Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
6 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
แปลกดี..หนังเพลงมาชุมนุมกันโดยมิได้นัดหมาย Sweeney Todd+Across The Universe+Enchanted




อยู่ดีๆ ฤดูกาลหนังเพลงเกิดมาฮอตฮิตในแบงคอกไทยแลนด์..ชนกันให้เปรี้ยงปร้าง...

เบิกโรงด้วย Across The Universe หนังเพลงที่ร้อยเรียงจากเพลง 34 เพลงของ The Beatles กลายมาเป็นเรื่องเป็นราวมีตัวละครที่ใช้ชื่อตามเพลงกันได้อย่างเป็นตัวเป็นตน...

ดูเหมือนจะกลายเป็นเทรนด์ของมิวสิคัลยุคนี้ยังไงไม่ทราบ ละครเพลงสมัยใหม่หมดน้ำยาแล้วหรือกระไร พากันเอาเพลงเก่าศิลปินมาโม่ใหม่หากินกันได้เป็นเรื่องเป็นราว เริ่มตั้งแต่ Mamma Mia ที่นำเพลงของ Abba มาร้อยเป็นเรื่องทำมาเป็นละครบรอดเวย์ดังระเบิดเถิดเทิงไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา (และได้กลายเป็นเวอร์ชั่นหนังเรียบร้อยโรงเรียนฮอลลีวู้ดไปแร้ว..คงได้ดูเร็วๆ นี้)

ตามด้วยอีกสารพันศิลปินตั้งแต่ All shook up ที่นำเพลงเอสวิสมาทำ ไปจนถึง Daddy Cool ที่นำเพลง Boney M ซึ่งดังระเบิดในยุค 70 มายำเป็นมิวสิคัลเรื่องใหม่ในเวสต์เอนด์ขณะนี้ แต่จะดูสนุกลื่นไหลแค่ไหนต้องถามไฮโซขามิวสิคัลทั้งหลายที่มีโอกาสบินไปดูกันเองนะจ๊ะ

ส่วน Across The Universe นั้นเล่าเรื่องได้น่าทึ่งไม่เลวเลยทีเดียวจากเพลงของ Beatles เอามาร้อยเป็นพล็อตกล่าวถึงยุคสมัยแสวงหาในปี 1960 (ตามยุคของเพลงนั่นแหละ) ที่หนุ่มสาวต่างพยายามไขว่คว้าหาแนวทางชีวิตของตนเอง เห็นความขัดแย้งของสงครามเวียตนามกับชุมชนชาวฮิปปี้ที่แสวงหาสันติในชีวิต (กับกัญชาและ LSD?)

ต้องยอมรับอยู่อย่างว่าฝรั่งมันช่างคิดช่างประดิษฐ์ สามารถเอาเพลงมาตีความสร้างสไตล์ขึ้นให้กับหนังได้อย่างกลมกลืนไม่น้อย ถึงแม้จะมีตัวละครที่เบลอๆ ไม่ชัดเจนอยู่หลายคน แต่อาศัยกรรมวิธีในการใช้เพลงพาผู้ชมผ่านยุคสมัย เหตุการณ์ และบรรยากาศในอดีต ทำให้หนังมีเสน่ห์อยู่ไม่น้อย





ที่แน่ๆ คือ เพลงเพราะๆ ของ Beatles ช่วยให้เรื่องราวมีสีสันชวนติดตามขึ้นอีกเยอะ แต่ก็บอกตามตรงว่าเราชอบเพลงยุคแรกๆ ของเขาเท่านั้นแหละ เพลงยุคหลังๆ ตั้งแต่เริ่มพี้กัญชา บ้าแอลเอสดี (ยาเสพติดยอดฮิตในยุค 60-70) เพลงของคุณท่านทั้งหลายก็เริ่มเซอร์ล่องลอย (เหมือนกราฟฟิกแบบไซคาเดลิคที่เห็นในหนังแหละ) หลุดโลกไปไหนไม่ทราบ ซึ่งคิดว่าน้องๆ รุ่นนี้คงเง็งไปพอควรกับฉากช่วงฮิปปี้บันเทิงเหล่านั้น และเผลอๆ เป็นซีนที่ออกจะล้นๆ เกินๆ อยู่

ถึงแม้จะมีอารมณ์คล้ายๆ มิวสิควิดิโออยู่ไม่น้อย แต่ก็ร้อยเรียงได้เป็นเรื่องเป็นราวชวนติดตามอยู่ ฝรั่งมันเก่งเรื่องสไตล์อยู่แล้ว เลยมีฉากที่โชว์ Art direction ที่ตื่นตาอยู่เพียบ รวมไปถึงยังมีแขกรับเชิญดังๆ อย่างนักร้องตำนาน Joe Cocker หรือ Bono แห่ง U2 รวมไปถึงแม่ซัลม่า ฮาเย็ก แอบๆ มาทำท่าเซ็กซี่แบบกราฟฟิกในชุดพยาบาล

ไม่ว่าจะเป็นแฟนเพลง Beatles หรือไม่ ก็ไปดูเถอะ คุ้มค่ากว่าไปเสียเวลากับหนังตลาดๆ ที่ดาษดาอยู่เกลื่อนเมือง..

ถึงแม้อาจจะต้องตะหงิดๆ อยู่บ้างกับคำแปลบทเพลงที่เขียนไปคนละทางสองทาง ไม่นึกถึง Theme ของแต่ละเพลงบ้างเรยหรือกระไร...

......................................................................................................





ส่วนหนังเพลงแนวสยดสยอง Sweeney Todd นั้น ยังคงสไตล์อึมครึมซกมกแบบ ทิม เบอร์ตัน ไว้อย่างครบถ้วน มู้ดเดิมๆ ที่เคยได้จาก Batman หรือ Animation อย่าง Corpse Bride ยังคงมีครบถ้วน หากแต่เพิ่มความสยองแบบเลือดสาดชนิดถี่ยิบ ดูจบเรื่องแล้ว แอบเผลอลูบหน้าตัวเองว่ามันกระเด็นมาติดหน้าหรือเป่าเนี่ย...

ที่กลุ้มคือ ฉากปาดคอนั้นถูกเซ็นเซ่อร์ด้วยโมเสกอย่างเสียอารมณ์ (ซาดิสต์)ไปไม่น้อย (ยังไม่รวมขวดเหล้าบ้าบอ) วิธีการเซนเซอร์แบบนี้กลับกลายเป็นการเน้นสาระที่อยากจะหลีกเลี่ยงไปซะงั้น ไม่รู้ว่าใครปัญญาอ่อนกันนิ...

อ้าว ดันไปสปอยล์ซะตั้งแต่ยังไม่ทันเล่าเรื่อง..เหอๆๆ

Sweeney Todd นั้นโด่งดังมาตั้งแต่ปี 80 ในนามของบรอดเวย์มิวสิคัล เพลงนั้นประพันธ์โดย Stephen Sondheim นักแต่งเพลงมิวสิคัลชื่อดังชาวอเมริกัน (ใครเคยดู West Side Story คงคุ้นเคยกับงานของเขาอยู่บ้าง) ดูเป็นละครเพลงที่ฉีกแนวเอามั่กๆ จากภาพพจน์สนุกสนานเริงร่าของละครเพลงกลายมาเป็นละครฮาร์ดคอร์สยองขวัญ

จริงๆ แล้วโปรเจ็กนี้มีผู้กำกับหลายคนสนใจอยู่ ตั้งแต่ Alan Parker ไปจนถึง Sam Mendes ซึ่งยอมลงทุนพัฒนามันอยู่หลายปี และอยากให้ Sondheim มาเขียนบท แต่แล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเขียนมันซะงั้น โปรเจ็กก็เลยคาราคาซัง จนกระทั่ง Sam Mendes กระโดดไปกำกับ Jarhead แทน

ส่วน Tim Burton นั้นเพิ่งจะอกหักมาจากโปรเจ็ก Ripley’s believe it or not เพราะมันบานปลายมโหฬาร ก็เลยกระโดดเข้ามารับหน้าเสื่อซะ เราก็เลยได้ชม Sweeney Todd ฉบับสยองหยำเหยอะเหนอะๆ มืดๆ เหมือนหนังขาวดำเช่นนี้แล





หนังเพิ่งได้รับรางวัลลูกโลกทองคำสาขามิวสิคัลมา พร้อมดารานำยอดเยี่ยม คือ จอห์นนี่ เด็ปป แต่แรกก็แปลกใจว่าตาจอห์นนี่เนี่ย ร้องเพลงเป็นด้วยเหรอ ทั้งๆ ที่บทเพลงในหนังเรื่องนี้ก็แสนจะปราบเซียน เต็มไปด้วยคำร้องที่ถี่ยิบ แถมทำนองก็ขึ้นๆ ลงๆ ไม่เป็นกระบวน (ตามสไตล์สติแตกแบบซอนด์ไฮม์..เหอๆ) แต่ก็น่าทึ่งที่คุณท่านก็ร้องได้ผ่านอย่างน่าชมเชย

ซึ่งแต่แรกเดปป์ก็กังวลอยู่ว่าจะร้องได้ดีแค่ไหน แต่อาศัยความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น...ช่วงเวลาที่ถ่าย Pirate อยู่ ตูก็ซ้อมๆๆๆ จนกระทั่งมันเข้าฝัก ส่วนแม่นาง(ร้าย?) เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ ศรีภรรยาผู้กำกับ ก็มีความพยายามสูงลิ่วเช่นกัน ยอมเข้าคอร์สกว่าสามเดือน ฝึกร้องเพลง ปสด.นี้ได้คล่องปาก ขณะที่มือไม้ก็ต้องทำพายไปด้วยในเวลาเดียวกัน เฮ้อ เก่งซะไม่มี...

ในแง่มุมการแสดง เรากลับไม่ค่อยปลื้มตาเดปป์แฮะ อาการเซอร์ๆ หลุดๆ เนี่ย ดูเป็นบทที่คุ้นกับบุคลิกเขาอยู่แล้ว ไม่เห็นความแตกต่างที่โดดเด่น เอาเถอะ ยังไงก็ดีกว่าบทโจรสลัดแอ๊บแมน 5555 ส่วนแม่เฮเลน่า คู่ขาก็มาแนวเดียวกัน เพราะหล่อนถนัดอะไรเพี้ยนๆ อยู่แร้วว..

แล้วหนังก็เปิดเรื่องแบบห้วนๆ ให้คนดูจิ้นเอาเองว่า ตาเดปป์เนี่ยหลุดรอดชะตากรรมกลับมาได้ (ด้วยวิธีอะไรก็มิซับซาบ) แล้วก็ flash back กลับไปให้ดูต้นสายปลายเหตุว่าทำไมถึงถูกซ้อม..เมียโดนฉุด แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ว่าทำไมตาเดปป์ถึงต้องกลับมาด้วยสภาพเซอร์หน้าขาวราวละครโนะ ต่างกับสมัยอยู่กับเมียราวฟ้ากะเหว....

ไม่อยากเล่าเรื่องราวให้เสียรส เชิญไปชมกันเองเถอะ.. สมควรไปดูซะ จะได้เห็นว่าหนังเพลงแนวโหดๆ เนี่ย มันก็ทำได้เหมือนกัน ตัวเนื้อเรื่องก็ช่างเหลือกำลัง ทำไมมันซาดิสต์ได้ใจอะไรจะขะไหนหนาด... เราก็บ่นๆ ว่าสงสัยดีตาซอนด์ไฮม์เนี่ย มันต้องเป็น S&M โดยกำเนิดเป็นแน่แท้ เพื่อนผู้เชี่ยวชาญด้านมิวสิคัลที่ไปดูด้วยบอกว่า เรื่องเดิมมันเป็นหนังสือแล้วแปลงมาเป็นละครพูดก่อนจะมาเป็นมิวสิคัลจ้า ..อะนะ..แล้วใครหนอช่างคิดได้ว่าเอาเรื่องปาดคอมาทำเป็นเพลง เหอะๆๆ

จากการย่นย่อละครเพลงร่วม 3 ชั่วโมง ให้กลายมาเป็นหนัง 2 ชั่วโมงเนี่ย เพลงบางเพลงจึงต้องอันตรธานไป และบางเพลงก็ถูกดัดแปลงไปบ้างตามระเบียบ..

เหมือนกับที่ชื่นชมในสไตล์ของ Across The Universe เรื่องนี้ก็เช่นกัน Sweeney Todd โดดเด่นด้วยสไตล์การออกแบบงานสร้าง และการนำ CG มาใช้ได้อย่างเนียนเข้ากับเรื่อง แต่ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่า หนังของทิม เบอร์ตันนั้น มันไม่ชวนสบายตาในการชมสักเท่าไร ถ้าหวังว่าจะได้ชมหนังเพลงรื่นเริงบันเทิงใจ ก็ขอให้คิดดูอีกที...

.................................................................................................





ปิดท้ายด้วยหนังดิสนีย์แนวเอาใจวัยรุ่นโดยเอานิทานการ์ตูนมาผสมกับคอมเมดี้แนวหลุดโลก??...

ไหนๆ ก็ประสบความสำเร็จกับการ์ตูนเจ้าหญิงเจ้าชายมาเยอะแยะ ทำไมจะขยายตลาดจากกลุ่มเป้าหมายเด็กๆ มาเป็นหนุ่มๆ สาวๆ มั่งไม่ได้

เจ้าหญิงในการ์ตูน เลยได้มีโอกาสกลายมาเป็นตัวตนจริงๆ กันคราวนี้….หนัง Enchanted เลยกลายเป็นขนมผสมน้ำยาระหว่างการ์ตูนกับ life action เช่นนี้นี่เอง

และตามสไตล์การ์ตูนดิสนีย์ เพลงคือสิ่งสำคัญในการเล่าเรื่อง หากแต่ท้ายๆ กลับมัวไปสนใจกับความเป็นดราม่าคอมเมดี้ของเรื่อง เลยกลายเป็นว่า..เพลงนั้นหายไปเฉยๆ (เง็งฟระ..)

ยังดีที่มีเพลงพ็อพเอาใจคนดูมาแปะไว้หน่อยในงานเต้นรำ (ดันบอกว่าเป็น Waltz for King and Queen อะไรสักอย่าง แต่จังหวะไปคนละเรื่องเดียวกัน..5555)

เสียดายแม่นางเอก Amy Adams หน้าเฮือกอยู่ไม่น้อย ยังมึนอยู่ว่าหล่อนกลายมาเป็นเจ้าหญิงในการ์ตูนได้อย่างไร... เอาเถอะ เธอก็เล่นบทเจ้าหญิงติงต๊องได้ไม่เลวอยู่ แล้วก็เข้ากับหน้าเฮือกๆ ของพระเอกได้พอกล้อมแกล้ม..





มุกเรียกสัตว์มาช่วยทำงานบ้าน (เหมือนในการ์ตูนเนี่ย) ก็น่ารักดีอยู่หรอก หากจะดีมากถ้าไม่เรียกแมลงสาบ (อื๋อยย) เข้ามาร่วมวงด้วย แหวะมั่กๆ...หนังสมัยนี้มันอารายของมาน อยากจะแนว..อยู่เรื่อย ไม่ดูตาม้าตาเรือ ยิ่งตอนนกพิราบจิกแมลงสาบเอาไปกินตอนจบเนี่ย เหวออ.. (เด็กนักเรียนกรี๊ดกันทั้งโรง..5555)

ผลงานเพลงของ Alan Menken กับ Stephen Schwartz เนี่ย ก็น่าฟังอยู่หรอก หากแต่ไม่ได้ไพเราะติดหูมากมาย จะมีเพลงช่วงกลางเรื่องที่ร้องในสวนสาธารณะ ที่ดูบันเทิงใจช่วยเก็บบรรยากาศมิวสิคัลไว้ได้หน่อย (มีแค่เพลงเดียวจริงๆ)

เสียดายฉากจบที่นังแม่มดกลายร่างกลายเป็นมังกร(หน้าน้องหมา) กลับทำได้ไม่ไคลแมกซ์เท่าที่ควร คงอยากเลียนอารมณ์การ์ตูน Sleeping Beauty กระมัง (หากดูไปก็ยังงงๆ อยู่ว่าเจ้าชิปมั้งตัวนั้นมันทำยังงายอะ...อิอิ..ไปดูเอาเองเน้อ..แล้วมาเล่าให้ฟังด้วย)

หนังประสบความสำเร็จในแง่การตลาดได้ตามสูตร... หากแต่ข้าพเจ้าแอบงีบไปเล็กๆ ตอนต้นเรื่องช่วงที่โผล่มาในนิวยอร์ค แหะๆ …

และสังเกตว่า เสียงฮือฮา จากกลุ่มน้องๆ นักเรียนในรอบนั้น ออกจะซาๆ ไปในตอนท้ายๆ เรื่อง... นี่แหละนะ ปัญหาช่วงจบของหนังที่ไม่เร้าใจอย่างที่ควรจะเป็น...





Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2551 10:25:58 น. 5 comments
Counter : 1982 Pageviews.

 
หนังของฮอลลีวู้ด เค้าทำเพื่อให้คนซื้อแผ่น สะสม ไว้ดูได้นานๆ
เรื่องไหนดังติดลม ก็เอามาทำ ละคร บรอดเวย์


โดย: อินทรีทองคำ วันที่: 6 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:02:53 น.  

 
เราไปดู Sweeney Todd มาแล้ว สำหรับชอบมากเลยอ่ะ ติดตรงไอเซนเซ่อนี่ล่ะที่ทำเสียอารมณ์อย่างมาก เฮ่อ


โดย: เมษ์ (Jamekung ) วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:1:56:19 น.  

 
เรื่อง Sweeney อะนะพี่ รู้ตั้งแต่ก่อนเข้าไปดูแล้วว่ามันจะมีเซ็นเซอร์ เพราะเพื่อนเล่าใหัฟัง (และด่า) เราก็เออออห่อหมกสมทบสำทับตามไปด้วย ประมาณว่า ...เออเนอะ ไม่น่าเลย แหมหยั่งงั้นหยั่งงี้เลยเนอะ...บลา บลา บลา...

พอได้เข้าไปดูจริงๆ แล้วนะคุณพี่ หวายยยยยยยยย ดีแล้วล่ะ เพราะขนาดโดนเซ็นฯ แล้ว มันยังโคตรเสียวเลยเพ่ อะไรมันจะโหดขนาดน้านนน เดินออกจากโรงแบบว่าจิตหลอนเล็กน้อยถึงปานกลาง แบบส่วนตัวรู้สึกว่า extremely violent นะพี่

ดูจอห์นนี่แล้ว ก็อดนึกเปรียบเทียบกับ Edward Scissorhands สมัยฮียังเอ๊าะๆ ไม่ได้ ว่าไปบทมันก็คล้ายๆ กันนะ ในแง่ความแปลกประหลาดของแคแรคเตอร์ แต่เป็นภาคขาว กับภาคดำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สรุปแล้วก็ชอบเฮียเขามั่กๆ ทั้งสองเรื่องนี้แหละ

อ่านจากไหนไม่รู้ จำไม่ได้แล้วว่า จอห์นนี่ ไม่ยอมเข้าคอร์สร้องเพลงก่อนเล่นหนังเรื่องนี้ด้วย (นิตยสาร Entertain หรือเปล่า ไม่แน่ใจ จำผิดก็ขอโทษที) เล่นเอาทีมงานใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ไปตามกัน เพราะเจ้าตัวไม่เคยร้องเพลงมาก่อน แต่พอส่งเดโม่ให้ ผกก. กับโปรดิวเซอร์ (หรือซอนด์ไฮม์?) ฟังแล้ว พออกพอใจกับเสียงร้องเลยทีเดียว

I want my vengeance, I want salvation.... (มั่วๆ เอา จำได้แค่นี้แหละ)


โดย: นู๋ปรี IP: 203.107.168.68 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:09:25 น.  

 
มีคนบอกว่าได้ดูฉบับไม่เซ็นเซอร์..ปรากฎว่ารู้สึกงั้นๆ ..ไม่ยักกะหวาดเสียวเหมือนอีตอนเซ็นไปแระ

แสดงว่าคนดูต้องจินตนาการไปเองอีกมากมายจากกระเซ็นเลือด จากสีหน้าสีตาของเหยื่อ และหน้าประสาทๆ ของอีตาเด็ปป์ ..พาลหวาดเสียวเกินจริงไปอีก

นี่แหละหนอ เซ็นเซอร์กลับให้ผลที่ตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจ..

รู้สึกจอห์นนี่ เดปป์เนี่ยเคยตั้งวงอะไรสักอย่างมาก่อนนะ จำไม่ค่อยได้ ..


โดย: พี่หมี (Bkkbear ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:30:07 น.  

 
ชอบทกๆๆๆๆๆๆๆๆเรื่องเยยยย


โดย: ส้มแม่ซีน IP: 58.9.87.222 วันที่: 7 มกราคม 2553 เวลา:15:45:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.