เพิ่งอ่านบล็อกของพี่สิน yyswim ที่เล่าถึงหนังเพลงดังๆ ในอดีต ก็เลยพาลนึกไปถึงตอนอายุสักสิบขวบที่ตอนนั้นหนังเพลงอมตะนิรันดร์กาล The Sound of Music หรือในชื่อไทยว่า มนต์รักเพลงสวรรค์ กำลังมาลงโรงในกรุงเทพพระมหานคร โดยตัวเองนั้นก็มิได้ประสีประสาอะไรนักว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดังมาแค่ไหนประการใด
หากแต่คุณพ่อเป็นคนช่างสะสมแผ่นเสียงเพลงหนังเพลงละครตั้งแต่ยังเป็นแผ่นครั่งหนังเสียงศรีกรุง ก็เลยได้แผ่นลองเพลย์ไวนิลของ The Sound of Music มาฟังก่อนที่หนังจะเข้าเสียอีก ก่อนหน้านั้นก็มีแผ่นของหนังเพลงอลังการอีกเรื่องหนึ่ง คือ South Pacific ซึ่งฉันก็ฟังพอผ่านๆ เข้าหูอยู่บ้างไม่กี่เพลง ด้วยเหตุที่เด็กเกินกว่าจะได้ทันดูหนัง
The Sound of Music ได้มาลงโรงที่โรงภาพยนตร์กรุงเกษม (เดี๋ยวนี้หาซากไม่เจอแล้ว อยู่เยื้องๆ หัวลำโพง มีคลองผดุงกรุงเกษมคั่นกลาง) ซึ่งจริงๆ แล้วยุคนั้นโรงหนังกรุงเกษมก็มิได้อู้ฟู่อะไรนักหนา หากแต่มนต์รักเพลงสวรรค์เป็นหนังใหญ่ที่จะมาเบิกโรงโฉมใหม่ของกรุงเกษม จึงมีการ ปรับปรุงภายในโรงครั้งสำคัญ ตั้งแต่จอใหม่ใหญ่ยักษ์เทคโนโลยีใหม่ล่าสัตว์จากฮอลลีวู้ด ดีไซน์รูปโค้งเป็นพิเศษสำหรับฟิล์มระดับ 70 มม. 6 ร่องเสียง พร้อมระบบเสียงสเตอริโอใหม่ทั้งโรง ส่วนที่นั่งก็ทำเป็นเชิง Stadium อยู่หน่อยๆ นั่งกันชันๆ เหมือนอยู่บนอัฒจรรย์ไม่บังกันดี
ซึ่งในยุคนั้นก็ยังมีการพัฒนาระบบ Cinerama คือการฉายพร้อมกันสามเครื่องฉายไขว้กันไปมา ทำให้มิติของภาพกว้างกว่าปกติ จำได้ว่าดูหนแรกที่ศาลาเฉลิมไทย ไม่แน่ใจว่าเรื่อง How the west was won หรือเปล่า แต่จำได้ว่า ภาพบนจอยักษ์นั้นจะเห็นรอยต่อของฟิลม์จากสามเครื่องฉายอยู่ลางๆ แต่หลังๆ นั้นระบบซีเนราม่านี้ได้พัฒนามาเป็น Single lens คือใช้เครื่องฉายเดียวในที่สุด
ว่าจะคุยเรื่อง The Sound of Music ดันออกทะเลไปซะเล็กน้อย ปีนั้นคงราวปี 2507 กระมัง ยังจำความรู้สึกประทับใจจากหนัง The Sound of Music ได้ดี ระบบภาพและเสียงที่ตื่นตาสวยสด เพราะฟิล์ม 70 มม.นั้นส่งมาจากอเมริกาโดยตรง ไม่เหมือนหนังยุคนี้ที่พิมพ์ฟิล์มกันแถวซีเนแล็บ หรือกันตนา คอนทราสดำปี๋มองแทบไม่เห็นรายละเอียด ถ้าอยากดูสีสันต้นฉบับก็ต้องถ่อไปดูโรงดิจิทัลว่างั้น The Sound of Music เป็นหนังที่ยาวมาก มี Intermission หรือพักครึ่งเวลา คล้ายๆ ดูละครเพลงมิวสิคัล ซึ่งหนังสมัยนี้ยากที่จะมี อย่าง Avatar ลากยาวสามชั่วโมงจนฉี่แทบจะเล็ด ดูด้วยความทรมานเป็นที่ยิ่ง
The Sound of Music มาได้ดูเอาเมื่อตอนเรียนจบแล้วจ้ะ เพื่อนที่อยู่หอพักด้วยกันอยากดูตอนมาย้อนฉายใหม่หรือไงเนี่ย เลยลากกันไปดู ดูเสร็จก็ซื้อเทปมาฟังซ้ำไปซ้ำมา เรียกได้ว่าเป็นหนังเพลงในดวงใจเรื่องนึงเลยแหละ
คุณดิงเนี่ยอารมณ์ขันเหลือเฟือนะค้าบ ตอนนี้มันเคียดๆ ก็เลยเขียนอะไรเรื่อยเปื่อยถึง Good old days ดีฝ่า ยังมีอะไรให้ชื่นชมกันมั่ง เดี๋ยวนี้จะไม่เลือกข้างก็ไม่ได้ซะแล้ว มันถีบเราจนติดฝาไปไหนก็ไม่ได้ นอกจากถีบมันกลับ...
รุ่นยายเลย ไม่เคยดู เคยฟังเพลง
ที่บ้านยาย เคยมีแผ่นเสียง กะ เครื่องเล่นด้วย
จำได้ๆ
ซาวด์ ออฟ มิวสิค เคยดูๆ ^_^