รู้จักกับกองทัพเรือมาเลเซีย
หลังจากที่เราทราบข้อมูลคร่าว ๆ ของเรือดำน้ำและเรือฟริเกตที่ไทยน่าจะเล็งอยู่ ตอนนี้เราลองมาดูกองทัพเรือของประเทศด้านล่างดูบ้าง ซึ่งเป็นกองทัพที่น่าจับตามองและมีการพัฒนาอย่างแต่เนื่องด้วยแผนงานและงบประมาณที่น่าตกใจ ทำให้เราคงต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของเค้าอย่างใกล้ชิด
ขี้เกียจพูดประวัติครับ เอาเป็นว่าเข้าเรื่องปัจจุบันเลยละกัน ในบทความนี้จะดูเฉพาะเรือฟริเกต คอร์แวตต์ และเรือดำน้ำ อาจจะมีเรือยกพลขึ้นบกและกองบินนาวีมาบ้างตามสมควรครับ มาดูนาวิกานุภาพของมาเลเซียกันเลย
Lekiu Class Frigate เรือในชั้น: 2 ลำคือ KD Jebat (No.29)และ KD Lekiu (No. 30)
เจ้าลิเคียวนี้ระบบอาวุธแทบทั้งหมดเป็นของยุโรปครับ ไล่ตั้งแต่จรวดจนถึงเรด้าห์ โดยมีอุปกรณ์ของอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอแลนด์ เป็นต้น ต้องถือว่าเรือลำนี้สามารถปฏิบัติการได้ครบทั้ง 3 มิติอย่างสมบูรณ์ (ใต้น้ำ ผิวน้ำ อากาศ) โดยมีขีปนาวุธอากาศสู่พื้น exeocet MM40 Block II 8 ลูก ซึ่งทันสมัยกว่า exeocet MM38 ของไทยค่อนข้างมาก แถมระยะยิงไกลกว่า 100 กม. ส่วนขีปนาวุธอากาศสู่อากาศนั้นมาเลเซียเลือกใช้ Seawolf ของอังกฤษซึ่งเป็นขีปนาวุธระยะใกล้ที่มีระยะยิงประมาณ 6 กม. เดินทางด้วยความเร็ว 2.5 มัค โดยติดตั้งในท่อยิงทางดิ่ง (Vertical Launching) จำนวน 12 ท่อยิง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าการติดตั้งบนท่อยิงทางราบ เพราะไม่ต้องเสียเวลาหันท่อไปทางที่มีภัยคุกคามเข้ามา
Kasturi Class Frigate เรือในชั้นนี้มี 2 ลำคือ KD Kasturi (Nio. 25) และ KD Lekir (No. 26)
สำหรับเรือชั้นนี้ก็ติดตั้ง exeocet MM40 Block II 4 ลูก เช่นเดียวกันกับชั้นลิเคียว แต่การป้องกันภัยทางอากาศนั้นใช้ปืน 30 mm แท่นคู่
Laksamana Class Corvatte เรือในชั้นนี้มี 4 ลำคือ KD Hang Nadim (No. 134) KD Tun Abdul Jamil (No. 135) KD Mohammad Amin (No. 136) KD Tan Pusmah (No.137)
เรือชั้นลักษมันน์นี้ความจริงเป็นเรือที่อิรักสั่งต่อเพื่อใช้ในกองทัพเรืออิรัก แต่เกิดสงครามอ่าวเสียก่อน ประเทศผู้ต่อคืออิตาลีจึงไม่จัดส่งเรือให้ และประกาศขายให้ประเทศที่สนใจ ซึ่งมาเลเซียก็รับซื้อไปทั้ง 4 ลำ เรือชั้นนี้ใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือ Otomat Mark 2/Teseo ของอิตาลีจำนวน 6 ลูก ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบ Aspide บนแท่นยิงแบบ Albatros แบบเดียวกับที่ติดตั้งบนเรือชั้นรัตนโกสินต์ของไทย ซึ่งถือว่าเรือชั้นนี้มีความสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองค่อนข้างมาก
MEKO A-100 ได้รับแล้ว 2 ลำคือ KD Pahang (No. 171) KD Kedah (No. 172)
มาเลเซียสั่งต่อเรือชั้นนี้จากเยอรมันจำนวน 6 ลำ และได้รับแล้วจำนวน 2 ลำ โดยเรือชั้นนี้สามารถติดตั้งขีปนาวุธพื้นสู่พื้นโจมตีเรือได้ 8 ลูก ขีปนาวุธพื้นสู่อากาศติดตั้งในท่อยิงทางดิ่ง (Vertical Launching System:VLS) จำนวน 16 ท่อยิง และระบบ Close-In Weapon System เช่น Phalanx หรือ Goalkeeper พร้อมทั้งสามารถรับเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางได้อีกด้วย
นอกจากเรือทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วมาเลเซียยังมีเรือโจมตีเร็วติดอาวุธนำวิธีอีก 8 ลำซึ่งติด Exeocet MM40 Block II
Scorpene Class Submarine สั่งซื้อจำนวน 2 ลำ จะได้รับในอีก 3 - 4 ปีนี
เรือดำน้ำชั้นสกอร์ปิเน่ของฝรั่งเศสนี้มาเลเซียสั่งต่อในราคาลำละกว่า 10,000 ล้านบาท นับได้ว่าเป็นเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงแบบหนึ่งของโลก เรือดำน้ำนี้หนักประมาณ 1,500 ตัน ติดระบบ AIP แบบ Mesma มีระยะปฏิบัติการ 6,400 ไมล์ทะเล ระยะเวลาปฏิบัติการในทะเล 50 วัน ติดตอร์ปิโด 6.21 นิ้วจำนวน 18 ลูก
จากทั้งหมดทำให้เห็นว่ามาเลเซียซึ่งมีกองเรือใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน (อันดับ 1 คือสิงคโปร์) นั้นเป็นกองเรือที่มีประสิทธิภาพสูงและครบครัน ซึ่งคงเป็นเพราะประเทศมาเลเซียเป้นประเทศอกแตก มีดินแดนแยกอยู่ 2 ส่วน ประกอบกับกรณีพิพาทในหมู่เกาะสแปรดลี่ย์ ทำให้มาเลเซียต้องให้ความสำคัญกับกองทัพเรือมาก โดยมาเลเซียมีโครงการที่จะต่อเรือรบเพิ่มอีก 26 ลำ (น่าจะเป็น MEKO A-100) และส่วนใหญ่ต่อในมาเลเซียเองอีกด้วย
แต่มาเลเซียมิได้มองว่ากองทัพเรือไทยเป็นภัยคุกคามที่ต้องจัดการอันดับหนึ่ง (แม้ว่าจะมีความตั้งใจที่จะมีนาวิกานุภาพให้เหนือไทยก็ตาม) แต่สิ่งที่มาเลเซียสนใจมากกว่านอกจากหมู่เกาะสแปรดลี่ย์แล้ว มาเลเซียสนใจนาวิกานุภาพของสิงคโปร์และความมั่นคงในช่องแคบมะละกาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซีย และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญจุดหนึ่งของโลก และน่าจะมองไปไกลถึงการป้องกันอิทธิพลของจีนที่กำลังพยายามแผ่เข้ามาในช่องแคบนี้อีกด้วย
Create Date : 20 เมษายน 2549 |
|
18 comments |
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 12:38:06 น. |
Counter : 8434 Pageviews. |
|
|
|