|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ทริปไหว้พระที่พม่า
ทัวร์พม่ามาทันใจ คราวก่อนกว่าจะได้อัพทริปอินเดียก็ดองไปซะ 4 เดือน เนื้อหาสาระอะไรที่เก็บเกี่ยวมาได้ก็ลืมเกือบหมดแระ บล็อกเที่ยวพม่าคราวนี้เลยเขียนหลังกลับจากทัวร์ 3 อาทิตย์ครับ ยังจำช็อตต่างๆได้แม่นยำ
หนนี้ไปกับทัวร์ของตั้งฮั่วเส็งร่วมกับอินโดไชน่าเอ็กพลอเรอร์อีกครั้ง หลังจากปีก่อนไปเวียดนามแล้วประทับใจบริการจัดทัวร์ของที่นี่ หัวหน้าทัวร์คือคุณจาตุรงค์ เป็น ผอ. กลุ่มกิจกรรมสัมพันธ์ของตั้งฮั่วเส็ง และเป็น สข. เขตบางพลัดด้วยครับ (โชคดีที่แกไม่ค่อยบ้าการเมืองเท่าไหร่)
ทัวร์นี้เป็นทัวร์ไหว้พระที่ย่างกุ้ง-หงสาวดี อันที่จริงถ้าไปพม่า คอโบราณสถานอย่างผมอยากไปดูทะเลเจดีย์ที่พุกามมากกว่า ถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆในย่างกุ้งและหงสาวดีจะมีอายุเก่าแก่นับพันปี แต่ผ่านการบูรณะตลอดเวลาจนดูใหม่เอี่ยม แบบนี้เหมาะสำหรับคนชอบเดินทางไหว้พระขอพรมากกว่าครับ แต่ทัวร์ของตั้งฮั่วเส็งให้อะไรเราเกินคาดเสมอ ทัวร์ 3 วัน 2 คืน (23-25 มี.ค. 56) นั่งเครื่องบิน ราคา 19,900 เหมือนจะแพง แต่พอเห็นโรงแรมและอาหารแล้วรู้สึกว่าคุ้มโคตรๆ รายการทัวร์ก็อัดแน่นจุใจทั้งสามวันเลย
วันที่ 23 มี.ค. เราออกบินตั้งแต่เช้า ช่วงบินต่ำผ่านทิวเขา นี่น่าจะอยู่แถวๆชายแดนไทย-พม่าแล้ว นั่งเครื่องจากกรุงเทพไปย่างกุ้ง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงครับ
จากนั้นคุณไกด์ท้องถิ่นและรถทัวร์ก็มารับครับ การแต่งตัวชาวพม่ามาตรฐานดังเด็กเฝ้ารถแสดงในภาพด้านล่างนี้ครับ ส่วนภาพขวาคือคุณหาร ไกด์พม่า ที่จะเป็นไกด์คนหลักในการบรรยายประวัติศาสตร์ต่างๆให้เราฟังตลอดการเดินทางนั่นเอง ส่วนใครเข้าบล็อกนี้ฟังไกด์ชีริวมั่วพลางเปิดเน็ตดูโพยไปพลางนะครับ คุณหารแต่งตัวได้เป็นทางการสุภาพสุดๆของพม่าก็คือชุดนี้ละครับ ส่วนด้านหลังคือคุณมิลค์ไกด์สาวชาวไทยผู้เรียกเสียงฮาตลอดการเดินทาง การทักทายของพม่าใช้คำว่า "มิงกะลาบา" คำนี้จำให้ขึ้นใจเลยครับ เจอบ่อยนะ
นั่งรถออกจากย่างกุ้งไปยังเมืองหงสาวดี หรือเมืองพะโค (BAGO) หรือพม่าเรียกว่าหันตาวดี เดิมเป็นเมืองของมอญ แต่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ยึดได้แล้วใช้เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ตองอู ซึ่งรุ่งเรืองสูงสุดในยุคของบุเรงนอง ในตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเมืองนี้ในสมัยก่อนเป็นท้องน้ำมีเพียงแผ่นดินเล็กๆให้เหยียบ (ส่วนพระพุทธเจ้าเหาะมาครับ) หงส์ต้องการมาเฝ้าพระพุทธเจ้าจึงเหยียบบนแผ่นดินเล็กๆ หงส์อีกตัวอยากมาเฝ้าพระพุทธเจ้าบ้าง แต่ไม่มีที่ยืน หงส์ตัวแรกซึ่งตัวใหญ่กว่าและเป็นตัวผู้ จึงให้หงส์ตัวเมียเหยียบบนหลังตนเอง พระพุทธเจ้าทำนายว่าในอนาคตที่นี่จะเป็นแผ่นดินใหญ่ สัญลักษณ์ของเมืองนี้จึงเป็นหงส์ตัวเมียขี่ตัวผู้นั่นเอง ตามสถานที่สำคัญๆของเมืองนี้จะมีเสาหงส์คู่เป็นสัญลักษณ์ครับ
จุดเที่ยวแรกที่มาถึงคือพระพุทธรูปไจ้ปุ้น และก็ได้ซาบซึ้งกับธรรมเนียมเข้าวัดของพม่า ซึ่งห้ามใส่รองเท้า ถุงเท้า ถุงน่อง เกราะขา ขาเทียม ชุดคล็อธ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เท้าไม่ได้สัมผัสพื้น (เรื่องขาเทียมผมล้อเล่น) วัดทุกแห่งของพม่าต้องเดินเท้าเปล่าเข้าไปครับ เป็นธรรมเนียมที่ซีเรียสมากแบบหมดสิทธิ์ฝ่าฝืน ส่วนพื้นวัดก็ไม่ได้ขัดใสปิ๊งอะไรหรอก ซกมกพอๆกับถนนบ้านเรานี่แหละ เดินไม่ดีเหยียบหมากที่เขาถุยไว้นะครับ
พระไจ้ปุ้นเป็นพระพุทธรูปสี่ทิศ เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าสี่องค์คือพระโกนาคม กกุสันธะ มหากัสปะ และพระสมณโคดม ตามตำนานว่ากันว่าสร้างโดยสี่สาวพี่น้องที่ศรัทธาในศาสนาและสาบานว่าจะไม่แต่งงาน แต่น้องสุดท้ายมีผัวไปซะก่อน พอผิดคำสาบานพระพุทธรูปที่น้องคนนี้สร้างก็พังลง แต่ตอนบูรณะเขาสร้างพระครบทั้งสี่ทิศแล้วครับ
ปกติผมชอบถ่ายป้ายรายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมาเป็นข้อมูลประกอบการทำบล็อก แต่ป้ายที่พม่าส่วนใหญ่เป็นภาษาพม่า ไม่มีอังกฤษกำกับ ถ่ายมาก็อ่านไม่ออกครับ
ระหว่างทางไปที่ต่อไปก็ผ่านตลาดหงสาวดี ไกด์เล่าว่าที่นี่เป็นตลาดมาหลายร้อยปีแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังเป็นตลาดอยู่ ถ้าใส่ความวินเทจสักหน่อย เปิดเป็นตลาดร้อยปีคงน่าเที่ยว
ในพม่ามี 5 มหาบูชาสถานศักดิ์สิทธิ์ที่คนพม่าบูชาสูงสุด คือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระธาตุอินทร์แขวน พระธาตุมุเตา เจดีย์ชเวซิกอง และพระมหามัยมุนี ทริปนี้ไป 3 ที่ จาก 5 ที่ครับ ซึ่งพระธาตุมุเตา หรือ พระเจดีย์ชเวมอร์ดอร์ (ชื่อชวนให้คิดถึงลอร์ดออฟเดอะริงมาก) ก็คือเป้าหมายต่อไป
พระธาตุมุเตา เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพม่า มีความสูงถึง 114 เมตร บรรจุพระเกศาธาตุ 2 เส้น ในภาพจะเห็นยอดที่หักลงมาตอนเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งชาวพม่าถือเป็นลางดี เพราะทำให้พวกเขามีโอกาสได้บูชายอดเจดีย์ใกล้ๆ (มองโลกในแง่ดีมากๆ)
ยังครับ! ยังไม่กินข้าวเที่ยง วันนี้ออกบินตั้งแต่เช้ามาถึงพม่าก็เที่ยวๆยังไม่ถึงครึ่งวันเราจะได้ไปแห่งที่สามแล้ว นี่คือ พระราชวังของพระเจ้าบุเรงนอง ที่สร้างขึ้นบนซากของพระราชวังเดิมครับ ในสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง หงสาวดีรุ่งเรืองใหญ่โตสมฐานะเมืองหลวงของผู้ชนะสิบทิศ แต่หลังจากหมดสมัยแล้วราชวงศ์ตองอูก็เสื่อมอำนาจลง จนกระทั่งพวกยะไข่ได้ทำการเผาพระราชวังเพื่อไม่ให้คนยึดติดกับบูรพกษัตริย์ผู้เก่งกล้าผู้นี้มากเกินไป
ในพระราชวังจะมีเสาไม้ที่ไหม้ไฟหลงเหลืออยู่ เขานำมาเก็บไว้อย่างดี เสาต้นใหม่ทุกต้นจะมีขนาดทัดเทียมกับเสาเดิมครับ เป็นไม้สักทองที่พม่ามีมากมายมหาศาลจนน่าอิจฉา ในยุคพระเจ้าบุเรงนอง เมืองขึ้นหลายแห่งได้ส่งไม้สักทองเป็นเครื่องบรรณาการมาที่นี่ ที่เสาเดิมบางต้นมีสลักว่าเป็นไม้ที่เป็นเครื่องบรรณาการจากใครด้วย ด้านในแสดงบัลลังก์ที่สร้างเหมือนกับสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง มีการจำลองข้าวของเครื่องใช้สมัยนั้นซึ่งทุกอย่างทำด้วยทอง (แต่ของจำลองเป็นทองเก๊นะ)
ในบริเวณพระราชวังยังพอมีซากโบราณสถานให้เห็นเป็นหย่อมๆครับ
และแล้วก็มาถึงมื้อแรกบนแผ่นดินพม่า เป็นมื้อเที่ยงครับ กินที่ร้าน Three Five Hotel ร้านดังของหงสาวดีซึ่งสมเด็จพระเทพเคยเสด็จมากินแล้ว
อาหารขึ้นชื่อของพม่าก็ต้องกุ้งเผา! และทัวร์นี้เขาจัดกุ้งตัวใหญ่ให้แทบทุกมื้อ ร้านนี้เผาหอมเนยนิดๆอร่อยมากครับ เมนูดังอีกอย่างคือไข่ไดโนเสาร์ หรือไข่เจียวใส่แป้งเยอะๆให้ฟูๆ ราดน้ำปรุง รสชาติคล้ายเต้าหู้ทรงเครื่องน่ะ
หลังอิ่มแล้วช่วงบ่ายไปไหว้พระนอนชเวดาเลียง ซึ่งคุณหารเรียกว่า "พระยิ้มหวาน" วัดนี้สร้างขึ้นสมัยพระเจ้าบุเรงนอง และถูกทิ้งร้างมาหลายร้อยปีจนชาวบ้านเพิ่งช่วยกันบูรณะเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองครับ
จุดขายคือตลาดหน้าองค์พระที่คึกคัก ภาพขวาคือภาพประวัติของวัดแห่งนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยก่อตั้งหงสาวดีที่หงส์ขี่กันมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เหาะมาบริเวณนี้ (จากภาพพบว่าท่านแอร์แดชมาแบบร็อคแมนเอ็กซ์)
ออกจากหงสาวดีสู่เมืองไจ้เที่ยว เราจะไปบูชามหาสถานที่เรียกว่า "พระธาตุอินทร์แขวน" อันน่าอัศจรรย์ แต่หนทางขึ้นไปก็โหดพอสมควรเหมือนกัน ต้องเปลี่ยนจากรถทัวร์เป็นรถบรรทุกแบบขนกรรมกรอัดเต็มหลังรถ วิ่งขึ้นเขาสุดชันทางแสนแคบด้วยสปีดแบบทำเวลา มันส์ครับ คนขับมันส์ แต่คนนั่งต้องรีบสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระธาตุอินทร์แขวน (ว่าขออย่าให้กูตายก่อนได้ขึ้นไปเห็น)
และแล้วเราก็ผ่านระยะทาง 13 กม. ...ยังไม่ถึงพระธาตุครับ! หลังจากนี้จะต้องนั่งเสลี่ยงให้คนแบกขึ้นไป ค่าเสลี่ยง 1000 บาท ค่าทิปคนแบกอีกคนละ 100 บาท คนแบก 4 คน 400 บาท สรุปว่าไป-กลับ 1400 บาท บางทีคนแบกแกล้งนอนหอบแบบใกล้ตาย คนขายน้ำจะเอาน้ำมาขายให้เราซื้อ พอเราจ่ายเงินให้เขาก็เอาน้ำไปคืน (ฮั้วกับร้านขายน้ำไว้ เฮๆ) ถ้าไม่ซื้อให้ก็แกล้งแบกโบกไปเยกมา โอววว ลีลามากมายขนาดนี้อย่าไปนั่งมันเลยครับเสลี่ยง เดินเองดีกว่า -*- ว่าแล้วก็หลับหูหลับตาเดินเข้าไปครับ ระยะทาง 2 กม. เหมือนจะไม่เท่าไหร่ แต่ด้วยความที่มันชันมากกว่า 45 องศาเกือบตลอดทาง ทำเอาถอดใจขึ้นเสลี่ยงกลางทางกันไปหลายคน ส่วนผมเสียดายตังค์ เลยเดินขึ้นไปจนสุดครับ ตามทางมีร้านค้าให้ซื้อน้ำซื้อขนมเติมพลังเป็นระยะๆ ส่วนข้าวของก็จ้างเขาแบกขึ้นไปเสียแค่ 80 บาท
ใช้เวลาเดินขึ้น 1 ชม. กว่าจะถึงตลาดด้านบน มีร้านค้าและโรงแรมมากมายเหลือเชื่อ เย็นนี้พักที่โรงแรมบนพระธาตุอินทร์แขวน โรงแรมห่วยครับ ไฟฟ้าก็ไม่ค่อยจะพอใช้ (ก็แห่กันมาสร้างโรงแรมมากมายแบบนี้) คืนนี้ไฟดับไป 6 รอบ วิวก็สวยมากครับ โรงแรมสร้างแปะอยู่บนผา จะเห็นวิวเขาไจ้เที่ยวอันงดงาม ...แต่ผมพักอยู่ห้องฝั่งตรงข้าม เปิดหน้าต่างไปได้เห็นกำแพงครับ ถึงจะห่วยแต่โรงแรมบนนี้แพงทุกแห่ง อย่างที่ผมพักอยู่คืนนึงก็ 150-180 USD เข้าไปแล้ว
หลังเก็บข้าวของที่โรงแรมเสร็จก็กินข้าว จากนั้นได้เวลาไปบูชาพระธาตุครับ ระหว่างทางมีศาลมีพระมากมาย ที่ได้รับความนิยมคือหมอนวดชเวนันจิน (รูปปั้นที่นอนอยู่นั่นละ) เชื่อกันว่าหากทำทานแล้วแตะรูปปั้นบริเวณที่เราเจ็บป่วย อาการป่วยจะหายเป็นปลิดทิ้ง ตามตำนานว่ากันว่านางชเวนันจินถูกพามาเป็นเมียเจ้าเมือง แต่ไม่ได้ขออนุญาตผีบ้าน จึงล้มป่วยรักษาไม่หาย เจ้าเมืองอนุญาตให้กลับบ้าน ระหว่างผ่านป่านางก็ไปเจอเสือหิวจะเข้ามาทำร้าย พอดีเหลือบไปเห็นพระธาตุอินทร์แขวนบนยอดเขาไกลลิบ จึงขอพรต่อพระธาตุว่าขออย่าให้เกิดอันตราย เสือก็วิ่งหนีไป นางเกิดศรัทธาก็กระเสือกกระสนบุกป่าเข้าหาพระธาตุทั้งที่ป่วยอยู่ จนสิ้นใจไป กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์พระธาตุอินทร์แขวนมานับแต่นั้น
ลานด้านบนก่อนถึงพระธาตุมีผู้คนมากมายมหาศาล ด้วยความที่โรงแรมมันแพงสุดกู่แบบนี้ หลายคนที่ขึ้นมาไหว้พระธาตุจึงปักหลักนอนมันที่ลานหน้าพระธาตุเลยครับ
พระธาตุอินทร์แขวนหรือไจ้ก์ทิโย (Kyaikhtiyo) เป็นพระธาตุประจำปีจอ มีตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้มอบพระเกศาให้ฤาษีเอาไปบูชา ฤาษีก็เก็บไว้ในมวยผมของตนเอง พอใกล้จะละสังขาร ฤาษีก็ให้เทวดาช่วยหาก้อนหินที่คล้ายมวยผมของตนเองเพื่อไว้พระธาตุ แต่เทวดาหามากี่ก้อนก็ไม่ถูกสเป็กฤาษี จนพระอินทร์ได้นำก้อนหินขึ้นจากมหาสมุทธมาบรรจุพระเกศาธาตุไว้ เดิมทีหินก้อนนี้ลอยจากพื้น จนไก่ยังเดินเข้าไปวางไข่ได้ แต่บาปที่ผู้คนได้ก่อขึ้นทำให้หินก้อนนี้ต่ำลงๆ แต่ก็แคบจนนกบินลอดผ่านได้ แต่ตอนนี้มันต่ำเกือบถึงพื้น ยังมีช่องว่างเล็กๆให้เส้นผมลอดผ่านได้ ...ในความเป็นจริงหินมันติดพื้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วแหละ
และนี่คือพระธาตุอินทร์แขวนที่พวกเรากระเสือกกระสนมาจนเกือบจะสิ้นใจตามนางชเวนันจินครับ เป็นหินที่ "แขวน" อยู่ริมผามากว่าพันปีได้อย่างน่าอัศจรรย์จนเขาคิชกูฏต้องไปทำเลียนแบบแต่ไม่เหมือน ตอนพายุนาร์กิสพัดผ่านทำเอาวอดวายไปหลายหลังคาเรือน แต่ที่นี่ก็ยังอยู่รอดปลอดภัย ไกด์เล่าว่าสมัยก่อนเขาเคยผลักเคยดันยังไงก็ไม่ร่วงลงไปครับ แต่หลังๆเขาไม่ให้ทำแล้ว กลัวมันหล่นมาจริงๆแหล่งท่องเที่ยวนี้คงเจ๊งถาวร สามารถสักการะบูชาจากด้านล่างได้ หากใครจะเข้าไปปิดทองก็ผ่านรั้วเข้าไป อนุญาตให้เข้าเฉพาะผู้ชายเท่านั้นครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปเพราะเป็นกะเทยฮ่า ...เฮ้ย! ขี้เกียจต่อคิวเข้าไปตะหาก
ยามเช้าคนยังเดินทางขึ้นมาเรื่อยๆ ระหว่างทางตอนเช้ามีฤาษีมาเคาะระฆังให้คนทำบุญใส่ตะกร้า มีพระบิณฑบาตด้วย ข้าวของก็ขายกันตั้งแต่เช้า ผมตื่นเพราะเสียงแตรรถหนวกหูทั้งคืน ออกมานอกที่พักก็พบว่าเป็นเด็กมาขายแตร กำลังยืนนำเสนอสินค้าด้วยความภาคภูมิใจที่เสียงมันหนวกหูสิ้นดี อยากตบกบาลแล้วกลับไปนอนต่อ
ขึ้นไปพระธาตุอีกรอบ คนก็ยังเนืองแน่น ข้อดีของการพักที่นี่คือทำให้มีโอกาสได้เห็นพระธาตุอินทร์แขวนในหลายๆบรรยากาศครับ
ภาพพระธาตุอินทร์แขวน ยามเช้าแบบชัดๆอีกที
แล้วเราก็เดินกลับลงมา ส่วนใครจ้างเสลี่ยงไว้ ตอนเช้าเขาก็มารับกลับลงไปครับ ขาลงเร็วกว่าขาขึ้นมาก แทบจะกลิ้งลงมาได้ครับ เดินครึ่งชั่วโมงก็ถึงพื้นละ แต่ตอนนั่งรถบรรทุกกลับลงมายิ่งเสียวกว่าขาขึ้นอีก กลัวมันจะซิ่งลงเหวข้างทางไป ถามไกด์ได้ความว่าเขาจะให้รถบรรทุกขึ้นมาถึงบนพระธาตุเลยก็ได้ แต่พวกคนแบกเสลี่ยงประท้วง กลัวไม่มีรายได้ ก็เลยต้องให้รถบรรทุกส่งลงแค่กลางทางแล้วนั่งเสลี่ยง (หรือเดิน) ต่อเอาเอง แต่ก็เห็นรถบรรทุกบางคันขนคนขึ้นไปได้จนสุดถ้าเป็นคนพม่านะ แต่ก่อนลำบากกว่านี้อีกนะครับ เขารับบริจาคเพื่อสร้างถนนให้คนรุ่นหลังขึ้นมาง่ายขึ้น และคนรุ่นหลังจากเราก็คงมาไหว้พระธาตุง่ายขึ้นไปอีก
ครึ่งเช้าของวันที่สองหมดไปกับการเดินทางกลับเมืองหงสาวดีครับ จากนั้นเราเดินทางมาย่างกุ้ง มื้อเที่ยงที่ Kyaw Swa Restaurant ซึ่งไทยเราเรียกว่าภัตตาคารเจ้าสัว ก็ยังคงอลังการกับกุ้งย่างตัวยักษ์มากมาย อาหารอย่างอื่นก็อร่อย
ย่างกุ้ง (Rangoon) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของพม่า แต่ไม่ได้เป็นเมืองหลวงแล้วนะครับ เพิ่งย้ายเมืองหลวงไปที่เนปิดอร์ ย่างกุ้งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าอลองพญา 1 ใน 3 กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพม่าต่อจากพระเจ้าอโนรธาของพุกาม และพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดี ชื่อย่างกุ้งภาษาพม่าคือดะโกง แปลว่าปราบศัตรูพ่าย แต่คนไทยเน้นอร่อยเลยเรียกย่างกุ้งครับ
ระหว่างทางมีแวะดูโรงช้างเผือกข้างทางแป๊บนึง ช้างเผือกเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์และจะต้องมีลักษณะมงคล 9 ประการครับ เอาจริงๆมันก็ช้างพิการนั่นแหละ
แล้วเราก็มาถึงวัดพระหินอ่อนเจ้าดอจี (Kyauk Taw Gyi) นี่คือพระที่สลักจากหินอ่อนก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศพม่า ก้อนหินมีน้ำหนักถึง 70 ตัน สลักเป็นองค์พระแล้วเหลือ 60 ตัน สร้างโดยรัฐบาลทหารเมื่อปี พ.ศ. 2540 ครับ องค์พระครอบด้วยกระจกติดแอร์เพื่อคุมอุณหภูมิไม่ให้หินอ่อนร้าว เพดานเหนือองค์พระปิดทองแท้ ทั้งสี่ด้านรอบองค์พระ (อยู่นอกกระจก) มีรูปสลักพระสาวกแกะด้วยหินอ่อนเช่นกัน
ต่อไปคือแหล่งช้อปปิ้งชื่อดังของพม่า ตลาดสก๊อต สร้างโดยชาวสก๊อตแลนด์ตั้งแต่สมัยพม่ายังเป็นประเทศอาณานิคมครับ ของส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึกและเครื่องประดับ โดยเฉพาะหยกพม่าที่คนนิยม แต่ผมไม่กล้าซื้อเพราะดูไม่เป็น ก็เลยซื้อของฝากยอดฮิตอย่าง Royal Myanmar Tea มากกว่า ซองละ 100 บาทเอง แม่ค้าที่นี่ไม่ดุร้ายเหมือนตลาดรัสเซียเมืองจีนหรือตลาดดองบาที่เวียดนามนะครับ แต่ต้องต่อราคานิดหน่อย (ไม่ต้องไปกดราคาสิบเท่าแบบตลาดรัสเซียนะ)
ผมใช้เวลาไปเดินด้านหลังตลาดที่เป็นร้านค้าแบบชาวบ้านมากกว่า มีของกินอร่อยๆอยู่เยอะเลยครับ (ภาพซ้าย) ขนมยอดนิยมที่ขายอยู่ข้างทางทุกที่คือบาเยีย บ้านเราก็มีเยอะแถวๆสะพานเหล็กนะครับ นอกนั้นก็มีของทอดอื่นๆ เช่นถั่วทอด โรตีทอด ปอเปี๊ยะทอด (ภาพขวา) มีน้ำผลไม้และผลไม้ปั่นสดๆหลายชนิด แต่ที่ติดใจคืออาโวกาโดปั่นใส่นมหวานครับ คุณไกด์เขาแนะนำมาอีกที หน้าตาอี๊แหวะแต่หอมหวานมันอร่อยมั้กมั่ก แนะนำให้ร้านอเมซอนเอามาทำบ้าง
ที่พาไปโน่นไปนี่เพื่อให้ได้เวลาโพล้เพล้ก่อนจะพาไปไฮไลท์ของการเดินทางนี้ นั่นคือพระมหาเจดีย์ชเวดากองอันลื่อลั่นครับ เรามาถึงเจดีย์ประมาณห้าโมงเย็น ฝากรองเท้า ขึ้นลิฟต์ ซื้อพวงมาลัย แล้วเข้ามาในบริเวณเจดีย์ ถ่ายรูปกรุ๊ปเป็นที่ระลึกซะหน่อย
พระเจดีย์ชเวดากองแห่งเมืองย่างกุ้งเป็นสถานบรรจุพระเกศาธาตุ 8 เส้น เขาว่ากันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล ชั้นบนๆหุ้มด้วยทองคำแท้มีน้ำหนักมากกว่าทองในธนาคารชาติของอังกฤษเสียอีก สมัยอาณานิคมชาวอังกฤษมาเหยียบที่นี่โดยสวมรองเท้าเหยียบแบบไม่สนใจธรรมเนียมพม่า ชาวพม่านำโดยพระสงฆ์ท่านหนึ่งต่อต้านการกระทำของอังกฤษด้วยการแห่กันมานอนบริเวณเจดีย์จนคนอังกฤษไม่สามารถก้าวเข้ามาได้ และจำต้องถอดรองเท้าปฏิบัติตามธรรมเนียมครับ
เดินรอบเจดีย์ให้เดินตามเข็มนาฬิกาครับ สี่ด้านของเจดีย์มีวิหารของอดีตพระพุทธเจ้าสี่พระองค์จากภาพบนซ้าย-บนขวา-ล่างซ้าย-ล่างขวา คือ พระโกนาคม (วิหารทิศใต้), พระกัสสปะ (วิหารทิศตะวันตก), พระโคตม (วิหารทิศเหนือ) และพระกกุสันธะ (วิหารทิศตะวันออก) ทุกวิหารจะมีจอเล็กๆซึ่งติดกล้องวงจรปิดให้ประชาชนเห็นภาพของพระพุทธรูปตาทับทิมตาวากุซึ่งอยู่ภายในองค์เจดีย์ให้คนกราบไหว้บูชาผ่านจอด้วย
บริเวณเจดีย์มีของสำคัญและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บูชามากมาย หลายอย่างก็มีประวัติความเป็นมายาวนาน แบบเล่าได้เป็น 3-4 เอนทรี่เลยครับ ขอพาชะโงกดูด้วยภาพด้านล่างแล้วกัน แว้---บ!!
เวลาอยู่ในเจดีย์จะได้ยินเสียงสวดมนต์ดังไม่หยุด ไม่ได้เปิดเทปนะครับ ต้นเสียงมาจากพระรูปนี้ สวดอึด สวดทนจริงๆ
นี่คือพิพิธภัณฑ์เก็บภาพถ่ายประวัติและสิ่งสำคัญต่างๆของเจดีย์ไว้ครับ ภาพยอดของเจดีย์ประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด ทับทิม 2,317 เม็ด เพชรบนยอดเจดีย์นั้นมีขนาดถึง 76 กะรัต!!
สาเหตุที่พามาตอนใกล้ๆค่ำ เพื่อให้ลูกทัวร์ได้เห็นภาพเจดีย์ทั้งยามสว่าง ยามโพล้เพล้ และยามกลางคืน สวยงามทั้งสามเวลาครับ นี่คือภาพเจดีย์ชเวดากองยามโพล้เพล้ แม้แต่เจดีย์รายก็ยังงดงาม สมเป็น 1 ใน 5 มหาสถานของพม่าที่ต้องมาชมสักครั้งในชีวิตครับ
จุใจและอิ่มบุญกันไปแล้ว เราเดินทางออกมาเห็นสิ่งก่อสร้างสวยงามกลางน้ำ ชาวไทยมือไม้อ่อนก็ยกมือไหว้ทันที ...คุณไกด์เฉลยว่านั่นเป็นร้านอาหารครับ (แป่ว!) เรามากินมื้อเย็นที่ภัตตาคารการะเวก เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดของพม่า ซึ่งสร้างเรือการะเวกตามแบบเรือของกษัตริย์พม่าในอดีต ภายในมีการแสดงให้ชมขณะรับประทานอาหาร เหมือนได้ขึ้นเรือการะเวกที่มีอยู่จริงในครั้งอดีตเลยทีเดียว การแสดงจะเน้นการแสดงของชนเผ่าต่างๆ ในพม่ามีหลายชนเผ่านะครับ ตั้งแต่พม่า ไทยใหญ่ กะเหรี่ยง มอญ ยะไข่ คะฉิ่น ฯลฯ สำหรับอาหารเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติครับ
คืนนี้พักที่โรงแรม Green Hill Hotel โรงแรมหรูของย่างกุ้ง ถึงค่าครองชีพจะถูกกว่าไทย แต่โรงแรมในพม่าแพงมากครับ อย่างที่นี่ค่าที่พักก็คืนละ 130 USD ยิ่งชั้นสูงยิ่งแพง ห้องสะอาดสวยงามดี แต่น้ำอุ่นไม่ร้อนเท่าไหร่
วันสุดท้ายเราไปที่พระนอนเจาทัตยี หรือที่ไกด์เรียกว่า "พระตาหวาน" (แหม่ มีพระยิ้มหวานแล้วยังมีพระตาหวานอีก) ตาท่านหวานจริงๆครับ ขนตายาวพริ้มด้วย
ชะโงกผ่านร้านขายของที่ระลึกหน้าองค์พระ วันนี้เป็นวันเที่ยววันสุดท้าย เหมาะแก่การซื้อของที่ระลึกครับ ของผลิตภัณฑ์งานฝีมือทำจากไม้ก็ถูกดี นอกจากหยกแล้วไม้หอมก็มีขายเยอะ แต่คงไม่ใช่แก่นกฤษณาเพราะมันถูกเกิน
ต่อไปเป็นสถานที่เที่ยวสุดท้ายแล้วครับ ที่ๆหลายคนรอคอยเพราะที่นี่มีเทพทันใจซึ่งเชื่อกันว่าขอพรแล้วเห็นผลทันใจและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในพม่าแล้ว คนไทยหลายคนมาพม่าเพื่อการนี้โดยเฉพาะด้วยซ้ำ ที่นี่คือพระเจดีย์โบตาทอง มีพระเกศาธาตุอีกแล้วครับท่าน องค์เจดีย์ถูกบูรณะหลังจากถูกทำลายในสงครามโลกครั้งที่สอง สามารถเข้าไปภายในเจดีย์เพื่อดูผอบบรจุพระเกศาธาตุได้โดยตรงเลย
เทพทันใจหรือโบโบยี อยู่ในวิหารริมน้ำใกล้พระเจดีย์โบตาทอง ตามธรรมเนียมจะต้องจ่าย 120 บาท ซื้อเครื่องสักการะถวายเทพทันใจ แล้วพับแบงค์ 2 ใบเป็นกรวย ใส่มือเทพทันใจแล้วขอพร เสร็จแล้วดึงมาเก็บไว้ในกระเป๋าใบหนึ่ง จากนั้นเอาหน้าผากไปแตะนิ้วของท่าน ไม่นานพรจะสมปรารถนา แต่คิวขอพรยาวมากจนผมไม่ได้เข้าไปขอครับ ถ้าขอจะขออะไรดีน้อ...?
นอกจากเทพทันใจแล้วบริเวณใกล้เคียงยังมีศาลและวิหารอื่นๆที่น่าสนใจได้แก่วิหารพระพุทธรูปทองคำ ซึ่งเคยถูกอังกฤษนำไปจากพม่า แต่พระพุทธรูปมาเข้าฝันพระราชินีวิคตอเรีย จนต้องสั่งให้ทหารเอาพระมาคืนพม่า ถึงจะทำด้วยทองเหลือง แต่ชาวพม่าเรียกกันว่าพระทองคำครับ อีกแห่งที่คนนิยมเข้าไปขอพรกันคือเทพกระซิบ ซึ่งเชื่อกันว่าหากกระซิบขอพรข้างหูแล้วจะทำให้สมปรารถนา
เรานั่งรถไปทานข้าวเที่ยง ผ่านตึกทำเนียบของพม่าครับ ที่นี่นับเป็นจุดศูนย์กลางของย่างกุ้ง บริเวณใกล้เคียงมีเจดีย์สุเหล่ และอนุสาวรีย์ประกาศอิสรภาพด้วย
แถวไหนมีทำเนียบแถวนั้นย่อมเป็นสถานที่ๆคนนิยมมาประท้วงครับ อย่างกลุ่มนี้เรียกร้องให้ลดการคอรัปชั่น และให้ทหารไปอยู่ตามชายแดนบ้าง โชคดีที่ยังประท้วงอย่างสงบ ไม่ลามปามก่อความเดือดร้อนแบบม็อบหลากสีบ้านเรา
ก่อนทานข้าวเที่ยงเราแวะห้าง Junction Center ห้างดังของพม่า หรูประมาณตั้งฮั่วเส็งหรือบางลำพูบ้านเราน่ะครับ ไม่มีการ์ตูนขาย แย่ๆ... -3-
ข้าวเที่ยงทานที่ร้านไหนสักแห่งผมจำชื่อไม่ได้ สภาพด้านนอกเก่าโทรม หลังคายังคงเป็นสังกะสีตามสไตล์อนุรักษ์นิยม แต่อาหารมื้อนี้หรูเหลือเชื่อ!! ทัวร์หมื่นกว่าบาทได้กินทั้งสลัดกุ้งมังกร, เป็ดปักกิ่ง, ปูนิ่มผัดผงกะหรี่, ปลาช่อนทอดสามรส, กุ้งผัดพริกไทยดำ, ฯลฯ มีคาราโอเกะให้บริการ ซึ่งไกด์ หัวหน้าทัวร์ และลูกทัวร์เราก็ได้โชว์ฝีมือทั้งเพลงไทยเพลงฝรั่งกันอย่างสนุกสนาน
จากนั้นก็เดินทางกลับมาสนามบินเมงกะลาดอน แล้วบินกลับไทยครับ เราเดินทางกลับใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง เช่นเดียวกับขามาครับ นับว่าเป็นสามวันที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพสมราคาทัวร์ตั้งฮั่วเส็งจริงๆ...
จบทริปแล้วขอเล่าเรื่องควรรู้เกี่ยวกับพม่า ซึ่งผมก็เพิ่งจะรู้จากทริปนี้แหละ
สาวพม่านิยมทาแป้งที่ฝนจากไม้ทานาคา เรียกว่าแป้งทานาคาครับ ใช้ป้องกันสิวฝ้า เราจึงเห็นสาวพม่าพอกแป้งหนาเตอะ ออกมาตากแดดตากลมได้ไม่กลัวร้อน
ชาวพม่านับถือพุทธศาสนาถึง 92% เยอะกว่าสัดส่วนชาวพุทธในไทยเสียอีก รองมาคืออิสลาม คริสต์ และฮินดู ชาวพม่ามีศรัทธาต่อพุทศาสนาแรงกล้าขนาดมีทรัพย์สินเท่าไหร่ก็ถวายเป็นพุทธบูชา บ้างก็เอาเงินไปสร้างเจดีย์ไว้กลางบ้านกลางทุ่งนา เชื่อกันว่าจนชาตินี้แต่จะรวยชาติหน้าครับ ระยะหลังมีปัญหาระหว่างพุทธและอิสลาม แต่พระพม่าก็ใช่จะอยู่เฉยให้ถูกอิสลามเล่นงานนะครับ พระก็สู้คนจ้ะ พระก็สู้คน ใครมาร้ายเดี๋ยวอาตมาเอาบาตรฟาดแม่งเลย
นอกจากต้องถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดทุกแห่งแล้ว หลายๆที่จะเก็บค่าธรรมเนียมกล้องถ่ายรูปครับ แต่ไม่แพงเท่าไหร่ แค่ประมาณ 300 จ๊าด คิดเป็นเงินไทยก็ 12 บาทเท่านั้นเอง แต่เกือบทุกแห่งห้ามถ่ายวิดีโอนะจ๊ะ
ของกินที่ไกด์พาไปกินส่วนใหญ่ปรับให้เข้ากับคนไทยแล้ว อาหารพม่าแท้ๆน้ำมันเยอะครับ แม้แต่ข้าวก็ราดน้ำมันคลุกข้าวกิน แต่ดูข้าวแกงข้างทางก็ดูน่าลองกินเหมือนกันนะ พม่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์กว่าเวียดนามครับ แต่เวียดนามเจริญกว่า และไม่มีขอทานยั้วเยี้ยแบบพม่าครับ
ชาวมอญเป็นกลุ่มชนที่สร้างอารยธรรมรุ่นแรกๆในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรสุวรรณภูมิ หรือทวาราวดีในบ้านเราก็เป็นผลงานอารยธรรมของชาวมอญ แต่ด้วยความที่รักสงบ พวกเขาเสียเมืองให้ชนชาติอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะการถูกพระเจ้าอลองพญาปราบปรามแล้วสร้างประเทศพม่าขึ้นใหม่ โดยสร้างเมืองย่างกุ้งเป็นศูนย์กลางในปี พ.ศ. 2300 ปัจจุบันชาวมอญเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในพม่า หรือทางภาคกลางตอนล่างของไทย ไม่มีแผ่นดินเป็นของตนเอง
พม่าเคยเจริญรุ่งเรืองเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคนี้มาหลายครั้ง แต่ก็สลับกับการล่มสลายไปอีกหลายครา จนกระทั่งถูกอังกฤษปกครอง จากนั้นรัฐบาลทหารก็เข้ามาทำประเทศจนล่มจม (ประเทศที่ปกครองโดยเผด็จการทหารนั้น ถ้าได้ผู้นำที่ดีมันก็ดีนะครับ แต่ส่วนใหญ่มันไม่ดี) เราเรียนรู้กันว่าเราเสียกรุงครั้งที่หนึ่งในปี พ.ศ. 2112 แต่พม่ารับรู้ว่าอยุธยาเสียกรุงตั้งแต่สมัยพระมหาจักรพรรดิยอมยกช้างเผือกถวายพระเจ้าบุเรงนอง ส่วนในปี 2112 นั้นเป็นแค่การปราบกบฎเท่านั้นเอง ในไทยเราเห็นภาพยุทธหัตถีเกือบทุกแห่ง แต่ตามสถานที่ทางประวัติศาสตร์ต่างๆในพม่ามักเล่าความเป็นมาในการสร้างศาสนสถานหรือเมืองต่างๆมากกว่าประวัติศาสตร์สงคราม อย่างภาพใหญ่ที่สนามบินเมงกะลาดอน ย่างกุ้งก็เป็นภาพเรือการะเวก พม่าไม่เห็นไทยเป็นศัตรูครับ งานแข่งขันอย่างซีเกมส์หรือเอเชียนเกมส์คนพม่าเขาเชียร์เรามากกว่าประเทศอื่นๆนะ ไทยเราก็ควรเลิกอินกับประวัติศาสตร์พม่ารบอยุธยาได้แล้ว ผมว่าไปอ่านประวัติศาสตร์หลังได้ รธน. ใหม่ๆน่าสนใจกว่านะ อิอิ
สินค้าไทยก็เป็นที่นิยมในพม่ามากๆ ของจีนเกรดนึง ของไทยก็อีกเกรดหนึ่ง สินค้าไทยถือเป็นของดีของเขาครับ แม้แต่แฟนของคุณหารเองก็ทำงานที่วุฒิศักดิ์คลีนิคในย่างกุ้งด้วย
พม่านับเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทกับเราที่สุดเช่นเดียวกับลาวครับ ในกลุ่มประเทศอาเชียนผมเคยไปสิงคโปร์กับเวียดนามมาแล้ว แต่ละประเทศก็มีลักษณะของตัวเองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน สิงคโปร์จะสะอาด เป็นระเบียบ และเจริญ เวียดนามจะอดอยาก มีวินัย มีศักดิ์ศรี ในขณะที่พม่าจะมีศรัทธา อุดมสมบูรณ์ แต่ยากจน อยากจะไปชะโงกดูและทำความรู้จักเพื่อนบ้านให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ปี 57-58 คิดว่าอยากจะไปลาวกับเขมรครับ ทั้งสองประเทศมีโบราณสถานแบบที่ผมชอบมากมาย ราคาไม่ค่อยต่างจากเที่ยวไทยเท่าไหร่ด้วย ส่วนพม่าถ้ามีโอกาสมาอีกอยากไปพุกามกับมัณฑะเลย์ครับ ^^ พม่าเป็นประเทศที่เพิ่งเปิด ยังมีดินแดนสนธยาที่ยังไม่เปิดให้คนต่างชาติเข้าอยู่อีกเยอะ เขามีภูเขาหิมะด้วยนะ
อาทิตย์นี้ถ้าเป็นปกติอยากอัพบล็อกเกี่ยวกับ Wrestle Mania ศึกใหญ่ที่สุดประจำปีของ WWE แต่ปีนี้มันห่วยสิ้นดี ไม่มีอะไรให้พูดถึงเท่าไหร่ ขอข้ามไป WMXXX ปีหน้าเลยดีกว่าเนอะ
Create Date : 23 เมษายน 2556 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2560 19:01:03 น. |
|
60 comments
|
Counter : 3523 Pageviews. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:22:56:45 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:23:22:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:23:28:50 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 23 เมษายน 2556 เวลา:23:52:01 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:1:33:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:6:57:57 น. |
|
|
|
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:7:59:07 น. |
|
|
|
โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:8:17:15 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:8:43:15 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:18:50:49 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:19:17:48 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 24 เมษายน 2556 เวลา:21:14:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:6:39:09 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:18:37:49 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 25 เมษายน 2556 เวลา:19:34:09 น. |
|
|
|
โดย: untalai วันที่: 26 เมษายน 2556 เวลา:20:23:08 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:10:26:36 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:11:23:23 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:20:04:00 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:22:16:58 น. |
|
|
|
โดย: คมไผ่ วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:22:31:51 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 27 เมษายน 2556 เวลา:23:00:34 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:2:06:37 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:6:49:04 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:18:13:20 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:18:46:19 น. |
|
|
|
โดย: pantawan วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:18:59:08 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 28 เมษายน 2556 เวลา:20:34:18 น. |
|
|
|
โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 29 เมษายน 2556 เวลา:9:07:18 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 29 เมษายน 2556 เวลา:22:31:09 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 29 เมษายน 2556 เวลา:22:44:03 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 30 เมษายน 2556 เวลา:7:49:50 น. |
|
|
|
โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 30 เมษายน 2556 เวลา:8:31:12 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 30 เมษายน 2556 เวลา:10:42:09 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 30 เมษายน 2556 เวลา:15:20:05 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 30 เมษายน 2556 เวลา:23:39:50 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 1 พฤษภาคม 2556 เวลา:0:27:21 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 1 พฤษภาคม 2556 เวลา:0:57:46 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 1 พฤษภาคม 2556 เวลา:16:35:49 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 2 พฤษภาคม 2556 เวลา:15:01:29 น. |
|
|
|
โดย: OceanSage วันที่: 4 พฤษภาคม 2556 เวลา:18:28:58 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 8 พฤษภาคม 2556 เวลา:11:49:17 น. |
|
|
|
โดย: folky IP: 171.97.87.84 วันที่: 17 เมษายน 2557 เวลา:23:21:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ตามไปเที่ยวพม่าด้วยค่ะ
พระธาตุอินทร์แขวน น่าทึ่งจัง
อยู่ข้างล่างคงหวาดเสียวน่าดูเลยค่ะ