ตามรอยอารยธรรมกรีก (5): เอเธนส์
ทริปกรีซมาถึงการท่องเที่ยวเมืองสุดท้ายแล้วครับ เอเธนส์ (aˈθina ชื่อภาษากรีกอ่านว่าอาธิน่า) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินกรีซ เป็นนครรัฐที่มีบทบาทสำคัญมายาวนาน และเป็นเมืองหลวงปัจจุบันของประเทศกรีซ มีคนเข้ามาตั้งรกรากในเอเธนส์ราวหมื่นปีก่อน แต่เริ่มนับยุคประวัติศาสตร์จากสมัย Neolithic เมื่อ 7 พันปีก่อน จึงนับได้ว่าเอเธนส์เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่มีมนุษย์เข้ามาสร้างอารยธรรมและยังคงใช้งานอยู่ถึงปัจจุบัน เอเธนส์รุ่งเรืองสูงสุดในยุคคลาสสิค เป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะ การค้า และวิทยาการ ของโลกตะวันตกที่เป็นรากฐานให้โลกยุคปัจจุบันหลายต่อหลายอย่าง ก่อนจะเสื่อมอำนาจลงในช่วงที่มาเซโดเนียขยายอำนาจ แม้จะมีการฟื้นฟูศิลปะในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิออกัสตัสและเฮเดรียนแต่เมืองก็ถูกลดบทบาทไปอีกครั้งหลังจักพรรดิจัสติเนียนสั่งแบนวิทยาการต่างแดน เอเธนส์เงียบหายจากเวทีโลกไปหลายศตวรรษก่อนจะกลายเป็นเมืองหลวงของกรีซในปี 1832
ในทริปนี้เราเที่ยวเอเธนส์ 2 หนครับ รอบแรกคือวันที่ 16 ต.ค. หลังผ่านมาจากเดลฟี่-อาราโคว่า และจะไปท่าเรือราฟินา เลยแวะเที่ยวเอเธนส์และซูนิออนที่อยู่ระหว่างทางเพื่อแบ่งเบาโปรแกรมในวันสุดท้าย
พอเข้ามาถึงเอเธนส์สภาพจราจรก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
|
ในเอเธนส์มีรถเมล์ไฟฟ้า (วิ่งตามแนวสายไฟด้านบน) เป็นขนส่งสาธารณะที่สำคัญ
| ที่จอดรถก็หาโคตรยากครับ ตอนไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เลยต้องหาที่ให้บริการจอดรถเก็บตังค์แถวๆนั้น ส่วนวันสุดท้ายสละรถแล้วเดินเอา ไม่ต้องหาที่จอด ที่เที่ยวแรกของเอเธนส์ก็ต้องเป็นที่นี่เลย พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ อยู่ทางเหนือจากอะโครโปลิสขึ้นไป 2 km เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่โตที่สุดของกรีซและเต็มไปด้วยของล้ำค่าจากอดีตกาลทุกยุคทุกสมัยของกรีซจนคนรักโบราณวัตถุเห็นแล้วแทบละลาย เราหาข้าวเที่ยงกินที่ร้านหน้าพิพิธภัณฑ์นี่แหละ ร้าน Quality Restaurant ขายอาหารกรีก มื้อนี้อร่อยเลย ทั้งสเต็กหมู แซนด์วิชแซลมอน ซูเฟลต์ไวท์ช็อค และกาแฟกรีก ทั้งอร่อยทั้งสวยงาม เหมาะแก่การอัพขึ้นอินสตาแกรมตอนดึกๆยิ่งนัก รวมทั้งสิ้น 33.80 EUR ไม่ได้แพงกว่าร้านตามต่างจังหวัดแต่อย่างใด ร้านเปิดอ้าซ่าอยู่ติดถนนใหญ่หน้าพิพิธภัณฑ์ก็จริง แต่จะเข้าห้องน้ำของที่นี่ต้องใช้พาสเวิร์ดที่อยู่ในใบเสร็จเปิดประตูนะครับ คนไม่ใช่ลูกค้าขอความกรุณาไปเยี่ยวที่อื่น
พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติ (National Archaeological Museum) เปิด 8.00 - 19.30 น. (ฤดูหนาวเปิด 8.30 - 15.00 น.) ยกเว้นวันจันทร์เปิดแค่ช่วงบ่าย ค่าเข้า 10 EUR (หน้าหนาว 5 EUR) คุ้มค่าสุดใจขาดดิ้นเลย จ่ายค่าตั๋วแล้วฝากกระเป๋าก่อนเข้าไปนะครับ เดี๋ยวไปเกี่ยวของเขาหล่นแตก
ที่นี่แบ่งห้องตามยุคสมัยต่างๆ มีห้องโซนในโซนนอก ห้องซ้อนห้องเต็มไปหมด เดินเพลินๆหลงเอาได้ง่ายๆ หลงเมื่อไหร่ก็หาทางมาห้องโถงกลางไว้ก่อน โซนแรกเป็นศิลปะจากอารยธรรมเก่าแก่ยุค Neolithic, Cycladic และ Mycaenian มีตั้งแต่เครื่องปั้นดินเผา และหินแกะสลักคนที่ยังเป็นรูปทรงเรขาคณิตง่ายๆ อายุสี่พันกว่าปี จนถึงยุคไมซินี่ ชิ้นที่สำคัญที่สุดคือหน้ากากอกาเมมนอนที่ขุดพบที่ไมซินี เชื่อกันว่าเป็นหน้ากากของกษัตริย์อกาเมมนอนในสงครามกรุงทรอย แต่จากการตรวจสอบล่าสุดหน้ากากนี้มีอายุถึง 3,500 ปี (ก่อนสงครามกรุงทรอย 300 ปี) ถือเป็นศิลปะชิ้นที่งดงามที่สุดในโลกยุคก่อนประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
ที่เยอะที่สุดคือโซนรูปปั้น/รูปสลัก ทั้งรูปปั้นเทพและบุคคลสำคัญ ป้ายหลุมศพ โลงศพ ศิลาจารึก แจกันทรงประหลาด ฯลฯ จัดแสดงแบ่งเป็น 28 ห้อง ชิ้นที่โด่งดังที่สุดคือรูปสำริดเทพซุสหรือไม่ก็โปเซดอน พบใกล้แหลมอาร์เทมิเซียน ทำท่าขว้างสายฟ้า/ตรีศูล (460 BC) และรูปสำริดจ๊อกกี้ขี่ม้า ที่ค้นพบจากซากเรือแถวแหลมอาร์เทมิเซียนเช่นเดียวกัน (140 BC)
ในโซนรูปปั้นนี้ผมชอบห้องนี้ที่สุดครับ เป็นที่รวบรวมประติมากรรมเทพเจ้ากรีกยุคเฮเลนสิสติก เทวรูปสำคัญคือเทพเจ้าซุส และรูปสลักอะโฟรไดต์ แพน และเอรอส
ห้องรวบรวมโบราณวัตถุจากอียิปต์ หลังอเล็กซานเดอร์มหาราชขับไล่เปอร์เซียออกจากอียิปต์ ท่านได้สร้างอเล็กซานเดรียเป็นศูนย์กลางการปกครองอียิปต์ในยุคนั้น และได้รับยกย่องเป็นฟาโรห์องค์หนึ่ง ข้าวของที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นยุคปโตเลมิคนะครับ (ยุคที่กรีกเข้ายึดครองอียิปต์ราวสองพันปีก่อน) ส่วนของอียิปต์โบราณจริงๆอายุสามพันกว่าปีจะมีพวกแผ่นจารึกบาส่วน สรุปว่าผมไม่ได้ภาพโลงมัมมี่ตอนไปอียิปต์เลยเพราะพิพิธภัณฑ์ที่นั่นไม่ให้ถ่ายรูป แต่ได้ภาพมาจากตุรกีกับกรีซแทน (ถ้าไปอังกฤษกับฝรั่งเศสก็คงได้มาอีก ใครๆ เขาก็ยึดอียิปต์กัน ♥)
ชั้นสองเป็นโซนภาชนะรูปทรงต่างๆ ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเท่าไหร่ (แม่ผมเรียกว่าโซนบ้านเชียง) มีเครื่องปั้นดินเผาทำตุ๊กตาหรือหน้ากากในการแสดงโบราณ มีโซนเครื่องโลหะและเครื่องทอง มีกระจกที่ด้านหลังหล่อโลหะสวยๆ หรือมงกุฎช่อมะกอกทำด้วยทองสมัยกรีกโบราณ
ที่น่าสนใจคือห้องธีร่าแกลเลอรี่ครับ รวมโบราณวัตถุที่ขุดพบจากแหล่งโบราณสถานในเกาะซานโตรินี โดยเฉพาะเมืองอะโครทิริที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินมาสามพันปี โบราณวัตถุโดยเฉพาะภาพเขียนสีตามอาคารยังคงถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี พิพิธภัณฑ์ที่ซานโตรินีมีภาพชาวประมงที่โด่งดัง ส่วนภาพเด็กชกมวย เลียงผา และดอกไม้บานถูกนำมาจัดแสดงที่นี่
จุใจสุดๆ ขนาดวิ่งถ่ายรูปยังใช้เวลาหมดไปสองชั่วโมงเต็มๆ ต้องรีบไปต่อเพราะวันนี้มีโปรแกรมเที่ยวแหลมซูนิออนและไปท่าราฟิน่าเพื่อคืนรถและต่อเรือไปเที่ยวเกาะมิโคนอส, ซานโตรินี และโร้ด ตามที่ได้ลงบล็อกไปแล้วจ้า~ ....
อีกหนนึงที่เที่ยวเอเธนส์แบบเต็มๆเลยคือวันสุดท้ายของการเดินทางครับ เราบินออกจากโร้ดถึงเอเธนส์เวลาสองทุ่มของวันที่ 21 ต.ค. ขึ้นแท็กซี่ที่โรงแรมจองให้มาเข้าที่พักก่อน (ค่าแท็กซี่จากสนามบินมาที่พักในเอเธนส์ 37 EUR ถูกกว่าไปเรียกเองนะ) Theseum Hill เป็นที่พักสุดท้ายของทริปกรีซแล้ว เรานอนกันที่นี่สองคืน รูปแบบที่พักคล้ายๆ Lefka ที่เกาะโร้ดเลย คือในแต่ละห้องจะแบ่งห้องย่อย ให้อยู่เหมือนได้บ้านหลังนึงเลย มี 2 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ครัว ห้องนอนห้องนึงไม่มีแอร์ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับฤดูนี้ น้ำอุ่นใช้ไปสักพักสวิตซ์ก็ตัดไฟ ต้องรีบอาบก่อนมันจะหายอุ่น ที่นี่แพงกว่า Lefka 2 เท่ากว่าๆ ก็เพราะอยู่ในเอเธนส์นี่นะ และที่สำคัญคือที่ตั้งโรงแรมนี้ติดกับอะโครโปลิสเลย ถ้าขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นวิวอะโครโปลิสชัดแจ๋ว นี่แหละจุดขาย มันคือสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของกรีซครับ เดี๋ยวเราจะไปชมกันวันพรุ่งนี้
และแล้วฟ้าก็สว่าง วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว (ถ้าไม่นับวันที่ 11 ที่บินกลับอย่างเดียวอะนะ) เดินจากที่พักมาไม่ไกลจะเป็นทางขึ้นอะโครโปลิสครับ เปิด 8 โมง ตื่นเช้าไปก็ขึ้นไม่ได้ หลังเดินมั่วหาของกินเสร็จแล้วก็ซื้อตั๋วเข้าโบราณสถานครับ แนะนำให้ซื้อแพ็คเกจ combined ticket ไปเลย 30 EUR เข้าได้ 7 ที่ - อะโครโปลิส, ตลาดโบราณ, หอสมุดเฮเดรียน, สุสานเคราไมคอส, โรงเรียนอริสโตเติล, วิหารโอลิมเปียนซุส และตลาดโรมัน ซื้อมาแล้วถือไว้ทั้งวัน ห้ามทำหายเลยนะครับ เหลืออีกวันเดียวจะเที่ยวครบหรือไม่... โปรดติดตามชม! และนี่คือแผนที่ศูนย์กลางเมืองเอเธนส์ครับ แน่นเอี๊ยดไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เดี๋ยววันนี้เราจะไปจนเกือบครบทุกแห่งที่มีชื่อปรากฏ (คลิ๊กที่ภาพเพื่อชมภาพขยาย)
อะโครโปลิส (Acropolis) แปลว่าเมืองบนที่สูง จุดยุทธศาสตร์ของเมืองโบราณกรีกหลายแห่งมีลักษณะเป็นอะโครโปลิสเพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การป้องกันข้าศึก และอะโครโปลิสที่โด่งดังที่สุดคืออะโครโปลิสของเอเธนส์แห่งนี้เอง ที่นี่เป็นต้นแบบของแซงทัวรี่ที่ตั้งของปราสาท 12 ราศีในเรื่องเซนต์เซย่าด้วยนะ ด้านบนเคยมีเทวรูปอาเธน่าเช่นเดียวกัน และดูนั่นสิครับดาวตก สงสัยขึ้นไปผมต้องเจอเซย่าแน่ๆ |
|
ภาพจำลองอะโครโปลิสของเอเธนส์ในยุคโบราณ อะโครโปลิสไม่ใช่เนินสูงชันอะไรมากมาย เดินขึ้นมาหน่อยนึงจะเห็นซุ้มประตูแบบกรีก (Propylaia) เป็นประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นเมื่อ 432 BC
ขึ้นมาถึงเนินด้านบนของอะโครโปลิส แสงอาทิตย์ยามเช้าก็โผล่มาทักทายกัน ด้านบนมีวิหารสำคัญอย่างพาร์เธน่อนและอีเร็คเธียน และยังเป็นจุดปักธงชาติกรีซด้วย
วิหารพาร์เธน่อน (The Parthenon) เป็นวิหารสร้างเพื่อเป็นที่สักการะเทพีอาเธน่า ในปี 438 BC แทนที่วิหารเดิมที่ถูกทำลายตอนเปอร์เซียบุกในปี 480 BC ขนาด 31 เมตร x 70 เมตร สูง 15 เมตร ใหญ่กว่าวิหารเทพเจ้าซุสที่โอลิมเปียเสียอีก ตอนขึ้นไปกำลังบูรณะอยู่เลย ใครมาอะโครโปลิสก็ทำใจหน่อยนะครับ โบราณสถานทุกแห่งเวียนกันบูรณะอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์
| ภายในวิหารเคยเป็นที่ประดิษฐานของ องค์เทพีอาเธน่าพาร์เธนอส (Athena Parthenos) ผลงานเอกของฟีเดียว ช่างอันดับหนึ่งเจ้าเดียวกับที่สร้างเทวรูปซุสที่โอลิมเปีย องค์เทพีสร้างจากงาช้างและทองคำ มือขวาถือไนกี้มือซ้ายถือโล่ สูง 11 เมตร น่าเสียดายช่วงที่กรีกถูกโรมันครอบครอง เทวรูปองค์นี้ก็ถูกยกไปที่คอนสแตนติโนเปิลและหายสาบสูญไป ด้านซ้ายนี้คือองค์จำลอง Athena Varvakeion ซึ่งจำลองลักษณะของ Athena Parthenos ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดในบรดาองค์จำลองที่มีอยู่มากมาย ทำให้เรารู้รูปร่างเดิมของเทวรูปอาเธน่าที่หายสาบสูญไปด้วย องค์จำลองนี้ถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติเอเธนส์ (แต่ผมเข้าไปหาไม่เจอ สงสัยถูกย้ายไปแสดงที่อื่นชั่วคราว) ภาพนี้จาก wiki ครับ ส่วนนอกวิหารเคยประดิษฐานเทวรูปอาเธน่าอีกองค์หนึ่งเรียกว่า Athena Promachos มือขวาถือหอกแทนที่จะเป็นไนกี้ สูง 9 เมตร ถูกยกไปกรุงคอนสแตนติโนเปิลเช่นกัน | ข้างๆพาร์เธน่อนมีวิหารอีเรคเธียน สร้างเพื่ออุทิศให้กษัตริย์อีเรคตัสในปี 406 BC
จุดเด่นคือหัวเสาสลักเป็นรูปผู้หญิงเรียกว่า Caryatids (หญิงพรหมจรรย์) ที่เห็นนี้ของจำลองนะครับ เสาจริงเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์อะโครโปลิส แต่เหลือแค่ 5 จาก 6 ต้น อีกต้นหนึ่งถูกพวกเติร์กยกไป
|
ตามตำนานเล่าว่าในยุคโบราณ อาเธน่าและโปเซดอนได้ชิงความเป็นเทพผู้คุ้มครองเอเธนส์กัน โดยมีกติกาว่าใครประทานสิ่งของที่มีประโยชน์กับชาวเอเธนส์ได้มากกว่า จะเป็นผู้ชนะ โปเซดอนประทานม้าศึกให้ชาวเมือง ในขณะที่อาเธน่าประทานต้นมะกอก ซึ่งมีประโยชน์กับเมืองนี้มากกว่า จึงชนะได้เป็นเทพคุ้มครองเอเธนส์ไป และด้านหลังของวิหารอีเรคเธียนที่มีต้นมะกอกงอกขึ้นมานี้เป็นตำแหน่งเดียวกับที่อาเธน่าเคยประทานมะกอกให้ชาวเมือง
| ที่นี่มีธงชาติที่สำคัญที่สุดในประเทศกรีซปักอยู่ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษกรีก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีเข้ายึดกรุงเอเธนส์และสั่งให้ปลดธงชาติลง แต่ทหารกรีกดึงธงชาติมาพันดับตัวเองไว้ ไม่ยอมจำนนต่อนาซี และเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวกรีกลุกฮือขึ้นต่อต้านนาซี
บริเวณนี้มีทหารเฝ้าระวังอยู่ตลอด เป็นช่วงเปลี่ยนเวรพอดี
|
วิหารแห่งโรมและออกัสตัส (Temple of Rome and Augustus) สร้างในปี 27 BC ช่วงที่โรมันยึดครองกรีก และนี่เป็นวิหารแบบโรมันเพียงแห่งเดียวบนอะโครโปลิส แต่ปัจจุบันเหลือแค่ฐานตั้งอยู่หน้าพาร์เธน่อน
|
วิหารอาเธน่าไนกี้ (The Temple of Athena Nike) ตั้งอยู่ด้านหน้าทางขึ้นมาด้านบนของอะโครโปลิส เป็นวิหารเล็กๆ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ 1300 BC เพี่อปกป้องคุ้มครองชาวเอเธนส์ (ไนกี้คือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ .....และปัจจุบันกลายเป็นชื่อรองเท้า) และบูรณะในปี 468 BC
|
วิวเมืองเธนส์จากด้านบนอะโครโปลิส ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นั่นคือยอดเขาไลคาเบตตัส (Lycabettus) มีโบสถ์เซนต์จอร์จอยู่ด้านบน
| เดินลงมาด้านล่าง ทางทิศใต้ของอะโครโปลิสมีโรงละครเฮรอดแอตติคัส (Theatre of Horod Atticus) สร้างในปี 161 โดยเฮรอด แอตติคัส แม้แต่ในยุคนี้ก็ยังใช้จัดการแสดงได้อยู่นะ อันที่จริงมีโรงละครไดโอนิซุสอยู่อีกมุมนึง แต่หาทางเข้าไปไม่เจอครับ ป้ายบอกทางแถวนี้คุณภาพดี๊ดี
ลงจากอะโครโปลิสมา ทางใต้มีเนินฟิโลปาปอสอยู่ ระหว่างทางมีหินก้อนใหญ่ที่เซนต์พอลเคยมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ให้ชาวเอเธนส์ในปี 50 จนต่อมาได้เป็นศาสนาประจำชาติกรีซ (มันเป็นก้อนหินใหญ่ๆธรรมดาจริงๆ ...จนผมลืมถ่ายรูปมา) ที่เชิงเนินฟิโลปาปอสมีคุกที่เคยกักขังโซเครตีส (The Prison of Socrates) เจาะหินเข้าไปเป็นช่องๆ ที่ได้ชื่อนี้เพราะเคยเชื่อกันว่าใช้เป็นที่ขังโซเครตีส นักปรัชญายุคกรีกโบราณ ราว 400 BC ด้วยข้อหาทำลายศาสนา ก่อนนำไปประหารชีวิต แต่จากหลักฐานล่าสุดน่าจะเป็นคุกอื่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นี่ใช้เป็นที่เก็บซ่อนสมบัติที่พบในอะโครโปลิสด้วยนะ
เนื่องจากมีความสูงกว่าเนินอื่นๆ ทางฝั่งตะวันตกของอะโครโปลิส ซึ่งเป็นทิศที่เอเธนส์ต้องรับมือศัตรูอย่างสปาร์ต้าหรือเมืองอื่นๆ เนินนี้เลยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาก ที่นี่ใช้เป็นที่ฝังศพฟิโลปาปอส เจ้าชายของอาณาจักรอาร์เมเนียโบราณ (เสียชีวิตในปี 116) และตั้งอนุสาวรีย์ฟิโลปาปอส (Philopappos Monument) ไว้ด้านบนสุดของเนิน
มองจากเนินฟิโลปาปอสเห็นอะโครโปลิสชัดแจ๋วแวววับ
| ลงจากเนินเดินมาทางทิศใต้ของอะโครโปลิส (ตะวันออกของเนินฟิโลปาปอส) จะมี พิพิธภัณฑ์อะโครโปลิส (Acropolis Museum) ถึงเอเธนส์จะมีพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติใหญ่โตมโหฬารแล้ว แต่ของชิ้นสำคัญจากอะโครโปลิสก็ยังมีมากพอให้ตั้งได้อีกพิพิธภัณฑ์นึงเลย เปิด 8.00 - 20.00 น. (วันศุกร์ปิด 22.00 น., วันจันทร์ปิด 16.00 น. แต่หน้าหนาวจะเปิด 9.00 - 17.00 น.) ค่าเข้า 5 EUR ไม่รวมใน combined ticket นะครับ ตั้งมาตั้งแต่ปี 1874 เดิมทีพิพิธภัณฑ์นี้เคยอยู่บนเนินอะโครโปลิส แต่ของที่ขุดพบจากอะโครโปลิสก็เยอะขึ้นๆ จนพิพิธภัณฑ์เก่าเก็บไม่ไหว ต้องลงมาตั้งข้างล่างแล้วทำให้ใหญ่โตมโหฬารเลย เพิ่งแล้วเสร็จปี 2009 นี้เองครับ
|
ตัวอาคารสร้างทับโบราณสถาน เอาจริงๆด้านล่างอะโครโปลิสขุดไปตรงไหนก็เจอโบราณสถานทั้งนั้น เขาเลยทำพื้นใสให้คนชมโบราณสถานด้านล่างได้ด้วย
|
การจัดแสดงจะแบ่งโซนตามสถานที่พบโบราณวัตถุชิ้นนั้นๆ ทั้งเนิน, พาร์เธน่อน, ซุ้มประตู, อาเธน่าไนกี้, อีเรคเธียน, ฯลฯ
|
ศีรษะสตรี (คาดว่าคืออะโฟรไดต์) ขนตาที่ทำด้วยทองแดงถูกออกซิไดซ์ และมีน้ำชะลงมาเป็นคราบยาว เลยดูเหมือนรูปปั้นร้องไห้
|
Relief of the Pensive Athena ที่โด่งดัง ภาพอาเธน่าพักผ่อนพิงกับหอก เป็นอิริยาบถของอาเธน่าที่ไม่ค่อยได้เห็น พบที่เกาะปารอส อายุราว 460 BC
|
ชิ้นส่วนปูนปั้นรอบวิหารพาร์เธน่อน เอามาจัดแสดงให้ได้ขนาดวิหารจริงๆก็ฟิตกับชั้นนึงของพิพิธภัณฑ์เต็มๆเลย เป็นวิหารที่ใหญ่โตมากๆ
|
เลโก้ประกอบเป็นอะโครโปลิส
| ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Caryatids เสารูปสตรีพรหมจรรย์จากวิหารอีเรคเธียน 5 ต้น จาก 6 ต้น (อีกต้นนึงอยู่ในบริทิชมิวเซียม) จะมีอยู่ต้นนึงแตกหักเพราะโดนปืนใหญ่กองทัพตุรกียิงเอา อันนี้คือของแท้และดั้งเดิมเลยครับ ส่วนที่วิหารเป็นของจำลอง
หลายๆโซนไม่ให้ถ่ายรูปนะครับ ที่ไม่ให้ถ่ายและน่าสนใจก็คือพวกรูปปั้นต่างๆ ที่ยังมีสีทาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณเหลืออยู่ เพิ่งจะรู้ว่าพวกรูปปั้นกรีกทั้งหลายเนี่ย ทีแรกมันก็มีสีสันสดใส ไม่ได้ขาวคลาสสิคแบบที่เห็นในทุกวันนี้เนอะ (ชอบแบบขาวๆมากกว่า)
ออกจากพิพิธภัณฑ์มาหาข้าวกินระหว่างทางเดินไปประตูเฮเดรียน สุ่มได้ร้าน Parkering Athens ครับ อร่อยยยยยย!! ร้านที่เอเธนส์น่าจะอร่อยกว่าเมืองอื่นๆ หรือเปล่าเนี่ย เจอเจ๋งๆสองร้านละ หรือเป็นเพราะมื้อนี้ยอมจ่ายแพงสั่งเมนูกุ้ง กุ้งก็ใหญ่สู้บ้านเราไม่ได้อะนะแต่ได้กลิ่นกุ้งเผาหอมๆที่แสนคิดถึงมันเลยฟิน อีกเมนู Bandit Lamb ก็อร่อย เนื้อแกะนุ่มมาก
เดินบนถนนของเมืองหลวงมีผู้คนคึกคักกว่าเมืองที่ผ่านๆมาอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวกรีซแบบนี้ด้วยแล้ว
มีรถม้าให้นั่งด้วย
|
วณิพกพเนจร
|
ขายถั่วหลากหลายแบบอินเดียเลย
|
พวกคีออสก็มีเหมือนในเมืองอื่นๆ มีของที่ระลึกขายเพียบ
| จากอะโครโปลิสเดินไปทางตะวันออก ฝั่งตรงข้ามถนนมี ซุ้มประตูเฮเดรียน (Hadrian's Arch) สร้างในปี 132 เพื่อต้อนรับจักพรรดิเฮเดรียนของโรมัน ผู้ชื่นชมศิลปะวิทยาการกรีกและเข้าบูรณะโบราณสถานยุคกรีกโบราณมากมาย และเป็นเกย์ <<แกจะเลิกพูดถึงเรื่องเกย์ซะทีได้ม้ายยย รูปทรงบ้านๆมาก เทียบกับซุ้มประตูสุดอลังการทั้งหลายที่โรมแล้วไม่ติดฝุ่นเลย ประตูนี้ใช้แบ่งเขตโรมันและดินแดนของกรีกโบราณ โดยฝั่งหนึ่งเขียนว่าเป็นดินแดนของจักพรรดิเฮเดรียน และอีกฝั่งหนึ่งเขียนว่าเป็นดินแดนของกษัตริย์เทสซิอุส (เป็นกษัตริย์ในตำนานของเอเธนส์) อันที่จริงยุคนั้นโรมันครองกรุงเอเธนส์ไปแล้ว จะฝั่งไหนก็เป็นโรมันทั้งนั้นละครับ
ลอดซุ้มประตูมาจะเป็นสนามใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งของ วิหารโอลิมเปียนซุส (Temple of Olympian Zeus) อันนี้ค่าเข้ารวมใน combined ticket แล้วครับ เลยครึ่งวันมาแล้ว เพิ่งจะได้ 2 จาก 7 ที่! วิหารนี้เพื่อสักการะเทพเจ้าซุส สร้างครั้งแรกราวปี 550 BC เพื่อให้เป็นวิหารที่ใหญ่โตที่สุดในโลกยุคนั้น แต่ทำไม่เสร็จ จนได้จักพรรดิเฮเดรียนของโรมันมาสานต่อ ในศตวรรษที่ 2 จนเป็นวิหารที่ใหญ่โตที่สุดในประเทศกรีซจนถึงปัจจุบัน ขนาด 41 เมตร x 108 เมตร มีเสา 104 ต้น สูง 17 เมตร ใหญ่กว่าวิหารพาร์เธน่อนด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันหลือเท่าที่เห็น ในยุคกลางวิหารแห่งนี้ถูกรื้อไปสร้างโบสถ์และอาคารต่างๆ มากมาย
เดินมาทางตะวันออก 500 เมตร จะถึงสนามกีฬา Panathenaic Stadium จุคนได้ 45,000 คน เป็นสนามกีฬาที่ใช้จัดพิธีโอลิมปิคครั้งแรกในปี 1896 เป็นการกลับมาจัดโอลิมปิคอีกครั้งในโลกยุคใหม่ ในอดีตเมืองโอลิมเปียเคยจัดกีฬาโอลิมปิคยุคโบราณตั้งแต่ปี 776 BC จนกระทั่งถูกยกเลิกโดยจักพรรดิธีออโดเซียสที่ 1 ในปี 393 เพราะเห็นว่าเป็นพิธีกรรมเพื่อบูชาเทพเจ้ายุคโบราณที่จะให้คนเลิกนับถือแล้วเปลี่ยนมานับถือคริสต์แทน การจัดโอลิมปิคยุคใหม่ตั้งแต่ปี 1896 ถือเป็นการนำกีฬาโอลิมปิคกลับมาสู่มวลมนุษยชาติอีกครั้ง โดยเริ่มครั้งแรกที่แผ่นดินที่ให้กำเนิดมหกรรมกีฬานี้อย่างประเทศกรีซ ที่สำคัญคือสนามแห่งนี้สร้างทับสนามกีฬาโบราณที่ชาวเอเธนส์ใช้จัด Panathenaic Games มหกรรมกีฬาที่สำคัญรองจากโอลิมปิคด้วย
ค่าเข้าชม 5 EUR นอกจากตัวสนามแล้วตรงห้องพักนักกีฬาเขาแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์โอลิมปิคยุคใหม่ด้วยครับ มีอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีเปิดโอลิมปิค และโปสเตอร์โอลิมปิคครั้งก่อนๆ ให้ชม
ประเทศกรีซได้เป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิคอีกครั้งในปี 2004 งบบานจนเศรษฐกิจประเทศทรุดไปเลยจ้า สนามหลักไม่ได้ใช้ที่นี่นะ แต่ไปสร้างสนาม Spyros Louis อยู่ห่างสนามนี้ไปทางเหนือ 10 km (ผมไม่เดินไปแน่ๆ) ที่นี่ใช้เป็นสนามเหย้าของทีมฟุตบอลพานาธิไนกอสและเออีเคเอเธนส์ด้วย ครั้งต่อไปปี 2020 จัดโอลิมปิคที่โตเกียวนะครับ รอชมพิธีเปิดสุดคิกขุแบบญี่ปุ่นๆได้เลย
จากสนามกีฬาเดินต่อมาทางตะวันออกเฉียงเหนือ 600 เมตร จะเห็นพื้นที่เต็มไปด้วยเศษอิฐ ที่นี่จะมีทั้ง โรงเรียนปรัชญาไลคีออน (Lykeion) และโรงยิมแห่งแรกของเอเธนส์ตั้งอยู่ติดกัน เดิมบริเวณนี้เป็นวิหารเทพอพอลโล แต่ถูกสร้างเป็นโรงเรียนในปี 334 BC โดยอริสโตเติล ศิษย์ของเพลโตที่เป็นศิษย์ของโซเครตีสอีกที เป็นผู้สอนหนังสือให้อเล็กซานเดอร์ด้วยนะ แม้คำสอนอย่างสอนว่าดวงดาวทุกดวงหมุนรอบโลก หรือของหนักจะตกถึงพื้นก่อนของเบา จะทำให้วงการวิทยาศาสตร์มืดมนไปนับพันปี แต่แนวคิดหลายๆอย่างของเขา โดยเฉพาะตรรกศาสตร์และชีววิทยา ก็ถูกต่อยอดเป็นวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
ค่าเข้ารวมอยู่ใน combined ticket แล้วครับ เที่ยวได้ 3/7 ละ
ถ้านับจุดเริ่มต้นที่อะโครโปลิส ไลคีออนถือเป็นสถานที่เที่ยวที่ไกลที่สุดของวันนี้แล้วครับ จากนั้นก็เริ่มการเดินกลับอีกเส้นนึง มาตามถนน Leof Vasilissis Sofias จะมาถึง จตุรัสซินแท็กม่า (Syntagma Square) มีตึกรัฐสภาที่ด้านล่างเป็นสุสานทหารนิรนาม สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ทหารกรีกทุกคนที่เสียชีวิตจากสงครามใดๆ มีทหารยืนเข้าเวรหน้าตึก เปลี่ยนกะทุก 1 ชม. ครับ
ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นลานน้ำพุที่คึกคักไปด้วยผู้คนและแผงล็อตเตอรี่
จากซินแท็กม่าจะเดินไปโรมันฟอรั่มทางตะวันตกไกลกัน 1 km เลยครับ ระหว่างทางก็แวะเที่ยวไปเรื่อยก่อน
Metropolitan Cathedral of the Annunciation โบสถ์สำคัญที่เป็นที่ประทับของพระสังฆราชแห่งกรีซ สร้างในปี 1842
ข้างๆกันมีโบสถ์ Panagia Gorgoepikoos หรือ Little Metropolis เป็นโบสถ์สมัยไบแซนไทน์สร้างในปี 1436 แต่พอมีโบสถ์ใหญ่ Metropolitan Cathedral มาอยู่ข้างๆ เลยถูกเรียกว่า Little Metropolis ไป
ลานหน้าโบสถ์มีอนุสาวรีย์ของจักพรรดิโรมันและสังฆราชอยู่
อนุสาวรีย์ Damaskinos Papandreou มหาสังฆราชแห่งเอเธนส์ (ดำรงตำแหน่ง 1941-1949) เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้แก่ชาวเอเธนส์ช่วงที่กรีซถูกนาซีเข้ายึดครอง
|
อนุสาวรีย์ Constantine XI Palaiologos (ครองราชย์ 1449-1453) เป็นจักรพรรดิโรมันองค์สุดท้าย ก่อนกรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพวกเติร์กตีแตกในปี 1453 และจักพรรดิคอนสแตนตินที่ 11 เสียชีวิตในสงคราม
|
มาถึงย่านโมนาสทิรากิ (Monastiraki) ที่นี่เป็นแหล่งการค้ามีตลาด Flea Market ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาซื้อของกันก่อนกลับบ้านด้วย เดี๋ยวดึกๆค่อยแวะมาอีกที
|
ร้านอาหารเรียงลดหลั่นกันตามขั้นบันไดในย่านการค้าปลาก้า (Plaka) ก็ทำให้บันไดแคบๆนี้มีวิวที่แปลกตา เป็นจุดขายดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเดินเล่นได้
| ตลาดโรมัน (Roman Agora) 1 ใน 7 สถานที่ที่เข้าได้ด้วย combined ticket เป็นตลาดที่สร้างขึ้นสมัยโรมันเข้ายึดครองเอเธนส์ราวปี 19-11 BC ขยายตัวมาจาก Ancient Agora ที่แออัดมาอีกที มีแต่ซากฐานและเสา ที่ยังพอเป็นรูปร่างหน่อยก็คือประตู Gate of Athena Archegetis และหอคอยสายลม
หอคอยสายลม (Tower of the Winds) เป็นหอนาฬิกาที่เคลื่อนที่ด้วยแรงดันน้ำภายในหอ ผลงานของแอนโดรนิคอสผู้เป็นทั้งสถาปนิกและนักดาราศาสตร์ สร้างขึ้นราว 200 BC ก่อนมีตัวตลาดขึ้นมาอีก
|
พิพิธภัณฑ์ที่ดัดแปลงจากมัสยิด Fethiya Mosque แต่ด้านในมีแค่โปสเตอร์เล่าประวัติการขุดสำรวจตลาดโรมัน
| ออกจากตลาดโรมันเดินมาทางตะวันตกติดกันเลยคือตลาดโบราณ ทางเข้าอยู่ทางทิศเหนือขนานกับทางรถไฟนะครับ มีซากโบราณสถานมากมายจนถึงถนนเลย
เห็นผนังบ้านเรือนของเอเธนส์แล้วเชื่อได้ว่าชาวเอเธนส์ยังคงมีใจรักในศิลปะจนถึงทุกวันนี้ เขียนตั้งแต่กำแพงอาคารยันรถไฟ
|
ทางเข้าตลาดโบราณ มีเสาสลักรูปไททันที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโรงละคร The Odeion of Agrippa สร้างราว 15 BC ตอนนี้ก็เหลือแค่ที่เห็น
| ตลาดโบราณ (Ancient Agora) นี่คือตลาดกลางที่ใหญ่โตที่สุดของเอเธนส์ในยุคโบราณครับ มีสิ่งก่อสร้างมากมาย พื้นที่กว้างขวาง ถึงส่วนใหญ่จะเหลือซากที่ดูไม่ออกว่าเคยเป็นอะไร แต่ก็ใช้เวลาเดินพอสมควรเลย ถ้าจะเที่ยวเฉพาะจุดเด็ดๆก็มีแค่วิหารเทพเฮฟเฟสตุส โบสถ์แห่งสาวกศักดิ์สิทธิ์ และพิพิธภัณฑ์เท่านั้นเอง
วิหารเทพเฮฟเฟสตุส (Temple of Hephaestus) ตั้งอยู่บนเนินทางตะวันตกของตลาด สร้างในปี 415 BC เพื่อบูชาเฮฟเฟสตุส เทพเจ้าแห่งไฟและงานฝีมือ น่าจะเป็นวิหารสมัยกรีกโบราณที่รักษาสภาพเดิมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว เคยถูกใช้เป็นโบสถ์คริสต์ด้วยนะ
โบสถ์แห่งสาวกศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Apostles) สร้างในปี 1000 ด้านในมีภาพเขียนอายุราวศตวรรษที่ 17 ให้ชมมากมายเลยครับ มีบางภาพนำมาจากที่อื่นมารักษาไว้ที่นี่ด้วย
ทางตะวันออกสุดของตลาดมีระเบียงแอตตาลอส (Stoa of Attalos) ...จนถึงบล็อกสุดท้ายผมก็ยังไม่รู้จะแปลคำว่า Stoa (ทางเดินแบบกรีกที่มีเสาค้ำและหลังคาคลุม) ว่าอะไรดี? โคปุระ?? สร้างในรัชสมัยของกษัตริย์แอตตาลอสที่ 2 แห่งเปอร์กามัม (ครองราชย์ปี 159 BC - 138 BC ช่วงที่โรมันยึดครองกรีกแล้ว) มีขนาด 120 เมตร x 20 เมตร ตอนนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุที่ขุดพบจากตลาดโบราณมากมายเลยครับ ทั้งรูปปั้น รูปสลักหิน ภาชนะดินเผา เหรียญโบราณ เครื่องสำริด ฯลฯ ส่วนชั้นบนมีรูปปั้นและแบบจำลองสถานที่สำคัญต่างๆ |
|
ได้ใช้ตั๋ว combined ticket เข้าไป 5 จาก 7 ที่ละครับ มาต่อกันที่จุดที่ 6 เลยดีกว่า... ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว ฟ้ามืดครึ้ม เป็นเวลาที่เหมาะแก่การเดินเที่ยวสุสาน และนี่คือสุสานที่ใหญ่โตที่สุดของยุคกรีกโบราณ เคราไมคอส (Kerameikos) เนื่องจากเป็นแหล่งรวมประติมากรรมของประดับหลุมฝังศพจึงเป็นที่รวมตัวของช่างฝีมือยุคกรีกโบราณ และคำว่าเคราไมคอสนี้เองเป็นที่มาของคำว่าเซรามิคในปัจจุบัน
เปิด 8.00 - 18.00 น. เหลือเวลาชั่วโมงเดียว แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมากอยู่แล้วครับ แทบจะเป็นกองหินหมดแล้ว พวกแผ่นหินป้ายสุสานหรือรูปปั้นต่างๆที่ตั้งอยู่เป็นของจำลอง ส่วนของจริงเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไปแล้วจ้า สิ่งก่อสร้างสำคัญที่สุดเห็นจะเป็นอาคารปอมเปเอียน (Pompeion) ที่เห็นเสาด้วนๆในรูปบนนี่แหละ ที่นี่เป็นที่ใช้เก็บอุปกรณ์สำหรับจัด Panathenaic Games ที่สนามพานาเธนาอิค ตอนนี้้เหลือแค่ฐานกับโคนเสา
ที่น่าสนใจก็คือตัวพิพิธภัณฑ์เคราไมคอสที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้านี่ละครับ เต็มไปด้วยของประดับหลุมฝังศพที่งดงามมากมาย ทั้งสฟิงค์และคูรอส ที่เด่นที่สุดคือรูปปั้นวัวกระทิงบนสุสานของไดโอนิเซียส (ไม่เล่าประวัติเนอะ คนไม่ดังครับ กระทิงดังกว่า) สร้างราวปี 345 BC |
|
ออกจากเคราไมคอสเกือบๆ หกโมง แวะกินข้าวเย็น แล้วเดินไปถึงสถานที่สุดท้ายใน combined ticket หอสมุดเฮเดรียน (Hadrian's Library) ซึ่งก็ปิดไปตั้งแต่บ่ายสามแล้วละครับ ไม่ได้กะมาอยู่แล้ว มีเท่าที่เห็นนี่แหละ ชะโงกถ่ายผ่านรั้วเลยจ้า ที่จริงฟ้าเกือบมืดแล้ว ภาพนี้ปรับแสงในคอมแบบสุดฤทธิ์ หอสมุดแห่งนี้สร้างในปี 134 โดยจักรพรรดิเฮเดรียนที่เป็นคู่เกย์ของอันตินูส เป็นที่เก็บหนังสือที่สมัยนั้นยังเป็นม้วนกระดาษปาปิรุสอยู่เลยครับ ยังไม่มีขายหัวเราะหรือต่วยตูนให้อ่าน มีห้องอ่านหนังสือ ห้องเรียนหนังสือ และยุคหลังๆมีการสร้างโบสถ์เพิ่มเติมบนพื้นที่นี้ 3 หลังเลย
กลับมาที่จตุรัสโมนาสทีรากิ เพื่อไปที่ Flea Market พอตกค่ำฝนก็เริ่มพรำ สร้างความลำบากในการถือร่มพลางถ่ายรูปไปพลางมากๆ ที่นี่มีของใช้ของฝากของที่ระลึกราคาถูกกว่าตลาดอื่นๆ สมแล้วที่อั้นใจไว้ซื้อวันสุดท้าย (แต่ถ้าอยากได้ลวดลายเจาะจงสถานที่ก็ต้องซื้อที่เมืองนั้นๆอย่างที่บอก) พวกขนมพื้นเมืองของกรีกอย่าง Baklava, Kataifi, Halva แพ็คใส่กล่องขายก็อร่อยนะครับ ไม่ได้หวานไร้สาระแบบขนมอิตาลี แจกเพื่อนแป๊บเดียวหมดอะ
ปิดฉากการท่องเที่ยววันสุดท้ายราวสองทุ่มของวันที่ 22 ต.ค. 61 เข้านอน แล้วตื่นเช้ามาแพ็คกระเป๋า โทรเรียกแท็กซี่มารับไปสนามบินแล้วก็ลาแล้วจ้ากรีซ~
กระทั่งมาถึงสนามบินบรรยากาศแบบกรีกๆก็ยังไม่หมดไป หน้าเทอร์มินัลมีรูปจำลองของรูปสลักหินอ่อนเด็กผู้หญิง อายุราว 400 BC ครับ
หมดแล้ว!! 5 entries ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทริปยาวๆเลย เดี๋ยวบล็อกหน้าจะมาเก็บตกสิ่งที่พบเจอในการเดินทางครับผม
Create Date : 12 มกราคม 2562 |
Last Update : 19 มกราคม 2562 21:39:55 น. |
|
90 comments
|
Counter : 5795 Pageviews. |
|
|
ตามอ่านทั้ง 4 เอนทรี
สำหรับเอนทรีที่ 5 ล่าสุด ของTripยาววววมากนี้
ขอกลับขึ้นไปอ่านอีกรอบ