต่างดูเหมือนว่า เต็มใจที่จะมีบทบาทในการปกป้องเกาะและทรัพยากรของเกาะ ด้วยการรวมกันสนับสนุนสิ่งที่เพิ่งค้นพบใหม่ และการกำกับดูแลที่มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยความหวังว่าพื้นที่ที่อนุรักษ์สำหรับแมลงที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ จะได้รับการเก็บรักษา/ปกป้องคุ้มครองไว้ คนรุ่นใหม่ต้องการให้ความสนใจมากขึ้น ไม่เพียงแค่การอนุรักษ์และปกป้อง Moai และมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษของพวกเราเท่านั้น แต่เรายังต้องการที่จะให้ความสำคัญกับ มรดกทางธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และวนอุทยานกำลังดำเนินการตามแผนอนุรักษ์ เพื่อปกป้องและตรวจสอบถ้ำในพื้นที่ ที่มีความสำคัญมากที่สุดของแมลงเผ่าพันธุ์พื้นเมือง/ประจำถิ่น เราหวังว่าโครงการนี้จะช่วยในการอนุรักษ์และคุ้มครอง สถานที่และสิ่งมีชีวิตประจำถิ่นที่เหลืออยู่ของเกาะ เรียบเรียง/ที่มา https://bit.ly/2QhCQDs 8. ![]() Hawaiioscia rapui S. Taiti & J.J. Wynne, 2015/ZooKeys 515: 27-49 9. ![]() Entomobrya manuhoko E.C. Bernard, F. N. Soto-Adames & J.J. Wynne, 2015/Zootaxa 3949 (2): 239-267 10. ![]() Cyptophania pakaratii S. Taiti & J.J. Wynne, 2015/ZooKeys 515: 27-49
ขอบคุณสำหรับข้อมูลความรู้ค่ะคุณ ravio
โดย: Sweet_pills
![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|