|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เที่ยวศาสนสถานสองพันปีที่อินเดีย อะชันตา-เอลโลร่า
ดองมานาน ถึงคิวบล็อกเล่าเรื่องท่องเที่ยวอินเดียช่วง ธ.ค. ปีที่แล้วเสียทีครับ เป็นปีที่ทริปสังเวชนียสถานได้รับความนิยมสุดๆเพราะครบรอบ 2600 ปีที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทัวร์สถานที่ประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานเลยราคาโด่งแบบสุดๆ ซึ่งทัวร์นั้นผมไม่ได้ไป (แล้วจะเล่าทำไม?) ทัวร์ที่ผมไปนี้เน้นท่องเที่ยวศาสนสถานเก่าแก่ในเมืองมุมไบและออรังกาบัดที่มีความวิจิตรสวยงามแบบที่ศิลปินสมัยใหม่ยังอาย โดยเฉพาะหมู่ถ้ำอชันตาและหมู่ถ้ำเอลโลร่า จัดทัวร์โดยแพลเน็ตเวิลด์ไวด์ที่เชี่ยวชาญการท่องเที่ยวเชิงโบราณคดีต่างประเทศครับ
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่หลายๆคนอยากมาเพราะเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาของโลกมากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมขึ้นชื่อหลายแห่ง และมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ในขณะที่อีกหลายๆคนก็ไม่อยากมาเพราะสกปรก เบื่อขอทานรุมตอม และอาหารอินเดียไม่ถูกปาก สถานที่ท่องเที่ยวในทริปนี้คือเมืองมุมไบและออรังกาบัด สองเมืองในรัฐมหาราษฎระ ซึ่งเป็น 1 ใน 28 รัฐของอินเดีย
เครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิลงจอดที่มุมไบครับ เมืองที่มีประชากรมากที่สุดและร่ำรวยที่สุดในอินเดีย เดิมทีเมืองนี้ชื่อบอมเบย์ หลังจากตกอยู่ในอาณัติของอังกฤษ เมืองก็กลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญและมีตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรปขึ้นมากมาย ดูไปแล้วก็เหมือนเมืองลอนดอน แต่เป็นลอนดอนที่มีอาบังเดินกันเต็มไปหมด ภายหลังจากอินเดียได้รับเอกราชแล้วก็เปลี่ยนชื่อบอมเบย์เป็นมุมไบเพื่อสลัดภาพของอังกฤษออกไป เราพักที่โรงแรมมิราดอร์ หรูหราและสะอาด และมีที่ฉีดตูด ที่สำคัญอาหารอินเดียอร่อยมากครับ
มุมไบเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยเชื่อมเข้าด้วยกัน ภาพนี้นั่งรถข้ามสะพานระหว่างเกาะ ที่เห็นนี้คือมหาสมุทรอินเดียครับ
สุเหร่าฮาจิอาลีตั้งอยู่กลางทะเลอาระเบียน เป็นที่ๆนั่งรถผ่านไป-มาอยู่ 4 รอบเห็นจะได้ แต่ไม่ได้เข้าไปดูนะครับ ไปเมื่อไหร่ก็เห็นคนต่อแถวบนสะพานทางเข้ากันยาวเหยียดเลย
ถ้ำเอเลแฟนต้า
ไฮไลท์ของวันแรกนี้คือเกาะเอเลแฟนต้าหรือเกาะฆรบุรี ซึ่งต้องนั่งเรือออกจากประตูอินเดีย (Gateway of India) แถวนี้มีอนุสาวรีย์ ตึกสวยๆ และของขายมากมาย โชคดีที่วันก่อนกลับมีเวลามาแวะเดินถ่ายรูป แต่ด้านขวาคือกองทัพเรือถ่ายรูปไม่ได้ครับ
เกาะอยู่ไกลจากฝั่ง 10 กม. การเดินทางกินเวลาค่อนข้างมาก (45 นาที) นานจนอีกาที่นั่งเรือมาด้วยทนไม่ไหว ต้องกระโดดน้ำตาย
ในที่สุดเราก็มาถึงถ้ำเอเลแฟนต้า (Elephanta Caves) ที่โด่งดัง โดยเฉพาะภาพสลักตรีมูรติกลางถ้ำที่หลายคนผ่านตาจากภาพโปรโมทการท่องเที่ยวอินเดียหลายครั้ง หลังลงจากเรือก็ต้องนั่งรถรางเข้าไปครับ จากนั้นก็ลงเดินขึ้นเขาเตี้ยๆ มีบริการแบกขึ้นเสลี่ยงสำหรับคนขี้เกียจเดินขึ้นเขาด้วย
ถ้ำเอเลแฟนต้า หรือเรียกในชื่อไทยว่าถ้ำคุณช้าง (ผมมั่ว) เป็นถ้ำที่เกิดจากการเจาะภูเขาหินเข้าไป สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7-8 และอยู่ยั้งยืนยงมาได้ โดยมีการบุบสลายน้อยมากเทียบกับเหล่าปราสาทหินแถวบ้านเราที่อายุน้อยกว่าหลายร้อยปี เพราะถ้ำนี้แกะจากหินบะซอลท์ที่มีความแข็งแกร่งทนทาน ลำบากตอนแกะ แต่อยู่ได้ทนเป็นพันๆปีครับ ถ้ำแห่งนี้เป็นมรดกโลกด้วยครับ มีทั้งถ้ำของฮินดู เชน และ พุทธ แต่ภาพส่วนใหญ่เก็บจากถ้ำใหญ่ที่สุดที่มี Mehesh Murti มากกว่า ภาพสลักแรกที่อยู่ต้อนรับผู้มาเยือนคือศิวนาฏราชอันงดงามครับ
ฟังไกด์ท้องถิ่นเล่าเรื่องลำบากตรงที่ชื่อเทพและอสูรต่างๆเป็นชื่อภาษาอังกฤษซึ่งไม่เหมือนชื่อที่เราคุ้นเคยกัน เลยเดาเรื่องไม่ค่อยถูก อย่าง Shiva (พระศิวะ), Vishnu (พระนารายณ์), Brahma (พระพรหม), Ganesha (พระคเนศ), Lakshmi (พระลักษมี), ฯลฯ ยังพอเดาได้ แต่พอ Durga, Saraswati, Andhaka, Ravana, ฯลฯ เริ่มไปไม่ถูกละครับ ดีที่คุณชาร์ลีไกด์ชาวไทยทำหน้าที่บรรยายซับไทยเสริมท้ายไกด์ต่างชาติให้ฟังทุกครั้ง
กลางถ้ำมีห้องบูชาศิลลึงค์ พร้อมทวารบาลเฝ้าประตูอยู่ 4 ด้านๆละ 2 องค์
ด้านในถ้ำหลักมีภาพที่เรียกว่า Mehesh Murti ซึ่งเป็นปางทั้งสามของพระศิวะ หน้ากลางคือปางแห่งการสร้าง หน้าขวาคือปางแห่งการรักษา และหน้าซ้ายคือปางแห่งการทำลาย ผู้คนมักสับสนกับตรีมูรติซึ่งหมายถึงเทพสูงสุดของฮินดูคือพระศิวะ-พระนารายณ์-พระพรม แต่ภาพสลักนี้คือพระศิวะทั้งหมดครับ ภาพสลักครึ่งองค์นี้มีความสูงสามเมตร นับเป็นงานแกะที่สวยงามและโด่งดังที่สุดของถ้ำเอเลแฟนต้าแห่งนี้เลย
ในถ้ำยังมีภาพแกะอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพเล่าเรื่องในศาสนาฮินดู ทั้งตอนพระศิวะแต่งงานกับพระแม่อุมา, พระศิวะฉีกร่างอสูรนีลา, ทศกัณฐ์แบกเขาไกรลาส, และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากถ้ำนี้แล้วยังมีถ้ำเล็กอื่นๆ อีก เสียดายที่มีเวลาเดินแค่ ชม. เดียวครับ
จากนั้นก็นั่งรถรางและนั่งเรือกลับมาที่เมืองมุมไบ มื้อเที่ยงวันนี้เป็นอาหารจีน ซึ่งทัวร์อินเดียหลังๆมีแนวโน้มจับคนไทยไปเลี้ยงอาหารจีนบ่อยขึ้น เพราะคนไทยส่วนใหญ่รับอาหารอินเดียไม่ได้ (ทีปลาร้าละแดกได้แดกดี) สำหรับผมมื้อนี้เสียของครับ มาอินเดียดันมานั่งกินอาหารจีนซึ่งเป็นอาหารต่างชาติราคาถูกที่สุดในทุกประเทศที่ไป
ช่วงบ่ายของวันแรกหมดไปกับการนั่งรถไปยังสนามบินครับ ระหว่างทางมีอนุสาวรีย์ที่ระลึกวันประกาศอิสรภาพของอินเดียจากอังกฤษ ซึ่งเริ่มจากการลุกขึ้นสู้ของทหารอินเดียในปี 1857 ด้วย
สถานีรถไฟวิคตอเรีย สวยงามสไตล์อังกฤษ เช่นเดียวกับสถานีรถไฟในหลายๆเมืองที่อังกฤษเคยไปยึดครองครับ ที่นี่สร้างขึ้นในปี 1878 แต่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นสถานีรถไฟฉัตรปตีศิวาจิ อดีตกษัตริย์อินเดียผู้สร้างอาณาจักรมาราธาหรือก็คือรัฐมหาราษฎระในปัจจุบันนี้เอง
โค้งเลียบฝั่งทะเลที่สวยงามที่สุดในเมืองมุมไบ รสบัสจอดให้ถ่ายรูปคาสะพานเลย
เรานั่งเครื่องบินภายในประเทศ จากมุมไบไปออรังกาบัด เมืองที่มีโบราณสถานเก่าแก่สวยงามจำนวนมาก กว่าจะถึงก็เกือบๆเที่ยงคืนแล้วครับ โรงแรม VITS ที่พักในออรังกาบัดนี้ก็สะอาดสวยงาม แม้อาหารจะอร่อยสู้ที่มิราดอร์ไม่ได้ก็เถอะ
วันที่ 2-3 เป็นการท่องเที่ยวในออรังกาบัด เมืองนี้เป็นเมืองที่พระเจ้าออรังเซบแห่งราชวงศ์โมกุลเป็นผู้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ออรังเซบเป็นลูกชายของพระเจ้าชาห์ จาฮัล ผู้สร้างทัชมาฮาลเป็นที่ฝังเมีย (แถมยังประหารคนสร้างทัชมาฮาลหลังสร้างเสร็จ เพื่อไม่ให้สร้างสิ่งที่งดงามยิ่งกว่านี้ได้อีก) และมีเมกะโปรเจ็คต์จะสร้างปราสาทหินอ่อนสีดำเป็นที่ฝังตัวเองต่อมา แต่เปลืองงบประเทศชาติครับ คุณลูกเลยจับพ่อตัวเองขังไว้ในวังหินอ่อนนั้นแล้วครองราชย์แทนซะเลย พอพ่อตายก็เอาไปฝังกับแม่ในทัชมาฮาล ส่วนวังหินอ่อนก็ถูกใช้เป็นเป็นป้อมอักราในเวลาต่อมา
ทั้งเมืองจะเต็มไปด้วยโบราณสถานสมัยราชวงศ์โมกุล แต่ไฮไลท์ที่เราจะไปดูคืองานฝีมือของช่างยุคเก่าแก่กว่านั้นครับ
ถ้ำอะชันตา
หลังนั่งรถบัสจนตูดระบมมากว่า 3 ชม. (ระหว่างทางมีแวะกินชาอินเดียด้วย) ในที่สุด เราก็มาถึงถ้ำอชันตาไฮไลท์ของทริปอินเดียครั้งนี้ หมู่ถ้ำเหล่านี้เป็นการขุดเจาะภูเขาเข้าไปเป็นศาสนสถานสำหรับสวดมนต์ นั่งสมาธิ ประกอบศาสนกิจอื่นๆของศาสนาพุทธ ถ้ำแรกขุดเจาะเข้าไปก่อน ค.ศ. 200 ปี และขุดเจาะมาเรื่อยจนถึงศตวรรษที่ 7 ก่อนที่มุสลิมจะเข้ายึดครองอินเดีย แล้วถ้ำแห่งนี้ก็ถูกเก็บไว้เป็นความลับเพื่อป้องกันการถูกทำลาย
|
คนขายถั่วของแท้จ้ะ
|
|
| จนกระทั่งผ่านไปหลายพันปี ถ้ำถูกปกคลุมด้วยป่ารกชัฏและได้เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน จนกระทั่งทหารอังกฤษชื่อจอห์น สมิธ ได้ค้นพบถ้ำอชันตาขณะออกล่าสัตว์ในปี 1819 (มือบอนสลักชื่อตัวเองไว้ด้วยนะ)
ที่นี่มีถ้ำทั้งหมด 30 ถ้ำ แกะสลักต่างยุคต่างสมัยกัน ถ้ำที่เก่าแก่ลำดับต้นๆจะเป็นของพุทธหีนยาน (มหายานยังไม่เกิด) ในขณะที่ถ้ำที่สร้างเพิ่มเติมขึ้นมาเป็นของพุทธมหายาน หมายเลขของถ้ำจะเรียงตามระยะทาง ถ้ำหมายเลข 1 จะอยู่ใกล้ทางเข้ามากที่สุดครับ แต่ไม่เรียงตามลำดับการแกะนะ ในถ้ำต่างๆมีทั้งงานแกะสลักที่วิจิตรสวยงามจนได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปะอินเดียโบราณที่สวยงามที่สุดที่หลงเหลือมาถึงยุคปัจจุบัน ตั้งแต่องค์พระ ลวดลายกรอบประตู เสา แล้วยังมีภาพเขียนสีเก่าแก่ที่สวยงามบนผนังและเพดาน ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดได้แก่ภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร บนผนังถ้ำหมายเลข 1 รูปนี้ครับ
งานแกะสลักพระพุทธองค์ที่งดงามในถ้ำหมายเลข 1
ถ้ำที่มีภาพเขียนสวยงามที่สุดคือถ้ำหมายเลข 1, 2, 16, 17 และ 19 ส่วนภาพที่มีงานแกะสลักงดงามที่สุดคือถ้ำหมายเลข 1, 4, 17, 19, 24 และ 26 ครับ
ถ้ำที่เราได้เข้าไปด้านในมีหมายเลข 1, 2, 9, 10, 17, 19, 26 อันที่จริงจะเข้ากี่ถ้ำก็ย่อมได้ แต่ด้วยเวลาจำกัดไกด์เลยพาเข้าเฉพาะไฮไลท์ถ้ำที่คุ้มค่าเสียเวลาครับ
(ภาพซ้ายบน) ภาพเขียนตอนประสูติพระพุทธเจ้า ในถ้ำหมายเลข 1 (ภาพกลางบน) งานแกะสลักพระพุทธองค์ในถ้ำหมายเลข 2 (ภาพขวาบน) ลวดลายบนเสาถ้ำหมายเลข 2 (ภาพซ้ายล่าง) ภาพเขียน ในถ้ำหมายเลข 2 (ภาพกลางล่าง) งานแกะเทพคุบิร่าและมเหสี ในถ้ำหมายเลข 2 (ภาพขวาล่าง) ลวดลายบนเสาและภาพเขียน ในถ้ำหมายเลข 2
ทางเข้าถ้ำหมายเลข 9 แกะสลักสวยงามตั้งแต่ประตูทางเข้าเลยทีเดียว ถ้ำนี้แกะสลักขึ้นช่วง 100 ปีก่อนคริสศักราช เก่าแก่ที่สุดรองจากถ้ำหมายเลข 10
ทั้งถ้ำหมายเลข 9 และ 10 เป็นถ้ำของหีนยาน ภายในเป็นห้องโถงสวดมนต์ มีสถูปเป็นประธาน ไม่ใช่พระพุทธรูป เนื่องจากหีนยานไม่สร้างรูปเคารพพระพุทธองค์ครับ พระพุทธรูปองค์แรกมีขึ้นก็หลังจากพระพุทธเจ้านิพพานไป 500 กว่าปีแล้ว และนี่คือภายในถ้ำหมายเลข 10 ครับ ที่นี่เป็นถ้ำแรกที่ถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่เมื่อ 200 ปีก่อนคริสศักราช และยังเป็นถ้ำแรกที่จอห์นสมิธค้นพบ และเขียนชื่อไว้บนเสาต้นหนึ่งด้วย (แต่ถ่ายมาแล้วอ่านไม่ออก)
(ภาพซ้าย) ภาพเขียนพระพุทธเจ้า 8 องค์ใน 3 กัปหลังสุด ได้แก่พระวิปัสสีพุทธเจ้า, พระสิขีพุทธเจ้า, พระเวสสภูพุทธเจ้า, พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมนพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า, พระโคตมพระพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) และพระศรีอารยเมตไตรย (พระพุทธเจ้าในอนาคต) บนกรอบประตูถ้ำหมายเลข 17 (ภาพกลาง) ภาพกงล้อธรรม บนเพดานหน้าทางเข้าถ้ำหมายเลข 17 (ภาพขวา) ภาพเขียนที่งดงามภายในถ้ำหมายเลข 17
สมัยก่อนพวกเขาใช้แสงอะไรส่องตอนทำงานที่ละเอียดขนาดนี้ในถ้ำ? ตามทฤษฎีเชื่อว่ามีการทำบ่อขังน้ำไว้ตื้นๆ สำหรับสะท้อนแสงจากด้านนอกเข้ามาทำให้ด้านในสว่างไสว นับเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณครับ
ถ้ำหมายเลข 19 (คริสศตวรรษที่ 6) เป็นหนึ่งในถ้ำที่มีลวดลายแกะสลักสวยงามที่สุด
(ภาพซ้าย) ลวดลายแกะสลักบริเวณทางเข้าถ้ำหมายเลข 19 (ภาพกลาง) ลวดลายแกะสลักบนผนังถ้ำหมายเลข 19 (ภาพขวา) ภายในถ้ำหมายเลข 19 มีภาพสลักพระพุทธองค์เต็มตัว หลังคาเป็นรูปโค้งรับแรง และเพิ่มความสวยงามของภายในถ้ำ
ถ้ำหมายเลข 20 ขึ้นไปส่วนมากยังสร้างไม่เสร็จ ด้านในของถ้ำที่ยังสร้างไม่เสร็จเหล่านี้ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิธีการก่อสร้างของช่างสมัยโบราณด้วย
และแล้วเราก็เดินมาถึงถ้ำที่มีการแกะสลักงดงามที่สุด ถ้ำหมายเลข 26 ครับ จากการเล่าเรื่องราวในถ้ำต่างๆไล่มาตั้งแต่ถ้ำที่ 1 เป็นพระโพธิสัตว์และการประสูติของพระพุทธเจ้า, ตามมาด้วยพุทธประวัติตอนต่างๆในถ้ำอื่นๆ และในถ้ำที่ 26 นี้ แกะสลักภาพปรินิพพานไว้ครับ ถ้ำแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 625 สวยงามตั้งแต่ปากทางเข้าเช่นเดิม
ลักษณะของถ้ำนี้ใกล้เคียงกับถ้ำหมายเลข 19 คือเป็นถ้ำของมหายาน แต่สถูปประธานแกะสลักได้วิจิตรบรรจงกว่ามาก
ภาพแกะสลักผนังโดยรอบก็ล้วนน่าทึ่งครับ เป็นพุทธประวัติตอนเผชิญมารผจญในรูปแบบต่างๆ แต่พระพุทธเจ้าก็ยังไม่หลุดจากสมาธิ
ภาพสลักปรินิพพาน บนด้านซ้ายของผนัง มีเทวดามาส่งเสด็จ มีพระอานนท์ร้องไห้อยู่ที่ปลายเท้า คุณชาร์ลีนำทีมมาสวดมนต์ตรงนี้ด้วย
หลังกินมื้อเที่ยงแบบเลทๆแล้วเราก็ฝ่าแก๊งค์ขายของกลับขึ้นรถบัส แล้วกลับโรงแรมครับ อชันตาอยู่ไกลจากตัวเมืองออรังกาบัด 104 กม. วันนี้เลยเสียเวลาไปกับการนั่งรถไป-กลับซะเยอะ มีแวะดูร้านขายผ้า แต่ผมว่าซื้อที่จตุจักรก็ได้น่ะ
คืนนี้ว่าจะลองออกไปเดินชมเมืองออรังกาบัดดู เดินได้แค่ 15 นาทีไม่เจออะไรน่าตื่นตาตื่นใจทั้งสิ้นครับ ตอนไปเวียดนามหรือญี่ปุ่นยังมีร้านรวงให้ช้อป แต่อินเดียมีแต่ฝุ่นให้ย่ำ เลยกลับโรงแรมไปดูหนังอินเดียดีกว่า
ถ้ำเอลโลร่า
เช้าวันที่ 3 เราออกเดินทางไปถ้ำเอลโลร่า ไฮไลท์อีกที่หนึ่ง ซึ่งทีแรกผมไม่รู้จัก ได้ยินชื่อถ้ำอชันตาบ่อยกว่า แต่พอได้ไปเห็นเอลโลร่าแล้ว เชื่อว่านี่คือสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาอย่างแท้จริงครับ
ถ้ำนี้สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 5-10 โดยการสลักภูเขาหินเข้าไปเป็นเทวสถานเช่นเดียวกับเอเลแฟนต้าและอะชันตา มีทั้งหมด 34 ถ้ำ แบ่งออกเป็นถ้ำของศาสนาพุทธมหายาน 12 ถ้ำ (หมายเลข 1-12) ฮินดู 17 ถ้ำ (หมายเลข 13-29) และเชน 5 ถ้ำ (หมายเลข 30-34) ที่สาวกของแต่ละศาสนาต่างแข่งกันสร้างถ้ำด้วยแรงศรัทธา แต่บางส่วนถูกมุสลิมทำลายในสมัยที่มุสลิมเข้ามาครอบครองอินเดีย โชคดีที่ยังเหลือส่วนสวยๆให้ดูอีกเยอะ
รถบัสของเราจอดในโซนถ้ำของศาสนาเชน เข้าไปดูถ้ำหมายเลข 32 เป็นที่แรกครับ ลักษณะที่น่าทึ่งคือที่นี่ไม่ใช่แค่เจาะเป็นโพรงเข้าไป แต่ยังเปิดพื้นที่รอบด้านเป็นสามมิติสมจริงด้วยการเจาะด้านบนและแกะสลักเทวสถานออกมาเป็นสามมิติทั้งหมด ไกด์เล่าว่าเขาใช้อุปกรณ์เพียงสิ่วและค้อน เรียกว่าต้องมีความแม่นยำในการกำหนดตำแหน่ง สัดส่วน และรูปร่างของรูปสลักทั้งหมดในเทวสถานแห่งนี้เป็นอย่างมาก แถมยังแกะเป็นสองชั้นสามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนได้ด้วยครับ
ทั้งหมดนี้แกะขึ้นมาจากภูเขาหิน จึงเชื่อมต่อกันทั้งหมดเป็นชิ้นเดียวกัน เดินเที่ยวไปใจก็สั่นเทิ้ม พวกท่านแกะมันขึ้นมาได้อย่างไรนี่!!
ศาสนาเชนมีศาสดาคือพระมหาวีระ เกิดในยุคเดียวพุทธกาล ว่ากันว่าพระมหาวีระสร้างแนวทางของตนเองที่แตกต่างจากพระพุทธเจ้าและสามารถไปถึงนิพพานได้โดยไม่ผ่านมรรคมีองค์แปด ที่เห็นพระคล้ายๆพระพุทธเจ้ายืนแก้ผ้านั่นคือพระมหาวีระครับ ศาสนานี้นุ่งลมห่มฟ้าน่ะ เป็นการปลดเปลื้องจากพันธนาการต่างๆ (ส่วนพวก nudist นั่นลามกครับ ไม่เกี่ยวกับศาสนาเชนแต่อย่างไร) | |
จากนั้นเราก็เข้ามาในโซนถ้ำของพุทธบ้าง ส่วนใหญ่เป็นที่ทำสมาธิและหอสวดหรือตึกเรียนศาสนาน่ะครับ ถ้ำหมายเลข 10 นี้มีรูปพระพุทธองค์แสดงธรรม มีแสงสีทองส่องจากด้านนอก พร้อมเบื้องหลังการถ่ายทำ อิอิ
ไกด์เขาพาไปชมหลายถ้ำครับ แต่สุดยอดจริงๆเลยคือถ้ำหมายเลข 16 นี้ เป็นถ้ำของฮินดูที่แกะเป็นภูเขาไกรลาส และนับเป็นถ้ำแกะสลักจากภูเขาหินที่ใหญ่โตและสวยงามที่สุดในโลก สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 8-9 โดยกษัตริย์ Krishna I แห่งราชวงศ์ Rashtrakut (ไม่กล้าอ่านชื่อ กลัวอ่านผิด) มีปริมาณหินที่ต้องแกะสลักทั้งหมดถึง 3 ล้านลูกบาศก์ฟุต
ถ้ำนี้เป็นเทวสถานสำหรับบูชาพระศิวะ จะเต็มไปด้วยรูปสลักวีรกรรมของพระศิวะและเทพเจ้าต่างๆ
อาคารกลางชั้นบนมีศิวลึงค์ อีกอาคารหนึ่งมีรูปสลักโคนนทิ พาหนะของพระศิวะที่ชาวฮินดูกราบไหว้
ทศกัณฐ์แบกเขาไกรลาสแต่พระศิวะมานั่งทับไว้ ภาพแกะสลักนี้ใหญ่โตมหึมามากครับ ตัวทศกัณฐ์สูงกว่าคนปกติสามเท่าเห็นจะได้
ย้ำว่าในนี้ไม่มีรูปปั้นนะครับ ทั้งหมดคือรูปสลักที่แกะจากภูเขาลูกเดียวเชื่อมต่อกันเป็นก้อนเดียวกันหมดครับ
ป้อมเดาลาตาบัด
จุใจกับถ้ำเอลโลร่าไปแล้ว ช่วงบ่ายเรามาป้อมเดาลาตาบัดครับ ป้อมนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร สร้างบนภูเขาและมีกลไกดักข้าศึกสลับซับซ้อนเหมือนเล่นเกมโหดมันส์ฮากันอยู่ กษัตริย์ Bhillama V เป็นผู้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 ครับ เดิมทีมีชื่อว่าป้อมดีโอกิรี แต่กษัตริย์ Mohmmed Tughlaq ได้ย้ายเมืองหลวงจากเดลีมาที่นี่แล้วเปลี่ยนชื่อป้อมเป็นเดาลาตาบัด ภายในป้อมมีเชิงเทินสองแห่งคือมาฮากอตและกาลากอต
ประตูของป้อมนี้เป็นบานไม้ขนาดใหญ่ เสริมโครงเหล็ก ซึ่งมีหลามแหลมติดป้องกันข้าศึกเอาช้างชน เมื่อเข้ามาในป้อมจะต้องเผชิญหอคอยที่มีทหารจำนวนมหาศาลเฝ้ายิงธนู ทุ่มหิน หรือเทโลหะหลอมเหลวใส่ด้วย
ด้านในมีเส้นทางให้เดินต่ออีกยาวเลยครับ บ่อ Hathi Haud เป็นหนึ่งในหลายๆบ่อเก็บน้ำที่อยู่ภายในป้อมนี้ บ่อน้ำพวกนี้ใช้สำรองน้ำใช้ภายในป้อมแห่งนี้ครับ
เข้ามาต่อจะเป็นลานกว้างที่มีโบสถ์ให้บูชาพระแม่อินเดีย (Bharat Mata) ซึ่งปั้นไม่สวยเลยไม่ได้เอามาลงครับ แต่ที่เด่นเป็นสง่าตลอดทางเดินก็คือหอคอย Chand Minar ก่อนเข้าไปในโซนกาลากอตครับ
พื้นที่ด้านในสุดมีคูน้ำล้อมรอบ สามารถควบคุมระดับน้ำในคูเพื่อจมสะพานเชื่อมเข้าด้านในได้ (แต่ตอนนี้มีสะพานสร้างใหม่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปได้) กำแพงหินมีความชันมาก ไม่มีคนสามารถไต่ขึ้นไปได้แน่ๆ ไกด์เล่าว่าสมัยก่อนเขาเลี้ยงจรเข้ไว้เต็มคูน้ำ เอาไว้งับข้าศึก
มีช่องแคบๆให้ลอดเข้ามาแล้วจะมีทหารดักเอาหอกแทงที่ปลายทางด้วย กว่าจะเข้ามาได้มันทุลักทุเลขนาดนี้ข้าศึกอ้อมไปเข้าทางอื่นดีกว่ามั้งครับ
ยัง...ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ สำหรับผู้กล้าที่ผ่านมาจนถึงด่านป้อมชั้นในสุดนี้ได้ ยังมีทางเดินวงกตที่มืดสนิท อย่าลืมพกไฟฉายกันไปด้วยนะครับ
เข้ามาด้านในจะมีเทวสถานและปืนใหญ่โบราณให้ชมครับ ภาพนี้ละถ่ายหลังจากออกจากวงกตมืดหมาดๆเห็นทิวทัศน์โบราณสถานที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
ขากลับเห็นคนงานกำลังสร้าง เอ้ย! บูรณะป้อมครับ ดูเบื้องหลังการถ่ายทำซะก่อน จับค้อนกับสิ่วมาตอกกันเลย
บีบี กา มักบารา
ออกจากเดาลาตาบัด นั่งรถต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงอนุสรณ์สถาน บีบี กา มักบารา หรือที่คนนิยมเรียกกันว่ามินิทัช เพราะที่นี่ช่างเหมือนทัชมาฮาลแบบย่อส่วนครับ ตามที่ได้เล่าไปแล้วว่าออรังเซบถีบพ่อตัวเองตกบัลลังก์เพราะใช้ตังค์เปลืองเหลือเกิน อาซามชา ลูกชายของออรังเซบได้สร้างอนุสรณ์นี้ไว้ในปี 1657 เพื่อบรรจุศพพระนางบีกัมราเบีย อุเด ดาราณี ภรรยาของออรังเซบ ใช้งบประมาณเพียง 7 แสนรูปี ในขณะที่ทัชมาฮาลใช้งบถึง 32 ล้านรูปีในสมัยนั้นครับ
ถึงงบจะน้อยเป็นอนุสรณ์คนจน แต่ก็สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังนะ
เย็นวันนั้นเราบินกลับมุมไบครับ กว่าจะได้เข้านอนก็เกือบเที่ยงคืน
ถ้ำกันเหรี
วันสุดท้ายเที่ยวภายในเมืองมุมไบ หลังจากที่วันแรกไปเกาะเอเลแฟนต้าแล้ววันนี้เที่ยวในเมืองครับ ช่วงเช้าเรานั่งรถไปเที่ยวที่ถ้ำกันเหรี ห่างตัวเมืองไป 20 ไมล์เห็นจะได้ (นั่งรถชั่วโมงเดียว)
ถ้ำนี้เป็นถ้ำของพุทธทั้งหีนยานและมหายานครับ มีจำนวนถ้ำถึง 110 ถ้ำ!! ...แต่ส่วนใหญ่เจาะเป็นโพรงเข้าไปซุกตัวอยู่เฉยๆนะ ไม่ได้อลังการมากนัก
ถ้ำที่สำคัญที่สุดคือถ้ำหมายเลข 3, 11, 34, 41, 67, 87 และ 90 ครับ ถ้าจะดูหมดก็แทบจะต้องเดินรอบเทือกเขาเลย
| |
สำหรับภาพแกะสลักมีทั้งที่แกะเป็นองค์พระพุทธ พระโพธิสัตว์ เป็นต้นโพธิ์ เป็นรอยพระบาท และเป็นสถูป
ภาพสลักพระพุทธรูปพันองค์บนผนัง ชาวพุทธผู้มีศรัทธานิยมเข้ามาสวดมนต์กันที่นี่ครับ
เส้นทางก็มีที่เดินสบายบ้าง ทุลักทุเลบ้าง ไกด์ก็พยายามพาไปดูหลายๆถ้ำนะครับ แต่ทนเสียงบ่นของลูกทัวร์ไฮโซที่อยากกลับไปตากแอร์ในรถไม่ไหว
หลังกินมื้อเที่ยงเป็นอาหารจีนแล้ว มีเวลาเหลือไกด์จึงสัญญาว่าจะพาไปบ้านคานธีกับร้านซักผ้า มีลูกทัวร์ที่ประกอบธุรกิจเสนออยากไหว้พระพิฆเนศเพื่อขอพรให้ค้าขายรุ่งเรือง คุณไกด์จึงจัดให้ครับ ผมเลยได้อานิสงส์เข้าโบสถ์พิธีพราหมณ์เป็นประสบการณ์ด้วย ก็ไปซื้อพวงมาลัยและถอดรองเท้าต่อคิวยาวเหยียดเข้าไปในโบสถ์ แล้ววางพวงมาลัย จากนั้นก็รับขนม (มะพร้าวบด) จากพราหมณ์ นำไปกินหรือแปะไว้ที่ต้นไม้เพื่อเป็นศิริมงคลครับ เสียดายที่เขาห้ามถ่ายรูป
บ้านคานธี
เวลาบ่ายสาม เรามาถึงบ้านที่มหาตมะ คานธี เคยทำงานอยู่ ท่านคานธีเป็นมหาบุรุษที่ชาวอินเดียยกย่อง เช่นเดียวกับที่ชาวเวียดนามยกย่องโฮจิมินห์ ชาวจีนยกย่องประธานเหมา และชาวพม่ายกย่องอองซาน ซูจี คานธีทำงานด้านการต่อต้านความไม่ยุติธรรมมานาน จนกระทั่งเข้ามามีบทบาทเป้นผู้นำในการเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษ เขาประท้วงโดยไม่ใช้ความรุนแรง หรือที่เราเรียกกันว่าหลักอหิงสา จนกระทั่งอินเดียได้รับอิสรภาพจากอังกฤษในปี 1947 แต่ก็ต้องแยกเป็นสองประเทศ โดยชาวฮินดูอยู่ในอินเดีย ส่วนชาวมุสลิมไปตั้งประเทศปากีสถาน หลังจากนั้นคานธีก็ยังทำงานเพื่อสร้างสมานฉันท์ระหว่างฮินดูและมุสลิมต่อไป
คานธีถูกยิงเสียชีวิตในปี 1948 ณ กรุงนิวเดลี ขณะสวดมนต์ โดยชาวฮินดูหัวรุนแรงที่ไม่อยากปรองดองกับมุสลิม หลังจากนั้นมือปืนก็โดนเอาไปแขวนคอครับ
ในบ้านมีข่าวและภาพถ่ายเก่าๆมากมาย ที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของคานธี ทั้งการประท้วงกฎห้ามคนอินเดียผลิตเกลือกินเอง การทิ้งเสื้อผ้าแบบตะวันตก กลับไปแต่งกายแบบท้องถิ่นอินเดีย การสู้รบกับอังกฤษ ภาพถ่ายคานธีกับบุคคลสำคัญในยุคนั้น เช่นชาร์ลี แชปลิน หรือเนห์รู ฯลฯ มีห้องหนังสือของคานธี ห้องทำงานของคานธี จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ขณะอยู่ในคุก และชั้นบนสุดยังมีโมเดลจำลองเหตุการณ์สำคัญต่างๆอีกด้วย
นี่คือห้องทำงานของคานธี พร้อมอุปกรณ์ที่คานธีเคยใช้งานจริงๆครับ
ในบรรดาภาพทั้งหมดที่แขวนอยู่ในบ้าน ผมชอบภาพนี้ที่สุด ภาพนี้ถ่ายในปี 1924 ขณะอดอาหารประท้วง 21 วันในกรุงนิวเดลี เป็นภาพของคานธีและอินทิรา ลูกสาวของเนห์รู ศิษย์เอกของคานธี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยของอินเดีย และเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังอินเดียได้รับอิสรภาพครับ ในเวลาต่อมาอินทิราผู้นี้ก็ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอินเดียด้วย
ออกจากบ้านคานธีมาสักพักก็ผ่าน "ร้านซักผ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ครับ ตอนไกด์บอกว่าจะพามาดูทีแรกผมก็งงว่าจะให้มาดูเขาซักผ้าทำไม แต่พอได้เห็นแล้วเป็นที่แปลกตาเพิ่มค่าประสบการณ์ทีเดียว กับการทำสลัมเป็นโรงซักผ้าจำนวนมหาศาลเลย ซักกันในบ่อซีเมนต์แล้วตากครับ
ก่อนขึ้นรถกลับโรงแรมเตรียมขึ้นเครื่องบินกลับไทยยังมีเวลาให้เดินเตร่แถวๆประตูอินเดียสองชั่วโมงครับ หลายๆคนก็ไปนั่งร้านกาแฟในโรงแรมรอ แต่ผมมาถึงที่นี่แล้วต้องเที่ยวสิ! ต้องถ่ายรูปไว้เยอะๆสิ! ว่าแล้วก็พุ่งออกไปเก็บภาพอันงดงามแถวประตูอินเดียที่เห็นตั้งแต่วันแรกแต่ยังไม่มีเวลาโต๋เต๋ครับ จากนั้นก็ไล่เดินในมุมไบ มีมหาวิทยาลัย ร้านค้า รถม้า อนุสาวรีย์ ร้านโกนหนวด ชั่งน้ำหนัก หรือการแสดงสดข้างทาง และยังมีอาคารสวยๆอีกมากมาย สองชั่วโมงยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
จากนั้นเรากลับโรงแรมไปกินมื้อเย็น เป็นมื้อสุดท้ายที่จะได้กินอาหารอินเดียของโปรดแล้ว เลยเบิ้ลมันสองจานพูนๆเลยครับ ^^
มาถึงสนามบิน รอขึ้นเครื่องประมาณสี่ชั่วโมง ถึงไทยตีห้ากว่าๆได้มั้งครับ พอเช้าก็ไปทำงานต่อ ไม่ต้องนอนเลย เฮๆ~
ก่อนจบขอเล่าเก็บตกความประทับใจและสิ่งที่ได้พบเห็นในอินเดียเพิ่มเติมครับ
อาหารอินเดียเป็นอาหารที่ผมชอบกินตั้งแต่สมัยอยู่โร้ดไอแลนด์ (ตอนนั้นคงเป็นเพราะคิดถึงเครื่องเทศ) แต่ราคาอาหารอินเดียในเมืองไทยก็โหดเอาเรื่อง ร้านที่ราคาไม่โหดก็ทำไม่อร่อย เป็นอาหารอินเดียปลอม เมนูที่ผมชอบก็เช่น Chicken Tikka Masala, Korma หรือ Chicken Butter ใช้เนื้อแกะก็อร่อยครับ แต่ไม่ถูกปากคนไทยส่วนใหญ่เท่าไหร่ ของหวานก็มีขนมที่ใช้นมแพะทำหรือของหวานที่ทำจากข้าวก็อร่อยครับ หลังกินบางมื้อมีเครื่องเทศให้เคี้ยวล้างปากด้วย ไปอินเดียผมกินมื้อละ 2-3 จานได้เลย
แต่ลูกทัวร์ไฮโซพอเจออาหารอินเดียก็ทำหน้าเหมือนเข้าโรงเชือด เรียกร้องหาอาหารจีน บางมื้อไกด์พาไปทานอาหารจีนก็อุตริอยากแดกอาหารทะเลขึ้นมา และสิ่งที่ทำให้ผมเบื่อที่สุดในทริปนี้ก็คือลูกค้าไฮโซกลุ่มนี้แหละ เรื่องมากตอนกินยังพอทำเนา แต่ถึงขนาดขอให้ไกด์พาไปร้านนู้นร้านนี้แล้วมาวิจารณ์ว่าร้านกากๆ, เดินตัดหน้ากล้องแบบไม่แคร์สื่อ, พูดจาดูถูกคนอินเดียเพราะรู้ว่าเขาฟังไม่ออก, ไกด์พาเดินไปหลายๆถ้ำให้คุ้มราคาก็บ่นว่าเหนื่อย บอกให้กลับเร็วๆ, ไกด์จะพาออกเดินทางตั้งแต่ 7 โมง ก็ขอเลื่อนเป็น 9 โมงครึ่ง เพราะอยากนอน (พวกมึงมาอินเดียทำไม?) แต่ไกด์จะไม่ตามใจก็ไม่ได้ เพราะก๊วนไฮโซมากันเป็นโขลง เยอะเกินครึ่งของทริปนี้ซะอีก กรรมแท้ๆ
ตามแหล่งท่องเที่ยวจะมีชาวอินเดียคอยตามขายของตามทาง ตื๊อขนาดกระโดดขึ้นรถบัสมาตื๊อกรอกหูข้างๆ จนบางคนไม่กล้าสบตาเซลล์แมนเลือดแท้เหล่านี้ ทำเหมือนเจอผี รัฐส่งเสริมสร้างอาชีพตื๊อขายของแบบนี้ครับ ขอทานจะได้ลดลง ของส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับและหนังสือท่องเที่ยว ราคาไม่ค่อยแตกต่างจากที่ขายตามร้าน แต่ก่อนซื้อก็ถามราคาไกด์ดูก่อนก็ดีครับ พ่อค้าพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน (อันที่จริงต้องบอกว่าคนอินเดียพูดอังกฤษได้ทุกคนมากกว่า เพราะถือเป็นภาษาราชการที่สอง) สื่อสารง่าย อินเดียใช้เงินรูปี บางคนจ่ายเป็นดอลลาร์ก็ได้ แต่ดอลลาร์มันใหญ่ไป ไม่รับเงินบาทนะจ๊ะ
ถึงพ่อค้าจะหน้าโหด แต่ตอนอ้อนขายของเขาทำหน้าตาน่ารักนะครับ อิอิ
ขอทานก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เยอะเท่าที่คิด ไกด์บอกว่าฉกชิงวิ่งราวไม่ค่อยมีครับ เวลาซื้อของก็สบายใจกว่าไปซื้อแถวตลาดรัสเซียของจีนหรือตลาดดองบาในเวียดนามที่แม่ค้าดุเหมือนหมาท้องผูก ผมว่าคนอินเดียหน้าโหดแต่ใจดีนะ
เมืองออรังกาบัดให้บรรยากาศของความเป็นบ้านนอกของอินเดียที่มีทุ่งแห้งแล้งและภูเขาสุดลูกหูลูกตา มีฝูงวัวฝูงแพะเดินกันให้เพียบ ให้ความรู้สึกว่านี่แหละ อินเดียต้องแบบนี้ (มุมไบมันอังกฤษเกินไป) แม้จะแห้งแล้งยากจน แต่ผู้คนยิ้มแย้มรับแขกมากกว่าชาวมุมไบครับ
ชาวอินเดียชอบถ่ายรูป ถ้ารู้ตัวว่าเราถ่ายรูปเขาอยู่จะหันมาโพสต์ท่าให้เต็มที่อีกต่างหาก ผิดกับญี่ปุ่นที่พอเห็นกล้องก็ตีลังกาหลบกันอุตลุด (พวกแกเป็นนินจาสินะ)
สิ่งที่พบตามข้างทางมากที่สุดคือวัว รองมาคือแพะ หมา ไก่ และหมูป่า ตามลำดับ (เลี้ยงหมูป่าไว้ทำไมหว่า....?) วัวตัวที่เขาสวยๆเขาจะทาสีไว้ด้วยครับ
เมืองมุมไบมีทั้งส่วนที่เจริญเหมือนเมืองในยุโรป ในขณะเดียวกันก็มีสลัมหลายแห่ง ไกด์ไม่ได้พาไปดูส่วนที่ทุเรศๆเพราะคิดว่าลูกทัวร์ผู้ดีหลายคนคงรับไม่ได้แน่ๆ แต่อย่างน้อยก็มีขี้คนและขอทานให้เห็นตามถนนบ้างนะ
งานแต่งงานเป็นงานสำคัญที่ชาวอินเดียจะยากดีมีจนอย่างไรก็พร้อมทุ่มเงินเต็มที่ บ้างก็จองทั้งโรงแรมเพื่อจัดงานแต่งงานกันเลย คุณชาร์ลีเล่าเรื่องการกดขี่ผู้หญิงในอินเดียสมัยโบราณที่ผู้หญิงแทบจะอยู่ไม่ได้หากปราศจากคู่ ถึงขนาดเล่ากันว่าถ้าสามีตาย แม่หม้ายต้องกระโดดเข้ากองไฟตายไปด้วยกัน แต่ผมว่าปัจจุบันไม่มีแล้วหละ
ทีวีช่องต่างๆบางทีก็มีรายการแบบอินเดี๊ยอินเดีย ดูเป็นเอกลักษณ์ดี ดาราอินเดียเต้นเก่งนะครับ
สมัยก่อนเวลานึกถึงคนอินเดียผมจะนึกถึงคนตัวดำๆ ใส่กำไลอันใหญ่ๆ เต้นโยคะแปลกๆ แล้วก็พ่นไฟด้วย ...นึกไปนึกมา นั่นมันไอ้ดัลซิมแล้ว!! เกมมันมีอิทธิพลต่อความคิดเด็กมากจริงๆ จะว่าไปดัลซิมนี่มันไทป์แอฟฟริกันชัดๆ
ส่วนช้างมาเดินตามเมืองหรือเป่าปี่แล้วมีงูออกจากไห รอบที่ไปยังไม่เห็นนะครับ | ดัลซิมจ้ะนายจ๋า
|
สงกรานต์นี้ เที่ยวให้สนุกและปลอดภัยนะครับ เจอกันคราวหน้าทริปพม่าจ้า
Create Date : 10 เมษายน 2556 |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2560 19:05:14 น. |
|
73 comments
|
Counter : 4768 Pageviews. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:2:12:18 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:2:13:33 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:6:50:14 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:10:24:52 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:10:58:29 น. |
|
|
|
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:13:00:34 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:14:04:34 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:14:38:33 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:15:05:54 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:15:30:19 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:21:24:10 น. |
|
|
|
โดย: lovereason วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:1:52:02 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:19:20:46 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:19:35:31 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:20:33:04 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:22:10:57 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 12 เมษายน 2556 เวลา:23:40:37 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:1:16:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:6:34:30 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:10:07:25 น. |
|
|
|
โดย: Maeboon วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:13:07:33 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:16:26:48 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:16:56:05 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:19:31:28 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:22:02:28 น. |
|
|
|
โดย: ปันฝัน วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:22:38:26 น. |
|
|
|
โดย: NET-MANIA วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:23:41:01 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 14 เมษายน 2556 เวลา:15:27:13 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 14 เมษายน 2556 เวลา:15:28:02 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 14 เมษายน 2556 เวลา:18:41:19 น. |
|
|
|
โดย: schnuggy วันที่: 15 เมษายน 2556 เวลา:0:46:30 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 15 เมษายน 2556 เวลา:1:09:12 น. |
|
|
|
โดย: mambymam วันที่: 15 เมษายน 2556 เวลา:23:08:12 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 เมษายน 2556 เวลา:23:10:49 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:0:54:10 น. |
|
|
|
โดย: surya21 (surya21 ) วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:8:38:40 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:13:53:35 น. |
|
|
|
โดย: tifun วันที่: 16 เมษายน 2556 เวลา:15:45:42 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 17 เมษายน 2556 เวลา:9:22:53 น. |
|
|
|
โดย: มี๊เก๋&ซีทะเล (kae+aoe ) วันที่: 17 เมษายน 2556 เวลา:13:07:30 น. |
|
|
|
โดย: เป็ดสวรรค์ วันที่: 18 เมษายน 2556 เวลา:1:44:29 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 18 เมษายน 2556 เวลา:10:27:31 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 เมษายน 2556 เวลา:14:06:04 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 19 เมษายน 2556 เวลา:17:42:57 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 19 เมษายน 2556 เวลา:19:40:57 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 20 เมษายน 2556 เวลา:14:04:33 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 20 เมษายน 2556 เวลา:14:08:23 น. |
|
|
|
โดย: ประกายพรึก วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:14:45:03 น. |
|
|
|
โดย: mastana วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:21:02:55 น. |
|
|
|
โดย: oa (rosebay ) วันที่: 22 เมษายน 2556 เวลา:21:31:27 น. |
|
|
|
โดย: OceanSage วันที่: 4 พฤษภาคม 2556 เวลา:18:46:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|