Group Blog
 
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
พระนเรศวร..ภาคปฐมวัย..สัมผัสได้ถึงความรีบเร่งในทุกเรื่อง



อาการรีบ..เริ่มตั้งแต่การได้ไปชมในรอบแรกๆ โชคดีที่ไม่เลือกดูวันแรกที่เข้า เพราะฟิล์มมาไม่ทัน! นึกสยองอยู่เล็กน้อยว่าวันที่สอง อาการของหนังจะสมบูรณ์พร้อมที่จะชมหรือไม่... โชคยังเข้าข้าง..หนังได้ฉายตามเวลา หากแต่สังเกตได้ถึงความ Hi Contrast บนก็อปปี้ฟิล์มที่นำมาฉาย โดยเฉพาะในช่วงไตเติล แต่พอเข้าเนื้อหาแล้วก็พอไหว.. มีคนวิจารณ์เล็กน้อยในพันทิพว่าไม่ชอบโลโกพระนเรศวรที่ระเบิดไฟลุก ออกจะเห็นด้วยอยู่หน่อยๆ ว่าน่าจะทำเรียบๆ ให้ดูคลาสสิคจะดีกว่า โดยเฉพาะภาคปฐมวัยนี้

อาการรีบต่อมาที่สัมผัสได้คือ วิธีการเล่าเรื่อง..รีบเข้าประเด็นต่อเนื่องจากสุริโยทัยเลย ไม่มีการสร้างบรรยากาศให้กับบุคลิกสำคัญของตัวแสดงหลัก คือ พระนเรศวร์ แล้วค่อยโยงกลับเข้ามาถึงความเป็นมา คนที่ไม่เคยดูสุริโยทัยมาก่อน มีแนวโน้มว่าจะต้องมึน (เพราะเรื่องราวนั้นต่อเนื่องกันอยู่) วิธีการเล่าก็ใช้ Narrator หรือผู้บรรยาย ซึ่งเป็นผู้หญิง? ออกจะแปลกใจ..หนังแนวนี้มักจะใช้ผู้ชายที่มีน้ำหนักเสียงน่าเชื่อถือ อาจต้องการความแปลกฉีกแนวไปจากประเพณีเดิมๆ แต่น่าจะหาคนพากย์ที่มีน้ำเสียงดูหนักแน่นกว่านี้ วิธีการนี้ทำให้หนังถูกลากเข้าสู่ความรู้สึกของสารคดีกลายๆ หากแต่พอดำเนินเรื่องไปช่วงหนึ่ง เจ้าหล่อนจะหายไปจนเกือบลืมๆ แล้วอยู่ดีๆ ก็โผล่มาบรรยายต่อ ทำเอารู้สึกโดดๆ พอควร และกำลังจะบอกต่อว่า ความรู้สึกนี้ได้เกิดขึ้นเป็นระยะอยู่ตลอดเรื่อง...ความไม่กลมกลืน..

ในเวลาร่วม 2 ชั่วโมง 40 นาทีของเนื้อหนัง ซึ่งถือว่ายาวไม่น้อย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนรีบๆ เล่าฉากต่อฉากแบบไม่ทันได้ตรึงอารมณ์คนดู ฉากที่สร้างความเพลิดเพลินและเป็นชูรสให้เรื่องเลยไม่ค่อยได้มีเวลามากนัก แสดงว่าเนื้อหาที่ต้องเล่าของประวัติศาสตร์ชาติสยามช่วงนี้มีความซับซ้อนอยู่มาก แต่กระนั้นคนดูส่วนใหญ่ก็ให้ความตั้งใจในการชมอย่างจริงจัง นั่นเพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติเราเอง ที่มีมุมมองที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกชั้น เกินกว่าที่จะหาได้จากตำราเรียนทั่วๆไป



ที่ชอบคือการเล่นกับความรู้สึกขัดแย้งกันเองภายในของผู้นำแต่ละเมือง ทั้งหงสา อโยธยา และพิษณุโลก แต่ละคนต่างถูกบีบให้ต้องมาเผชิญกับการตัดสินใจที่ท้าทายจริยธรรม และความผิดชอบชั่วดี ว่าไปดูเป็นเนื้อหาที่ร่วมสมัยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าการเมืองและการศึกเช่นนี้ ล้วนสร้างปมปัญหาให้บ้านเมืองมานับเป็นร้อยปี จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ น่าชื่นชมกับนักแสดงผู้มากประสบการณ์ทั้งหลายในบทเหล่านี้ต่างทำหน้าที่ได้ดี โดยเฉพาะบุเรงนอง (สมภพ) กับบทพูดที่มากมายหลากอารมณ์กว่าทุกคน และพระมหาธรรมราชา (ฉัตรชัย) ซึ่งต้องเล่นกับความรู้สึกซับซ้อนภายใน ด้วยบทพูดที่มีไม่มากนัก

แปลกใจอยู่บ้างกับความสัมพันธ์ขององค์ดำ กับบุเรงนอง ที่บรรยายว่าผูกพันกันมากกว่าใคร แม้กระทั่งรัชทายาทตองอูเองยังต้องลุกขึ้นมาอิจฉาตาร้อน แต่ฉากที่ให้ความรู้สึกถึงความผูกพันนั้นกลับมีน้อยมาก เณรองค์ดำกลับใช้เวลาอยู่กับหลวงตามหาเถรคันฉ่องกว่าค่อนเรื่อง แทบจะไม่ได้มีซีนพบปะกันกับบุเรงนองสักกี่มากน้อย

เมื่อเอ่ยถึงการแสดง..คงต้องวกมาถึงบรรดานักแสดงตัวน้อยๆ ที่ต้องมารับบทสำคัญ การคัดเลือกตัวทำได้ไม่เลวเลย โดยเฉพาะพระองค์ดำ หากแต่หนูน้อยเหล่านี้ต้องการคอร์สฝึกฝนที่เข้มข้นกว่านี้อีกสักหน่อย ซึ่งรวมไปถึงนักแสดงผู้ใหญ่อีกหลายคนที่อ่อนประสบการณ์ และยังลำบากกับการพูดภาษาสยามโบราณ โดยไม่ให้รู้สึกเหมือนอ่าน และคงอารมณ์ไว้ได้ ศาสตร์การแสดงในแนวพีเรียดเหล่านี้ ต้องยกย่องฝรั่งเขาที่ให้การฝึกฝนอย่างจริงจัง สังเกตได้จากดาราหลายคน เช่น เจเรมี ไออ้อน เฮเลน เมียเรน หรือ โจนาธาน ไพรส์ พวกนี้มีประสบการณ์กับละครเวที(แนวเชคสเปียร์)มาก่อน และสามารถใช้ภาษาโบราณได้อย่างตีบทแตก ใส่อารมณ์ลงไปได้ในทุกคำพูด ปัญหานี้เห็นมาตั้งแต่สุริโยทัย บัดเดี๋ยวนี้..ก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เช่นเคย..



ความตั้งใจในการเซ็ทฉากยุคโบราณทำได้ดีทีเดียว บรรยากาศส่วนใหญ่ถือว่าสอบผ่าน หากแต่โปรดักชั่นใหญ่ขนาดนี้ การเตรียมงานย่อมต้องใช้เวลา หากมีอะไรล่าช้า อาจทำให้ช่วงเวลาที่ดีในการถ่ายทำไม่ลงตัว บางฉากที่เห็นพระสงฆ์เดินบิณฑบาตรกลางแดดเที่ยงเลยหลุดออกมาบ้าง อีกประการ แดดเมืองไทยนั้นแรงจัด บรรยากาศที่สวยมักจะอยู่ช่วงเช้าและบ่ายๆ เย็นๆ ซึ่งต้องอาศัยการเตรียมพร้อมล่วงหน้า และการรอคอย... รวมไปถึงฉากที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งบางครั้งให้ความรู้สึกที่..ใหม่เกินไปนิดด.. ทั้งพื้นหินพื้นปูน ทั้งกำแพง ทั้งสะพาน...ฯลฯ...หนังแนวนี้บางครั้งต้องสร้างความรู้สึกของฉากให้มีโทนสีที่เก่าไว้ ต่อให้ในยุคนั้นมันสมควรจะดูใหม่ก็ตามที

อย่างไรก็ดี ฉากรบก็ทำได้ดูลื่นไหลกว่าสุริโยทัย และได้เห็นมุมกล้องและการเคลื่อนไหวของกล้องที่ตื่นตากว่าที่เคย น่าเสียดายที่นำมาฉายในระบบ Widescreen ธรรมดา หนังในแนว Epic แบบนี้น่าจะนำมาฉายในรูปแบบของจอกว้าง Anamorphic widescreen ซึ่งจะให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่กว่า และสามารถที่จะเล่นกับภาพ Panorama ของบรรยากาศเมือง และฉากรบอันตระการตาได้ดีกว่า



ความรู้สึกต่อมาคือ ความรีบในการตัดต่อลำดับภาพ ดูเหมือนยังไม่ค่อยลงตัวเท่าที่ควร การใช้ภาพเฟดขาวเป็นตัวเชื่อมซีน พร้อมเสียงเอ็ฟเฟค..(ที่รู้สึกจะดังไปนิดด) พอมีบ่อยไป ออกจะทำให้รบกวนอยู่หน่อยๆ อนุสนธิอาจเนื่องมาจากบทที่ไม่ได้เสร็จสมบูรณ์แต่แรก ทราบว่าท่านผู้กำกับทำงานสไตล์ Robert Altman หน่อยๆ เพราะเป็นคนเดียวที่เข้าใจทุกสิ่งทั้งเนื้อเรื่องและโปรดักชั่น บทจึงทยอยมาพร้อมการถ่ายทำ การวางแผนช็อทในการถ่ายทำเพื่อสร้างความต่อเนื่องไว้ล่วงหน้าเลยคงไม่ค่อยมีโอกาสมากนัก ถ้าท่านแบกภาระไว้น้อยกว่านี้หน่อย มีเวลาค่อยๆ ทำไป และวางแผนล่วงหน้าได้มากกว่านี้ คงได้เห็นการลำดับภาพที่มีชั้นเชิงประณีตกว่านี้เช่นกัน

อย่างว่า โปรดักชั่นใหญ่ยักษ์ปานนี้ ทีมงานที่มาซัพพอร์ต ต้องเก่งและเป็นตัวแทนกันได้ในทุกเรื่อง คงหาไม่ง่ายนักที่ท่านผู้กำกับจะไว้ใจถึงกับปล่อยให้ทำแทน ดูขนาดหนังจะฉายอยู่แล้ว ท่านยังต้องมาอดตาหลับขับตานอนคอยแก้สีในแล็บอยู่ 4 วัน 4 คืน



ที่ขัดใจอยู่เล็กน้อยคือ เณรองค์ดำ ดูจะเก่งกำลังภายในเกินเหตุ เหอๆๆ กระโดดถีบผู้ร้ายตัวอ้วนเป็นยักษ์(2 คน) ด้วยสองบาทาได้พร้อมกัน อะไรจะปานนั้น ถ้าหาทริคในการนำเสนอด้วยการต่อสู้เอาตัวรอดแบบชาญฉลาด แทนที่จะไปประมือประเท้ากันตรงๆ น่าจะดูเนียนกว่านี้ ไม่เช่นนั้น ก็ควรจะปูพื้นแบคกราวนด์ความมหัศจรรย์ในฝีมือบู๊มาแต่เนิ่นๆ (ซึ่งหนูน้อยคงต้องฝึกกันตาตั้ง) เช่นเดียวกับฉากที่หลวงตามหาเถรคันฉ่องใช้ไม้เท้าเหวี่ยงเคียวปักต้นไม้เฉียดลูกกระเดือกไอ้หนูบุญทิ้งไปเสี้ยวองคุลี ดูหวือหวาเป็นหนังจีนมั่กๆ …จริงๆ ถ้าอยากเน้นการต่อสู้แบบไทยๆ ให้สนุกตื่นเต้นกว่านี้ก็ดูไม่เลวนะ เรื่องจะดูมีสีสันชวนติดตามกว่านี้อีกเยอะ แต่หนังคงจะยาวยืดออกไปเกินสามชั่วโมงเป็นแน่แท้

มีคนบ่นๆ เรื่องเพลงประกอบอยู่พอสมควร ก็คงเป็นผลพวงของความรีบ...อีกนั่นแหละ เลยมีสำเนียงแนวฝรั่งผสมตะวันออกกลางหน่อยๆ แซมสำเนียงไทยพอเป็นกระสาย น่าจะมีนักแต่งเพลงและเรียบเรียงเพลงคนไทยที่เก่งๆ หลงเหลืออยู่นะ เอาเถอะ ท่านคงอยากได้ทีมเก่าที่รู้งาน ไม่ต้องสื่อสารกันมาก แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว..ส่วนเพลงฝาหรั่งปิดท้าย เห็นท่านบอกว่ารอเพลงจากในวังอยู่ คงได้ฟังภาษาไทยของจริงในภาคต่อไป

ดูจบแล้วก็อยากดูต่อนะ ในความไม่สมบูรณ์ ก็ยังมีเสน่ห์ของเรื่องราวที่ชวนติดตาม... เรื่องราวของประวัติศาสตร์ชาติเราเอง...ในมุมมองที่ไม่เคยเห็น คงมีอะไรได้พูดถึงอีกไม่น้อยกับตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคที่กำลังจะตามมา จริงๆ ยังมีรายละเอียดในเรื่องแรงจูงใจของตัวบทและการแสดงอยู่หลายช่วงที่อยากเอ่ยถึง แต่ดูจะวิจารณ์ยืดยาวเกินเหตุไปแล้ว รอคุยกันต่อภาคหน้าก็แล้วกัน


Create Date : 20 มกราคม 2550
Last Update : 21 มกราคม 2550 18:30:08 น. 5 comments
Counter : 2659 Pageviews.

 
วิจารณ์ดีขรั๊บ!!


โดย: cybrarian IP: 58.9.149.56 วันที่: 27 มกราคม 2550 เวลา:12:50:42 น.  

 
ขอบคุณท่านไซเปรียญอุตส่าห์มาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชานแฟนขลับ ขออภัยที่มิได้นำน้ำท่ามาต้อนรับนะท่าน...


โดย: Bkkbear (Bkkbear ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:48:45 น.  

 
ถัพพพะกกกกกก


โดย: นาย IP: 118.173.191.175 วันที่: 28 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:55:04 น.  

 
เเรงดีมันดี


โดย: ปัน IP: 125.25.170.3 วันที่: 23 มิถุนายน 2552 เวลา:18:16:54 น.  

 
ได้ยินเพลงประกอบเป็นภาษาไทยภาค2อยากทราบใครร้องชื่อไรหาได้ที่ไหนชอบมากคะขอความกรุณาบอกที่wipasaipla@hotmail.comขอบคุณล่วงหน้านะคะ


โดย: ต้องการ IP: 118.172.155.149 วันที่: 5 ตุลาคม 2552 เวลา:16:01:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.