1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28
Curse of The Golden Flower โศกนาฏกรรมครอบครัวตัวอย่างที่ Blood Diamond ยังไม่สยองเท่า
เพิ่งสยดสยองไม่หายจากพฤติกรรมล่าล้างชาติพันธุ์กันเองของเหล่า(อ)มนุษย์ในแอฟริกาในหนัง Blood Diamond พลันต้องมาตะลึงลานกับโศกนาฏกรรมอลังการของจางอี้โหมวที่สยดสยองไม่แพ้กัน ใน Blood Diamond บรรยากาศความเถื่อนของดินแดนไร้อารยธรรมดูจะไปกันได้ดีกับเนื้อเรื่อง แต่ในศึกชิงบัลลังค์วัง(ดอก)ทองนี้ ความวิจิตรเลิศหรูมหัศจรรย์ในราชสำนักจีนโบราณ ดูจะ Contrast กับกลิ่นอายความหฤโหดที่สาดกระเซ็นด้วยเลือดเนื้อและความอาฆาตแค้นของคนในราชวงศ์เดียวกัน โชคดีที่ยังไม่ได้ดู The Banquet และก็ยังไม่ได้รับรู้ละครโศกนาฏกรรมของเชคสเปียร์ เพราะฉะนั้นคงไม่มีเกร็ดของเรื่องราวมาเปรียบเปรย หากจะวิพากษ์ถึงเฉพาะผลงานของเฮียจางตะแกคนเดียว ด้วยอาศัยที่เป็นแฟนพันธุ์ผสมของเฮียมาอย่างเหนียวแน่นตั้งแต่ Judou, Raise the Red Lantern, Not One Less หรือ Road Home ซึ่งสองเรื่องแรกยังเป็นสมัยที่กงลี่ยังเป็นศรีภรรยาผู้กำกับ ในความเรียบของเรื่องยังคงด้วยดราม่าอันเข้มข้น สองเรื่องหลังดูจะเป็นแนว Realistic กว่า โดยเฉพาะ Note One Less ที่แทบจะเหมือน Reality Show หากแต่หลังจาก Hero อลังการงานสร้างตามแนวตลาดหนังกำลังภายในแล้ว จางอี้โหมวดูจะกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ตามกระแสทุนนิยมที่เริ่มถาโถมเข้ามาในจีน เขาพูดถึงหนังเรื่องล่าสุดของเขาประหนึ่งเป็นสงครามแย่งชิงคนดูจากกระแสหนังฮอลลีวู้ดที่เข้ามาคุกคาม ..ทำอย่างไรก็ได้ให้คนจีนกลับมาดูหนังจีน...น่าคิดจริงๆ รัฐและนายทุนบ้านเราเคยมีทัศนคติขนาดนี้ไหม... และเขาก็ประสบความสำเร็จไม่น้อยในการผสมผสาน Commercial กับ Artistic Value ของตัวเขาเองได้ระดับที่น่าพอใจไม่น้อย โดยเฉพาะรายได้จากการเปิดตัวแบบถล่มทลายในประเทศจีน แว่วๆ มาบ้างว่านักวิจารณ์ฝาหรั่งออกมาบ่นในเชิงผิดหวัง ก็แน่ละ..หนังเรื่องนี้วัตถุประสงค์หลักเขาหวังจะให้คนจีนในประเทศเขาดูเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องแนวน้ำเน่าแฟนตาซีในวังหลวงกับฉากอภิมหา...วินาศสันตโรของกองทหารนับหมื่นที่ฟาดฟันกันกระจายท่ามกลางดงดอกไม้สีทองอร่ามในวังอันวิจิตร จึงไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ... อดนึกย้อนมาถึงตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชของเรามิได้ ก็คงเข้าข่ายทำนองเดียวกัน เป็นหนังที่เหมาะกับคนไทยดู จึงจะเข้าใจ ไปให้ฝรั่งมังฆ้องดูก็คงมึนตึ้บหัวทิ่มไปเป็นแถวๆ เพราะไม่ได้มีแบคกราวนด์ด้านประวัติศาสตร์มาเหมือนเราๆ ชาวสยามประเทศ ขนาดคนไทยเองก็เถอะ..ถ้าไม่ได้ดูสุริโยทัยมาก่อนก็อาจต่อไม่ติด ยังไงก็ยังอดชมมิได้ว่าเฮียจางของเราได้คว้าบทจากละครเรื่องเด่นมาขยายใจความได้อลังการสมใจนึก เลยไม่แปลกใจอีกเช่นกันว่าทำไมเรื่องมันดูละค้อน ละคร....ดราม่าแนวโศกนาฏกรรมแบบนี้เหมาะจะอยู่บนเวที เพราะมันหวือหวาด้วยเนื้อเรื่องและแรงด้วย Acting ที่เด่น ถ้าหากอยากจะทราบแนวเนื้อเรื่องและบุคลิกตัวละครเพิ่มเติม แนะให้ไปอ่านจากบล็อกคุณ ผมอยู่ข้างหลังคุณก่อน ก็จะเข้าใจดีมากขึ้น เพราะบล็อกนี้จะพูด (สปอย) ในแง่มุมของการสร้างซะมากกว่า ฉากภายในพระราชวังที่เลิศหรูด้วยเสาแก้วสีรุ้ง และลวดลายสีสันอันจัดจ้าน (แบบไชนีสนิยม) บ่งบอกทุนสร้างและความประณีตของทีมงาน หากแต่โครงสร้างของฉากดูจะวนเวียนกับทางเดิน (ราวกับเขาวงกฎ) ในวังชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูก ดูไปดูมาเหมือนกันหมด คิดอยู่ว่าในชีวิตจริงถ้าต้องไปอยู่ในวังสีสันเหมือนโรงงิ้วขนาดนี้สักเดือนนึง คงดิ้นกระแด่วๆ ตายไปเอง ไม่ต้องแอบมาวางยาพิษเหมือนฮองเฮา วิธีการถ่ายทำด้วยสไตล์การใช้เลนส์เทเลโฟโต้ เป็นส่วนใหญ่ทำให้ความแกรนด์ของฉากมันหายไปกลายๆ เฮียจางแกคงคิดถึงการตัดต่อแบบฉับไวของแกไว้ในหัว เลยตัดสินใจออกมาในรูปนี้ แถมด้วยสไตล์การตัดแบบ jump cut พิกล เหมือนช่วยลัดเวลาแอ็คชั่น แต่ให้ความรู้สึกว่ามันผิดสไตล์ของหนัง อยากเก๋ผิดกาลเทศะ..ว่างั้น พูดถึงการตัดต่อ..บอกตามตรงว่าอินเตอร์คัทกลับไปกลับมาของสองเหตุการณ์ตอนต้นเรื่องทำในเวียนหัวพอสมควร ทั้งๆ ที่หนังน่าจะเริ่มต้นด้วยจังหวะช้าๆ และดูคลาสสิกกว่านี้ ให้คนดูได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอลังการของราชวัง และลีลาของเหล่านางสนมนมเนยทั้งหลายทั้งปวงจนช่ำซะก่อน แล้วค่อยๆ คืบเข้าหาความลึกลับพิศวงของเรื่องราว นี่เฮียจางแกเล่นหั่นฉับๆๆๆ พร้อมกับดนตรีจากวง Philharmonic บวกกับวงประสานเสียงนับร้อย ..โฮ โห่ โฮ้...มาแต่ไกล เล่นเอาเก้าอี้โรงหนังกระเด้งเป็นระยะ... นึกถึงการถ่ายภาพของวิตตอริโอ สโตราโร่ ในหนัง The Last Emperor ซึ่งดูขลังและประณีต สไตล์นั้นดูน่าจะเหมาะในการสร้างบรรยากาศมากกว่า แต่เอาเถอะ..ในฐานะไชนีสนิยม สีสันก็ต้องแสบสันต์ แถมด้วยชุดอันอลังด้วยทองอร่าม....มันก็ต้องถ่ายกันให้กระจ่างตากันจะจะ สะใจในความหรูรวย พอจะเดาได้... น่าเสียดายก็อปปี้ฟิล์มที่นำมาฉายในโรงของเอสปลาหนาดนั้น คอนทราสจัดจนทำลายสุนทรีย์ของภาพที่อุตส่าห์ถ่ายทำมาอย่างประณีตจนหมดสิ้น...เฮ้อ..นี่แหละน้า แล็บเมืองไทย เกรนขึ้นจนยุ่บไปทั้งเรื่อง ลีลาการแสดงของกงลี่เชือดเฉือนกับพี่โจวได้ถนัดถี่สมน้ำสมเนื้อ หากแต่บทที่ต้องประชันกันกลับมีน้อยจนน่าแปลกใจ บทส่งให้ฮองเฮาเป็นตัวเดินเรื่อง จึงดูแล้วจะเข้าใจในอารมณ์เบื้องลึกของเธอมากกว่าใคร ส่วนราชบุตรเจโชว์ก็พอเอาตัวรอดจากการเคี่ยวของผู้กำกับ หากแต่ยังห่างชั่วโมงบินอยู่มาก ส่วนฮ่องเต้โจวเหวินฟะ เล่นได้มาตรฐานก็จริง แต่บทกลับไม่เปิดโอกาสให้ได้เห็น subtext ที่ซ่อนอยู่มากนัก โดยเฉพาะตอนจบ..เหมือนกับเขาไม่รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป...ทำลายครอบครัวตัวเองจนย่อยยับ ซึ่งถ้าทำให้เห็นตรงนี้ ตัวละครฮ่องเต้ก็จะดูมีความลึกและน่าสงสารมากขึ้น ไม่ใช่เป็นมารร้ายแบบนี้...(ต่อไปนี้จะเริ่มสปอยไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่ได้ดูหนังจะข้ามไปก็ได้จ้า..) ฮองเฮากงลี่ดูเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่ถูกกดขี่มาแต่ปางก่อน ขนาดตำแหน่งเธอคือราชินี แต่กงกรรมกงเกวียนลากให้เธอต้องมาพบจุดจบที่เลี่ยงไม่ได้อย่างน่าอนาถ ทุกคนในเรื่องดูจะต้องยอมรับชะตากรรมที่ผูกกันมา ไม่ว่าราชบุตรเจโชว์ที่รู้อยู่แล้วว่าปฏิวัติก็ไม่รอด ฮองเฮากงลี่ที่มองไม่เห็นว่าทางออกอยู่ตรงไหน แต่ก็ต้องกระทำอะไรสักอย่างเพื่อความอยู่รอด..แต่จะรอดหรือเปล่า อีกเรื่องหนึ่ง...ซึ่งตรงนี้จะเป็นประเด็นให้คนดูสงสัยไม่น้อยในช่วงจบว่าทำไมทั้งฮองเฮาและราชบุตรยังพยายามทำตามแผนต่อ ทั้งๆ ที่รู้ว่าความลับรั่วไหลแล้ว นั่นเพราะสไตล์ของละครแนวโศกนาฏกรรม หรือ Tragedy จะสร้างแรงผลักดันให้ตัวละครยอมรับชะตากรรมของตนเอง เพราะรู้อยู่ว่ายังไงก็ไม่มีทางเลี่ยง ..แลกหมัดไปเรยดีฝ่า..ว่างั้น หากแต่แรงจูงใจของบทที่จะทำให้คนดูเห็นเบื้องลึกที่ซ้อนอยู่ชัดเจนแค่ไหน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง จึงไม่ค่อยแปลกใจในคอมเมนต์ของบางคนที่พูดถึงความเป็นเมโลดราม่าในเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นที่โน่นที่นี่อย่างดูไม่สมเหตุผล แล้วต้องมาโยง Motive กันเอง จางอี้โหมวคงต้องแบ่งน้ำหนักของฉากดราม่า กับแอ็คชั่น และความยิ่งใหญ่อลังการให้ลงตัว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จากส่วนผสมเท่าที่เห็น..เราก็พอใจพอสมควร น่าเสียดายที่ตอนจบทำให้ฮองเฮากงลี่และราชบุตรเจย์โชวต้องมาพบชะตากรรม (ตามสูตร) แบบนั้น โดยที่อีตาฮ่องเต้ทำหน้าเหมือนไร้อารมณ์ (แกมสะใจนิดๆ) เราเลยนึกสาปแช่ง (ผู้กำกับ) อยู่ในใจ ทั้งๆ ที่บทพยายามใส่อารมณ์ความเป็นคนของฮ่องเต้ให้เห็นมาก่อนในช่วงที่ต้องเผชิญหน้ากับเมียเก่า และความเสียใจเมื่อลูกคนโตต้องตายไป ฯลฯ ว่าไปคนดูอยากจะเห็นผลกรรมที่ฮ่องเต้สั่งสมไว้ แต่เรื่องกลับจบที่ชะตากรรมของฮองเฮา ผู้หญิงที่ถูกกดขี่มาตลอด (แปลกนะ เรากลับรู้สึกให้อภัยที่หล่อนแอบเป็นชู้กะลูกเลี้ยง) แถมฮ่องเต้ตัวร้ายก็ยังคงลอยหน้าจัดงานฉลองดอก(ไม้)ทองต่อไปอย่างกระหึ่ม ถึงจะไม่ปลื้มมากเท่าอภิปรัชญามหาสัญลักษณ์แบบ Hero แต่โศกนาฏกรรมครอบครัวตัวอย่างเรื่องนี้ก็เป็นส่วนผสมของดราม่า..อลังการ..และความเป็นจางอี้โหมวได้ดีทีเดียว โดยได้สิ่งที่มีคุณค่าของหนัง..คือ ข้อคิด ข้อเตือนใจบางประการ ติดสอยห้อยตามออกมาจากโรง ก็นับว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2550 16:27:03 น.
3 comments
Counter : 3172 Pageviews.
โดย: cybrarian วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:22:21:48 น.
โดย: มะดัน (พ่อดอกมะดัน ) วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:5:14:35 น.
โดย: Bkkbear IP: 124.120.204.29 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:10:04:25 น.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต