|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ช็อคโกแลต ..ฤาจะเป็นได้แค่เพียง สตั๊นท์โชว์

แรกว่าจะไม่เล่าให้ฟังซะแล้ว...แต่ไหนๆ ตอนดูก็คันปากยิบๆ ไม่รู้จะบ่นกะใคร..ขอบรรเลงแบบช็อคโกแลตละลายเลอะเทอะพองามแล้วกัน
เหมาะกับคนที่ดูมาแล้ว มาแชร์ประสบการณ์พิพักพิพ่วนด้วยกัน...
แต่แรกสงสัยอยู่ว่าชื่อเรื่อง ช็อคโกแลตนั้นสำคัญไฉน คงต้องมีความหมายยิ่งถึงยอมนำมาใช้เป็นชื่อหนัง (เพราะอาจสร้างความสับสนกับหนังฝรั่งที่ชื่อเดียวกันนี้ในตลาดโลกได้ง่ายๆ)
ครั้นดูจนจบเรื่อง..ข้าพเจ้าก็ยังไม่ GET จนบัดเดี๋ยวนี้.....ว่าทำไมถึงต้องตั้งชื่อเรื่องได้เชยปานฉะนั้น
หรือว่าได้สปอนเซอร์จากช็อคโกแลตเจ้าดังที่เห็นหนูจีจ้าฟาดหมับๆ ในเรื่อง..ก็มิซับซาบ...(จำได้จากกล่องอะ) งานนี้ M&M คงแค้นไปมิน้อย..5555
ความประทับใจจากเรื่องนี้มิใช่ไม่มี ทั้งหมดทั้งมวลนั่นก็คือฉากโชว์การต่อสู้ที่อัดมาแน่นพรึดทั้งเรื่อง แสดงถึงกึ๋นทีมสตั๊นท์ไทยและครีเอทีฟในการออกแบบท่าต่อสู้ของพันนา ฤทธิไกร
แต่ไอ้ความไม่สมเหตุสมผล และจังหวะจะโคนกระโดกกระเดกของเรื่องนี้แหละ ที่ทำลายความงามของฉากต่อสู้นี้ไปครึ่งต่อครึ่ง ...ในเมื่อคนดูไม่รู้สึกเชื่อแล้วว่าสถานการณ์นั้นมันสมจริง...จะไปเหลืออะไร..
ยังดีที่มีฉากไคลแม็กซ์เด็ดสุดตอนจบของการต่อสู้บนกันสาดหน้าบาร์มาไว้โชว์กึ๋นชนิดยาวเป็นสิบนาทีได้กระมัง เล่นเอาสงสารหนุ่มสตั๊นท์ทั้งหลายที่สะบักสะบอมชนิดหามเข้าโรงหมอ (คอยตามดูเครดิตไตเติลตอนท้าย เขาอุตส่าห์มาปะไว้ประมาณโชว์ว่า ของจริง นะเฟ้ย...แต่แอบมีสลิงเล็กๆ ช่วยหนูจีจ้าห้อยโหนไว้...เหอๆ.. แล้วคุยว่าเตะจริง..เจ็บจริง..ไม่มีสลิง..ได้ไงง่ะ)
เอ๊ะ..ไปๆ มาๆ ดันมาสปอยล์ตอนจบไปซะเนี่ย..เอาน่า..อย่าเพิ่งลมเสีย
.

จากการที่รู้เรื่องความเป็นเด็กออทิสติกตั้งแต่ตัวอย่างแถมด้วยรายการโปรโมทหนูจีจ้าซะกระหน่ำขนาดนั้น เลยหมดความเซอร์ไพรส์ไปสิ้นตอนนั่งดูหนังจริง...
รสชาติมันเลยกล้อมแกล้ม ปะแล่มๆ ไปเรื่อยๆ ที่แย่คือบทหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดีไปกว่าต้มยำกุ้งกี่มากน้อย จังหวะจะโคนความสมเหตุสมผลเอาไปถมที่หมดหรือไงไม่ทราบเหมือนกัน
องค์ประกอบอื่นที่ควรจะดี เพื่อช่วยให้หนังอยู่รอด (นอกจากแม่หนูตัวเอก) อย่างเช่น การถ่ายภาพ เพลงประกอบ..โปรดักชั่นดีไซน์ ก็ไม่ได้ช่วยสักกี่มากน้อย
ไม่น่าเชื่อว่าหนังที่ถ่ายมาใช้เวลานานถึง 2 ปี กลับดูเหมือนรีบๆ ถ่าย บางซีนเหมือนขี้เกียจจัดไฟ ขนาดยอมไปดูโรงดิจิตัล (ที่เอสเอฟมาบุญครอง..ถูกดีแฮะ) ในขณะที่หนังชัดแจ๋วโออยู่ทีเดียว แต่กลับทำให้เห็นความไม่ประณีตของการจัดแสงและฉากที่สร้างไม่เนี้ยบได้ชัดหนักขึ้นซะงั้น
ส่วนเพลงประกอบ..สไตล์ยังไงยังงั้นตั้งแต่องค์บากมายันต้มยำกุ้ง สงสัยเป็นเทรดมาร์คของ ผกก.กระมัง

หนูเซน+นางซิน+แมงมุมอ้วน สามชีวิตที่ต้องปากกัดตีนถีบ(เป็นระวิง)
บทบาทการแสดงนั้น น่าเสียดายที่ตัวบทเขียนมาเหมือนบุคลิกในการ์ตูน มีแต่พล็อตพาเรื่องให้เดินไป ทำให้น้ำหนักการแสดงแต่ละฉากแต่ละซีนล่องลอยหาที่เกาะไม่ได้ ดูไปยิ่งไม่เชื่อ...และยิ่งสงสัยว่าตัวละครมันทำอะไรของมัน
ยกตัวอย่างง่ายๆ นางซิน (ไม่ใช่ ..เดอเรลล่า นะจ๊ะ) แม่ของหนูเซน (จีจ้า) ตอนเปิดตัว ดูหล่อนเป็นนางสิงห์ซ่อนคม เก่งกาจด้านการต่อสู้ แต่พอเดินเรื่องไปหน่อย กลายเป็นลูกแมวเซื่องๆไปซะงั้น ยิ่งมีด้วยลูกแล้ว ยิ่งทำอะไรไม่เป็น นังกะเทยมือปืน (ทำไมเอาน้าเดมาเล่นฟระ ดูยังไงก็ไม่เชื่อ) เข้ามาขู่หน่อย ก็ลนลานยอมแต่โดยดี แทนที่จะใช้ฝีมือเพื่อปกป้องตัวเอง เพราะยังไงก็ต้องแลกหมัดกันแล้ว..เพื่อลูก โชว์ฉากพวกนี้สักหน่อยก็ไม่เห็นเสียหาย....

ยากูซ่า+นางซิน+เจ้าพ่อ รักสามเส้าเคล้าซาดิสต์
ที่ขำขนาดหนักคือตอนที่เจ้าแม่ เอ๊ย..เจ้าพ่อพงษ์พัฒน์ (เธอไว้ผมสลวยประบ่า แต่ใส่แว่นเรย์แบนด์ทั้งวันทั้งคืน..แถมมีแก๊งค์กะเทยมือปืนเป็นบอดี้การ์ด...กรี๊ดดด) โกรธว่าแม่นางซินคู่ขาแอบไปปันใจให้ยากูซ่าคู่แค้น ถึงขนาดเอาตัวมาบังทางปืน เลยไม่รู้ทำไร..หันมายิงหัวแม่เท้าตัวเอง...(แก้เซ็งหรือไงหว่า??) จนบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่เก็ต (อีกครั้ง)อยู่นั่นแล้ว
และหลังจากนั้นเป็นปีๆ..อยู่ดีๆ เกิดอารมณ์แค้นมาตามเอาคืนกะนางซิน (ซึ่งหนีไปเลี้ยงลูกของยากูซ่า) โดยมาตัดหัวแม่เท้านางซินต่อหน้าลูก?? ด้วยเหตุผลแค่จับได้ว่าหล่อนยังเขียนจม.เล็ตเตอร์ติดต่อกะกิ๊กญี่ปุ่น (เชยฟระ เดี๋ยวนี้เขาส่งอีเมล์กันแร้ว)
แล้วไม่ทราบว่าส่งนังกะเทยมือปืนไปเฝ้าพฤติกรรมนางซินด้วยเหตุอันใด ยังรักยังหวง(ก้าง)อยู่? หรือ..บลาๆๆ ..ข้าพเจ้าก็เมื่อยสมองมากในการเดา...
เลยได้แต่นั่งหัวเราะหึๆ ด้วยไม่ทราบว่าจะทำอารมณ์ไหนดีให้เข้ากับหนัง... (ประกอบกับเสียงออฟซีนแว่วจากที่นั่งด้านหน้า แม่ๆ ..มันทำอารายอะ... อื๋ยยย..สงสัยคุณพ่อคุณแม่คงนึกว่าเป็นหนังดิสนีย์กระมัง)

กะเทยมือปืน บอดี้การ์ด หรือคู่ขาคนใหม่ของเจ้าพ่อกันง่ะ..
ที่มันไปกว่านั้น ตอนที่หนูเซนได้แสดงฝีไม้ลายมือ (และเท้า) เป็นครั้งแรกกับกลุ่มจิ๊กโก๋ที่เข้ามาตีรวน (อย่างไม่มีเหตุผล) เธอก็ซัดได้กระหน่ำจนไอ้เวรพวกนั้นลงไปนอนบิดไปบิดมา ไม่มีเวลาเข้ามารุม...
แต่หลังจากนั้น..ตอนมาทวงตังค์ให้แม่ที่โรงน้ำแข็ง กลับปล่อยให้เสี่ยเอาลูกคิดฟาดหน้า..ให้ลูกน้องจับโยนกระเด็นไปกระเด็นมาอยู่นานสองนาน ก็ยังไม่นึกจะลุกขึ้นมาต่อสู้
กว่าจะต้องจิ้นถึงหนังองค์บาก..ต้มยำกุ้งที่นั่งดูแล้วดูอีก (เน้นสุดๆ ซะหลายหนเลยครับท่าน) ถึงจะได้แรงกระตุ้นให้ลุกขึ้นมาต่อกร กระนั้นก็หมดเวลาไปซะนานสองนาน บอกตามตรงงงโคตรๆ ครับผม ทีฉากตีกะจิ๊กโก๋ แม่คุณไม่ต้องบิ๊ลท์อารมณ์สักกะติ๊ด เตะกระจายทันทีทันควัน...
จากนั้นก็เป็นฉากโชว์สตั๊นท์ละเลงกันทั่วโรงน้ำแข็ง โรงหมู โรง..บลาๆๆๆ แบบเละๆ เลอะๆ ทุกโรงคะรับท่าน แต่ก็ล้วนเป็นฉากได้โชว์ฝีมือการออกแบบท่าต่อสู้ที่สำคัญทั้งสิ้น
ฉากโชว์มันเยอะจนจังหวะความสมจริงมันประดักประเดิดไปหมด....

ยิ่งตอนท้ายๆ นึกว่าไปฟัดกะยากูซ่าในญี่ปุ่น (ให้นึกฉากในหนัง KILL BILL ไว้ ยังไงยังงั้น) แต่งสูทชักซามูไรฟาดฟันกันโช้งเช้ง แล้วอยู่ดีๆ ตาพระเอก..พ่อญี่ปุ่นของหนูเซน ก็โผล่เข้ามาไม่มีปี่มีขลุ่ยได้จังหวะซะไม่มี (บินตรงมาจากญี่ปุ่นลุยเดี่ยวอีกตะหาก) เข้ามาฟาดฟันกันนัวเนีย
ขณะที่เจ้าพ่อพงษ์พัฒน์ก็ลากแม่นางซิน (ซึ่งถูกยิงถูกอัดซะพรุน) ไปทางโน้นที ลากไปทางนี้ที เอ่อ..จะลากไปถึงไหน..ไม่หนักเหรอไงฟระ ส่วนอีลูกน้องก็ยืนกันเป็นกุรุต ไม่เห็นมีใครสนใจจะช่วย

ลากมันเข้าไป...ไม่ยอมตายซะที
ส่วนแม่หนูจีจ้าหลังจากเอาชนะคู่ต่อสู้ออทิสติกได้ อยู่ดีๆ ก็หมดแรงข้าวต้มไปซะงั้น นอนดูผลงานจนกระทั่ง..แม่โดนแทง พ่อโดนฟัน ฯลฯ แล้วหล่อนก็ไม่มีปัญญาจะลุกขึ้นมาช่วย? นอนดูทำตาปริบๆ
ส่วนข้าพเจ้านั้น..ไม่รู้จะทำเช่นไรได้แต่ดิ้นกระแด่วๆ อยู่บนเก้าอี้ด้วยความขัดใจยิ่งนัก..
นี่คือความผิดพลาดอย่างยิ่งของจังหวะการเล่าเรื่อง การโชว์ฉากต่อสู้ที่ดี มันต้องมีเหตุผลตอบรับ และจังหวะที่สอดคล้องจนคนดูคล้อยตามและลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกสุดริด...แต่เนี่ย..เอ่อ..ทำหนังมาก็เรื่องที่สามแล้วนะคะรับท่าน
ยังดีที่มีฉากสุดท้ายไล่ล่ากันบนกันสาดห้องแถวมากู้หน้าไว้ได้ ก็ต้องยอมรับว่าตัวแสดงทุกคนทนทรหดยิ่งกว่าแควด (แรด+ควาย) ยิ่งนัก เห็นอาการหล่นมาจากตึกสามชั้นกันตุบๆๆ..แล้ว ช่างน่าชมเชยในความเสี่ยงอย่างบ้าบิ่นชนิดที่ เจสัน สเตตแธม หรือ เจ็ทลี ยังส่ายหน้า... และแม่หนูจีจ้า (และสตั๊นท์ตัวแทน) ก็ทำได้มหัศจรรย์เกินคาดที่เดียวเชียว

ไม่ต้องไปเอ่ยถึงบทดราม่าอะไรนั่น ระหว่างแม่ลูกหรือกับตาแมงมุมอ้วนเพื่อนรัก เหมือนฉากประกอบในการเล่าเรื่อง แต่เอาเถอะ..ดูๆ ไปก็น่าเป็นส่วนดีที่เหลืออยู่ของหนัง
เท่าที่ฟังแผนโปรโมท ดูผู้สร้างจะลงทุนกับการสร้างจีจ้าอย่างจริงจังมากๆ ใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะฝึก กว่าจะถ่ายทำจนจบ
แต่ถ้าองค์ประกอบของหนังเป็นได้แค่อย่างที่เห็น...มันจะคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปหรือไม่ ..ยังนึกไม่ออกอยู่
น่าเสียดายกับผลลัพธ์ส่วนที่ดีที่สุดของหนัง ..แม่หนูจีจ้า ญานิน...เธอน่าจะไปได้ไกลกว่านี้
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2551 |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2551 14:54:13 น. |
|
14 comments
|
Counter : 2896 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: PriYa วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:56:48 น. |
|
|
|
โดย: grippini วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:3:16:41 น. |
|
|
|
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:00:20 น. |
|
|
|
โดย: Fight_on วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:20:44:31 น. |
|
|
|
โดย: bacon IP: 58.8.90.227 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:30:07 น. |
|
|
|
โดย: oak (nata339 ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:22:57:01 น. |
|
|
|
โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:41:13 น. |
|
|
|
โดย: joblovenuk วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:26:52 น. |
|
|
|
โดย: deffy-melody วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:05:34 น. |
|
|
|
โดย: ............. IP: 58.147.53.131 วันที่: 28 เมษายน 2551 เวลา:22:32:24 น. |
|
|
|
โดย: รักชๅติเป็นอๅชีพ IP: 195.189.142.168 วันที่: 1 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:45:06 น. |
|
|
|
โดย: รักชๅติเปงอๅชีพ IP: 195.189.142.168 วันที่: 1 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:48:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

|
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
|
|
|
|
|
|
|