มิถุนายน 2557

1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
นั่งรถไฟไปหลังคาโลก 11 พ.ค. 2557
11 พ.ค. 2557 นะมัสสะเต เนปาล

วันนี้ตื่นมาแต่เช้าเพราะว่าพวกเรามีนัดต้องรีบออกเดินทางไปรอต่อคิวเพื่อข้ามแดนจากชายแดนเมืองจางมู่(ทิเบต) เพื่อไปยังด่านโคตาริ ของประเทศเนปาล คงต้องร่ำลาเมืองหลังคาโลกอย่างเป็นทางการแล้วจริงๆคิดแล้วก็ใจหายเหมือนกัน ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากดูมีช่วงหนึ่งที่เรานั่งรถผ่านเขาสูงเพื่อจะเริ่มลงต่ำเทนก็ชี้ให้ดูว่ายอดเขาสูงๆที่เราเห็นอยู่ไกลๆและมีธงมนตรานั่นก็เป็นที่สำหรับทำพิธีศพแบบชาวทิเบต โดยประเพณีของชาวทิเบตคือถ้าครอบครัวมีใครเสียชีวิตเค้าจะมีพิธีศพที่เรียกว่าSky Burial หรือในภาษาไทยคือ เวหาฌาปนกิจ (พิธีศพฟากฟ้า) โดยการที่ลามะจะเป็นผู้จัดการดูแลศพแล้วหลังจากนั้นก็จะส่งต่อให้สับปะเหร่อนำศพไปบนเขาเพื่อวางให้แร้งลงมากินเนื่องจากชาวทิเบตมีความเชื่อว่าถ้าทำแบบนนี้แล้วดวงวิญญาณของผู้ตายจะได้ไปเกิดหรือไปในที่ๆดีอีกทั้งยังได้เป็นการทำบุญครั้งสุดท้ายอีกด้วยแต่ในกรณีที่ผู้ตายเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุหรือเป็นโรคต่างๆเค้าจะไม่ใช้วิธีการนี้แต่จะเป็นการหั่นศพแล้วโยนลงแม่น้ำแทนใครสนใจเนื้อหาเรื่องนี้เพิ่มเติมก็ลองหาอ่านดูได้ตามอินเตอร์เนตพร้อมภาพประกอบนะค๊าบ

ที่อยู่ดีดีก็เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่าตอนคุยกับเทนแล้วทำให้เราอยากไปเห็นพิธีกรรมที่ว่านี้สักครั้งแต่เทนบอกว่าส่วนใหญ่แล้วคนที่จะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปดูจะเป็นเพื่อนสนิทหรือคนอื่นๆที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเค้ากลัวว่าถ้าคนในครอบครัวไปดูแล้วเกิดความเสียใจร้องไห้จะทำให้ดวงวิญญาณเกิดความเป็นห่วงและไม่ได้ไปเกิดหรือไม่หลุดพ้นก็น่าจะคล้ายกับความเชื่อของบ้านเราที่ไม่อยากให้ร้องไห้เวลาที่คนในครอบครัวเจ็บหรือกำลังจะจากไปเพราะจะทำให้เค้าเป็นกังวลและจะจากไปแบบไม่หลุดพ้นเทนยังเล่าต่อว่าในชีวิตเค้าเคยเห็นพิธีแบบนี้ไม่กี่ครั้งครั้งแรกที่เทนได้เข้าร่วมพิธีนี้ทำให้เทนกินข้าวไม่ได้ไปเป็นอาทิตย์และกลิ่นของสิ่งต่างๆบนนั้นก็ติดจมูกเทนอยู่หลายวันกว่าจะจางหายไปหลังจากนั้นเมื่อได้ไปร่วมพิธีพวกนี้อีกเทนก็เริ่มมองแบบปลงได้และปรับตัวได้เรื่อยๆ

วกกลับมาเรื่องการเดินทางของเรากันต่อดีกว่าพวกเราใช้เวลานั่งรถจากโรงแรมมาที่ด่านประมาณเกือบๆครึ่งชั่วโมงทั้งที่ระยะทางแค่ไม่ถึงสิบกิโลเมตรสาเหตุที่เป็นอย่างงี้ก็เพราะเส้นทางที่เราไปเป็นเส้นทางลงเขาที่ถนนแคบและมีแต่รถบรรทุกสินค้าจอดกันเต็มไปหมดมองไปแล้วเหมือนการเดินรถทางเดียวที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงคณะของเรามาถึงก่อนเวลาด่านจะเปิด เนื่องจากราชการจีนเริ่มทำงานสายกว่าบ้านเราคงเป็นเพราะว่ากลางคืนของที่นี่มืดช้ากว่าบ้านเรามั้งเค้าเลย (อาจจะ)ทำงานช้าและเลิกช้า ด่านที่นี่คนจะมารอเพื่อเตรียมตัวเข้าออกเยอะมากไม่ว่าจะเพื่อค้าขายหรือเพื่อท่องเที่ยว

ถึงเวลาด่านเปิดปั๊บคณะเราเป็นคณะแรกที่ตัดริบบิ้นให้ด่านนี้โดยสองคนแรกในคณะได้กลายเป็นหนูลองยาให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจค้นกระเป๋าพี่แกค้นละเอียดทุกซอกทุกมุมจริงๆ เราก็เริ่มแบบว่า โหย ถ้ามารื้อของชั้นขนาดนี้เก็บกันลำบากแน่ๆสุดท้ายคือการเขียนเสือให้วัวกลัว ตรวจแค่สองคน หลังจากนั้นปล่อยยาวทั้งคณะ(แอบโล่งอกเลยเนี่ย) พอเสร็จจากการตรวจหนังสือเดินทางเทนก็มายืนรอส่งพวกเราและจับมือบอกลาพวกเราทีละคนรู้สึกใจหายจริงๆนะเนี่ยเพราะว่าอยู่ด้วยกันมาหลายวัน เราคิดว่าเค้าเป็นไกด์ที่ดีคนหนึ่งเชียวหล่ะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ความรู้อย่างตั้งใจและทำการบ้านมาดีหรือการดูแลเอาใจใส่ ถามไถ่ทุกครั้งที่โต๊ะอาหารว่าอาหารเป็นอย่างไรบ้างแรกๆก็โอเค สบายๆ หลังๆก็แค่พยักหน้าว่า อืมม ไหวอยู่ ประมาณนี้สุดท้ายงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ลาก่อนเทน หวังว่าจะได้เจอกันใหม่

ตอนนี้พวกเราก็ข้ามมาสู่ฝั่งเนปาลเรียบร้อยแล้ว จากชายแดนจางมู่ก็มาสู่ชายแดนโคตาริ โดยมีไกด์ท้องถิ่นมารอรับพวกเราสองคนเป็นคนเนปาลกับคนไทย(ค่อยยังชั่วหน่อยจะได้คุยกันรู้เรื่องมากขึ้น)เวลาที่เนปาลจะช้ากว่าประเทศไทยอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็เลยต้องมานั่งปรับเวลาชีวิตกันใหม่อีกตอนนี้ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบกระเป๋าของตัวเองโดยการลากกระเป๋าผ่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเฮ้ย ไม่ใช่ สะพานมิตรภาพทิเบต-เนปาลแล้วมาจัดการเรื่องด่านตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งเนปาลต่ออีก แต่ฝั่งนี้ไม่มีอะไรยุ่งยากแค่เข้าแถวรอประทับตาลงในหนังสือเดินทางก็เป็นอันเสร็จพิธี

หลังจากนั้นเราก็ต้องลากกระเป๋ากันอย่างทุลักทุเลผ่านถนนขรุขระที่มีคนเดินกันขวักไขว่เพราะช่วงเวลาตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่คนจากฝั่งเนปาลก็จะหาทางข้ามไปฝั่งทิเบตเพื่อทำมาค้าขายบ้างก็เหมือนจะอพยพกันเป็นครอบครัว บางคนหาบของหนักมากใส่ในถังเก็บน้ำใบใหญ่เราเลยถามไกด์คนไทยว่าพวกเค้าแบกอะไรกัน พี่เค้าบอกว่า บางคนแบกพวกข้าวสารอาหารการกินที่สามารถนำเข้าไปขายฝั่งโน้นได้ ท่าทางของจะหนักเอาการบางคนหอบของหนักไม่พอยังต้องหอบลูกอีกด้านด้วย เห็นแล้วให้รู้สึกว่าเราเกิดมาโชคดีขนาดไหนที่ไม่ต้องลำบากแบบนี้

ในที่สุดพวกเราก็มาถึงรถตู้ที่ทางไกด์ฝั่งเนปาลเตรียมมารับพวกเรา จากนี้เราจะต้องแยกรถเป็น 2คันเพื่อให้สะดวกกับการเดินทางในประเทศเนปาล เนื่องจากถนนที่นี่แคบและแย่มากๆทำให้การใช้รถใหญ่ไม่เป็นที่นิยม ตอนแรกเราจินตนาการไม่ออกว่าเราจะเจอภาพแบบไหนในเนปาลแต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าทำไมเค้าถึงต้องให้เราเตรียมที่ปิดจมูกมาเพราะฝุ่นที่นี่เยอะมากจริงๆโชคยังดีที่รถตู้ที่เค้าเตรียมมารับพวกเราเป็นรถตู้ใหม่ถ้าเจอรถตู้เก่าอีกมีหวังเราคงเมารถแย่แน่เลย

โปรแกรมของเราวันนี้คือเราจะไปเที่ยวเมือง Bhaktapur (บัคตาปูร์)ซึ่งเป็น 1 ใน 3 เมืองมรดกโลกของเนปาลซึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง โดยเราจะเข้าไปกันที่ BhaktaburDurbar Square และจะกินข้าวเที่ยงกันที่นี่ เย้ๆๆๆในที่สุดเราก็จะได้กินอาหารอย่างอื่นที่ไม่ใช่ ผัก ผัก และ ผัก แล้ววันนี้เมนูมีให้เลือกไม่มากนัก เราเลือกสั่งสเต๊กไก่เป็นอาหารเที่ยงของเรามื้อนี้รสชาดถือว่าใช้ได้เลยสำหรับคนที่ผ่านอาหารทางฝั่งจีนกันมาแล้ว

เสร็จจากทานอาหารพวกเราก็เดินดูเมืองหลวงเก่าและวัดทางศาสนาฮินดู (ที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยงหรือใครก็ตามที่ไม่ใช่ศาสนาฮินดูเข้าไปเอิ่มมม) บอกตรงๆว่าไม่ค่อยมีความรู้หรือว่าสนใจในศิลปะวัฒนธรรมด้านนี้มากนักแถมอากาศที่นี่ก็ร้อนมากกกเมื่อเทียบกับที่ๆจากมาทำให้การเดินชมของเราไม่ค่อยโสภาเท่าที่ควรแต่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของคณะเราได้หลายคนก็คืองานแกะสลักที่อยู่รอบๆเสาด้านบนซึ่งแกะเป็นรูปกามาสูตราในท่วงท่าต่างๆ อันนี้เริ่มจากพี่ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราชี้ให้พวกเราดูจากที่หลายๆคนไร้ความกระตือรือร้นก็แทบจะยกกล้องซูมให้เยอะที่สุดเท่าที่ได้เพื่อเก็บภาพท่วงท่าต่างๆทันทีคิดแล้วก็อดขำไม่ได้

หลังจากเยี่ยมชมเมืองหลวงและวัดเก่าแก่ที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกแล้วพวกเราก็เดินทางต่อไปยังเมือง Dhulikhel ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้เมืองนี้เหมือนเมืองตากอากาศบนภูเขา อากาศสบายๆและมองเห็นแนวเทือกเขาต่างๆถ้าให้มองภาพง่ายๆก็คงเหมือนเราไปเที่ยวเขาใหญ่ เขาค้อ ประมาณนั้นซึ่งโรงแรมที่พักก็ตกแต่งได้น่ารักดี วันนี้พวกเราก็เน้นพักผ่อนสบายๆตกเย็นก็ออกมานั่งจิบน้ำอ่านหนังสือเล่นอินเตอร์เนตความเร็วต่ำไปเรื่อยๆเพื่อรอเวลากินข้าวเย็นซึ่งในโปรแกรมเขียนเอาไว้ว่า วันนี้อาหารเย็นจะเปลี่ยนบรรยากาศเป็นแบบกึ่งเนปาลกึ่งผู้ดีอังกฤษ(เอ๊ะ แล้วไอ้แบบนี้หน้าตามันเป็นเยี่ยงไรหว่า มารอลุ้นกัน)สรุปแล้วอาหารก็อร่อยดี กินได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่จำไม่ได้แล้วว่ามีเมนูอะไรบ้างเสร็จจากกินข้าวเย็นก็ตามอัธยาศัย วันนี้ไม่มีอะไรมากมาย อากาศดี ที่พักน่ารักใจก็เลยสบายๆไปด้วย



Create Date : 03 มิถุนายน 2557
Last Update : 3 มิถุนายน 2557 23:52:05 น.
Counter : 584 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

manatabo
Location :
กระบี่  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ชีวิตคือการเดินทางตลอดเวลา