247 .. คนเราตายแล้วไปไหน
คนเราตายแล้วไปไหน
มีคำถามที่ต้องการคำตอบอยู่คำถามหนึ่ง อาจจะมีเพื่อนๆ สนใจอยากรู้ ป้าจึงขอนำมาเผยแพร่
เขียนโดย คณะสหายธรรม จากนานาปัญหา เว็บ 84000.org
ถาม .. คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน บุญกุศลที่ทำในภพนี้ เช่น การทำบุญสร้างโบสถ์ วิหาร, ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรมดี, แล้วจะได้รับส่วนบุญกุศลหรือไม่อย่างไร? ในภพหน้าหรือโลกหน้า? ส่วนบรรพบุรุษของผู้กระทำการในครั้งนี้ จะได้รับส่วนบุญด้วยหรือไม่อย่างไร?
ตอบ .. คำถามที่ว่าคนเราตายแล้วไปไหน ตอบง่ายๆ แต่ถูกตรงที่สุดก็คือ คนเราตายแล้วไปไหนก็สุดแต่กรรมที่ตนทำไว้ ซึ่งมิใช่กรรมที่ทำในภพนี้เท่านั้น กรรมในภพอื่นๆ ที่ทำมาแล้ว ก็มีโอกาสให้ผลได้ด้วยเหมือนกัน สุดแต่ว่ากรรมไหนได้เหตุปัจจัยที่สมควร กรรมนั้นก็ให้ผลก่อน
ถ้าเป็นกรรมชั่วหรือบาปกรรมให้ผล ก็ต้องเกิดในอบายภูมิ 4 ภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานภูมิใดภูมิหนึ่ง
แต่ถ้าเป็นกรรมดีคือ บุญกรรมให้ผล ก็เกิดในสุคติภูมิถึง 27 ภูมิ คือ ถ้าเป็นกามาวจรกรรมหรือมหากุศล มีทาน ศีล ภาวนา ที่ยังไม่ถึงฌานและมรรคผล เวยยาวัจจะ เป็นต้น ให้ผล ย่อมเกิดในกามสุคติภูมิ 7 คือมนุษย์ 1 สวรรค์ 6 ชั้น มีจาตุมมหาราชิกาภูมิ เป็นต้น
ถ้าได้รูปฌานตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตถฌาน คือได้ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 เฉพาะที่เป็นรูปฌานย่อมเกิดในรูปพรหมภูมิ 16 ภูมิ ถ้าได้อรูปฌาน 4 ฌาน มีอากาสานัญจายตนะฌาน เป็นต้น ย่อมเกิดในอรูปพรหมภูมิ 4 ภูมิ รวมเป็น 31 ภูมิ ซึ่งผู้ที่ยังเกิดอยู่ในภูมิใดภูมิหนึ่ง ทั้งที่เป็นทุคติภูมิและสุคติภูมิ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ยังละกิเลส ยังไม่ได้ทั้งสิ้น
สำหรับบุคคลที่ละกิเลส คือ บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน เป็นต้น จนถึงพระสกทาคามี แม้ยังต้องเกิดอยู่ ก็ไม่เกิดในอบายเลย เกิดแต่ในสุคติเท่านั้น ถ้าได้ฌานก็เกิดในรูปพรหมหรืออรูปพรหมตามอำนาจของฌานที่ตนได้
ส่วนผู้ที่เป็นอนาคามีแล้วย่อมเกิดในพรหมโลกเท่านั้น
แต่ถ้าบรรลุเป็นพระอรหันต์ซึ่งไม่มีกิเลสเหลืออยู่เลย ย่อมไม่เกิดในที่ไหนๆ เลย แต่ย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้น
สรุปว่า คนที่มีกิเลส ตายแล้วยังต้องเกิดอีก แต่จะเกิดที่ไหน สุดแต่กรรมที่ทำไว้แล้วนำเกิด คนที่ไม่กิเลสเลย คือ พระอรหันต์ ย่อมปรินิพพานเท่านั้น ไม่เกิดในที่ไหนๆ เลย
ส่วนที่ถามว่า บุญกุศลที่ทำแล้วในภพนี้ เช่น ทำบุญสร้างโบสถ์ เป็นต้น ผลของบุญนั้นก็ย่อมให้ผลแก่เขาผู้ทำ ในภพนี้บ้าง ในภพหน้าบ้าง ในภพต่อจากชาติหน้าๆ ไปบ้าง สุดแต่ว่า มีโอกาสเมื่อใด ก็ให้ผลเมื่อนั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าบุญนั้นจะให้ผลในชาติไหน ยกเว้นแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ส่วนบรรพบุรุษของผู้กระทำกรรมดีในชาตินั้น ถ้าผู้กระทำอุทิศส่วนบุญที่ทำแล้วให้ท่าน ท่านรับรู้และอนุโมทนาก็ย่อมได้รับบุญนั้นด้วย แต่ถ้าท่านไม่รับรู้ หรือรับรู้แต่ไม่อนุโมทนา ท่านก็ไม่ได้บุญด้วย
สำหรับท่านที่สามารถรับรู้และอนุโมทนาด้วยนั้น ถ้าท่านเกิดเป็นเปรต ท่านอาจจะพ้นจากสภาพเปรตได้ หรืออาจจะได้รับอาหาร เสื้อผ้า เป็นต้น อันเป็นทิพย์ ในทันทีทันใดที่อนุโมทนาจบลงก็ได้
แต่ถ้าท่านเกิดเป็นเทวดา ท่านอนุโมทนาแล้ว ท่านก็ได้กุศลจิตเพิ่มขึ้นจากการอนุโมทนานั้น บางครั้งยังทำให้รัศมีกายของท่านสว่างไสวเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับบรรพบุรุษที่เกิดในอบายนั้น ท่านไม่มีโอกาสทราบและอนุโมทนาได้เลย แม้เกิดเป็นมนุษย์ท่านก็ไม่มีโอกาสทราบเช่นกัน คิดดูง่ายๆ ก็ได้ คนอยู่บ้านเดียวกัน เราไปทำบุญมาแล้ว ถ้าเราไม่บอกเขา เขาก็ไม่ทราบ เมื่อไม่ทราบ จะอนุโมทนาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคนที่ตายแล้วหรือยังไม่ได้ตาย ถ้าเราทำบุญแล้ว ไม่บอกให้เขาอนุโมทนาบุญ เขาก็อนุโมทนาไม่ได้ แม้เขาอยากจะได้ส่วนบุญก็ตาม.
ที่มา อ้างอิง : พระไตรปิฎก เล่มที่ 24 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 16 อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
ชาณุสโสณีสูตร
ธรรมสวัสดี
ร่มไม้เย็น ค่ะ
Create Date : 24 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 23 เมษายน 2556 19:50:32 น. |
|
72 comments
|
Counter : 4176 Pageviews. |
|
|
|
นั่นสิ ตายแล้วไปไหน เป็นคำถาม ที่อยากรู้ ..
อ่านแล้ว หลายคนคงคิดอยากทำดี ทำบุย เยอะๆ นะคะ..
พรุ่งนี้วันพระ ไปวัด ค่ะ..