ขับรถทางไกล
ขับรถทางไกล
# 01 การเตรียมตัว
1. ผู้ขับขี่ ควรจะเตรียมความพร้อมของเครื่องยนต์(รถ) ตรวจระดับน้ำมัน น้ำมันเครื่อง ตรวจระดับน้ำหล่อเย็น ตรวจเบรกและระดับน้ำมันเบรก น้ำมันคลัทช์ ตรวจความตึงของสายพาน ตรวจยางและแรงดันลมยาง รวมทั้งที่ยางอะไหล่ ตรวจสภาพไฟส่องสว่างและแตร ให้อยู่ในสภาพตามที่คู่มือรถคันนั้นกำหนด
เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ควรจะนำรถเข้าศูนย์บริการ และแจ้งให้ตรวจสภาพเพื่อการเดินทางไกล
2. ควรจะเตรียมร่างกาย...ให้ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลับสนิทอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ไม่สวมเสื้อผ้าที่รุ่มร่ามเกะกะ หรือฟิตอึดอัด ไม่รับประทานอาหารจนอิ่มเกินไปเพราะอาจจะทำให้ง่วง ไม่ท้องเสีย ไม่มีอาการไข้ ไม่รับประทานยาที่จะทำให้ง่วง ไม่อยู่ในอาการมึนเมา ไม่มีอารมณ์โกรธ ทุกข์โศก หรือรีบร้อนจนควบคุมสติไม่ได้ ถ้าขับรถในตอนกลางวัน ควรจะเตรียมแว่นกันแดดไว้ด้วย
ห้ามขับขี่รถยนต์ ในขณะที่หย่อนความสามารถทางการขับขี่ เช่น บาดเจ็บรุนแรง พิการ มองไม่เห็น ง่วงนอน เป็นต้น
3. ควรจะบรรทุกสัมภาระ จัดวางอย่างเป็นระเบียบ ....หากเป็นสิ่งของที่สามารถเคลื่อนตัวได้ เมื่อออกรถหรือขึ้นลงทางลาดชัน ควรจะผูกมัดให้ตรึงอยู่กับที่อย่างปลอดภัยและไม่โดนแดดฝน ไม่ควรจะบรรทุกสิ่งของและผู้โดยสารมากจนเกินไป เพราะจะมีผลเสียต่อรถและการควบคุมรถ
เช่น เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น สึกหรอเร็วขึ้น สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น ระบบรองรับน้ำหนักของรถอ่อนตัวหรือล้าเร็ว ระยะทางการหยุดรถจะใช้ยาวขึ้น รถจะเสียการทรงตัว การควบคุมทิศทางของรถจะยากขึ้น เมื่อขึ้นเนิน รถจะขับได้ช้า แต่เมื่อลงเนิน รถจะแล่นเร็วซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้ง่าย ยิ่งหากเป็นการบรรทุกหนักไว้ที่ท้ายรถ หน้ารถจะยกสูงขึ้น ทำให้ไฟส่องสว่างสูง อันจะเป็นอันตรายต่อรถคันที่สวนทางมา
# 02 การขับรถ
1. ผู้ขับขี่ จะต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้าย และต้องไม่ล้ำเส้นกึ่งกลางของทางเดินรถ รถที่มีความเร็วช้าจะต้องขับใกล้ทางเดินรถด้านซ้ายเท่าที่จะทำได้ เว้นแต่ ทางเดินรถด้านซ้ายจะมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดกั้นการจราจร, หรือเมื่อจะแซงหน้ารถคันอื่น, หรือเมื่อการเดินรถนั้นกำหนดให้เดินรถทางเดียว, และเมื่อทางเดินรถนั้น กว้างไม่ถึง 6 เมตร
2. ในทางเดินรถที่แคบ เมื่อขับรถสวนกัน ผู้ขับขี่แต่ละฝ่าย จะต้องลดความเร็วลง เพื่อให้รถวิ่งสวนกันได้โดยปลอดภัย แต่ในทางเดินรถที่แคบมาก ที่ไม่อาจขับรถวิ่งสวนกันได้โดยปลอดภัย ผู้ขับขี่รถที่คันใหญ่กว่า จะต้องหยุดรถให้ชิดขอบทาง เพื่อให้รถคันที่เล็กกว่าผ่านไปก่อน
3. ผู้ขับขี่ จะต้องขับรถให้ห่างจากรถคันหน้าพอสมควร ในระยะที่หยุดรถได้โดยปลอดภัย ผู้ขับขี่ ที่จะเลี้ยวรถ หรือจะให้คันอื่นแซง หรือจะเปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือจะจอดรถ จะต้องใช้สัญญาณมือ หรือสัญญาณไฟ เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร ให้รถคันอื่นทราบ
4. ผู้ขับขี่ที่ขับรถขึ้นสะพาน หรือทางลาดชัน จะต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ให้รถถอยหลังไปโดนรถคันอื่น
5. ผู้ขับขี่ จะต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ให้รถชนหรือเฉี่ยวคนเดินเท้า ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของทาง และจะต้องให้สัญญาณเตือนคนเดินเท้า ให้รู้ตัว
6. ในเวลากลางคืน เมื่อขับรถสวนกัน จะต้องใช้ไฟส่องต่ำ
7. ในขณะขับรถ จะต้องนำใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ติดตัว โดยใบอนุญาตนั้นจะต้องถูกต้องตามชนิดและประเภทของรถ พร้อมนำสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถติดตัวไปด้วย เพื่อจะได้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ว่าเป็นเจ้าของรถจริง แต่อย่าเก็บสำเนาคู่มือจดทะเบียนรถนั้นไว้ในลิ้นชักรถ เพราะหากคนร้ายขโมยรถไป คนร้ายก็จะแสดงตนว่าเป็นเจ้าของรถได้
8. ผู้ขับขี่ จะต้องมีความรู้เรื่องกฎจราจร เครื่องหมายสัญญาณจราจร และจะต้องปฏิบัติตาม
# 03 การจอดรถ
1. ผู้ขับขี่ จะต้องจอดรถทางด้านซ้ายของทางเดินรถ แต่ไม่จอดบนช่องทางเดินรถประจำทาง และจะต้องจอดให้ขนาน ชิดขอบทางห่างไม่เกิน 25 ซม. หรือจอดรถ ณ ที่ที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนดไว้
2. ในกรณีที่เครื่องยนต์ขัดข้อง จนต้องจอดรถในช่องทางเดินรถ ถ้าจำเป็นจะต้องจอด จะต้องจอดในลักษณะที่ไม่กีดขวางการจราจร และจะต้องแสดงเครื่องหมายหรือสัญญาณตามลักษณะที่กำหนด ให้เห็นชัดเจน และจะต้องรีบนำรถออกมาให้พ้นทาง ทันทีที่สามารถทำได้
3. ห้ามผู้ขับขี่ จอดรถบนทางเท้า, บนสะพานหรือในอุโมงค์, บนทางร่วมทางแยกหรือในระยะ 10 เมตรจากทางร่วมทางแยก, บนทางข้ามหรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม, ในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอด, ในระยะ 3 เมตรจากท่อน้ำดับเพลิง, ในระยะ 10 เมตรจากที่ตั้งสัญญาณจราจร, ในระยะ 15 เมตรจากทางรถไฟผ่าน, จอดรถซ้อนรถคันอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว, ตรงปากทางเข้าออกอาคาร, ในระยะ 15 เมตรก่อนถึงป้ายหยุดรถประจำทางและเลยป้ายไปอีก 3 เมตร, ในระยะ 3 เมตรจากตู้ไปรษณีย์, และในลักษณะกีดขวางการจราจร
4. การจอดรถบนทางลาดชัน ผู้ขับขี่ จะต้องหันล้อหน้ารถเข้าขอบทาง
5. ในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่อยู่ที่รถ หรืออยู่แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจร ให้เจ้าพนักงานจราจร มีอำนาจเคลื่อนย้ายรถได้
6. ในเวลาที่แสงสว่างไม่เพียงพอ ที่รถคันอื่นจะมองเห็นรถที่จอดอยู่ในทางเดินรถ ในระยะไม่น้อยกว่า 150 เมตร ผู้ขับขี่ จะต้องเปิดไฟหรือใช้แสงสว่างตามประเภทที่กำหนด
7. เมื่อผู้ขับขี่เห็นสัญญาณระวังรถไฟ จะต้องลดความเร็วรถลง และหยุดรถให้ห่างจากทางรถไฟไม่น้อยกว่า 5 เมตร เมื่อรถไฟผ่านไปแล้วและมีสัญญาณให้รถผ่านได้ จึงจะขับรถผ่านไปได้
# 04 ข้อเตือนสติ
1. ควรศึกษาแผนที่ หรือถามผู้รู้ หรือถามเจ้าหน้าที่ เช่น ตำรวจท้องที่ ตำรวจทางหลวง ก่อนจะออกเดินทาง ควรจะรู้หมายเลขโทรศัพท์ของตำรวจ หน่วยกู้ภัย โรงพยาบาล บริษัทประกันภัย และคนที่รู้จัก ในจังหวัดที่ตนจะขับรถผ่าน
2. หากขับรถทางไกลในเวลากลางคืน ระยะทางเกินกว่า 150 กม. ขึ้นไป ควรจะมีผู้ขับขี่อีกคนหนึ่งช่วยขับรถแทนเมื่อง่วงนอน และห้ามดื่มสุราเพื่อกระตุ้นไม่ให้ง่วง
3. อย่าขับรถเร็วเกินอัตรากำหนด อย่าขับรถแข่งกันด้วยความคึกคะนอง อย่าขับรถตามหลังคันอื่นในระยะกระชั้นชิด อย่าขับรถแซงรถคันอื่นบนสะพาน บนทางลาดชัน บนทางโค้ง บนทางแยก หรือ ณ ที่ที่มีเส้นขาวทึบหรือเหลืองทึบ
4. จะต้องสังเกตและปฏิบัติตามป้ายสัญญาณจราจรที่อยู่สองข้างทางเสมอ
5. ขณะขับรถที่มีฝนตกใหม่ๆหรือถนนลื่น จะต้องชะลอความเร็วของรถ ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าให้มาก หากจะต้องหยุดรถ พยายามเปลี่ยนเป็นใช้เกียร์ต่ำ อย่าเบรกรถกะทันหัน หรืออย่าเลี้ยวรถกะทันหัน เพราะจะทำให้รถปัดหรือหมุนได้
เมื่อขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วม น้ำอาจจะแทรกเข้าไปในเบรก ทำให้เบรกไม่อยู่ ควรขับช้าๆด้วยเกียร์ต่ำ เมื่อผ่านบริเวณน้ำท่วมไปแล้ว ควรจะลองเบรกดู ว่ายังใช้ได้หรือไม่ โดยเหยียบเบรกหลายๆครั้ง เพื่อไล่น้ำ จนกระทั่งมั่นใจว่าเบรกใช้งานได้ตามปกติ
6. ขณะขับรถขึ้นเขา หรือขึ้นสะพานสูง เครื่องยนต์จะทำงานหนัก เพราะความสูงของถนนที่ลาดชัน จะทำให้รถไหลลง ดังนั้นจึงควรจะลดเกียร์ ใช้เกียร์ต่ำ แต่ถ้าบังเอิญเครื่องดับเพราะรถขึ้นไม่ไหว จะต้องรีบเหยียบเบรกและดึงเบรกมือช่วย ถ้าเป็นรถหนัก จะต้องใช้ไม้หนาๆ หนุนล้อทั้ง 4 ล้อด้วย เพื่อป้องกันรถไหล
7. ขณะขับรถลงเขา หรือลงจากสะพานสูง ความเร็วของรถจะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีโอกาสจะเป็นอันตรายได้ จึงต้องขับอย่างระมัดระวัง ควรจะลดเกียร์ ใช้เกียร์ต่ำ และเหยียบเบรกเป็นระยะ ขณะขับรถลงเขา ห้ามใช้เกียร์ว่าง ขณะขับรถลงเขา
8. ขณะขับรถขึ้นเขา หรือลงเขา จะต้องห้ามขับแซง เพราะผู้ขับขี่จะมองไม่เห็นรถคันที่สวนมา หรือถึงแม้จะมองเห็น แต่จะควบคุมรถในขณะนั้นได้ยาก
9. หากเกิดอุบัติเหตุรถเสีย ให้นำรถเข้าจอดข้างทาง หรือในที่ที่มีแสงสว่างที่จะให้รถผ่านไปมามองเห็นได้ชัด จะต้องเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน(ไฟกระพริบ)เพื่อเตือนให้รถคันอื่นเห็น หากไฟฉุกเฉินเสีย ให้ใช้ไฟฉายหรือจุดโคมไฟ หรือถ้าจำเป็นให้ใช้กิ่งไม้กองไว้ วางห่างจากด้านหน้าและด้านหลังรถพอสมควร เพื่อเตือนให้รถที่วิ่งผ่านไปมา สังเกตเห็นได้ง่าย หากเป็นเวลากลางคืน จะต้องใช้กิ่งไม้ก่อเป็นกองไฟไว้ ให้ห่างจากหน้ารถ และหลังรถพอสมควร แต่จะต้องระวังเรื่องควันไฟ ที่อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นของรถคันอื่น
# 05 ไฟฉุกเฉิน
ตามหลักสากล การใช้ไฟผ่าหมาก หรือไฟกะพริบ หรือไฟฉุกเฉิน จะใช้เพื่อแจ้งให้รถคันหลังทราบว่า มีรถเสีย หรือมีเหตุฉุกเฉินอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจะต้องการให้รถคันหลังแซงหน้าขึ้นไปก่อน โดยรถคันที่เปิดไฟฉุกเฉินนี้ จะต้องนำรถเข้าจอดข้างทาง(หากทำได้) เพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร
แต่ มีผู้ขับขี่จำนวนไม่น้อยที่ใช้สัญญาณไฟฉุกเฉิน ยังไม่ถูกต้อง เช่น
1. เมื่อถึงสี่แยกแล้วต้องการ "ตรงไป" บางท่านก็จะเปิดไฟฉุกเฉิน เพื่อเตือนรถคันอื่นที่ร่วมใช้สี่แยกเดียวกันทราบ
.แบบนี้จะ อันตราย เพราะผู้ขับรถคันที่แล่นมาทางซ้ายของรถคันที่เปิดไฟฉุกเฉิน จะเห็นแค่ไฟกะพริบด้านหน้าซ้ายเพียงมุมเดียว จึงอาจจะเข้าใจว่า ผู้ขับรถคันที่เปิดไฟฉุกเฉิน กำลังจะเตรียมเลี้ยวซ้าย จึงไม่ได้ชะลอความเร็วลงขณะแล่นผ่านสี่แยก ทำให้ชนกับคันที่เปิดไฟฉุกเฉินที่แล่นผ่านสี่แยก
วิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยและถูกต้อง เมื่อจะผ่านสี่แยกที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร คือ ชะลอความเร็วของรถลง มองซ้ายมองขวาอย่างรอบคอบ แล้วจึงขับรถตรงไป และอาจจะเพิ่มการเปิดไฟส่องหน้าให้เป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายด้วยก็ได้
2. เมื่อฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือทัศนวิสัยไม่ดี บางท่านก็จะเปิดไฟฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ขับรถคันที่ตามมาเกิดความเข้าใจผิดว่า เป็นรถที่จอดอยู่เฉยๆ หรือถ้ามีรถยนต์คันอื่นจอดเทียบอยู่ในบางมุมของรถ ไฟกะพริบ 2 ดวงด้านท้ายหรือด้านหน้า ก็อาจจะทำให้มองเห็นเป็นไฟเลี้ยวดวงเดียว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
วิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยและถูกต้อง เมื่อฝนตกหนัก หมอกลงจัด หรือทัศนวิสัยไม่ดี คือ ผู้ขับขี่ ควรจะเปิดไฟหน้าหรือไฟหรี่ และขับโดยใช้ความเร็วต่ำอย่างระมัดระวัง หรือจอดหลบข้างทางแล้วเปิดไฟฉุกเฉินไว้
# 06 หมอนพิงศีรษะ
ลักษณะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น และได้รับความสนใจมานาน จากวิศวกรและแพทย์ที่ทำงานด้านความปลอดภัยในรถยนต์ มักเป็นการชนทางด้านหน้า (Frontend Collision)
แต่ในระยะหลัง ความสนใจต่อการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ ที่เกิดจากการถูกชนทางด้านหลัง (Rear-end Collision) ได้เพิ่มมากขึ้น
การถูกชนทางด้านหลัง อาจจะทำให้เกิดการฉีกขาดของเอ็นยึดกระดูกต้นคอ จากการสะบัดไปมาของลำคอ ซึ่งคล้ายกับการสะบัดแส้ จึงเรียกการบาดเจ็บชนิดนี้ว่า Whiplash Injury
สภาพเมื่อถูกชนจากด้านหลัง ถ้าถูกชนอย่างรุนแรง ตัวรถที่หยุดนิ่งอยู่จะได้รับแรงมากระทำ ให้พุ่งไปด้านหน้าอย่างรุนแรงทันที ทำให้เกิดความเร่งขนาดสูง มากระทำต่อตัวรถ ...ความเร่งนี้จะถ่ายทอดมาที่เบาะรถด้วย ทำให้ลำตัวผู้ขับขี่พุ่งไปข้างหน้ากะทันหันอย่างแรง ในขณะที่ศีรษะของผู้ขับขี่ ที่มีความเฉื่อยอยู่ ซึ่งจะนิ่งอยู่ในช่วงแรก
ผลรวมที่เกิดขึ้น จากการที่ลำตัวพุ่งไปข้างหน้า ในขณะที่ศีรษะอยู่นิ่ง ทำให้เกิดการเงยคออย่างรุนแรง แล้วศีรษะก็จะสะบัดกลับไปยังข้างหน้าอีกครั้ง (ดูภาพประกอบ)
เหตุการณ์เช่นนี้ จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียง 0.2 วินาที ผลที่ตามมา ก็คือ เอ็นยึดกระดูกคอฉีกขาด และทำให้เกิดอาการปวดต้นคออย่างรุนแรง
พระเอกในรถ ที่รู้จักกันดี คือ เข็มขัดนิรภัย จะมีบทบาทสำคัญในการล็อกลำตัวผู้ขับขี่ ไว้กับที่นั่ง ไม่ให้พุ่งไปข้างหน้า
พระรองในรถ คือ หมอนพิงศีรษะ นั่นเอง
เหตุผลเพราะ แม้ลำตัวจะถูกยึดติดอยู่กับเบาะก็ตาม แต่เนื่องจากเบาะและตัวรถพุ่งไปข้างหน้า ศีรษะของผู้ขับขี่ที่ไม่มีอะไรรองรับ ก็จะสามารถแกว่งกลับมาข้างหลังอย่างแรงได้ แต่ถ้ามีหมอนพิงศีรษะรองรับไว้ ก็จะช่วยทำให้คอไม่หงายกลับมามากเกินไป จนถึงขนาดเป็นอันตราย
Head restraint ไม่ใช่ Head rest
ผู้เชี่ยวชาญทางอุบัติเหตุ ได้เขียนถึง การปรับหมอนพิงศีรษะไว้อย่างน่าสนใจว่า
ยังมีความเข้าใจผิดอยู่ เกี่ยวกับเรื่อง Head rest ที่จริงแล้วหมอนพิงศีรษะ มีชื่อจริงว่า Head restraint เพราะถ้าเมื่อใด มันถูกใช้เป็นตัว Rest คอ เมื่อนั้นก็จะผิดวัตถุประสงค์ เนื่องจากจริงๆแล้ว มันถูกออกแบบมา เพื่อเป็นตัวให้ Restraint ต่างหาก ซึ่งหมายถึง การให้ความปกป้องต่อศีรษะและคอนั่นเอง
แต่ถ้ามันถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อจะหนุนคอให้สบาย มันจะกลายสภาพเป็นจุดหมุนต่อต้นคอทันที นั่นคือ ศีรษะจะสามารถสะบัดไปด้านหลังได้ โดยมีหมอนพิงศีรษะเป็นตัวค้ำอยู่ที่คอ ทำให้ศีรษะสะบัดไปข้างหลังได้ดีและแรงยิ่งขึ้น
ปรับอย่างไร ให้ถูกต้อง
เมื่อผู้ขับขี่ ควรจะปรับหมอนพิงศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพราะมันจะป้องกันไม่ให้ศีรษะสะบัดไปด้านหลังอย่างรุนแรง ภาพด้านล่าง แสดงให้เห็นถึงการปรับโดยมีระยะ Backset และ Height
จากการทดลองเชื่อว่า ระยะที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ปรับความสูงของหมอนพิงศีรษะ ให้สูงกว่าปลายบนสุดของใบหู และจะต้องมีระยะห่าง Backset ให้น้อยกว่า 10 ซม.
และถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า การออกแบบลักษณะหมอนพิงศีรษะ ในหลายๆ รุ่น จะมีการทำให้งองุ้มมาด้านหน้า เพื่อที่จะให้อยู่ใกล้ศีรษะมากที่สุด
การตรวจสอบตำแหน่งง่ายๆ ก็คือ ถ้าพิงตัวลงไปที่เบาะนั่งอย่างเต็มที่ แล้วศีรษะด้านหลังส่วนที่เป็นกะโหลกแข็งๆ สัมผัสกับหมอนพิงศีรษะ แสดงว่าปรับได้ตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว แต่ถ้าพิงแล้วหมอนมารับที่ท้ายทอยอย่างสบายๆ เท่ากับว่า ปรับตำแหน่งหมอนต่ำเกินไป
อุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกันเสมอ และไม่ต้องเน้นกันอีกแล้ว ก็คือ เข็มขัดนิรภัย ถ้าปรับหมอนดีแล้ว แต่ลำตัวผู้ขับขี่ยังพุ่งไปข้างหน้าได้
..ก็จะมีประโยชน์อะไรเล่า
# 07 สัญญาณไฟท้ายรถบรรทุก
เมื่อเราขับรถออกต่างจังหวัด เราจะสังเกตว่า รถบรรทุกมักจะชอบส่งสัญญาณไฟกระพริบหลายจังหวะให้เราทราบ ซึ่งแม้ว่าสัญญาณไฟเหล่านี้จะไม่ถือเป็นสากล แต่รถบรรทุกหลายคัน ก็นิยมที่จะทำสัญญาณ ในความหมายที่ต้องการจะสื่อเหมือนๆกัน ผู้ขับขี่จึงน่าจะรู้ไว้ใช่ว่า เกี่ยวกับสัญญาณไฟเหล่านี้
เราเป็นฝ่ายขับตามรถบรรทุก ให้สังเกตไฟท้ายของรถบรรทุก
1. เปิดไฟเลี้ยวซ้ายที ขวาที สลับกัน เป็นสัญญาณว่า ให้ระวัง เขาอาจจะเบรก หรือบอกว่าข้างหน้าอาจจะมีด่าน หรือมีอุบัติเหตุ หรือมีรถข้างหน้าเขาเกิดเบรกกะทันหัน ขอให้เราขับตามไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งรีบแซงเป็นอันขาด
2. เปิดไฟฉุกเฉิน คือ หากอยู่ใกล้ทางแยก เป็นสัญญาณว่า เขากำลังจะขับตรงไป หากเปิดไฟฉุกเฉินหลังจากที่เปิดไฟเลี้ยวซ้ายที ขวาที สลับกัน ก็เป็นสัญญาณว่า ฉันกำลังจะหยุดรถ
3. เปิดไฟซ้ายอย่างเดียว กรณีที่รถเราวิ่งตามอยู่ และรถเขาไม่ได้เตรียมจะจอด เป็นสัญญาณว่า เชิญแซงขึ้นไปได้เลย หากถนนที่วิ่งเป็นเลนสวน แสดงว่า ข้างหน้าไม่มีรถสวน แซงได้ ไม่ต้องกลัว
4. เปิดไฟขวา อาจเปิดค้างไว้หรือเปิดเป็นจังหวะ กรณีที่รถเราวิ่งตามอยู่ เป็นสัญญาณว่า ฉันไม่ให้แซง ฉันกำลังจะแซงรถคันหน้า หรือฉันกำลังจะเลี้ยวขวา หากถนนที่วิ่งเป็นเลนสวน แสดงว่า กำลังมีรถสวนมา อย่าเพิ่งแซง ให้รอจนกว่าเขาจะแซงไป หรือรอจนกว่าเขาจะเปิดไฟเลี้ยวซ้าย
การขับรถตามกันไปนี้ เมื่อเราแซงขึ้นไปจนพ้น เขาอาจจะส่งสัญญาณตามมาให้อีก ดังนี้
5. จังหวะที่เรากำลังตีคู่กัน หากเป็นเวลากลางคืน เขาจะเปิดไฟสูงให้เราเห็นทางข้างหน้า และลดไฟลงต่ำ เมื่อเราแซงพ้น หรือบางคันอาจจะปิดไฟหน้า เป็นสัญญาณว่า คุณแซงพ้นแล้ว ให้เข้ามาในเลนได้ แต่หากเป็นในเวลากลางวัน เขาจะกระพริบไฟ 1 ครั้ง หรือบีบแตรสั้นๆ 1 ครั้ง
6. เมื่อเราแซงขึ้นไปในระดับเดียวกันกับเขา เราอาจจะบีบแตรสั้นๆ 1 ครั้ง เป็นการขอบคุณเขา ซึ่งเขาเองก็จะบีบแตรตอบกลับมา 1 ครั้งเช่นเดียวกัน
การขับรถสวนกัน ให้สังเกตไฟหน้าของรถสิบล้อ
7. ดับไฟหน้าแล้วเปิด เป็นสัญญาณว่าทางข้างหน้าของเรา ที่เขาเพิ่งขับผ่านมานั้น มีด่าน หรือมีอุบัติเหตุร้ายแรง ให้ระวัง
8. กระพริบไฟหน้า บางทีแค่เป็นการทักทาย หรือช่วยเช็คว่า เราหลับในหรือเปล่า? หรือเป็นการถามว่า ทางที่เราเพิ่งผ่านมามีด่านหรือเปล่า? หากทุกอย่างเรียบร้อยดี ให้กระพริบไฟตอบไป 1 ครั้ง
9. กระพริบไฟหน้าแล้วเปิดไฟเลี้ยวมาทางเรา เป็นสัญญาณว่า มีด่านอยู่ฝั่งเรา ข้างหน้า
10. กระพริบไฟหน้าแล้วเปิดไฟเลี้ยวไปทางเขา เป็นสัญญาณว่า มีด่านอยู่ฝั่งเขา ข้างหน้า
11. กรณีที่เขาขับมาเป็นขบวน ให้สังเกตรถลำดับที่ 2 ในแถวไว้ให้ดี หากรถลำดับที่ 2 หรือคันต่อๆไปในแถวที่สวนมา กระพริบไฟ หรืออาจเบี่ยงหัวออกมานิดหนึ่ง แล้วกระพริบไฟ เป็นสัญญาณว่า รถคันแรกในขบวน ขับช้า ฉันจะแซงออกมาแล้วนะ เราเองต้องชะลอความเร็วลง และระวังให้มาก เพราะส่วนใหญ่เมื่อกระพริบไฟเสร็จ เขาจะหักหัวออกมาทันที
แหล่งที่มาของข้อมูล เรื่อง สัญญาณไฟท้ายรถบรรทุก นำมาจาก นิตยสาร สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 562 วันที่ 1 กรกฎาคม 2549
# 08 รถตกน้ำ
เมื่อรถเกิดอุบัติเหตุตกลงไปในน้ำ หรือตกลงไปในลำคลอง ปกติรถจะไม่จมน้ำลงไปที่พื้นล่างของน้ำทันที ไม่เหมือนกับหินตกน้ำ แต่จะค่อยๆจมลงทีละน้อยๆ จนในที่สุดก็จะถึงพื้นล่าง
ในช่วงนาทีวิกฤตนั้น จะเพิ่งโวยวายหรือเสียสติตามคนอื่น ควรจะตั้งสติให้ดี เพื่อจะหาทางรอด ดังนี้
1. ปลด Safety Belt ออก และควรจะสั่งให้คนอื่นถอดออกด้วย
2. อย่าเพิ่งออกกำลังแรงเพื่อหวังจะผลักประตูรถออกไป เพราะขณะนั้นน้ำที่ล้อมรอบตัวถังรถอยู่ จะมีน้ำหนักมากกว่าอากาศภายในรถ จะทำให้ไม่อาจมีใครผลักประตูรถออกไปได้ แม้หากจะมีใครสามารถผลักประตูรถออกไปได้จริงๆ พลังของน้ำอันมหาศาลก็จะไหลทะลักราวกับน้ำป่าเข้ามาภายในรถทันทีและอย่างรุนแรง จนอาจทำให้คนภายในรถถึงกับหมดสติ เหมือนกับถูกหินหล่นทับก็ได้
ทางที่ดี ควรจะสงวนแรงและสงวนอากาศหายใจซึ่งมีอยู่จำนวนจำกัด เพื่อการหนีออกเมื่อเปิดประตูรถได้
.จะดีกว่า
3. ระหว่างนั้น พยายามปลดล็อกประตูรถทุกบาน
4. พยายามยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำ เพราะน้ำจะค่อยๆเอ่อขึ้นมา แทรกเข้ามาในรถเพิ่มมากขึ้น และควรจะบอกให้คนอื่นยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำด้วย
ถ้าน้ำเข้ามาในรถได้ทีละน้อย กว่าที่น้ำจะเข้ามาจนเกือบเต็มคันรถ ก็คงจะใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน
5. เมื่อน้ำเข้ามาใกล้จะเต็มคันรถแล้ว ความดันภายในรถก็จะมากเกือบเท่าภายนอกรถ ตอนนี้ถ้าจะออกแรงผลักประตูรถออกไปแรงๆ ประตูรถก็จะเปิดออกได้
6. จากนั้นก็ดำน้ำออกจากห้องโดยสารรถ และหาทางลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ
ในกรณีที่น้ำลึกหรือน้ำขุ่น อาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดอยู่เหนือน้ำ เพราะว่ายังงงอยู่ หรือเพราะน้ำขุ่นจนมองไม่เห็นทาง ไม่ควรจะว่ายแบบสุ่มเดา เพราะอาจจะว่ายไปทางทิศที่ไม่ใช่ขึ้นเหนือน้ำ
กรณีเช่นนี้ ควรจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือจะลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยขึ้นไปทางทิศใด ก็ให้ว่ายไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป
ก็จะไม่มีอาการหลงน้ำ
7. และก่อนที่จะว่ายออกจากตัวรถ หากมีผู้โดยสารที่เป็นเด็ก ก็อาจจะหนีบเด็กออกมาได้ 1-2 คน
# 09 ยางรถระเบิด
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ยางรถระเบิด ขณะขับรถอยู่ ควรปฏิบัติดังนี้
1. มือทั้งสองจะต้องจับพวงมาลัยให้มั่นคง ถอยเท้าออกจากคันเร่งทันที
2. ควบคุมสติอย่าตกใจ มองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่า จะมีรถใดตามมาหรือไม่ และอาจจะกดแตรเป็นสัญญาณร่วมด้วยก็ได้
3. แตะเบรกอย่างแผ่วเบา และถี่ๆ ห้ามแตะเบรกอย่างแรงเต็มที่โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
4. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเหยียบคลัตช์ รถจะไม่เกาะถนน รถจะลอยตัว และจะทำให้บังคับรถได้ยากขึ้น เนื่องจากการเหยียบคลัตช์จะเป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดออกจากเพลา
5. ห้ามดึงเบรกมือโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้รถหมุน
6. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณ ให้ยกสัญญาณไฟเลี้ยว เข้าข้างทาง
7. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมรถได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลง แล้วหยุดรถ
ข้อสังเกตเมื่อยางรถระเบิด ไม่ว่ายางรถด้านใดจะระเบิด จะล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม หากระเบิดด้านซ้าย รถจะแฉลบไปทางด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และจะสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา ในทำนองเดียวกัน หากระเบิดทางด้านขวา รถก็จะเกิดอาการกลับเป็นทางตรงกันข้าม
อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากยางรถระเบิดในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิดขึ้น รถก็จะกลิ้งทันที จะช่วยอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงมากๆ จึงมักจะแก้ไขอะไรไม่ค่อยได้
เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงถึงชีวิตเช่นนี้ จึงควรจะขับรถทางไกล โดยจำกัดความเร็ว ไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เป็นดีที่สุด
เพราะนอกจากจะถูกกฎจราจร และไม่เปลืองน้ำมันแล้ว ยังจะรักษาทั้งชีวิตรถ และชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนอีกด้วย
การขับรถเร็วๆ หลวงพ่อคูณ ยังเคยบอกขำๆว่า
กู กระโดดลงจากรถของมัน ตั้งแต่ถึง 90 ...แล้วละโว๊ย!!
Create Date : 12 เมษายน 2550 | | |
Last Update : 12 เมษายน 2550 10:18:58 น. |
Counter : 6256 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
มวยไทย
มวยไทย
# 01 มวยไทยเป็นศาสตร์
มวยไทย เป็นการต่อสู้ของคนไทยที่มีมานานหลายร้อยปี มีบางคนกล่าวว่า มวยไทยเป็น ศาสตร์การโจมตีทั้งแปด คือ สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า
มวยไทย จะมีทั้งศาสตร์การป้องกันและการรุก ... การป้องกันก็คือ การยืนที่มั่นคงไม่ล้มง่าย การตั้งแขนป้องกัน (การการ์ดมวย) และการเก็บคาง ซึ่งการป้องกันนี้จะเปรียบเสมือนป้อมปราการที่มั่นคง มีโอกาสบาดเจ็บน้อย แต่พร้อมที่จะโจมตีตอบโต้ได้ทุกเวลา ส่วนการรุก ก็คือ การใช้แม่ไม้มวยไทยและลูกไม้มวยไทยต่างๆ ที่เคลื่อนไหวอย่างเด็ดขาดรุนแรงและสง่างาม อาวุธมวยจะมีทั้งการต่อสู้ระยะไกล(วงนอก) และการต่อสู้ระยะประชิด(วงใน) การออกอาวุธมวยจะมีทั้งมีเป้าหมายที่แน่นอน การซ่อนกลลวง และมีทั้งการข่มขวัญเอาไว้
002
แม่ไม้มวยไทย มีทั้งหมด 15 ไม้ มีชื่อไพเราะดังนี้ ....สลับฟันปลา ...ปักษาแหวกรัง
.ชวาซัดหอก
อิเหนาแทงกริช
..ยอเขาพระสุเมรุ
ตาเถรค้ำฝัก
.มอญยันหลัก
.ปักลูกทอย
..จระเข้ฟาดหาง
..หักงวงไอยรา
..นาคาบิดหาง
..วิรุฬหกกลับ
. ดับชวาลา
.. ขุนยักษ์จับลิง
.. หักคอเอราวัณ
ลูกไม้มวยไทย จะมีทั้งลูกผสมและลูกแยก เพื่อใช้ล่อหลอกและเผด็จศึกคู่ต่อสู้ เช่น ...แตะตรงเตะ แตะถีบเตะ แตะตรงถีบเตะ ....หรือลูกเตะสลับ เตะช้อน เตะตวัด เตะสูง เตะสวาบ เตะพับนอก เตะพับใน เตะคา ....หรือลูกถีบหน้า ถีบหลัง ถีบจิก ....หรือลูกศอกตี ศอกตัด ศอกงัด ศอกพุ่ง ศอกกระทุ้ง ศอกกลับ ...หรือลูกเข่าน้อย เข่าลา เข่าโค้ง เข่าตี เข่ากระทุ้ง เข่าลอย เข่าแหลม เข่าคา ....หรือลูกหมัดหน้า หมัดหลัง หมัดลัก หมัดอ้อม หมัดเกี่ยว หมัดสอย หมัดเสย หมัดซ้ำ หมัดหนึ่งสอง หมัดชุดสามเหลี่ยม เป็นต้น
มวยไทยจะใช้ทั้งหมัด ศอก เข่า และเท้า
หากเป็นเชิงหมัด มวยไทยจะมี 15 เชิง ........กาจิกไข่
พระพรายล้มสิงขร
วานรหักด่าน
.พระกาฬเปิดโลก
.โขกนาสา .....อินทราขว้างจักร
พระลักษณ์ห้ามพล
.ผจญช้างสาร
หนุมานถวายแหวน
.ล่วงแดนเหรา
..นาคาพ่นไฟกาฬ
..หักด่านล่มกรด
..องคตพระขรรค์
..ฤาษีลืมญาณ
.หนุมานจองถนน
หากเป็นเชิงศอก มวยไทยจะมี 24 เชิง
.พุ่งหอก
ศอกฝานหน้า
พร้ายายแก่
แง่ลูกคาง
ถางป่า
.ฟ้าลั่น
..ยันพยัคฆ์
..จักรนารายณ์
..ทรายเหลียวหลัง
..กวางสบัดหน้า
.คชาตกมัน
.พสุธาสะท้าน
.ยันโยธี
..อัคคีส่องแสง
..กำแพงภูผา
..นาคาคาบหาง.
ช้างประสานงา
สู่แดนนาคา
.โยธาเคลื่อนทัพ
.ยันสองกร
.ฆ้อนตีทั่ง
..ขว้างพสุธา
..ฤาษีบดยา
นาคาเคลื่อนกาย
หากเป็นเชิงเข่า มวยไทยจะมี 11 เชิง
กุมภัณฑ์พุ่งหอก
..หยอกนาง
เชยคาง
พรางศัตรู
งูไล่ตุ๊กแก
ตาแก่ตีชุด
.หยุดโยธา
.ภูผาสะท้าน
หักคอช้างเอราวัณ
ดั้นภูผา
.ศิลากระทบ
และหากเป็นเชิงเท้า มวยไทยจะมี 15 เชิง
เปิดทวาร
..ลงดานประตู
..กระทู้ขรัวตา
โยธาสินธพ
มานพเล่นขา
..มัจฉาเล่นหาง
..กวางเล่นโป่ง
..ณรงค์พยุหบาท
..จระเข้ฟาดหาง
..กินรีเล่นน้ำ
..ตามด้วยแข้ง
..แปลงอินทรีย์
.พาชีสะบัดย่าง
นางสลับบาท
กวาดธรณี
ยิ่งกว่านั้น มวยไทยยังมี กลมวยไทย แก้หมัด 29 กล, กลมวยไทย แก้ศอก 4 กล, กลมวยไทย แก้เข่า 3 กล, และกลมวยไทย แก้เท้าอีก 23 กล
003 โอโรโน่ มาเจสติกยิม ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : โอภาส เอี่ยมสะอาด อายุ : 29 หัวหน้าคณะ : สุรศักดิ์ มั่นแดง ผู้จัดการ : สุรศักดิ์ มั่นแดง เทรนเนอร์ : เจริญ มาเปลี่ยน สถิติการชก : ชก 135 ครั้ง : ชนะ 92 แพ้ 41 เสมอ 2 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์ รุ่นเฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ ประเทศไทย 2.อดีตแชมป์ รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 130 ปอนด์ ประเทศไทย 3.อดีตแชมป์โลก WMC น้ำหนัก 122 ปอนด์ อื่นๆ : มวยเหลี่ยมเชิง เข่าแข็งแทงดี
004 อนุวัฒน์ แก้วสัมฤทธิ์ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : อภิศักดิ์ รงค์พิชัย อายุ : 26 หัวหน้าคณะ : ศรีเมือง สิงห์สวนเงิน ผู้จัดการ : ศรีเมือง สิงห์สวนเงิน เทรนเนอร์ : ชนะเพชร กระทิงแดง สถิติการชก : ชก 97 ครั้ง : ชนะ 62 แพ้ 31 เสมอ 4 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์รุ่นเฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 2.นักมวยไทยยอดเยี่ยมของประเทศไทยประจำปี 2547 และ 2548 3.นักมวยไทยยอดเยี่ยมของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)ปี 2548 4.อดีตแชมป์รุ่นซูปเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 5.อดีตแชมป์รุ่นไลต์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 108 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 6.อดีตแชมป์รุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 7.อดีตแชมป์รุ่นเฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ เวทีลุมพินี 8.อดีตแชมป์รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวต น้ำหนักไม่เกิน 122 ปอนด์ เวทีสยาม อ้อมน้อย อื่นๆ : มวยประเภทเดินชน รุกสู้ มีหมัดที่หนักหน่วง
005 แสนชัย ส.คำสิงห์ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ศุภชัย แสนพงษ์ อายุ : 27 หัวหน้าคณะ : สมรักษ์ คำสิงห์ ผู้จัดการ : สมรักษ์ คำสิงห์ เทรนเนอร์ : พา วัชรพล สถิติการชก : ชก 275 ครั้ง : ชนะ 221 แพ้ 52 เสมอ 2 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 130 ปอนด์ เวทีลุมพินี 2.อดีตแชมป์รุ่นแบนตั้มเวต น้ำหนักไม่เกิน118 ปอนด์ เวทีลุมพินี 3.อดีตแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ เวทีลุมพินี 4.นักมวยไทยยอดเยี่ยมของการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ประจำปี 2542 5.นักมวยไทยยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬา ประจำปี 2542 อื่นๆ : มวยฝีมือดี เหลี่ยมเชิงอาวุธครบเครื่อง
# 02 กติกามวยไทย
1. สังเวียนมวยหรือเวทีมวย
ขนาดของสังเวียน จะต้องเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดเล็ก ด้านละ 20 ฟุต (6.10 เมตร) หรือขนาดใหญ่ ด้านละ 24 ฟุต (7.30 เมตร) ซึ่งวัดภายในของเชือก
พื้นสังเวียน จะต้องได้ระดับ เรียบแน่นหนามั่นคง ปูด้วยยาง หรือผ้าอย่างอ่อน หรือเสื่อฟางอัด หรือวัสดุที่เหมาะสม หนาไม่น้อยกว่า 1 นิ้ว และปูทับด้วยผ้าใบที่ขึงตึงและคลุมพื้นสังเวียนทั้งหมด และต้องยื่นออกไปนอกเชือก อย่างน้อย 90 ซม. (36 นิ้ว) พื้นสังเวียนต้องอยู่สูงจากพื้นอาคารไม่ต่ำกว่า 4 ฟุตและไม่เกิน 5 ฟุต ตั้งเสาขนาด 4-5 นิ้ว สูงขึ้นไปจากพื้นเวที 58 นิ้ว มุมทั้งสี่ต้องหุ้มนวมให้เรียบร้อย
เชือกขึงสังเวียน จะต้องมีเชือก 4 เส้น มีความหนาอย่างน้อย 3 ซม. อย่างมาก 5 ซม. ขึงตึงกับเสามุมทั้งสี่ของสังเวียน สูงจากฟื้นสังเวียนขึ้นไปถึง ด้านบนของเชือก 45 ซม., 75 ซม., 105 ซม., และ 135 ซม. ตามลำดับ เชือกทุกเส้นต้องหุ้มด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มและเรียบ เชือกแต่ละด้านของสังเวียน จะต้องผูกยึดกันด้วยผ้าเหนียว 2 ชิ้น ซึ่งมีขนาดกว้าง 3 4 ซม. ให้มีระยะห่างเท่า ๆ กัน และผ้าที่ผูกนั้นต้อง ไม่เลื่อนไปตามเชือก
บันไดสังเวียน จะต้องมี 3 บันได มีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 3 ฟุต สองบันไดจะต้องอยู่ที่มุมตรงข้ามสำหรับนักมวยและพี่เลี้ยง ส่วนอีกบันได จะต้องอยู่ที่มุมกลาง สำหรับผู้ชี้ขาดและแพทย์
กล่องพลาสติก ....ณ ที่มุมกลางทั้งสองมุม จะต้องติดตั้งกล่องพลาสติกไว้นอกสังเวียน มุมละ 1 กล่อง เพื่อให้ผู้ชี้ขาดทิ้งสำลีที่ใช้ซับเลือด
2. อุปกรณ์ประจำสังเวียน
ที่นั่งพักนักมวย สำหรับนักมวยนั่งพัก ระหว่างพักยก 2 ที่
ขวดน้ำขนาดเล็ก 2 ขวด สำหรับดื่ม และขวดน้ำชนิดพ่นฝอย 2 ขวด ไม่อนุญาตให้นักมวยหรือพี่เลี้ยงใช้ขวดน้ำชนิดอื่น บนสังเวียน
ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน
น้ำ 2 ถัง
โต๊ะและเก้าอี้สำหรับเจ้าหน้าที่
ระฆัง
นาฬิกาจับเวลาชนิดกดหยุดได้ 1 หรือ 2 เรือน
ใบบันทึกคะแนน
หีบใส่กุญแจสำหรับเก็บใบบันทึกคะแนน
ป้ายบอก จำนวนยก จำนวนเวลา และบอกลำดับเลขคู่ชก 1 ชุด
นวม 2 คู่
กางเกงมวยสีแดง และสีน้ำเงิน อย่างละ 1 ตัว (ใช้ในกรณีฉุกเฉิน)
กระจับพร้อมเชือก 1 2 อัน (ใช้ในกรณีฉุกเฉิน)
ฉากบังตา 2 อัน (ใช้ในกรณีฉุกเฉิน)
เปลหามคนเจ็บ 1 ชุด
กรรไกรปลายมน 1 อัน
3. นวมและผ้าพันมือ
นักมวยไทย จะต้องใช้นวมที่ได้รับการรับรองจากสภามวยไทยโลก ซึ่งคณะกรรมการจัดการแข่งขันจัดไว้ให้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ผู้แข่งขัน ใช้นวมของตนเอง
นักมวยรุ่นเล็กถึงรุ่นน้ำหนัก 122 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 8 ออนซ์ นักมวยรุ่นสูงกว่า 122 ปอนด์ ใช้นวมขนาด 10 ออนซ์ ไส้นวมต้องไม่เปลี่ยนรูปขณะกระแทกกัน จะต้องผูกเชือกนวมให้ปมเชือกอยู่ด้านนอกหลังข้อมือของนวม และให้ใช้นามที่สะอาด และใช้การได้เท่านั้น
จะต้องใช้ผ้าพันมืออย่างอ่อน ยาวข้างละไม่เกิน 6 เมตร กว้างไม่เกิน 5 ซม. ผ้าพันมือชนิดอื่นใช้ไม่ได้ อาจใช้พลาสเตอร์ยาง ข้างละ 1 เส้น ปิดทับข้อมือหรือหลังมือ ห้ามพันทับสันหมัด
การตรวจผ้าพันมือและตรวจการสวมนวม จะต้องอยู่ภายใต้การตรวจของเจ้าหน้าที่ตรวจนวม ก่อนจะขึ้นสู่เวที
4. การแต่งกายของนักมวย
นักมวย จะต้องสวมกางเกงขาสั้นเพียงครึ่งโคนขาให้เรียบร้อย ไม่สวมเสื้อและไม่สวมรองเท้า นักมวยมุมแดง จะต้องสวมกางเกงสีแดง หรือสีชมพู หรือสีสีเลือดหมู หรือสีขาวที่มีแถบคาดแดง ส่วนนักมวยมุมน้ำเงิน จะต้องสวมกางเกงสีน้ำเงิน หรือสีดำ ห้ามคาดแถบสีแดง และจะต้องสวมเสื้อคลุมตามข้อบังคับของสภามวยไทยโลก
นักมวย จะต้องสวมกระจับที่ทำขึ้นจากวัสดุแข็งแรงทนทาน และได้รับการรับรองจากสภามวยไทยโลก เมื่อถูกตีด้วยเข่าหรือถูกเตะถีบด้วยเท้า ตรงบริเวณอวัยวะเพศ จะไม่ทำให้เกิดอันตราย การผูกกระจับจะต้องผูกปมไว้ด้านหลัง และจะต้องผูกด้วยเงื่อนตาย เก็บปลายเชือกส่วนที่เหลือให้เรียบร้อย
ห้ามไว้ผมยาวรุงรัง และห้ามไว้เครา อนุญาตให้ไว้หนวดได้ แต่จะต้องยาวไม่เกินริมฝีหาก เล็บเท้า จะต้องตัดให้เรียบและสั้น
จะต้องสวมมงคลผ้าประเจียด หรือรัดเกล้า เฉพาะเวลาร่ายรำไหว้ครู ก่อนทำการแข่งขันเท่านั้น เครื่องรางจะอนุญาตให้ผูกที่โคนแขน หรือที่เอว แต่จะต้องหุ้มผ้าให้มิดชิดเรียบร้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่คู่แข่งขัน
อนุญาตให้ใช้ปลอกยืดรัดข้อเท้ากันเคล็ด สวมข้อเท้าได้ข้างละไม่เกิน 1 อัน แต่ห้ามไม่ให้เลื่อนปลอกรัดขึ้นไป เป็นสนับแข้งหรือม้วนพับลงมา และห้ามใช้ผ้ารัดขาและรัดข้อเท้า
ห้ามมีเข็มขัด หรือสวมสร้อย สวมแหวน
ห้ามใช้น้ำมัน, วาสลิน, หรือสิ่งอื่นใดที่ทำให้คู่แข่งขันเสียเปรียบ หรือเป็นที่น่ารังเกียจ ทาร่างกายหรือนวม
ฟันยาง นักมวย จะต้องใส่ฟันยาง
ผู้ชี้ขาดจะให้นักมวยที่แต่งกายไม่สะอาดและไม่ถูกต้อง ออกจากการแข่งขัน ในกรณีที่นวมหรือเครื่องแต่งกายของนักมวย ไม่เรียบร้อยขณะแข่งขัน ผู้ชี้ขาดจะหยุดการแข่งขันเพื่อจัดให้เรียบร้อยเสียก่อน
006 แสนชัยน้อย หนองกี่สุวิทย์ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : เมธี สีโน อายุ : 22 หัวหน้าคณะ : สุวิทย์ ผู้จัดการ : สุวิทย์ เทรนเนอร์ : คมแท้ ธันศักดิ์ สถิติการชก : ชก 80 ครั้ง : ชนะ 64 แพ้ 15 เสมอ 1 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์โลก WMC รุ่นไลต์ฟลายเวต 2.อดีตแชมป์รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 130 ปอนด์ ประเทศไทย อื่นๆ : เล่ห์เหลี่ยมเชิงชกดี หมัดศอกแรง
007 สุวิทย์เล็ก ก.สะเภาทอง ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : สุวิทย์ ลาดเสาแห อายุ : 21 หัวหน้าคณะ : วีระวัฒน์ ธนอมเกียรติ ผู้จัดการ : วีระวัฒน์ ธนอมเกียรติ เทรนเนอร์ : เด่นดนัย สถิติการชก : ชก 80 ครั้ง : ชนะ 59 แพ้ 30 เสมอ 1 เกียรติประวัติ : 1. แชมป์ประเทศไทย รุ่นฟลายเวท น้ำหนักไม่เกิน 112 ปอนด์ 2. อดีตแชมป์ลุมพินี รุ่นไลต์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 108 ปอนด์ 3. อดีตแชมป์ลุมพินี รุ่นฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 112 ปอนด์ 4. อดีตแชมป์ประเทศไทย รุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ อื่นๆ : มวยอาวุธครบเครื่อง แข็งแรงเข่าดี
008 สกัดเพชร อินแกรมยิม ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : สมคิด รักจร อายุ : 25 หัวหน้าคณะ : ฮิเดกิ ซูซุกิ ผู้จัดการ : ฮิเดกิ ซูซุกิ เทรนเนอร์ : - สถิติการชก : ชก 180 ครั้ง : ชนะ 115 แพ้ 60 เสมอ 5 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์รุ่นซูปเปอร์ไลต์เวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 2.อดีตแชมป์รุ่นซูเปอร์ไลต์เวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ เวทีลุมพินี 3.อดีตแชมป์มวยรอบมิตซูบิชิ สตราด้า อื่นๆ : มวยเหลี่ยมเชิง เตะแรง
5. การชั่งน้ำหนักและการจำแนกรุ่น
นักมวยจะต้องได้รับการตรวจร่างกายและรับรองจากนายแพทย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ว่าเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์พอ ที่จะเข้าแข่งขันชกมวย และจะต้องชั่งน้ำหนักในวันแข่งขันอย่างตัวเปล่า โดยการแข่งขันจะต้องไม่เริ่มขึ้นก่อน 3 ชั่วโมงหลังจากเวลาชั่งน้ำหนัก
รุ่นมินิฟลายเวท น้ำหนักไม่เกิน 104 ปอนด์ (47.727 กก.)
รุ่นจูเนียร์ฟลายเวท น้ำหนักไม่เกิน 108 ปอนด์ (48.988 กก.)
รุ่นฟลายเวท น้ำหนักไม่เกิน 112 ปอนด์ (50.802 กก.)
รุ่นจูเนียร์แบนตั้มเวท น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ (52.163 กก.)
รุ่นแบนตั้มเวท น้ำหนักไม่เกิน 118 ปอนด์ (53.524 กก.)
รุ่นจูเนียร์เฟเธอร์เวท น้ำหนักไม่เกิน 122 ปอนด์ (55.338 กก.)
รุ่นเฟเธอร์เวท น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ (57.153 กก.)
รุ่นจูเนียร์ไลท์เวท น้ำหนักไม่เกิน 130 ปอนด์ (58.967 กก.)
รุ่นไลท์เวท น้ำหนักไม่เกิน 135 ปอนด์ (61.235 กก.)
รุ่นจูเนียร์เวลเตอร์เวท น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ (63.503 กก.)
รุ่นเวลเตอร์เวท น้ำหนักไม่เกิน 147 ปอนด์ (66.638 กก.)
รุ่นจูเนียร์มิดเดิลเวท น้ำหนักไม่เกิน 154 ปอนด์ (69.843 กก.)
รุ่นมิดเดิลเวท น้ำหนักไม่เกิน 160 ปอนด์ (71.575 กก.)
รุ่นไลท์เฮฟวี่เวท น้ำหนักไม่เกิน 175 ปอนด์ (79.379 กก.)
รุ่นครุยเซอร์เวท น้ำหนักไม่เกิน 190 ปอนด์ (86.183 กก.)
รุ่นเฮฟวี่เวท น้ำหนักเกิน 190 ปอนด์ขึ้นไป (86.183 กก. ขึ้นไป)
6. การไหว้ครูและจำนวนยก
ก่อนเริ่มทำการแข่งขันในยกแรก นักมวยทั้งคู่จะต้องร่ายรำไหว้ครูตามประเพณี และถูกต้องตามรูปแบบมวยไทย โดยจะมีดนตรีประกอบ คือ ปี่ชวา ฉิ่งจับหวังหวะ และกลองแขก เมื่อร่ายรำไหว้ครูเสร็จแล้ว จึงจะเริ่มการแข่งขัน
การแข่งขันชกมวยไทย จะมี 5 ยก ยกละ 3 นาที หยุดพักระหว่างยก 2 นาที ส่วนการหยุดการแข่งขันเพื่อตำหนิโทษ ตักเตือน จัดเครื่องแต่งกายของนักมวย หรือด้วยเหตุอื่น ๆ ไม่นับรวมอยู่ใน 3 นาที
7. นักมวย นักมวยไทย จะต้องมีคุณสมบัติ อายุไม่ต่ำกว่า 14 ปี บริบูรณ์ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 100 ปอนด์ และต้องไม่เป็นที่ต้องห้ามตามที่ระบุไว้ในคู่มือแพทย์ของสภามวยไทยโลก
8. พี่เลี้ยงนักมวย
นักมวยแต่ละคน จะให้มีพี่เลี้ยง 2 คน ซึ่งจะแนะนำหรือช่วยเหลือหรือส่งเสริมนักมวยของตนในระหว่างการชกอยู่ไม่ได้ ถ้าพี่เลี้ยงละเมิดกติกาอาจถูกตำหนิโทษหรือให้ออกจากหน้าที่ หรือนักมวยของตนอาจถูกให้ออกจากการแข่งขันได้
พี่เลี้ยง จะต้องสวมเสื้อแสดงสัญลักษณ์คณะนักมวยของตนให้สุภาพเรียบร้อย การให้น้ำนักมวย พี่เลี้ยงจะต้องไม่ให้น้ำ แก่นักมวยของตนจนเปียกชุ่ม และจะต้องไม่ทำให้พื้นเวทีเปียกลื่น ก่อนเริ่มการแข่งขันในแต่ละยก พี่เลี้ยงจะต้องนำผ้าเช็ดตัว ขวดน้ำ ฯลฯ ออกไปจากขอบสังเวียน ขณะพักยก พี่เลี้ยงจะต้องตรวจดูเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ของนักมวยให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยก่อนที่สัญญาณของยกต่อไปจะดังขึ้น ในระหว่างการชก พี่เลี้ยงจะต้องอยู่ในที่นั่งของตน และถ้ามีเหตุที่นอกเหนือความสามารถ พี่เลี้ยงจะต้องรีบแจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบทันที ห้ามพี่เลี้ยงใช้วาจาไม่สุภาพ หรือทำร้ายนักมวยของตน ระหว่างการแข่งขันและภายหลังการแข่งขัน พี่เลี้ยงจะยอมแพ้แทนนักมวยของตน เช่น โยนฟองน้ำหรือผ้าเช็ดตัวเข้าไปในสังเวียน ไม่ได้
ถ้าเป็นการแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่ง หรือป้องกันตำแหน่งแชมเปี้ยน ให้มีพี่เลี้ยงได้ฝ่ายละ 3 คน แต่ในระหว่างพักยก พี่เลี้ยงจะเข้าไปในสังเวียนได้เพียง 2 คนเท่านั้น
009 วุฒิเดช ลูกพระบาท ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : วันเยิน จันทร์หา อายุ : 26 หัวหน้าคณะ : วินัย นาคสินธิ์ ผู้จัดการ : วินัย นาคสินธิ์ เทรนเนอร์ : ลุงเดิน ลูกพระบาท สถิติการชก : ชก 110 ครั้ง : ชนะ 87 แพ้ 20 เสมอ 3 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์รุ่นซูเปอร์แบนตั้มเวต น้ำหนักไม่เกิน 122 ปอนด์ เวทีสยาม อ้อมน้อย 2.อดีตแชมป์รุ่นแบนตั้นเวต น้ำหนักไม่เกิน 118 ปอนด์ เวทีสยาม อ้อมน้อย อื่นๆ : มวยเหลี่ยมเชิง ปล้ำเข่าตีรุนแรง
010 ลำสงคราม ชูวัฒนะ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : สุวัฒน์ชัย จันทร์สด อายุ : 24 หัวหน้าคณะ : ชูเจริญ รวีอร่ามวงศ์ ผู้จัดการ : ชูเจริญ รวีอร่ามวงศ์ เทรนเนอร์ : คงเดช ชูวัฒนะ สถิติการชก : ชก 280 ครั้ง : ชนะ 233 แพ้ 40 เสมอ 7 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์รุ่นมิดเดิลเวต น้ำหนักไม่เกิน 160 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 2.แชมป์สภามวยไทยโลกรุ่นมิดเดิลเวต น้ำหนักไม่เกิน 160 ปอนด์ 3.แชมป์รายการ เอส-วัน ปี 2548 อื่นๆ : มวยประเภทเข่า ศอกอันตราย
011 รักเกียรติ เกียรติประภัสร์ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : วิเชียร อักษร อายุ : 22 หัวหน้าคณะ : กู้เกียรติ ประภัสรกุล ผู้จัดการ : กู้เกียรติ ประภัสรกุล เทรนเนอร์ : วังไพร รถสงคราม สถิติการชก : ชก 70 ครั้ง : ชนะ 50 แพ้ 20 เสมอ 0 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์มวยรอบอีซูซุ ครั้งที่ 16 2.อดีตแชมป์เวทีลุมพินีรุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ 3.อดีตแชมป์ประเทศไทยรุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ 4.แชมป์เวทีสยาม อ้อมน้อยรุ่นแบนตั้นเวต น้ำหนักไม่เกิน 118 ปอนด์ อื่นๆ : มวยเดินบี้เดินชน เข่าแข็งแรง
9. คณะกรรมการ(ผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน)
คุณสมบัติของกรรมการผู้ชี้ขาด(อยู่บนเวที) และผู้ตัดสิน(อยู่ข้างล่าง) จะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปี เว้นแต่คณะกรรมการผู้ตัดสินฯ จะพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งผู้ชี้ขาด/ผู้ตัดสิน ต่อไปในระยะเวลาที่เห็นสมควร ..จะต้องมีหนังสือรับรองจากแพทย์ว่า เป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ผู้ชี้ขาด/ผู้ตัดสิน ...จะต้องผ่านการอบรม, การทดสอบ, การขึ้นทะเบียนผู้ชี้ขาด/ผู้ตัดสินมวยไทย และได้รับตราพร้อมประกาศนียบัตร ของสภามวยไทยโลก
จำนวนกรรมการผู้ชี้ขาด/ผู้ตัดสิน จะต้องมีกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที 1 คน และกรรมการผู้ตัดสิน 3 คน ทั้งนี้ยังต้องมีประธานผู้ตัดสินเป็นผู้ควบคุมการแข่งขันอีกด้วย
กรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที(หรือในสังเวียน) จะต้องแต่งกายด้วยกางเกงขายาวสีน้ำเงิน เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน มีเครื่องหมายของสภามวยไทยโลก และสวมรองเท้าหุ้มข้อชนิดเบาที่ไม่ส้นสูง จะต้องไม่สวมแว่น ไม่สวมเครื่องประดับที่เป็นโลหะ และจะต้องตัดเล็บมือเรียบสั้น
กรรมการผู้ชี้ขาด จะต้องรักษากติกาและให้ความเป็นธรรมอย่างเคร่งครัด จะต้องไม่แสดงกริยาวาจาที่ไม่สุภาพต่อนักมวยและผู้ชม จะต้องควบคุมการแข่งขันทุกระยะโดยตลอด จะต้องป้องกันนักมวยที่อ่อนแอกว่าไม่ให้ได้รับความบอบช้ำจนเกินควรและโดยไม่จำเป็น จะต้องตรวจนวม ตรวจเครื่องแต่งกาย และฟันยางของนักมวยก่อนการแข่งขัน....ในยกแรกจะต้องให้นักมวยทั้งคู่จับมือกันกลางเวที และเตือนกติกาที่สำคัญ การจับมือจะกระทำกันอีกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มการแข่งขันในยกสุดท้าย
.ห้ามนักมวยทั้งสอง จับมือกันระหว่างการแข่งขัน
ผู้ชี้ขาด จะต้องใช้คำสั่ง 3 คำ คือ หยุด เมื่อ สั่งให้นักมวยหยุดชก
แยก เมื่อสั่งให้นักมวยแยกออกจากการกอดรัด
.และ ชก เมื่อสั่งให้นักมวยชกต่อไป
ในกรณีที่ผู้ชี้ขาดสั่งแยก นักมวยทั้งสองจะต้องถอยหลังออกมาก่อน อย่างน้อยคนละ 1 ก้าว แล้วจึงจะชกต่อไป
ผู้ชี้ขาด จะต้องแสดงสัญญาณที่ถูกต้องให้นักมวยที่ละเมิดกติกาทราบ ถึงความผิดของตน ....เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน จะต้องรวบรวมบัตรให้คะแนนของผู้ตัดสินทั้ง 3 คนข้างล่างเวที จากนั้น ชี้มุมผู้ชนะตามเสียงคะแนนข้างมาก แล้วชูมือนักมวยผู้ชนะขึ้น นำบัตรคะแนนของผู้ตัดสินทั้ง 3 คน ให้ประธานผู้ตัดสินตรวจสอบ
ผู้ชี้ขาดจะต้องไม่แสดงเจตนาใด ๆ อันส่อให้เห็นว่า ให้คุณให้โทษแก่นักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่น นับช้า-นับเร็ว, เตือน-ไม่เตือน ฯลฯ อันจะมีผลต่อการได้เปรียบหรือเสียเปรียบแก่นักมวยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
..ต้องไม่วิพากษ์วิจารณ์ชี้นำหรือให้สัมภาษณ์ต่อผลของการชกที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้ว ....ในกรณีที่ผู้ชี้ขาด ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ ให้ผู้ตัดสินที่ 1 ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่แทน
ผู้ชี้ขาดมีอำนาจ
.ยุติการแข่งขัน เมื่อเห็นว่าฝ่ายหนึ่งมีฝีมือเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาก หรือชกอยู่ข้างเดียว
..ยุติการแข่งขัน เมื่อเห็นว่านักมวยบาดเจ็บจนไม่สามารถจะให้ชกต่อไปได้
..ยุติการแข่งขัน เมื่อเห็นว่านักมวยไม่แข่งขันกันโดยจริงจัง ในกรณีเช่นนี้ อาจให้นักมวยคนหนึ่งหรือสองคนออกจากการแข่งขันได้
สิ่งที่ผู้ชี้ขาด จะต้องปฏิบัติเป็นมาตรฐาน ....จะต้องตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ต่างๆก่อนจะเริ่มบอกให้ชก
..จะต้องให้นักมวยไหว้ครู ถ้าไม่ไหว้ครูจะไม่มีการแข่งขัน
จะต้องชี้แจงกติกา ซึ่งพูดว่า ชกให้เต็มที่ มีน้ำใจ เป็นนักกีฬา ห้ามทำฟาล์วใด ๆ ทั้งสิ้น และต้องฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด ขอให้โชคดี
ชี้ให้นักมวยเข้ามุม เพื่อถอดมงคล และใส่ฟันยาง
.ให้สัญญาณแก่ผู้รักษาเวลา ให้ตีระฆังยกแรก ส่วนในยกต่อ ๆ ไปไม่ต้องให้สัญญาณ
.ให้สัญญาณการชก
.ต้องแน่ใจว่านักมวยหยุดและแยกเข้ามุมแล้ว จึงจะเดินเข้ามุมกลาง
เมื่อหมดยกสุดท้าย ก่อนจะรวบรวมใบคะแนน จะต้องให้นักมวยอยู่ในมุมของตนก่อน
..เมื่อรวบรวมใบคะแนนจากผู้ตัดสินครบแล้ว จึงชูมือผู้ชนะ โดยหันหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับนักมวย
การยืน หรือการยืนมุมของผู้ชี้ขาด จะต้องยืนตรง อย่างสง่าผ่าเผยเสมอ ซึ่งยืนได้ 2 แบบ คือ ยืนเอามือไขว้หลัง หรือยืนกางแขนทาบไปตามเชือกเส้นบน
ผู้ชี้ขาด จะผลักนักมวยไม่ได้
ถ้าไม่จำเป็น ไม่ควรใช้เท้ากันหรือแยกมวย และไม่ควรยกเท้าสูง
.การรับศีรษะนักมวย ถือเป็นศิลปของการห้ามมวย ซึ่งควรทำได้คล่องแคล่วและรวดเร็ว ......และผู้ชี้ขาด จะต้องไม่ลงจากเวทีก่อนนักมวย
หน้าที่ของผู้ตัดสิน
ผู้ตัดสินแต่ละคนจะต้องตัดสินการชกของนักมวยโดยอิสระ และจะต้องตัดสินไปตามกติกา .....ผู้ตัดสินแต่ละคน จะต้องอยู่คนละด้านของเวทีและห่างจากผู้ชม
ในระหว่างที่การแข่งขันกำลังดำเนินอยู่ ผู้ตัดสินจะต้องไม่พูดกับนักมวย หรือกับผู้ตัดสินด้วยกัน หรือกับบุคคลอื่น ยกเว้นกับกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที ....ถ้ามีความจำเป็นจะต้องพูดกับกรรมการผู้ชี้ขาดบนเวที ให้ใช้เวลาหยุดพักระหว่างยก แจ้งให้ผู้ชี้ขาดทราบว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่น พี่เลี้ยงปฏิบัติผิดมารยาท เชือกหย่อน ฯลฯ ซึ่งผู้ชี้ขาดอาจจะไม่สังเกตเห็นในขณะนั้น
ผู้ตัดสิน จะต้องให้คะแนนแก่นักมวยทั้งสอง ในบัตรบันทึกคะแนน ทันทีที่สิ้นสุดการแข่งขันของแต่ละยก
ผู้ตัดสินจะต้องไม่ลุกออกจากที่นั่งให้คะแนน จนกว่าผู้ชี้ขาดจะชูมือตัดสินผลการแข่งขันแล้ว
การแต่งกาย ผู้ตัดสิน จะต้องแต่งกายตามที่ สภามวยไทยโลก กำหนด
จรรยาบรรณของผู้ชี้ขาดและผู้ตัดสิน
จะต้องไม่มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางทุจริต
จะต้องไม่ให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์ใดๆที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียในการตัดสิน
.จะต้องไม่ประพฤติผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง
จะต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนการแข่งขัน 24 ชั่วโมง
012 ยอดแสนไกล แฟร์เท็กซ์ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ยอดทนง โพธิรัตน์ อายุ : 22 หัวหน้าคณะ : บรรจง บุษราคัมวงศ์ ผู้จัดการ : บรรจง บุษราคัมวงศ์ เทรนเนอร์ : ยักษ์ สถิติการชก : ชก 211 ครั้ง : ชนะ 142 แพ้ 65 เสมอ 4 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์รุ่นฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 112 ปอนด์ เวทีลุมพินี 2.แชมป์รุ่นเวลเตอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 147 ปอนด์ เวทีลุมพินี 3.แชมป์รุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 154 ปอนด์ ประเทศไทย 4.แชมป์มวยไทยรุ่นซูเปอร์เวลเตอร์เวต W.B.C. 5.แชมป์มวยรอบโตโยต้า ดีโฟร์ดี คอมมอนเรล ปี 2546 อื่นๆ : มวยประเภทเหลี่ยมเชิงฉลาด หมัดศอกแข็ง
013 ฟ้ามีชัย เอฟ.เอ.กรุ๊ป ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : สุรศักดิ์ ดงทอง อายุ : 21 หัวหน้าคณะ : บุญเต็ม ยังยะวี ผู้จัดการ : บุญเต็ม ยังยะวี เทรนเนอร์ : ดีเซล ลูกหนองแสง สถิติการชก : ชก 180 ครั้ง : ชนะ 143 แพ้ 30 เสมอ 7 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์ลุมพินี รุ่นไลต์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 108 ปอนด์ 2.อดีตแชมป์ประเทศไทย รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ อื่นๆ : มวยเหลี่ยมเชิง ศอกเข่าแรง
014 น้องบี เกียรติยงยุทธ ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : อดิศักดิ์ ดุลใหญ่ อายุ : 26 หัวหน้าคณะ : ยงยุทธ เลอวิศิษฏ์ ผู้จัดการ : ยงยุทธ เลอวิศิษฏ์ เทรนเนอร์ : นพรัตน์น้อย เกียรติสิงห์น้อย สถิติการชก : ชก 150 ครั้ง : ชนะ 115 แพ้ 30 เสมอ 5 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์รุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ เวทีลุมพินี 2.อดีตแชมป์รุ่นแบนตั้มเวต น้ำหนักไม่เกิน118 ปอนด์ เวทีลุมพินี 3.อดีตแชมป์โลก WMC รุ่นเฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ อื่นๆ : เหลี่ยมเชิงศอกเข่าดี
10. ผู้รักษาเวลาและผู้ประกาศ
ที่นั่ง ....ที่นั่งของผู้รักษาเวลาและผู้ประกาศ จะต้องนั่งอยู่ข้างเวที
หน้าที่ของผู้รักษาเวลา ......คือ รักษาจำนวนยก เวลาของแต่ละยก เวลาหยุดพักระหว่างยก และเวลานอกเมื่อกรรมการผู้ชี้ขาดให้สัญญาณ โดยมิให้ผิดพลาด
ผู้รักษาเวลา ......จะต้องให้สัญญาณเริ่มยกและหมดยกด้วยการตีระฆัง
..จะต้องหักเวลาออกสำหรับการหยุดชั่วคราว หรือเมื่อผู้ชี้ขาดสั่งให้หยุดเวลา
..จะต้องรักษาเวลาให้ถูกต้องทุกระยะ ด้วยนาฬิกาพกหรือนาฬิกาตั้งโต๊ะ
..ตอนปลายยกซึ่งไม่ใช่ยกสุดท้าย ถ้ามีนักมวยล้ม และผู้ชี้ขาดกำลังนับ หากหมดเวลาแข่งขัน (เวลา 3 นาที) ต้องยังไม่ตีระฆัง และให้ตีระฆังเมื่อผู้ชี้ขาดสั่ง ชก
ตอนปลายยกสุดท้าย ถ้ามีนักมวยล้ม และผู้ชี้ขาดกำลังนับ หากหมดเวลา 3 นาที ผู้รักษาเวลาต้องตีระฆังทันที
หน้าที่ของผู้ประกาศ .......คือ ต้องประกาศชื่อ มุม น้ำหนัก ของนักมวยทั้งสองฝ่ายให้ผู้ชมทราบก่อนการแข่งขัน และประกาศอีกครั้งเมื่อนักมวยปรากฏตัวบนเวที
จะต้องประกาศให้พี่เลี้ยงออกนอกสังเวียน เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนจากผู้รักษาเวลา
..จะต้องประกาศว่าเริ่มยกที่เท่าใดโดยเร็วก่อนสัญญาณเริ่มยก และประกาศอีกครั้งเมื่อสัญญาณหมดยกดังขึ้น ว่าหมดยกที่เท่าใด
จะต้องประกาศว่านักมวยฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ หลังจากผู้ชี้ขาดชูมือนักมวยแล้ว
11. การให้คะแนน
การชกที่ได้คะแนน มีดังนี้
นักมวยฝ่ายใดใช้อาวุธมวยไทย คือหมัด-เท้า-เข่า-ศอก โดยถูกต้องตามกติกา กระทำถูกคู่แข่งขันได้มากกว่า จะเป็นผู้ชนะ
นักมวยฝ่ายใดใช้อาวุธมวยไทยตามลักษณะแบบแผนมวยไทย โดยถูกต้องตามกติกา กระทำถูกคู่ต่อสู้ได้หนักหน่วง ชัดแจ้ง รุนแรง และถูกเป้าหมายที่สำคัญได้มากกว่า เป็นฝ่ายชนะ
นักมวยฝ่ายใดใช้อาวุธมวยไทย กระทำคู่ต่อสู้ให้เกิดความบอบช้ำ บาดแผลที่เป็นอันตรายมากกว่า เป็นฝ่ายชนะ
นักมวยฝ่ายใดเป็นผู้เดินเข้ากระทำ (ฝ่ายรุก)มากกว่า เป็นฝ่ายชนะ
นักมวยฝ่ายใดเป็นผู้ รุก รับ หลบหลีก - ตอบโต้ ตามลักษณะและชั้นเชิงมวยไทยได้ดีกว่า เป็นฝ่ายชนะ
นักมวยฝ่ายใด ที่มิได้กระทำฟาล์วหรือกระทำฟาล์วน้อยกว่า เป็นฝ่ายชนะ
การชกที่ไม่ได้คะแนน มีดังนี้
การชกที่ละเมิดกติกาข้อหนึ่งข้อใด
.อาวุธที่กระทำ ไปถูกแขน, ขาของคู่แข่งขัน อันเป็นลักษณะของการป้องกันของคู่แข่งขัน .........หรืออาวุธที่กระทำ ไปถูกคู่แข่งขันแต่เบา คือไม่มีน้ำหนักส่งจากร่างกาย ได้แก่ ลำตัว หรือไหล่
การให้คะแนน
ในแต่ละยก มีคะแนนเต็ม 10 คะแนน .....ในยกที่เสมอกัน จะได้ฝ่ายละ 10 คะแนน
ผู้ชนะในยกนั้น จะได้คะแนน 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 9 คะแนน (10 : 9)
ผู้ชนะในยกที่ชนะชัดเจนมาก จะได้คะแนน 10 คะแนน ผู้แพ้ได้ 8 คะแนน (10 : 8)
ผู้ชนะในยกนั้น และได้นับ 1 ครั้ง จะได้คะแนน 10 ผู้แพ้ได้ 8 คะแนน (10 : 8)
ผู้ชนะ ที่ชนะชัดเจนมากในยกนั้น และได้นับ 1 ครั้ง จะได้คะแนน 10 ผู้แพ้ได้ 7 คะแนน (10 : 7)
ผู้ชนะในยกนั้น และได้นับสองครั้ง จะได้คะแนน 10 ผู้แพ้ได้ 7 คะแนน (10 : 7)
นักมวยที่กระทำฟาล์ว ต้องไม่ได้คะแนนเต็มในยกที่ถูกตัดคะแนน
การฟาล์ว
ระหว่างการชกของแต่ละยก ผู้ตัดสินจะต้องคำนึงถึงความสำคัญของการฟาล์ว และตัดคะแนนตามที่ ผู้ชี้ขาดสั่งให้ตัดคะแนน
ถ้าผู้ตัดสินเห็นการฟาล์วอย่างชัดเจน โดยผู้ชี้ขาดไม่ได้สังเกตและตัดคะแนนนักมวยผู้กระทำฟาล์วนั้น ผู้ตัดสินจะต้องประเมินความรุนแรงของการฟาล์ว และตัดคะแนนไปตามความเหมาะสม พร้อมทั้งระบุไว้ด้วยว่า ทำฟาล์วด้วยเหตุใด
การชกที่ผิดกติกาและฟาล์ว
หมายถึง .....กัด ....ทิ่มลูกนัยน์ตา .....ถ่มน้ำลายรดคู่ต่อสู้ .....แลบลิ้นหลอก .....ใช้ศีรษะชนหรือโขก .....กอดปล้ำหรือทุ่มคู่ต่อสู้ ......หักหลังคู่ต่อสู้ ......จับล็อคแขนคู่ต่อสู้ .....ใช้ท่ายูโดและมวยปล้ำ .....ล้มทับหรือซ้ำเติมคู่ต่อสู้ที่ล้มหรือกำลังจะลุกขึ้น .....จับเชือกหรือพยายามจับเชือกเพื่อชก
ใช้กริยาวาจาไม่เหมาะสมในการแข่งขัน
.การตีเข่ากระจับโดยเจตนา เช่น จับคอตีเข่ากระจับ แทงเข่ากระจับ หรือโยนเข่าถูกกระจับ
.......การตัดคะแนนนักมวยที่กระทำฟาล์ว ผู้ชี้ขาดจะสั่งตัดครั้งละ 1 คะแนน
การปฏิบัติต่อนักมวยที่ถูกเข่าที่กระจับ ให้ผู้ชี้ขาดบนเวที ขอเวลานอก เพื่อให้นักมวยที่ถูกเข่าที่กระจับ พักไม่เกินครั้งละ 5 นาที
015 กระจับ
ล้ม
หมายถึง
.ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายถูกพื้นเวที นอกจากเท้า
..ยืนทับอยู่บนเชือกหมดสติ
ถูกชกออกไปนอกสังเวียน
..ถูกชกอยู่ฝ่ายเดียวอย่างหนัก โดยไม่มีการตอบโต้ แม้จะไม่ล้มหรือไม่ทับอยู่บนเชือก
ในกรณีที่นักมวยคนหนึ่งคนใด ถูกกระทำล้ม ให้ผู้ชี้ขาดเริ่มนับ พร้อมกับให้คู่ชก รีบถอยห่างออกไปอยู่มุมกลาง ไกลทันที ถ้าไม่ยอมถอยห่างออกไปตามคำสั่งของผู้ชี้ขาด ผู้ชี้ขาดจะต้องหยุดการนับ จนกว่าคู่ชกนั้นจะปฏิบัติตามคำสั่ง จึงให้ผู้ชี้ขาดนับต่อไปจากที่ได้นับแล้ว เมื่อผู้ล้ม ลุกขึ้นมาได้ และได้รับคำสั่งจากผู้ชี้ขาดให้ชก จึงจะชกต่อไปได้
เมื่อนักมวยคนใดล้มลง ให้ผู้ชี้ขาดนับดัง ๆ จาก 1 10 โดยทอดระยะห่างกัน 1 วินาที และทุก ๆ วินาทีที่นับ ผู้ชี้ขาดจะต้องให้สัญญาณมือด้วย เพื่อนักมวยผู้ล้ม จะได้รู้ว่าตนถูกนับ
ถ้านักมวยผู้ล้ม ลุกขึ้นมาได้ก่อนผู้ชี้ขาดจะนับถึง สิบ และพร้อมที่จะชกต่อไปได้ ผู้ชี้ขาดจะต้องนับต่อไปจนถึง 8 เสียก่อน จึงให้ชกต่อไปได้ .... แต่ถ้าผู้ชี้ขาดได้นับถึง สิบ แล้ว ให้ถือว่าการต่อสู้ได้สิ้นสุดลง และต้องตัดสินให้ผู้ที่ล้มนั้น แพ้โดย น็อคเอ๊าท์
ถ้านักมวยล้มลงพร้อมกันทั้งสองคน ให้ผู้ชี้ขาดนับดัง ๆ จาก 1 10 ถ้านักมวยทั้งสองคนยังล้มอยู่จนกระทั่งนับสิบ ให้ตัดสินเสมอกัน .....ในกรณีที่นักมวยล้มลงทั้งคู่และบังเอิญแขนขาทั้งสองฝ่าย เกี่ยวกันหรือทับกัน โดยที่นักมวยทั้งคู่กำลังลุกขึ้น ผู้ชี้ขาดต้องแยกออกจากกันและควรหยุดนับในช่วงนั้น
ถ้านักมวยผู้ล้มลงแล้วลุกขึ้นมาได้ก่อนนับสิบ แต่กลับล้มลงไปอีก ให้ผู้ชี้ขาดนับต่อไป จากที่นับมาแล้ว
ถ้านักมวยคนใดไม่พร้อมที่จะชกต่อไปได้ ภายหลังจากเวลาหยุดพักระหว่างยกหมดไปแล้ว ผู้ชี้ขาดจะต้องนับ ยกเว้นเครื่องแต่งกายไม่เรียบร้อย
016 นพเดช เช็งซิมอิ๊วยิม ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : มานพ ประจวบศึก อายุ : 27 หัวหน้าคณะ : สิทธิชัย ธีระเดชพงศ์ ผู้จัดการ : สิทธิชัย ธีระเดชพงศ์ เทรนเนอร์ : เทพวาริน เกียรติเพชร สถิติการชก : ชก 110 ครั้ง : ชนะ 67 แพ้ 40 เสมอ 3 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์รุ่นไลต์เวต น้ำหนักไม่เกิน 135 ปอนด์ ประเทศไทย 2.อดีตแชมป์รุ่นซุเปอร์ไลท์เวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ เวทีช่อง 7 สี 3.ปัจจุบันเป็นแชมป์รุ่นซูเปอร์ไลต์เวต น้ำหนักไม่เกิน 140 ปอนด์ ประเทศไทย อื่นๆ : มวยเหลี่ยมเข่าเชิงดีชกดี
017 ธงชัย ต.ศิลาชัย ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ธงชัย อายุ : 35 หัวหน้าคณะ : วีระ เปาเนา ผู้จัดการ : วีระ เปาเนา เทรนเนอร์ : เม็ดพริก ต.ศิลาชัย สถิติการชก : ชก 200 ครั้ง : ชนะ 145 แพ้ 50 เสมอ 5 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์รุ่นมินิฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 105 ปอนด์ เวทีลุมพินี 2.อดีตแชมป์รุ่นไลต์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 108 ปอนด์ เวทีลุมพินี 3.อดีตแชมป์รุ่นฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 112 ปอนด์ เวทีลุมพินี 4.อดีตแชมป์รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ เวทีลุมพินี 5.อดีตแชมป์รุ่นซูปเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ เวทีราชดำเนิน 6.อดีตแชมป์ WMC รุ่นซูปเปอร์ฟลายเวต น้ำหนักไม่เกิน 115 ปอนด์ 7.อดีตนักมวยไทยยอดเยี่ยม 2 ครั้ง ของประเทศไทย 8.อดีตนักมวยไทยยอดเยี่ยมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทย อื่นๆ : บู๊บ้า ทรหดดุดัน หมัดหนัก
018 ไตรจักร ศิษย์จอมไตร ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ยุทธการ ชาญโพธิ์ อายุ : 21 หัวหน้าคณะ : วัน ชาญโพธิ์ ผู้จัดการ : สังกัด ชาญโพธิ์ เทรนเนอร์ : วุฒิชาติ ชาญโพธิ์ สถิติการชก : ชก 78 ครั้ง : ชนะ 54 แพ้ 22 เสมอ 2 เกียรติประวัติ : แชมป์ประเทศไทย รุ่นเฟเธอร์เวต นน.ไม่เกิน 126 ปอนด์ อื่นๆ : บู๊ทรหด หมัดหนัก
# 03 ตำนานนักมวยไทย
1. ผล พระประแดง
2. สุข ปราสาทหินพิมาย สมญานาม ยักษ์ผีโขมด
3. ทองใบ เจริญเมือง (ยนตรกิจ)
4. ชูชัย พระขรรค์ชัย สมญานาม พระเอกยอดนักมวย
5. ราวี เดชาชัย
6. อดุลย์ ศรีโสธร สมญานาม ขวัญใจนักเรียน 7. เขียวหวาน ยนตรกิจ
8. อภิเดช ศิษย์หิรัญ สมญานาม จอมเตะบางนกแขวก
9. คงเดช ลูกบางปลาสร้อย
10. เดชฤทธิ์ อิทธินุชิต (ยนตรกิจ)
11. ปราบธรณี เมืองสุรินทร์
12. วิชาญ ชำนาญวารี ( ส.พินิจศักดิ์ ) สมญานาม สุภาพบุรุษนักมวย
13. พรชัย แหลมฟ้าผ่า (ส.ท่ายาง)
14. พุฒ ล้อเหล็ก
15. หัวไทร สิทธิบุญเลิศ
16. ผุดผาดน้อย วรวุฒิ
17. สกัด เพชรยินดี สมญานาม จอมไหว้ครู
18. วิชาญน้อย พรทวี สมญานาม นักชกอมตะ
19. ประยุทธ อุดมศักดิ์ สมญานาม ม้าสีหมอก
20. สามารถ พยัคฆ์อรุณ สมญานาม เพชรฆาตหน้าหยก
และรามอน เด็กเกอร์ Ramon Dekker นักมวยไทยชาวต่างชาติ สมญานาม ไอ้กังหันนรก
# 04 มวยไทยหญิง
019
เส้นทางของนักมวยไทยหญิง แต่ละคนจะต้องผ่านการซ้อมผ่านการฝึกฝน กับครูผู้สอนและกับนักมวยชายมาอย่างหนัก ต้องซ้อมวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่า 4-5 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายแข็งแกร่ง และจัดเจนเชิงมวย ตั้งแต่ชกลม ล่อเป้า เตะกระสอบทราย ชกกับคู่ซ้อม ซึ่งนักมวยไทยหญิงหลายคนมักจะเริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น 10 กว่าขวบ
020 เพชรยู ศิษย์ครูดุลย์
'เพชรยู ศิษย์ครูดุลย์' ชื่อจริง ราตรี โครงกาพย์ เป็นนักมวยไทยสาวหน้าใสวัย 18 ปี เธอเริ่มชกมวยไทยตั้งแต่เรียนอยู่ ม.6 โรงเรียนฝายกวางวิทยาคม จ.พะเยา โดยการชักนำของครูอดุลย์ ครูพละประจำโรงเรียน ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวย ฉายา'เพชรยู' ก็มาจากคำว่ายู ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเธอ บวกกับเพชรซึ่งสื่อถึงความรุ่งโรจน์ เพชรยูมีสถิติการชกยอดเยี่ยม จนหลายมหาวิทยาลัยติดต่อแย่งตัวให้เธอเข้าศึกษาต่อ เพื่อเป็นหน้าตาของสถาบัน ปัจจุบันเธอเรียนอยู่ชั้นปี 1 เอกพละศึกษา มหาวิทยาลัยสยาม และยังชกมวยไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเงินค่าชกมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนของเธอเอง "ตอนแรกยู เล่นบาสที่โรงเรียนก่อน พอมีเวลาว่าง ยูเลยขออาจารย์ลองซ้อมมวย ซ้อมได้ 2-3 วัน อาจารย์ก็ส่งขึ้นชกเลย ชกครั้งแรกเจ็บไปหมดทั้งตัว (หัวเราะร่วน) แต่ก็ยังไม่เข็ด ขอฝึกมวยต่ออีก พ่อของยูก็สนับสนุนเพราะพ่อของยูเป็นนักมวยเก่า ชกอยู่ในค่ายมวยแถบภาคเหนือ บางทีซ้อมเสร็จกลับไปบ้าน พ่อก็ซ้อมให้ต่อ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดจะยึดเป็นอาชีพหรอกค่ะ แต่พอชกมาเรื่อยๆก็ติดใจ จนถึงตอนนี้ ยูชกมาได้ 22-23 ครั้งแล้ว บางทีก็ตาเขียว บางทีก็ขาเขียว แต่ไม่เคยคิดจะเลิกนะ ไม่กลัวเสียโฉมด้วย คือไม่ได้นึกถึงจุดนั้น ตอนนี้ก็ซ้อมทุกวัน ตอนเช้าก็ซ้อมก่อนจะไปเรียน เรียนเสร็จก็มาซ้อมอีก วันหนึ่งๆตก 4-5 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายและฝีมือเราอยู่ตัว"
021 กระยางขาว
'กระยางขาว' หรือ 'น้องเปิ้ล' หรือ จรูญ โลกรวม สาวน้อยวัย 15 ปี จากค่ายมวยดังราชบุรี บอกว่า เข้าสู่วงการมวยเพราะซึมซับศิลปะมวยไทยมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณอาเป็นเจ้าของค่ายมวย เปิ้ลจึงฝึกเชิงมวยกับคุณอามาโดยตลอด และเมื่อมีการชกมวยหญิงที่ดอนตูม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ทางโรงเรียนของเธอจึงสนับสนุนให้เธอขึ้นชก และต่อๆมาก็ไปชกที่เวทีอื่นๆด้วย "กลับจากโรงเรียนมา ก็ต้องซ้อมมวยจนถึง 3 ทุ่ม แต่เปิ้ลไม่ชอบซ้อมกับผู้หญิงนะ ชอบซ้อมกับผู้ชายมากกว่า เพราะส่วนใหญ่นักมวยหญิงในค่ายเป็นเพื่อนเราทั้งนั้น เราก็กลัวเขาเจ็บ แต่ซ้อมกับผู้ชายเราทำได้เต็มที่ เขาก็เตะเราเต็มที่เหมือนกัน(หัวเราะ) ตอนซ้อมแรกๆ เรายังเตะแข้งซ้ายไม่ถนัด ก็โดนอาแกล้งเตะจนช้ำ เขารู้ว่าเราเจ็บ ก็ยิ่งแกล้ง พอเขาเห็นน้ำตาเปิ้ล เขาก็เอาเป้ามาล่อ มาตบที่ขาเราบ้าง เปิ้ลก็ร้องไปต่อยไป แต่ไม่เข็ด เพราะรู้ว่าที่เขาทำ เพราะอยากจะให้เราเก่งขึ้นนะ"
022 น้องเนะ อโณทัย นิรุตติเมธี
หากจะพูดถึงนักมวยไทยสาวที่สร้างความฮือฮาให้แก่วงการมวยในช่วงนี้คงหนีไม่พ้น 'น้องเนะ' อโณทัย นิรุตติเมธี ลูกสาวคนสวยของ 'ทนายต๋อย' สมบูรณ์ นิรุตติเมธี หัวหน้าค่ายมวย อีมิแน้นท์แอร์ ซึ่งเธอขึ้นชกโชว์ในการแข่งขันมวยไทยหญิง ในมหกรรมมวยไทยเทิดพระเกียรติ วันแม่แห่งชาติ ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2549 เธอผู้นี้ เป็นดีกรีระดับนางเอกช่อง 3 จากละครเรื่อง 'จ้าวหนูเทควันโด' และยังคว้าตำแหน่ง ป๊อปปูลาร์โหวต ในการประกวด มิสทีนไทยแลนด์อีกด้วย ปัจจุบัน 'น้องเนะ' อายุ 17 ปี กำลังศึกษาอยู่ใน ม.มหิดล หลายคนสงสัยว่าสวยระดับนี้ เหตุใดจึงมาชกมวยไทยหญิง น้องเนะ บอกว่า
.. "เนื่องจากคุณพ่อเป็นเจ้าของค่ายมวย เลยฝึกชกมวยมาตั้งแต่อยู่ ม.ต้น เพราะคุณพ่อเป็นห่วงว่าเราเป็นผู้หญิง ไปไหนมาไหนจะอันตราย เลยให้หัดมวยไว้จะได้ป้องกันตัวเองได้ ถึงแม้ในการขึ้นชกในวันแม่จะเป็นการชกโชว์ ไม่ได้ยึดเป็นอาชีพ แต่ก่อนขึ้นชก เนะก็ต้องซ้อมหนักมาก ต้องทำได้ทุกอย่างเหมือนพวกมืออาชีพเขาทำกัน เพราะเราเป็นลูกเจ้าของค่าย จะมาชกเหยาะแหยะไม่ได้ ท่าไม้ตายของเนะ จะเป็นท่าเตะสับ แล้วตีศอกที่ต้นขาคู่ต่อสู้"
023 ท่าไหว้ครูที่อ่อนช้อยงดงาม
สำหรับค่าตัวของนักมวยไทยหญิง ถึงแม้ว่าจะยังไม่สูงเท่านักมวยชาย แต่ก็จัดว่ามีรายได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเริ่มจากค่าตัวประมาณ 2,000 บาทขึ้นไป และไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ หากมีฝีมือมากขึ้น การชกต่อครั้งค่าตัวจะขึ้นไปถึง 30,000 บาททีเดียว
ท่านใด สนใจจะอ่านชีวิตนักมวยไทยหญิงอีกมากคน เชิญเลือกอ่านที่นี่กดเลยครับ แล้วคิดอยากจะต่อยกับนักมวยไทยหญิงคนไหน มั๊ยเล่า????
024 ดวงสมพงษ์ ก.สะเภาทอง ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ธีระพงษ์ ชาติตระการ อายุ : 22 หัวหน้าคณะ : วีระวัฒน์ ธนอมเกียรติ ผู้จัดการ : อนันต์ สายกวย เทรนเนอร์ : บุญเกิด เกียรติดับเพลิง สถิติการชก : ชก 85 ครั้ง : ชนะ 57 แพ้ 26 เสมอ 2 เกียรติประวัติ : 1.อดีตแชมป์เวทีลุมพินี รุ่นซูเปอร์แบนตั้นเวต น้ำหนักไม่เกิน 122 ปอนด์ 2.อดีตแชมป์เวทีลุมพินี รุ่นเฟเธอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 126 ปอนด์ 3.แชมป์มวยรอบ โตโยต้า มาราธอน รุ่น 115 ปอนด์ อื่นๆ : หมัดหนัก ศอกเข่าแทงปล้ำตีดี
025 เชาวลิต จ้อกกี้ยิม ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : อำพน อายุ : 24 หัวหน้าคณะ : สมมาตร หงษ์สกุล ผู้จัดการ : สมมาตร หงษ์สกุล เทรนเนอร์ : ป๋า วัชรพล สถิติการชก : ชก 79 ครั้ง : ชนะ 57 แพ้ 20 เสมอ 2 เกียรติประวัติ : 1.แชมป์โลก WMC รุ่น เวลเตอร์เวต 2.อดีตแชมป์เวทีราชดำเนินรุ่นซูปเปอร์เวลเตอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 154 ปอนด์ 3.อดีตแชมป์ประเทศไทยรุ่นซูปเปอร์เวลเตอร์เวต น้ำหนักไม่เกิน 154 ปอนด์ อื่นๆ : เหลี่ยมเชิงจัดจ้าน
026 เฉลิมเดช ส.ตะวันรุ่ง ข้อมูลประวัติชื่อ - สกุล : ธีระพงษ์ ดี อายุ : - หัวหน้าคณะ : ปัญญา แสนเพชรวิทยา ผู้จัดการ : ปัญญา แสนเพชรวิทยา เทรนเนอร์ : เดชสุบิน อ.ศิริวุฒิ สถิติการชก : ชก 114 ครั้ง : ชนะ 102 แพ้ 12 เสมอ 0 เกียรติประวัติ : แชมป์รุ่นซุปเปอร์แบนตั้มเวต น้ำหนักไม่เกิน 122 ปอนด์ ประเทศไทย อื่นๆ : มวยเข่ารุนแรง เชิงดี
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2550 | | |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2550 17:29:28 น. |
Counter : 54533 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ
เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548
เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.
เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|