Fort Montgomery Rouses Point NY

Fort Montgomery, also known as Fort Blunder. Photo credit: Axel Drainville/Flickrระหว่างสงครามปฏิวัติอเมริกาและสงครามในปี 1812
ระหว่างอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา
พรมแดนระหว่างอังกฤษแคนาดาและทางตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ก
คือเขตพื้นที่สู้รบที่ดุเดือดมากที่สุดแห่งหนึ่ง
การรบมักจะเกิดขึ้นรอบ ๆ ทะเลสาบ Champlain
ทะเลสาบน้ำจืดแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามพรมแดนสหรัฐฯ - แคนาดา
ทำให้อังกฤษสามารถบุกเข้าสู่ใจกลางอเมริกาได้โดยง่าย
เส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญจาก Saint Lawrence ไปยัง Hudson
ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือกองทัพอังกฤษแล้ว
สงครามปฏิวัติอเมริกาอาจจะแตกต่างจากเดิมมาก
ดังนั้น หลังจากสงครามในปี 1814 Battle of Plattsburgh
เพื่อป้องกันการรุกรานครั้งใหม่จากอังกฤษ
ในปี 1816 สหรัฐอเมริกาได้ตัดสินใจที่จะเสริมแนวป้องกันตรงชายฝั่งทะเลสาบ Champlain
เกาะที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทรายขนาดเล็กที่ชื่อว่า Island Point
จึงมีการสร้างป้อมปราการรูปแปดเหลี่ยม มีกำแพงสูง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
พร้อมติดตั้งปืนใหญ่ 125 กระบอกพร้อมยิงถล่มเรือรบอังกฤษที่พยายามจะแล่นเรือผ่าน
โดยประธานาธิบดี James Monroe ได้แวะมาเยี่ยมชมระหว่างก่อสร้างในปี 1817
แล้วมีการเรียกชื่อป้อมปราการนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า The Commons
แต่หลังจากการก่อสร้างไปร่วม 2 ปีแล้ว
มีการปักปันเขตแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ก็พบปัญหาที่สำคัญระหว่างชายแดนเกิดขึ้น
ป้อมปราการสร้างผิดที่ผิดทางสร้างในเขตของอังกฤษ(ที่ยึดครองแคนาดาในช่วงนั้น)
เพราะสร้างขึ้นเหนือเขตแดนสหรัฐอีก 3⁄4 ไมล์ (1.2 กิโลเมตร)
เมื่อความผิดพลาดสะเพร่าที่ถูกพบขึ้นมาในการปักปันดินแดน
ทำให้การสร้างต่อเติมป้อมปราการต้องยุติลงไปทันที
ป้อมนี้จึงได้เรียกกันว่า ป้อมสะเพร่า Fort Blunder
หรือบางครั้งก็เรียกว่า Works Fortification หรือ Battery
ทำให้ป้อมนี้กลายเป็นป้อมร้างถูกทอดทิ้งเป็นเวลากว่า 20 ปี
ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นฉวยโอกาสรื้อขนเอาหินและวัสดุก่อสร้าง
ไปใช้สร้างบ้านและอาคารสาธารณะในที่ต่าง ๆ
ในปี ค.ศ. 1842 ทั้งสหรัฐอเมริกากับอังกฤษ
ได้ตกลงเจรจาเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้
และปัญหาเขตแดนอื่น ๆ อีกมากมาย
พรมแดนระหว่าง New York กับ Quebec
ตามที่ได้รับสัตยาบันกันในสนธิสัญญาปารีสในปี ค.ศ. 1783
เส้นกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐอเมริกากับอังกฤษจะต้องอยู่ในเขตเส้นขนานที่ 45
ดังนั้น Fort Blunder จึงจะต้องตั้งอยู่บนพื้นดินของอังกฤษ(แคนาดา)
แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีชัยชนะเหนือมหาอำนาจอังกฤษที่ตกยุคแล้ว
ได้ยืนยันว่าเขตแดนใหม่จะต้องถูกผลักขึ้นไปทางเหนือของสหรัฐอเมริกา
เพื่อให้ป้อมปราการดังกล่าวอยู่ในดินแดนของสหรัฐอเมริกา
ทำให้การเจรจาข้อตกลงครั้งนี้กลายเป็นการแลกดินแดน
มีการเจรจาลงนามกันในสนธิสัญญา Webster-Ashburton ในปี 1842

หลังจากที่ Fort Blunder กลายเป็นของสหรัฐอเมริกาแล้ว
โดยไม่รอช้าแต่อย่างใด สหรัฐอเมริกาก็เริ่มลงมือก่อสร้างใหม่อีกครั้ง
ซึ่งค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างต่ำมากเพราะใช้แรงงานทหารเป็นส่วนใหญ่
มีก็แต่เฉพาะค่าแรงงานฝีมือช่างตัดหินกับชาวบ้านและแวกนั้นราว 400 คน
โดยมีความสูงของป้อมถึง 48 ฟุต(14.63 เมตร)จากเดิมที่สูงเพียง 30 ฟุต(9.1 เมตร)
แล้วตั้งชื่อป้อมปราการนี้ว่า Fort Montgomery
ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่วีรบุรุษสงครามปฏิวัติ นายพล Richard Montgomery
ผู้ซึ่งตายในสนามรบระหว่างทำสงครามกับอังกฤษในปีค. ศ. 1775
ในช่วงที่พร้อมรบหรือเรียกระดมทหารเต็มอัตราศึก
จะมีทหารประจำการถึง 800 คนในป้อมแห่งนี้
ในช่วงปี 1860 ที่เกิดสงครามกลางเมืองอเมริกา
มีข่าวลือหนาหูว่าอังกฤษพยายามแทรกแซงสหภาพแคนาดา
เพื่อยึดดินแดนบางส่วนคืนจากสหรัฐอเมริกาเป็นการล้างอาย
กับแอบขนส่งกองทหารฝ่ายใต้ผ่านทางแคนาดา
เพื่อโจมตี/โอบล้อมทหารฝ่ายเหนือตามยุทธวิธีรบ
สหรัฐอเมริกาจึงต่อเติมให้มั่นคงแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
ในปี 1886 มีการติดตั้งปืนใหญ่จำนวน 74 กระบอก
ทุกกระบอกหันหน้าขึ้นไปทางนทางเหนือจ่อไปที่แคนาดา
อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีจากแคนาดา
ได้กลายเป็นประเด็นที่เผ็ดร้อนและน่าวิตกกังวลกับสหรัฐอเมริกา
จนทำให้เกิดแนวคิดเสริมสร้างกำลังป้องกันพรมแดนสหรัฐอเมริกา - แคนาดา
แม้ว่าจะถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระมากในเวลาต่อมาก็ตาม
อีก 50 ปีถัดมา ปืนใหญ่ของป้อมปราการนี้กลายเป็นอาวุธล้าสมัย
เพราะปืนใหญ่รุ่นใหม่มีกระสุนปืนที่ทรงพลงอำนาจ
ในการทำลายล้างกำแพงและป้อมปราการได้โดยง่ายดาย
จึงมีการถอดปืนใหญ่ในป้อมปราการออกไปเก็บไว้ในที่อื่น/ประมูลขายต่อไป
ในปี 1901 ปืนใหญ่รุ่นเดิมจึงลดลงเหลือ 20 กระบอก
ในปี 1909 ปืนใหญ่ที่เหลือพบจุดจบที่เตาหลอมเศษเหล็กใน Philadelphia
ทำให้ช่วงเวลาหลังจากนี้ กลายเป็นป้อมปราการร้างไร้คนดูแล
มีแต่ทหารที่เกษียณอายุและพักอาศัยอยู่ใกล้เคียงคอยดูแลเท่านั้น
ในปี 1926 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศขายทอดตลาด
ทรัพยสินกับป้อมปราการด้วยการประมูลราคา
มีเอกชนครอบครัวหนึ่งได้ซื้อไปเป็นสมบัติส่วนตัว
และแล้วประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่ง
ชาวบ้านต่างเก็บกวาดรื้อถอนก้อนหิน ไม้ บานประตู หน้าต่าง ไปสร้างบ้านของตน
ทำให้โครงสร้างส่วนใหญ่ของป้อมปราการพังทะลายและเสื่อมโทรมลง
ในการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบ
ก้อนหินส่วนใหญ่ถูกนำมาจากป้อมปราการ
ใช้ในทำรากฐานของสะพานข้ามทะเลสาบ Champlain
ทำให้ทุกวันนี้ Fort Montgomery เหลือสภาพเพียงเล็กน้อย

https://bit.ly/2HzbDJv

https://bit.ly/2HzbDJv

เรียบเรียง/ที่มาhttps://bit.ly/2HzbDJvhttps://bit.ly/2vifQPE
การแลกดินแดนที่เป็นตำนาน ไทยแลกดินแดน