มิถุนายน 2558

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
1 มิถุนายน 2558
All Blog
Bhutan Trip 1 - 6 April 2015
วันแรกในภูฏาณ 1 เมษายน 2015 เพื่อนเฟียมาส่งที่สนามบินตอนตีสามครึ่ง ซึ้งน้ำตาไหล มาเจอเพื่อนร่วมเดินทางในทริปนี้ ไปกันทั้งหมด 6 คน งานนี้ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกสองคน ลงเครื่องที่สนามบินพาโรปั๊บทุกคนในเครื่องปรบมือกันใหญ่ (ประมาณว่า กูรอดแล้วโว๊ยย) เพราะสนามบินนี้ขึ้นชื่อหนึ่งในสนามบินที่ท้าท้ายของโลก มีนักบินแค่ 10 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นนักบินท้องถิ่น เวลาเข้าน่านฟ้าภูฏาณจะต้องเปลี่ยนเป็นระบบแมนนวลเท่านั้น (ข้อมูลจากคนอื่นเล่ามา) ถึงปั๊บผ่านด่าน ตม. แล้วก็มีไกด์ท้องถิ่นมารอรับ (ขอเมาท์นิดนึง ไกด์เราเป็นผู้ชายปากแดงด้วยอ่ะ .... เพราะเค้าเคี้ยวหมาก อิอิ) หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปเมืองทิมพูซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ วันนี้เราพักในทิมพูแล้วก็เที่ยวสถานที่ต่างๆในเมืองนี้ ไม่ว่าจะเป็น วัด วิว สิงสาราสัตว์ต่างๆ จบทริปตอนหกโมงในสภาพทรุดโทรมเพราะนอนกันแค่สองสามชั่วโมง ปล. อากาศตอนกลางวันสบายๆ แต่พระอาทิตย์ตกปั๊บยะเยือกปุ๊บเลย


วันที่ 2 เมษายน 2015 วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวนั่งรถไปยังเมืองพูนาคาซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศ ระยะทางจากทิมพูมายังพูนาคาโดยใช้รถยนต์จะต้องขับประมาณ 3 ชั่วโมงเนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องความเร็วแล้วยังเป็นเพราะทางประเทศกำลังขยายเส้นทาง ทางจะเป็นแนวขึ้นเขาแล้วลงเขา ซึ่งทำให้เราผ่านจุดชมวิวสูงที่เรียกว่า Dochula Pass เสียดายวันนี้โชคไม่เข้าข้างอากาศไม่ค่อยเปิดทำให้เรามองไม่เห็นวิวสวยๆที่ควรจะได้เห็น คงต้องมาซ่อมขากลับพรุ่งนี้ ระหว่างเดินทางมาเมืองพูนาคาเราก็ได้รับบริการนวดฟรีตลอดเส้นทางเหมือนตอนไป EBC ปวดหัวตึ๊บๆเลยแฮะ จากนั้นเราก็เดินเท้าเป็นระยะทางพอสมควรเพื่อไปไหว้พระที่วัดชื่อ Chimi Lhakhang ก่อนถึงวัดเราจะผ่านร้านขายของที่ระลึกและที่นี่มีสัญลักษณ์ศิวลึงเต็มไปหมดเลยแอบต๊กกะจายเล็กๆ หึหึ เสร็จจากชมวัด เราก็ไปแวะกินข้าวเที่ยงซึ่งหนีไม่พ้น ผัก ผัก และ ผัก ดีนะมีเนื้อไก่มาด้วยหน่อยนึง หลังจากทุกคนอิ่มท้องเราก็เดินทางต่อไปยัง Punakha Dzong เพื่อชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่และชมป้อมปราการเก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศ ภายในสวยงาม อลังการดี แต่ถ้าถามความเห็นส่วนตัวในเรื่องของความเคร่ง น่าจะยังสู้ทิเบตไม่ได้นะ สรุปวันนี้จบการเดินทางไว้แค่นี้ ได้เวลาพักผ่อนที่โรงแรมซึ่งมีไวไฟแค่ตรงบริเวณล๊อบบี้ ก็คงต้องมาสิงสถิตแถวนี้ตามประสาเด็กเจนซี (อันนี้มโนเอาเอง)


วันที่ 3 เมษายน 2015 วันนี้เป็นวันที่ไม่เร่งรีบอะไร พวกเราในทีมนัดกินอาหารเช้าตอน 7 โมง แล้วเตรียมตัวกลับไปยังพูนาคา เราออกเดินทางจากโรงแรมตอน 8 โมงเช้าเพื่อที่ว่าเผื่อเจอวิวสวยๆข้างทางเราจะได้แวะเก็บภาพ วันนี้ช่วงเช้าอากาศดีท้องฟ้าเปิด ทำให้เราพอจะเห็นภูเขาหิมะแบบสวยๆบ้างหลังจากที่ผิดหวังกันมาจากเมื่อวาน ทางที่กลับเป็นทางเดียวกันเพราะฉะนั้นอีกครั้งกับบริการนวดฟรีไม่คิดเงิน และแล้วประสบการณ์การฉี่บนที่สูง เนื่องจากตลอดทางไม่มีห้องน้ำสาธารณะเลยแถมถนนก็เป็นถนนขรุขระเลยขอให้ไกด์ช่วยจอดข้างทางและพวกเราสามสาวก็พากันปีนป่ายขึ้นเนินเล็กๆเล็งต้นไม้ใหญ่แล้วผลัดกันปล่อยของ แต่พวกเราก็ไม่ลืมขอเจ้าี่เจ้าทางนะ (แบบว่าแอบกลัวเล็กน้อย) หลังจากโล่งโปร่งสบายแล้วเราก็ออกเดินทางต่อไปแวะที่จุดเดิมเพื่อถ่ายรูปสถูป 108 สถูป แล้วก็แวะจิบชากะขนมปังกรอบ มันช่างเข้ากับสภาพอากาศที่หนาวเย็นอะไรเช่นนี้ จากนั้นเราก็กลับมาเมืองทิมพู แวะกินอาหารเที่ยงแบบท้องถิ่นก็คล้ายๆกับทุกมื้อที่กินโดยเฉพาะพริกผัดชีสมีทุกมื้อ เสร็จแล้วเราก็ไปแวะตามร้านต่างๆเพื่อชอปปิ้งเล็กๆ หาซื้อโปสการ์ด แล้วไกด์ก็พาเราไปไปรษณีย์เพื่อซื้อแสตมป์ การจะส่งโปสการ์ดไปตาางประเทศจะต้องติดแสตมป์ 30 นูตรัม (คิดเป็นเงินบาทง่ายๆก็หารสองเอา) หลังจากนั้นก็ไปเดินตลาดท้องถิ่น Weekend market ซึ่งก็คล้ายๆตลาดนัดบ้านเรา มีของจากทางอิเดีย เนปาล แล้วก็คิดว่าจากเมืองไทยบ้านเรามาขายเยอะนะ เดินสักพักก็ไปต่อที่ตลาดขายผักและผลไม้ พร้อมด้วยพวกเครื่องเทศต่างๆ มีธูปหอมหลายกลิ่นให้เลือกหาซื้อด้วย จากนั้นก็แวะไป Museum ที่แสดงถึงความเป็นอยู่ของคนภูฏาณสมัยก่อน เสร็จจากภาคความรู้ก็มาถึงภาคใช้ตังค์กันบ้าง ทุกคนมือไม้สั่นกลัวไม่ได้จ่ายตังค์ เราเลยไปเดินช้อปปิ้งที่ตลาดกันอีกรอบ ร้านส่วนใหญ่ขายของคล้ายๆกันอยู่ที่ฝีมือในการต่อและเลือกหา จริงๆแล้วก็ต่อไม่ได้มากหรอกนะ ไม่เหมือนเนปาลที่ต้องต่อกันครึ่งต่อครึ่ง ตกเย็นพวกเราได้รับเชิญไปทานอาหารเย็นที่บ้านของพี่สาวของไกด์ซึ่งเป็นนักร้องชื่อดังของประเทศนี้อีกทั้งสามีก็เป็นข้าราชการชั้นสูง บ้านที่พวกเราไปจะอยู่ในบริเวณของขัาราชการโอ่อ่าใหญ่โต แถมเค้ายังเชิญเพื่อนๆที่เป็นดารา นักร้อง นักดนตรีมาร่วมวงด้วยแถมมาร้อวเพลงให้ฟังสดๆ อาหารวันนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ซึ่งเจัาของบ้านทำเองทั้งหมด เป็นอาหารท้องถิ่นของบ้านเค้าจัดมาหลายชนิดเลยทีเดียว อยากจะบอกว่างานนี้เราได้อานิสงจากพี่คนนึงในทีมที่รู้จักและได้ดูแลพวกเค้าตอนที่ไปเมืองไทย เค้าเลยดูแลพวกเราดีมากๆ แถมยังจัดหาชุดประจำชาติมาเตรียมไว้ให้พวกเราใส่ไปร่วมงาน พาโรเทชู วันพรุ่งนี้อีกด้วย บอกตรงๆ ประทับใจสุดๆ แถมได้กระทบไหล่ดาราดังของประเทศกะเค้าด้วยน๊า คืนนี้ต้องรีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นตีสี่เพื่อมาแต่งตัวเตรียมไปเมืองพาโร นั่งรถอีกชั่วโมงนึง


วันที่ 4 เมษายน 2015 วันนี้ตื่นกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาแต่งตัวตามแบบภูฏาณ ซึ่งชื่อเครื่องแต่งกายประจำชาติเค้าของฝ่ายหญิงเรียกว่า Kira และฝ่ายชายเรียกว่า Gho ชุดเค้าใส่ยากมากสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยอย่างเราเลยต้องมีแฟนของไกด์และพนักงานโรงแรมมาช่วยแต่ง ชุดนี้แต่งแล้วแทบจะไม่อยากนั่งหรือกินอะไรอีกเลย วันนี้มีทีมงานมาร่วมทริปเพิ่มคือพี่ที่ไปทำงานที่นั่นพร้อมครอบครัว พวกเราตั้งใจมาเที่ยวภูฏาณในช่วงนี้เพื่อจะมาร่วมงานเทศกาล "พาโรเทชู" เพื่อมาดูผ้าทังก้าผืนยักษ์ที่มีเรื่องเล่าว่าในสมัยก่อนสถานที่แห่งนี้เกิดเพลิงไหม้ส่วนอื่นๆของอาคารไหม้ไปหมดยกเว้นผ้าทังก้าผืนนี้ที่ไม่เป็นอะไรเลย คนที่นี่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าไม่แพ้ชาวทิเบต พวกเราเดินมาถึงบริเวณงานก็เจอว่าเจ้าหน้าที่กำลังปูพรมแดงไกด์เลยบอกว่าวันนี้พระราชากับพระราชินีจะเสด็จมาร่วมงานเทศกาลนี้ พวกเราทั้งกลุ่มเลยจัดการยืดที่มั่นติดพรมแดงไม่ไปไหนเลย การอารักขาของที่นี่เป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก สักพักใหญ่พระราชากับพระราชินีก็เสด็จมาพร้อมข้าราชบริภาล ทั้งสองพระองค์แวะทักทายชาวบ้านไปเรื่อยๆ จนมาถึงกลุ่มพวกเราก็พร้อมใจกันกล่าวว่า สวัสดีค่ะ ท่านทุ้งสองหันมาทักทายแล้วถามว่าพวกเรามาจากไหน ส่วนราชินีก็บอกว่ายินดีที่ได้รู้จัก (เป็นภาษาอังกฤษนะค๊า) แถมมีชมพี่ในกลุ่มว่าแต่งชุด Kira ได้สวยมาก ท่านทั้งสองน่ารักมากๆ เป็นกันเองสุดๆ วันนี้รู้สึกปลื้มปิติและรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ตัดสินใจมาทริปนี้ นอกจากได้เจอท่านทั้งสองแล้วยังได้แตะผ้าทังก้าและขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับตัวเองและคนรอบตัว และวันนี้อาหารกลางวันของเราเป็นหมูแดดเดียวกินกับข้าวสวยแล้วก็น้ำพริกบ้านเค้าและไข่ต้ม วันนี้เรากินแบบขาวบ้านที่นั่นเลยจริงๆคือใช้มือเปิบอาหาร เรากินได้แค่รองท้องเล็กน้อย พอพวกเราทำท่าว่าจะไปที่อื่นก็ได้เวลาราชากับราชินีเสด็จกลับพอดีพวกเราก็เลยมีโอกาสได้ส่งเสด็จอีกครั้ง ครั้งนี้เราก็พูดเหมือนเดิม ท่านหันมาตรัสว่า Have a wonderful day บอกตรงๆ ปลื้มจัง :-) จากนั้นพวกเราแวะไปดูเทศกาลดอกไม้ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกและชาวภูฏาณภูมิใจนำเสนอมาก แต่สำหรับพวกเราถ้าใครเคยไปงานดอกไม้ที่เชียงใหม่หรือเชียงรายมาแล้วที่นี่จะดูเป็นเด็กน้อยไปทันที เดินเล่นสักพักก็ตัดสินใจออกไปหาร้านกาแฟนั่งพักผ่อนก่อนกลับไปดูระบำหน้ากาก ร้านเบเกอรี่ที่นี่ยังห่างชั้นจากบ้านเรามากนัก แต่ก็พอแก้ขัดไปได้เล็กน้อยจนพวกเราแทบอยากจะมาเปิดหลายธุรกิจในประเทศนี้ด้วยมองเห็นช่องทางเยอะจัด ตอนบ่ายเรากลับไปที่งานเทศกาลแล้วต่อแถวเพื่อรับพรจากพระและดูการแสดวระบำหน้ากาก เสร็จจากดูโชว์เราก็แวะชมป้อมปราการของเมืองพาโร อาจจะสวยไม่เท่าที่พูนาคา แต่ที่ตั้งอยู่ในจุดที่ดีมากมองเห็นหลายทิศทางกันเลย ด้วยความที่วันนี้อากาศร้อนมากบวกกับชุดที่ใส่ทำเอาปวดหัวไปเหมือนกัน มื้อเย็นนี้เราปิดท้ายด้วยอาหารไทยที่ร้าน Lemongrass ใกล้ๆที่พัก แบบว่าเหนื่อยจริงๆ พรุ่งนี้คงต้องบอกลาทิมพู เพื่อไปเยือนวัดทักซัง โดยการเดินขึ้นเขาตั้งแต่เช้าตรู่ งานนี้มีลุ้นจะไหวรึไม่ไหว แต่ที่แน่ๆคงต้องออมแรงไว้หน่อยแล้ว ปล.1 ที่นี่รับเสด็จไม่ต้องนั่งนะ ยืนรับเลย ปล.2 ห้ามถ่ายรูปเด็ดขาดตอนท่านเสด็จ แต่มีคนที่อยู่ที่สูงใช้กล้องซูมถ่ายแน่ๆ


วันที่ 5 เมษายน 2015 วันนี้พวกเราตื่นแต่เช้ากันเหมือนเดิม เพราะต้องออกเดินทางจากเมืองทิมพูไปยังเมืองพาโรเพื่อไปขึ้นวัดทักซัง (Tiger Nest) ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้กันเลยทีเดียว พวกเราออกจากโรงแรมตอน 7 โมงเช้าและมาถึงบริเวณจุดเตรียมเดินขึ้นวัดตอนประมาณ 9 โมง งานนี้ทุกคนมีขาที่สามงอกออกมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ คนขับรถเราก็น่ารักเตรียมไม้ไว้ให้ทุกคนพร้อมสรรพ แต่ถ้าใครไม่ได้เตรียมมาก็ไม่ต้องกังวลเพราะที่นั่นบริการให้เช่าด้วยเหมือนกัน สมาชิกในทีมพร้อม เข่าพร้อม (รึป่าวหว่า??) ร่างกายพร้อม เราก็เริ่มออกเดินทางขึ้นเขาเพื่อไปไหว้พระบนวัดทักซัง เท่าที่ไกด์ให้ข้อมูล ระยะทางจากจุดเริ่มต้นขึ้นไปบนวัดจะประมาณ 3.5 กิโล แต่ทางจะมีทั้งขึ้นเขาลงเขา แถมมีขั้นบันไดอีกประมาณ 800 กว่าขั้นรอพวกเราอยู่ เราใช้วิธีการเดินไป ถ่ายรูปไป เหนื่อยก็แวะพัก ฟังเพลงไปด้วย ที่สำคัญตาต้องคอยมองพื้นเพื่อหลบกับระเบิดตลอดทาง ก็คือขี้ม้านั่นเอง สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองจะเดินไม่ไหว ก็มีบริการขี่หลังม้าขึ้นไปด้วยนะ แต่ราคาคงต้องไปสอบถามกันอีกทีเนื่องจากสมาชิกในทีมเรามีความแข็งแรงกันถ้วนหน้าเลยไม่มีใครเรียกหาม้า จริงๆแล้วไกด์เค้าบอกว่า การขี่ม้าขึ้นไปเค้าจะเสนอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะบางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าม้ามันจะพยศหรือตื่นกลัวบ้างรึป่าว อาจจะเป็นอันตรายต่อคนนั่งได้ ตลอดทางเดินช่วงแรกจะเป็นทางลูกรังและถนนเละเป็นบางจุดเนื่องจากคืนก่อนหน้านี้มีฝนตก แต่ก็ไม่ได้ลำบากถึงขนาดเดินไม่ได้ อ้อ อีกเรื่องที่ไกด์แจ้งก่อนเริ่มเดิน ถ้าเราเห็นม้าสวนทางมาให้เราอยู่ซ้ายมือตลอด เดินไปได้สักเกือบชั่วโมงเราก็ถึงจุดพักที่เป็นร้านอาหารของวัด ขาขึ้นพวกเราแค่แวะดื่มชา กาแฟ กับขนมปังกรอบคนละกรึ๊บสองกรึ๊บเพื่อเพิ่มพลังงาน พวกเราใช้เวลาไม่นานในการเบรกเพราะต้องทำเวลาในการขึ้นวัดเนื่องจากทางวัดจะมีเวลาพักกลางวันตอน 13.00-14.00 ถ้าใครไปถึงช่วงนั้นก็จะต้องยืนแกร่วรอไปก่อน สรุปว่าพวกเราใช้เวลาในการขึ้นถึงวัดประมาณ 2.30 ชั่วโมงก่อนเข้าวัดเราต้องฝากสิ่งของไว้ในล๊อกเกอร์ โดยเฉพาะกล้องถ่ายรูปโทรศัพท์มือถือไม่อนุญาตให้นำเข้าไปอย่างเด็ดขาด พวกเราก็เดินเยี่ยมชมภายในวัดและไหว้พระตามห้องต่างๆ ส่วนใหญ่แล้ววัดที่นี่จะคล้ายๆกันหมดในเรื่องของสถาปัตยกรรม เราใช้เวลาอยู่ในวัดประมาณชั่วโมงเศษๆ แล้วก็ต้องลงจากวัดเพราะเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะปิดประตูวัดสำหรับช่วงพักกลางวันแล้ว อีกอย่างคือฝนก็เริ่มตั้งเค้าแถมลงเม็ดเล็กๆตามมา อากาศบนวัดค่อนข้างเย็นด้วยความที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2500 เมตร ตอนเดินทางลงจะค่อนข้างสบายไม่เหนื่อยเหมือนตอนปีนขึ้น แต่จะทำให้เข่าเราได้รับแรงกระแทกเยอะกว่าเลยจะมีอาการปวดๆเล็กน้อยตามประสาคนข้อเข่าไม่ดี เราพักกินกลางวันกันที่เดิมคือร้านอาหารของวัด อาหารมื้อนี้เป็นมังสวิรัต (เฮ้อออ เหมาะกับเราจริงๆ) ก็เลยได้แค่กินรองท้องเอาไว้ก่อน แต่ทุกมื้อจะมีเมนูที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยคือพริกผัดชีส แอบเห็นกรุ๊ปทัวร์คนไทยเค้ามีมาม่าคัพแจกกัน แทบอยากไปตีซี๊แล้วขอแบ่งซื้อจริงๆ จัดการอาหารกลางวันเรียบร้อยก็เดินทางกันต่อมาถึงลานจอดรถ มีแม่ค้ามาตั้งแผงขายของเยอะแยะเลย แถมราคาถูกกว่าในเมืองอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นอันว่าภารกิจในการขึ้นวัดทักซังก็สำเร็จได้ด้วยดี จากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อไปยังวัดคิชู (Kichu) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ พวกเราก็เข้าไปไหว้พระทำบุญแล้วก็ไม่ลืมที่จะหมุนกงล้อมนตราซึ่งที่นี่มีเยอะมากกว่าจะหมุนกันหมดก็เล่นเอาเหนื่อยไปเหมือนกัน โปรแกรมวันนี้ก็จบลงอย่างสมบูรณ์ กลับถึงโรงแรมที่พักจัดการเช็คอินท์ แล้วเราก็ได้รู้ว่า.....โรงแรมไม่มีไวไฟ แงๆๆๆ หน้าจ๋อยกันหมดเลย แล้วคืนนี้จะทำอะไรหล่ะ นั่งมองตากันปริบๆ ไกด์ก็ปลอบใจว่าดีแล้วพวกเราจะได้พักผ่อนกันหลังจากปีนเขากันมาอย่างหนัก (ฟังดูเข้าท่าดีนะเนี่ย) คณะเราเหรอจะยอมอยู่เฉยๆ เก็บของล้างหน้าล้างตากันเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองพาโร เป้าหมายสูงสุดคือการกำจัดเงินนูทรัมให้หมดกระเป๋า วันนี้มีพี่ที่ทำงานที่นี่กะครอบครัวมาร่วมแจมด้วยแถมยังซื้อน้ำผึ้งฝากกลับไปให้ที่บ้านอีกด้วย ซึ้งเลยเรา แถมทางทีมงานแอบทำเซอไพรส์จัดวันเกิดให้ล่วงหน้าโดยการไปนั่งร้านเค้กแล้วแอบสั่งเค้กมาให้ทำเอาซึ้งไปอีกรอบ ปีนี้ฉลองวันเกิดไกลถึงภูฏาณกันเลยทีเดียว เดินเล่นสักพักก็ได้เวลากลับโรงแรมกินอาหารเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วเตรียมตัวเก็บกระเป๋า พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับกันตั้งแต่เช้า คาดว่าทุกคนจะหลับกันเร็วมากเนื่องจากกิจกรรมก้มหน้าไม่สามารถทำได้ในคืนนี้ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ ปล. ที่ร้านอาหารของโรงแรมมีเตาผิงไฟที่เรียกว่า Bhukari ด้วย แรกๆก็มีประโยชน์ นั่งกินไปสักพักรู้สึกแสบตาแฮะ


วันที่ 6 เมษายน 2015 วันนี้ไม่มีตารางเที่ยวใดๆอีกแล้วตื่นเช้ามาทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วก็เตรียมตัวขนกระเป๋าขึ้นรถเพื่อไปสนามบิน ได้เวลากลับคืนสู่มาตุภูมิ คิดถึงอาหารไทยจะแย่แล้ว วันนี้ก็ฉลองวันเกิดบนเครื่องบินด้วยอาหารอินเดียซึ่งรสชาดไม่เป็นสับปะรดเลยจริงๆ แต่ก็เป็นการเริ่มต้นปีวันเกิดที่ดีอีกปีหนึ่งของเรา เพราะถ้าเราคิดว่าดีมันก็ต้องเป็นปีที่ดีสินะ หมดไปอีกหนึ่งทริปที่ตั้งใจเอาไว้ คาดว่าจากนี้จะเริ่มมีทริปสบายๆบ้างแล้ว ขอได้รับความขอบคุณและสวัสดี


** ทุกประสบการณ์ที่ได้เจอเมื่อออกเดินทางมีความหมายสำหรับนักเดินทางในการท่องโลกกว้างเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เจอเมื่อเริ่มต้นออกเดินทาง พบเจอระหว่างเดินทาง หรือเมื่อจบสิ้นการเดินทาง จะถูกเก็บบันทึกไว้เป็นความทรงจำดีดี "ในใจ" ของนักเดินทางตลอดไป รวมถึงผู้คนที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกันกับเรา **


ขอขอบคุณ Dragon Cultural Tour ที่ดูแลพวกเราเป็นอย่างดีตลอดการเดินทาง และทำให้เราได้ความรู้หลายอย่างในระหว่างการเดินทางครั้งนี้

ขอบคุณพี่ใหญ่ ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำให้เกิดทริปนี้ขึ้นมา ด้วยอานิสงค์ของพี่ใหญ่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็น วีไอพี จริงๆ

ขอบคุณ เหยน และ เอ๊ก ที่ตัดสินใจมาร่วมเดินทางในทริปนี้ด้วยกัน คอยดูแลซึ่งกันและกันตลอดการเดินทาง

ขอบคุณ พี่ยุ้ยและพี่นุ่น เพิ่งรู้จักกันก็ทริปนี้ แต่เหมือนเราสนิทกันมาพักใหญ่แล้วเลยนะเนี่ย ฮาได้อีก แถมคอยดูแลเรื่องหยูกยาน้องๆอีกด้วย




Create Date : 01 มิถุนายน 2558
Last Update : 1 มิถุนายน 2558 16:59:23 น.
Counter : 456 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

manatabo
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตคือการเดินทางตลอดเวลา