Nymphomaniac เมื่อผู้กำกับจอมตีสต์ทำหนังเรื่องหญิงเสพติดเซ็กซ์
nym·pho·ma·ni·a (nĭm′fə-mā′nē-ə, -mān′yə) n. Excessive sexual desire in and behavior by a female. [New Latin : Greek numphē, nymph + -mania.] นิมโฟเมเนียก (Nymphomaniac) ศัพท์ที่แสดงตัวตนของหญิงติดเซ็กซ์..ถ้าแปลกันง่ายๆ ตรงๆ ทำไมต้องหญิง? อันนี้ไม่ทราบ หรือว่า ชายมักจะติดเซ็กซ์เป็นกิจวัตร (ฮา) จนกลายเป็นเรื่องทำมะด๊า..ทำมะดา (อันนี้คงต้องถาม ไทเกอร์ วู้ดส์ นักกอล์ฟชื่อดังลูกครึ่งไทยอเมริกัน) Lars Von Trier ผู้กำกับชาวเดนมาร์ก เจ้าประจำที่สร้างความป่วนให้กับวงการหนังอาร์ตและเวทีประกวดใหญ่ๆ ได้หันกลับมาทำหนังในแนวที่เขาถนัด Nymphomaniac หนังเรื่องสุดท้ายของไตรภาค Depression Trilogy หลังจาก Antichrist และ Melancholia ที่ทำให้คนดูฮือฮากันมาแล้ว ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาส่วนตัวทางจิตมาตลอด โดยเฉพาะเรื่องโรคเครียดและซึมเศร้า หนังของเขาจึงกลายเป็นกระจกสะท้อนตัวตนไปโดยไม่รู้ตัว สองเรื่องแรกของไตรภาคดูจะเป็นตัวแทนบริบทนี้ได้เป็นอย่างดี และหลังจากเขาหลุดปากเชียร์ฮิตเลอร์ไปจนโดนเทศกาลหนังดังอย่างคานส์แบนเขาไปพักใหญ่ เขาก็กลับมาได้อย่างเซอร์ไพรส์อีกตามเคย จากความไม่ธรรมดา แหวกกฏ และเปลือยอารมณ์จากหนังเชิงจิตวิทยาทางเพศ Nymphomaniac เรื่องนี้ อืม..ผู้กำกับหนังผู้ช้าย ผู้ชาย ไปรู้ลึกอะไรนักหนากับพฤติกรรมผิดปกติทางเพศของผู้ยิ้ง..ผู้หญิงกันนะ Nymphomaniac แบ่งเป็นสองภาคด้วยกัน Volume 1 และ Volume 2 แต่ละภาคก็ล่อไปร่วมสองชั่วโมงกว่า พ่อเจ้าประคุณ ฟอน เทรียร์ คงเขียนเพลินจนลืมดูความยาว เลยถ่ายประชดแบ่งเป็นสองภาคไปเลยให้สะใจไป นี่เขายังบอกอีกว่ายังมีฉบับเต็มๆ กว่านี้ 5 ชั่วโมงครึ่งที่ออกฉายในประเทศบ้านเกิดของผู้กำกับ คงประมาณว่าใส่ทุกอย่างที่ผู้กำกับต้องการลงไป...ไม่ต้องเม้ม ข้าพเจ้าก็เอาหัวแม่เท้าตรองดูอยู่หลายเพลาว่าจะหามาชมดีไหม เพราะแค่สองภาค 4 ชั่วโมงฝ่าๆ นี่ ก็เล่นเอาถอนหายใจไปหลายเฮือก กระนั้น Nymphomaniac ก็มีอะไรน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์แซมไว้ทั่วเนื้อหนังในความยาวอันมหัศจรรย์พันลึกนี้ แต่คงต้องบอกไว้ล่วงหน้าสำหรับผู้ชมทั่วไปที่นิยมชมหนังกระแสฮอลลิวู้ดว่า นี่คือหนังยุโรปสำหรับผู้เปิดใจกว้างที่จะรับรู้สารใหม่ๆ ด้านจิตวิทยาทางเพศ การนำเสนอภาพอวัยวะเพศกันโจ่งแจ้ง การร่วมเพศอย่างไม่แคร์สื่อ และภาษาดิบๆ (อังกฤษ) ที่ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม อาจทำให้ผู้ชมที่ไม่คุ้นดูไปกรี๊ดไปได้ หนังเรื่องนี้จึงเหมาะสำหรับผู้บรรลุนิติภาวะ(ที่มีวุฒิภาวะ) แล้ว..ว่างั้น แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ และทำให้หนัง Nymphomaniac นี้ชวนติดตามคือ กลวิธีในการนำเสนอของบทที่เขียนไว้อย่างประณีตด้วยลีลาไม่เหมือนใครของ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ เขาเล่าเรื่องของ Joe ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของอาการมัวเมาในเซ็กซ์ ได้อย่างยอกย้อนไปมา แต่คนดูเข้าใจและซึมซับความเป็นมาของตัวหล่อนได้อย่างไม่รู้ตัว โดยแบ่งเป็นบทเป็นตอนชัดเจนด้วยกราฟฟิกดีไซน์ที่โดดเด่นแทรกเข้ามาเป็นระยะตามสไตล์เฉพาะตัว ใครๆ ที่เป็นแฟนคลับคงคุ้นเคยกันดีกับหนังเรื่องก่อนๆ ของเขา ตัวละครสำคัญของเรื่องคือ Joe ซึ่งนำแสดงโดย Charlotte Gainsbourg ดาราขาประจำของผู้กำกับที่แสดงมาทั้ง Antichrist และ Melancholia ประชันกับ Stellan Skarsgård ดารายุโรปที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เขาเล่นเป็น Seligman ชายโสดวัยกลางคนที่เดินมาพบ Joe นอนสลบไสลด้วยแผลเหมือนการถูกซ้อมอยู่ในตรอกแคบๆ จะว่าด้วยมโนธรรมหรืออะไรก็ตาม เขาพาร่างอันสะบักสะบอมของโจนำมาพักที่อพาร์ทเมนท์เก่าๆของเขา และ ณ ที่นั้น กลายเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวอันไม่ธรรมดา จากบทสนทนาข้ามคืนของหญิงผู้ผ่านประสบการณ์เซ็กซ์มาโชกโชนกับชายผู้รอบรู้ในสารพัดเรื่องแต่หาเคยมีเซ็กซ์กับใครไม่ ฉากบทสนทนาของทั้งคู่นั้นถือเป็นแกนหลักของเรื่องในการแสดงการโต้แย้ง วิเคราะห์ และเปลือยตัวตน โดยมีเรื่องราวการผจญภัยทางเพศของ โจ ..Flash back กลับไปให้เห็นความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่วัยเด็กของหล่อน ที่หมกมุ่นเรื่องพรรค์นี้มาตลอดโดยไม่รู้ตัว ผ่านตัวละครมากหลาย ตั้งแต่พ่อแม่ของตัวเองที่ต่างประสบชะตากรรมแตกต่างกันไป ชีวิตวัยสาวที่โลดโผนโจนทยานแข่งกันล่าผู้ชายกับเพื่อนสนิท และความสัมพันธ์กับผู้ชายมากมายที่ต่างไม่ซ้ำแบบ หน้าตา และรูปร่าง โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรคนที่ทำให้ตัวเองรู้จักกับความรักครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตอย่าง เจอโรม (Shia LaBoeuf หนุ่มจอมกวนจาก ทรานสฟอร์มเมอร์ ที่พลิกสไตล์มาแสดงบทล่อแหลมท้าทายเป็นครั้งแรก) การผจญภัยทางเพศของเธอในวัยสาว (นำแสดงโดย Stacy Martin) ที่อาจหาญชาญชัยในการแสดงบทเซ็กซ์ได้อย่างไม่เคอะเขิน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของอาการ นิมโฟเมเนีย ของเธอที่ไม่เคยหยุดในการล่าผู้ชาย ขณะเดียวกัน ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ก็ได้แบ่งแต่ละบทของหนังออกเป็น 8 ตอน คือ Volume I - "The Compleat Angler"
- "Jerôme"
- "Mrs. H"
- "Delirium"
- "The Little Organ School"
Volume II - "The Eastern and the Western Church (The Silent Duck)"
- "The Mirror"
- "The Gun"
โดยแต่ละตอนเขาจะดีไซน์กราฟฟิกปะหน้าไว้อย่างมีสไตล์ เหมือนที่เขาเคยทำกับหนังเรื่องที่ผ่านมาในไตรภาค เล่าถึงพื้นเพความผูกพันของเธอกับพ่อ (แสดงโดย Christian Slater) เล่าถึงการออกล่าผู้ชายตั้งแต่วัยสาว สับรางรถไฟเป็นว่าเล่นกับสามีชาวบ้าน กระทั่งมามีลูกมีผัวแต่แล้วกลับไปกระโจนล่าหาเซ็กซ์ใหม่ จนกระทั่งเสพติดความรุนแรงทางเพศ ฯลฯ ผจญภัยยิ่งว่าตำนานอิโรติกไทยๆ แบบจัน ดารา เสียอีกนะท่าน แต่ที่ไม่เหมือนใครคือเขาจะโยงใยเรื่องราวแต่ละตอนไว้อย่างชาญฉลาด รวมถึงอัตถาธิบายที่มาที่ไปของแต่ละตอนไว้อย่างละเอียด โดยอาศัยผสมผสานความเห็นของอีตา Seligman ที่รอบรู้ไปสารพัดเรื่อง คอยถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวของ Joe โดยตีความผ่านความรู้ทางสังคม ดนตรี ศิลปวัฒนธรรม ไปจนถึงศาสนา ที่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องราวนิมโฟเมเนียของแม่นางกระหายเซ็กซ์ (ด้วยมุมมองของคนที่ไม่เคยมีเซ็กซ์เป็นเรื่องเป็นราว) ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ในฐานะผู้กำกับและผู้เขียนบท จริงๆ คงไม่ได้อยากจะผูกอะไรชัดเจนถึงแรงจูงใจโน่นนี่นั่น เขาปล่อยให้คนดูจินตนาการตามอิสระ ปล่อยให้รู้สึกเอาเองว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจของตัวละครเอกของเรื่อง หลังจากเสพข้อมูลที่เขาแฝงไว้ในบทไว้อย่างแยบยลตามสไตล์ของหนังยุโรป และแน่นอนว่าขาดไม่ได้สำหรับฉากเซ็กซ์ที่ล่อแหลม และดูโจ๋งครึ่มจากการถ่ายทำที่ดูดิบๆ ของผู้กำกับภาพ Manuel Alberto Claroตามสไตล์ที่ผู้กำกับต้องการ ที่น่าสนใจคือ ผู้ชมมักมีข้อกังขาว่าฉากเซ็กซ์ที่เห็นกันตึ่งโป๊ะในเรื่องนั้น ดาราแต่ละคนเล่นกันถึงพริกถึงขิงจริงตามที่เห็นกันหรือเปล่า คำตอบที่ได้มาพาให้ถอนใจไปตามกันว่า ล้วนเป็นเทคนิคของการตัดต่อระหว่างตัวแสดงแทน (เจ้าของจู๋กะจิ๋ม) รวมไปถึงการใช้เทคนิคซีจีตกแต่งเข้าช่วยในการโชว์โคลสอัพ แม้ในฉากการใช้ ปาก ซึ่งว่ากันว่าภาพโคลสอัพของอวัยวะส่วนนั้นก็ล้วนรีทัชขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้น อะไรจะขนาด.... กระนั้น ก็เล่นเอาแฟนคลับของ ไชอา ลาเบิฟ ออกมากรี๊ดกร๊าดไม่ยอมกันกระหน่ำ เพราะเอาพระเอกในดวงใจมาเล่นเสียของกับหนังล่อแหลมซะขนาดนี้ ใครจะยอมให้พระเอกสุดเลิฟต้องกลายมาเป็นดาราหนังโป๊โชว์จู๋ไปทั่วโลกกันละจ๊ะ (เข้าตำราว่ายังไงชั้นก็ต้องเห็นก่อนคนอื่นว่างั้น..ฮา) ทำเอาพระเอกทรานสฟอร์เมอร์แทบอยากจะแปลงกายเป็นรถคามาโรเผ่นออกไปจากเทศกาลประกวดภาพยนตร์เลยทีเดียว เรื่องของเรื่องคือ ไชอา ลาเบิฟ เบื่อหน่ายบทต๊องๆ ในทรานสฟอร์เมอร์ที่ต้องเล่นมาถึง 3 ตอนแล้ว เลยอยากจะฉีกบทเล่นอะไรที่หลากหลายบุคลิกกะเขามั่ง ก็ได้ผลชะงัด เล่นเอาแฟนคลับช็อคซีเนม่าตกเก้าอี้เป็นแถบๆ ดาราทั้งฮอลลิวู้ด ทั้งยุโรป มากหน้าหลายตา เข้ามาเป็นดารารับเชิญกันคนละนิดละหน่อยด้วยความหนุกหนาน (ดูได้จากโปสเตอร์ภาพประกอบที่ออกจะเว่อร์เกินบทในหนัง) ทำให้หนังดูมีสีสัน คล้ายๆ กับบท Cameo ในหนังของสตีเวน ซอเดอร์เบิร์กอยู่ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นบทเล็กบทน้อยกระจิบกระจ้อย น่าเสียดายที่บทสำคัญของ สเตซี่ มาร์ติน ซึ่งเล่นเป็น โจ ตอนสาวๆ ไม่ค่อยทำให้เรารู้สึกเชื่อมต่อถึงบทของ ชาร์ล็อต เกนสบูร์ก ซึ่งสวมบท โจ ตอนแก่ได้เท่าไร มีความรู้สึกว่าหล่อนมิได้เป็นคนๆ เดียวกัน โดยแคแรคเตอร์ของสเตซี่จะได้อารมณ์สาวเจ้าเล่ห์โปรยเสน่ห์ ส่วนชาร์ล็อตจะให้อารมณ์เถื่อนๆ ลึกลับมากกว่า ก็เลยทำให้ภาค 2 ของ Nymphomaniac ดูแปลกแยกไปบ้าง หลังจากชีวิตคู่ของ โจ ต้องมีปัญหาเพราะความต้องการทางเพศที่ไร้ขอบเขต ทั้งๆ ที่ เจอโรม สามีที่แสนดีจะยอมเปิดโอกาสให้หล่อนไปเซิ้งตามใจชอบกับชายมากหน้าหลายตา เพราะรับภาระบนเตียงไม่ไหวก็ตาม อาการติดเซ็กซ์ของ โจ ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เธอยอมทิ้งลูกตัวเล็กๆ ให้อยู่บ้านคนเดียว เพียงเพราะเธอเริ่มเสพติดกับเจ้าหนุ่ม K (Jamie Bell ที่เคยเล่นเป็นตัวเอกในหนัง Billie Elliot) ซึ่งทำตัวเป็นเจ้าสำนัก S&M เปิดรับสมัครสาวๆ ที่นิยมความซาดิสต์.. ชอบให้ทรมานว่างั้นเหอะ ภาค 2 ของ Nymphomaniac เลยน่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Sadomasochism ไปซะ (ไปเปิดดิกกันเองนะ).... พฤติกรรมติดเซ็กซ์ธรรมดาของ โจ เลยกลายพันธุ์ไปถึงขนาดติดความรุนแรงเจ็บเนื้อเจ็บตัว ดูไปก็สยองไป ไม่นึกว่าเจ้าเด็กน้อย บิลลี่ เอเลียต ที่เป็นขวัญใจของคนดูทั่วโลก จะกลายร่างมาเป็นหนุ่มหน้าสะอาดแต่เชี่ยวชาญในการเฆี่ยนตีทรมานหญิงสาวที่เสพติดความรุนแรงได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ฉากนี้นับว่า ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ทำได้ดีและสมจริง (มวกๆ) พอๆ กับฉากเฆี่ยนพระเยซูใน The Passion of the Christ หรือฉากเฆี่ยนทาสสาวในหนัง 12 Years a Slave เลยทีเดียวเชียว แต่ที่พิลึกพิลั่นกว่าคือตัวเหยื่อกลับมีความกระหายที่จะได้รับการลงทัณฑ์ และถึงจุดสุดยอดได้เพราะความเจ็บปวดนี้แหละ อั้ยย่ะ... เปล่าๆๆ ไม่ได้ยุยงส่งเสริมให้นิยมความซาดิสต์นะจ๊ะ ดูไว้เป็นความรู้ว่าอาการติดเซ็กซ์ขั้นรุนแรงจนกลายพันธุ์มาเป็น Masochism นั้น เป็นไปได้อย่างยิ่ง อย่าได้ลองทีเดียว เดี๋ยวติดหนับขึ้นมาอาจจะขึ้นหน้าหนึ่ง นสพ.หัวเขียวได้ใครจะรู้.... ความน่าสนใจชวนติดตาม ไม่ใช่แค่ฉากเซ็กซ์สารพัดสารพัน หากแต่เป็นไดอะล็อกบทสนทนาระหว่างตัวเอกที่โต้แย้งกันไปมา แซมการให้ความรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับเนื้อหนัง อย่าง Nymph ซึ่งเป็นที่มาของชื่ออาการทางจิต เรื่องบทประพันธ์ของเอ็ดการ์ อลัน โป ซึ่งเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตอย่าง Delirium ที่พ่อของ โจ เป็น หรือนิยายของ เอียน เฟลมมิ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับปืนวอลเธอร์พีพีเคที่เจมส์ บอนด์ใช้ แม้กระทั่งรายละเอียดของการเฆี่ยนตีซึ่งมีตำนานมาตั้งแต่ยุคโรมัน ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุพัวพันกับสถานการณ์ในเนื้อเรื่องทั้งสิ้น นับเป็นความรอบรู้และความขยันในการค้นคว้าของผู้เขียนบทโดยแท้ นอกเหนือไปจากความมีศิลปะในการสอดแทรก (ที่มิใช่สอดใส่) เนื้อหาน่าสนใจลงไปในเนื้อหนังได้อย่างวิจิตรพิศดาร ในมุมมองของ โจ ที่รู้ดีว่าตัวเองเป็นโรค นิมโฟเมเนีย ตั้งแต่สาวๆ จนเหมือนกับเธอไม่รู้จักความหมายของคำว่า รัก ถึงขนาดว่าเริ่มไม่มีความรู้สึกรู้สมกับการร่วมเพศกับสามี ทั้งๆ ที่กว่าจะได้อยู่ร่วมกัน ชะตากรรมพาให้เจอและพลัดพราก..พลัดพรากแล้วพบเจอ กันแบบหนังไท้..หนังไทยหลายครั้งหลายคราตั้งแต่ต้นเรื่องยันปลายเรื่อง ก็เพราะเธอเริ่มรู้จัก รัก แต่แล้วเธอก็เลือกที่จะทิ้ง"ความรัก"นั้นโดยเป็นฝ่ายไป ทิ้งลูกทิ้งผัวโดยไม่ใยดี และโดนออฟฟิศที่ตัวเองทำงานอยู่ส่งไปบำบัดทางจิตเข้ากลุ่ม Therapy โดยท้ายสุดเธอก็ไม่สนเชิดใส่หมอ หันมาเลือกทางชีวิตตัวเอง สรรหาที่จะเสพเซ็กซ์ใหม่ๆ ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น.. และยิ่งขึ้น ยอมลงทุนแม้จะต้องจ้างล่ามเพื่อติดต่อคนงานแอฟริกันนิโกรร่างล่ำเอามานอนด้วย ซึ่งเจ้าหมอนั่นก็ลากเอาพี่ชายตัวเองเข้ามาร่วมวงไพบูลย์สามคนผัวเมียกันอย่างวุ่นวาย ฉากนี้ตากล้องทำงานได้จะแจ้งชนิดไม่มีอะไรเม้ม ท่านผู้ชมที่ไม่ค่อยคุ้นกับขนาดอวัยวะอันมหึมาของคนดำที่กวัดแกว่งอยู่หน้าจออาจจะถึงขนาดกรี๊ดสลบ 555 ดูหนังเรื่องนี้ก็ต้องทำใจว่าจะต้องเจอกับภาพโคลสอัพของอวัยวะหลากแบบโผล่เข้ามาได้อย่างไม่มีจังหวะจะโคน เพราะมันเป็นการตัดต่อสไตล์ส่วนตั๊ว ส่วนตัว ของผู้กำกับ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ โดยแท้ นอกจากนั้นยังต้องพบกับการคร็อปภาพ (Crop) เปลี่ยนสัดส่วนของหนังบางช่วงให้เล็กให้ใหญ่ตามแต่อารมณ์ของแต่ละฉาก อย่างเช่นช่วงที่ Uma Therman แสดงเป็นสาวใหญ่พาลูกชาย 3 คน มาเล่นงานผัวตัวเองที่อพาร์ทเมนท์ของ โจ (ซึ่งเธอตีบทได้เจ๋งเลยทีเดียว ทั้งๆ ้บทพูดก็แสนยาก) ผู้กำกับก็จะใช้สัดส่วนของจอเล็กลงขนาดเหมือนหนังสารคดี แทนที่จะใช้เต็มจอกว้างแบบอนามอร์ฟิก หรือบางครั้งก็แปลงเป็นภาพขาวดำในบางฉากที่ต้องการอารมณ์ของอดีตอันหมองหม่น บางครั้งก็ซูเปอร์ตัวอักษร หรือลายเส้นทับลงบนภาพอย่างไม่เกรงใจคนดู กวนๆ มันซะงั้นแหละ.... มันสะท้อนยี่ห้อของ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ ไงล่ะ ผู้กำกับที่อารมณ์แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา..... ความรู้สึกเมื่อดูจบนั้น...บอกไม่ถูก มันมีอารมณ์บางอย่างกรุ่นๆ อยู่แล้วว่าในที่สุด อีตา Seligman คู่สนทนาของ Joe คิดอะไรอยู่ เพียงแต่การนำเสนอมันดูรวบรัดไปนิสนึง... ท่านผู้อ่านลองไปชมดู อยากรู้เหมือนกันว่าจะรู้สึกยังไง อย่างไรก็ดี ควรจะเลือกชมเวอร์ชั่นเต็ม (ที่ไร้การหั่นฉากเซ็กซ์) เพราะในบางประเทศจะได้ชม Nymph()maniac Volume 1 และ 2 ในเวอร์ชั่นธรรมดาที่ประดิษฐ์สำหรับโรงฉายทั่วไป การได้ชมฉากระดับฮาร์ดคอร์กันเต็มๆ นั้น ถึงจะได้อารมณ์ของคนทำหนัง และมันถึงจะเข้าใจพฤติกรรมบงการของตัวละคร สำหรับฉบับ 5 ชั่วโมงครึ่งซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลหนังเบอร์ลินปีนี้ เปิดฉายเฉพาะในเดนมาร์กบ้านเกิดของผู้กำกับภาพยนตร์เท่านั้น ข้าพเจ้าก็นึกตะหงิดๆ อยากชมอยู่ว่าจะต่างจากเวอร์ชั้นสองภาคนี้อย่างไร หนังเรื่องนี้พิสูจน์อะไรบางอย่างว่า ขณะที่ภาพในเรื่องแสนจะฮาร์ดคอร์ แต่ Nymphomaniac กลับต่างจากหนังโป๊ (Pornography) ทั่วไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกของคนดูไม่ได้ถูกบิลท์ให้เกิดอารมณ์อิโรติกทางเพศ ทั้งๆ ที่เกลื่อนไปด้วยฉากเซ็กซ์สารพัดรูปแบบและชัดเจนซะออกขนาดนั้น ทำให้เห็นได้ว่าการเล่าเรื่องเป็นส่วนสำคัญยิ่งของการทำหนัง ที่จะทำให้แนวเรื่องลากคนดูไปสู่จุดไหน จะให้เร้าใจตื่นเต้น ชื่นบานมีความหวัง หรือหดหู่เศร้าสร้อย หนังทำได้ทั้งนั้น ต่อให้ภาพนั้นโจ่งแจ้งโป๊แหลกขนาดไหน หากอารมณ์ของฉากนั้นๆ ไม่ได้นำพาไปสู่เป้าหมาย ความรู้สึกดังกล่าวก็ไม่บังเกิดผลต่อคนดู เนื้อหาของมันกลับมีผลมากกว่าภาพที่ปรากฏ ต่างกับหนังเรื่อง 9 Songs ของ Michael Winterbottom หรือ เรื่อง Romance ของ Catherine breillat ซึ่งทั้งสองเรื่องนั้นยังมีลีลาของความอิโรติกเย้ายวนมากกว่า และความรู้สึกที่สัมผัสได้ตลอดเรื่องคือ ความหดหู่ หรือ แรงกดดัน (Depression) ของตัวละครที่มีต่อชีวิตของตัวเอง สมกับที่เป็นเรื่องสุดท้ายของไตรภาค Depression Trilogy ของ ลาร์ส ฟอน เทรียร์ เป็นกระจกสะท้อนความเป็นตัวตนของผู้กำกับอย่างชัดเจน ดังที่ สเตซี่ มาร์ติน ผู้สวมบทบาท โจ ในวัยสาวได้ให้สัมภาษณ์เอาไว้
Create Date : 09 มกราคม 2558 |
Last Update : 9 มกราคม 2558 10:29:11 น. |
|
5 comments
|
Counter : 20162 Pageviews. |
|
|
ผมซื้อแผ่นมาแล้ว
แต่ยังไม่มีโอกาสหยิบมาดูเลย
มาอ่านรีวิวในบล็อกพี่หมีก่อนเลยครับ