มิถุนายน 2557

1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
นั่งรถไฟไปหลังคาโลก 10 พ.ค. 2557
10 พ.ค. 2557 บอกลา Everest Base Camp เข้าสู่จางมู่เพื่อเตรียมย้ายไปเนปาล

เช้านี้พวกเรานัดกันไว้ตอน 6.30 เพื่อจะรอชมแสงแรกของพระอาทิตย์ที่สาดส่องยอดเขาเอเวอเรสซึ่งดวงอาทิตย์จะขึ้นประมาณ 7.30 น โดยจุดที่เรานั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นเรียกว่าด้านNorth Face (เหมือนชื่อแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งนั่นหล่ะ)ซึ่งพี่ไกด์ของเราบอกว่ามองจากฝั่งด้านนี้จะสวยกว่ามองจากฝั่งเนปาลและเห็นได้ชัดกว่าแถมกาเดินทางก็ลำบากน้อยกว่าฝั่งเนปาลสรุปคือมาทางเส้นทิเบตเนี่ยง่ายที่สุดแล้วประมาณนั้นเลย

เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่หลับเกือบทั้งคืนเราจึงตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าแต่สาเหตุที่ตื่นเช้าไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะเป็นเพราะว่าท้องเจ้ากรรมทำพิษบอกว่าให้ไปเข้าห้องน้ำได้แล้วส้วมหรรษากำลังรอเราอยู่ แต่ดันมาเจออุปสรรคใหญ่หลวงเนื่องจากเมื่อคืนห้องนี้ถูกใช้เป็นห้องเล่นไพ่กันและน้องสุดท้องในทริปนี้ออกจากห้องด้วยความหวังดีเพราะคิดว่ากลอนประตูห้องนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เลยจัดการล๊อคห้องจากภายนอกให้เอาแล้วไงหล่ะงานนี้ก็เลยเปิดออกไปไม่ได้ ไอ้เราก็เกรงใจเพราะว่ามันเช้ามากจริงๆก็เลยไม่อยากตะโกนและรอจนมีเสียงคนเดินข้างนอกก็เลยบอกให้เค้าช่วยเปิดประตูให้หน่อยกว่าจะถึงเวลานั้นเราก็ใช้ความพยายามในการงัดประตูจนได้เลือดฉลองแสงแรกของวันเลยเฮ้ออ ซื่อบื้อจริงๆ

นอกจากจะรอแสงแรกของวันแล้ว พวกเรายังใจจดใจจ่อกับหน้าตาของแพนเค้กทิเบตที่ทางไกด์เค้าโม้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเช้านี้พวกเราจะได้กินแพนเค้กเป็นอาหารเช้ากันหวานเราหล่ะ จะต้องเป็นแพนเค้กแป้งหอมๆราดน้ำเชื่อมเมเปิ้ลของโปรดของเราแน่ๆสุดท้าย.......เอ๊ะ นี่มันไข่เจียวแบนรึป่าวเนี่ย หน้าตามันห่างไกลจากคำว่าแพนเค้กที่เรารู้จักยิ่งนักแต่ก็นะรสชาดก็พอได้อยู่ไม่ถึงกับอยากจะรีบเก็บไปเข้ากุใครไม่อยากกินแพนเค้กก็มีไข่ดาวให้กินกะแม๊กกี้ (ดีนะเนี่ยที่ไม่ใช่ไข่ต้ม)ยังไงก็ถือว่ารอดไปได้อีกมื้อ อิ่มท้องกันไปตามระเบียบ

เสร็จจากกินข้าวเช้ากันพวกเราก็เริ่มปฏิบัติการถ่ายรูปกับแสงแรกของวันพร้อมกับมียอดเขาหิมาลัยเป็นฉากหลังสวยงามอลังการวันนี้ก็เลยถือโอกาสขอถ่ายรูปกับเทนไว้เป็นที่ระลึกเพราะว่าวันพรุ่งนี้ก็จะต้องแยกจากกันแล้วต่างคนต่างหามุมถ่ายรูปเป็นของตัวเองเมื่อถึงเวลาแปดโมงกว่าๆเราก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวบอกลาที่นี่เพื่อไปยังเมืองชายแดนจางมู่ซึ่งเป็นเมืองชายแดนติดกับประเทศเนปาล

ขากลับเราก็กลับทางเดิม ถนนขรุขระเส้นเดิมได้รับบริการนวดฟรีเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เราเรียนรู้จากประสบการณ์ตอนขามาว่าเราจะไม่ยอมตกหลุมกันอีกเป็นอันขาดเพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดเดิมที่รถของเราเคยตกหลุม คนขับรถก็ใช้ประสบการณ์ 20กว่าปีที่ขับรถมาจัดการจนมันผ่านไปได้ด้วยดีโยอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของพวกเราทั้งคณะ เอ้า ฮุย เล ฮุย

หลังจากผ่านถนนพระจันทร์มาได้ พวกเราก็เริ่มเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งแต่แค่ช่วงระยะหนึ่งเท่านั้น เมื่อพวกเราหลายๆคนเริ่มเรียกร้องอยากจะเข้าห้องน้ำประสบการณ์ (อีกนั่นหล่ะ) บอกว่า ไม่ต้องไปหาหรอก ห้องน้ำที่เป็นห้องน้ำเราอาศัยห้องน้ำตามธรรมชาติกันดีกว่าพวกเราก็เลยเลือกที่จะจอดรถข้างทางที่มีลานกว้างๆให้พวกผู้ชายสามารถเดินไปหาที่ทางของตัวเองส่วนผู้หญิงไกด์บอกว่าขอเชิญใต้สะพานกันเลยนะค๊าบบบ รับรองความปลอดภัยพวกเราก็เลยเดินไปใช้บริการใต้สะพานกัน ซึ่งต่างคนต่างก็ทำธุระของตัวเอง เอ้อแถวเรียงหนึ่ง ใครมาก่อนอยู่หน้า (หวังว่าคงนึกภาพกันออกนะจะอายอะไรก็มีเหมือนๆกันทั้งน๊านน) นี่ก็คงต้องบอกว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเหมือนกันที่เคยได้ทำอะไรแบบนี้ ก็ขำๆดี เพราะว่าเราเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว(ในบางเรื่อง) ก็เลย สบายๆ ไร้ปัญหา

เดินทางกันต่อไปสักพักเราก็ผ่านจุดชมวิวอีกจุดที่มีชื่อเรียกว่า ThonglarPass อยู่ที่ระดับความสูง 5140 เมตรซึ่งจุดนี้เราจะมองเห็นแนวภูเขาหิมะโดยรอบ 360 องศากันเลยทีเดียวโดยแนวเขาที่เราเห็นอยู่ถูกเรียกกันว่า Shangbala (ไม่ใช่ซัมบาลานะออกเสียงกันให้ดีดี) จุดนี้เป็นจุดที่ถ่ายรูปออกมาแล้วชอบมากๆเพราะว่าพวกเราไปนั่งถ่ายรูปกันกลางถนนที่ทอดยาวสวยงามและมีฉากหลังเป็นแนวยอดเขาหิมะดูแล้วเท่สุดๆ สีท้องฟ้าในวันนี้ก็เป็นใจให้กับการถ่ายรูปเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก

จากนั้นพวกเราก็มีโอกาสได้แวะไปเยี่ยมชมบ้านของชาวทิเบตแท้ๆได้เห็นวิถีชีวิตของพวกเค้าอีกทั้งได้เห็นภายในตัวบ้านของพวกเค้าว่าพวกเค้ากินอยู่หลับนอนกันอย่างไรซึ่งโปรแกรมนี้ไม่ได้อยู่ในรายการที่ทางบริษัททัวร์แจ้งไว้แต่เนื่องจากพวกเราอดดูวัดสำคัญอีกหนึ่งวัด (ซึ่งไกด์ก็บอกแล้วหล่ะว่าลักษณะหรือสถาปัตยกรรมของวัดนี้ก็เหมือนกันกับวัดทิเบตอื่นๆที่พวกเราเคยเห็น)เค้าเลยจัดให้พวกเราได้เห็นวิถีชีวิตของชาวทิเบตแท้ๆเป็นการชดเชยชาวทิเบตส่วนใหญ่ก็ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเหมือนกับบ้านเรานี่หล่ะ มีการเลี้ยงจามรีเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ ก็ดูเป็นแนวเศรษฐกิจพอเพียงดี

เราใช้เวลาไม่นานมากกับการเยี่ยมชมวิถีชีวิตของชาวทิเบตแท้ๆหลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางต่อเพื่อไปแวะกินข้าวเที่ยงที่เมือง Nyalam แค่แวะมากินข้าวอย่างเดียวจริงๆกับข้าวก็คงไม่ต้องพูดถึงแล้ว อาหารจานโปรดของเราก็คงหนีไม่พ้น มะเขือเทศผัดไข่แซ่บบบบมากกก (อันนี้ประชดเต็มๆ) แล้วเราก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองจางมู่

และแล้วคณะเราก็มาถึงเมืองจางมู่โดยสวัสดิภาพอยากจะบอกว่าถนนที่จางมู่นี่ขับยากมากเพราะว่าแคบและมีแต่รถบรรทุกจอดข้างทางเต็มไปหมดสาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ติดกับประเทศเนปาลทำให้เป็นแหล่งค้าขายและขนส่งสินค้ากันทำให้การขับขี่ในเมืองนี้ต้องอาศัยความเซียนระดับเทพกันหน่อยถึงจะฝ่าแต่ละจุดได้ จางมู่เป็นเมืองที่อยู่บนเขาและเป็นเขตป่าดงดิบระดับความสูงของเมืองนี้ก็ยังอยู่คงอยู่ที่สองพันเมตร (ประมาณดอยอินทนนท์บ้านเรา)ค่อยรู้สึกสบายๆหน่อยหลังจากอยู่ที่สูงมาหลายวัน บรรยากาศของเมืองนี้ก็จะเป็นแนวผสมผสานระหว่างจีนกับเนปาลร้านรวงบางร้านก็ดูเหมือนว่าจะเป็นคนเนปาลนี่หล่ะมาเปิด

หลังจากพี่ไกด์แจกจ่ายกุญแจห้องให้เรียบร้อยพวกเราก็ได้รับการบอกกล่าวว่า น้ำอุ่นที่นี่จะเปิดปิดเป็นเวลาอาจจะเป็นเพราะว่าแถบๆนี้มีปัญหาเรื่องของไฟฟ้าก็เป็นได้(ได้ยินว่าที่เนปาลยิ่งกว่าอีก ถึงขนาดให้พวกเราเตรียมไฟฉายกันเลย)เราก็รอจนกระทั่งได้เวลาน้ำอุ่นมาถึงได้อาบน้ำหลังจากที่ไม่ได้อาบมาเป็นเวลาสองวันเฮ้อออ โล่งไปหมดทั้งหัวและตัว ตอนนี้ตัวเบาสบายๆแล้วพวกเราก็ไปกินข้าวเย็นกันแถวโรงแรม อาหารขายดีของวันนี้กลายเป็นไข่เจียวถึงขนาดต้องขอเพิ่มอีกจานกันเลย

เสร็จจากร้านอาหารพวกเราก็ย้ายมานั่งร้านพิซซ่าของชาวเนปาลที่อยู่ใกล้ๆโรงแรมพี่ในทีมคนหนึ่งอยากลองกินสเต๊กเนื้อจามรีมาก ซึ่งพี่เค้าถามเกี่ยวกับร้านสเต๊กมาเกือบตลอดทริปวันนี้เลยถือโอกาสสั่งมาลองซะเลย ผลคือเนื้อจามรีมันเหนียวไอ้เราก็ไม่ได้ลิ้มลองกับเค้าหรอกเนื่องจากเกรงใจเจ้าเหล็กดัดที่อยู่บนฟันก็เลยแค่สอบถามความรู้สึกผู้ที่ได้สัมผัส นอกจากเนื้อจามรีเรายังสั่งพิซซ่าเฟรนฟรายน์ และ อาหารเนปาลมานั่งกินเล่น กินไปโม้ไป จากคนที่ไม่รู้จักกันเลยวันนี้พวกเราทุกคนสบายใจที่เราสามารถผ่านความลำบากมาได้แล้วในหลายวันที่ผ่านมาซึ่งจากนี้จะเป็นช่วงเวลาสบายๆของเรากันแล้ว คิดแล้วก็ขำดี บางคนบอกว่า ตอนมาก็รู้แค่ว่ามาซีอานทิเบต เนปาล แต่ได้ เอเวอเรสเป็นของแถม ส่วนเจ้าเพื่อนตัวแสบมันก็บอกใครต่อใครว่าโดนเราหลอกมาฮาๆๆ มันบอกว่าเราพูดไม่หมด บอกแค่ว่า นั่งรถไฟไปหลังคาโลกและไปเอเวอเรสแต่ไม่ได้บอกมันว่าห้องน้ำจะสุดยอดขนาดนี้(แล้วตรูจะไปตรัสรู้เรอะว่าจะเป็นอย่างนี้ ครั้งแรกเหมือนกันโว๊ย)

คืนนี้เราคงหลับเป็นตายหลังจากหลับๆตื่นๆมาจากเมื่อคืนว่าแล้วก็ต้องขอตัวและหัวไปนอนก่อนดีกว่า ฮ้าวววววววววว



Create Date : 03 มิถุนายน 2557
Last Update : 3 มิถุนายน 2557 23:51:29 น.
Counter : 255 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

manatabo
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตคือการเดินทางตลอดเวลา