ตาแห้ง



ตาแห้ง



บล็อกวันนี้เหมาะกับคนหลักสี่..


แต่ก็น่าสนใจหากใครคิดจะพริ๊นท์ไปให้คุณพ่อคุณแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ และครูบาอาจารย์ได้อ่านบ้าง



เมื่อถึงวัยเลขสี่นำ วงการแพทย์จะถือว่าร่างกายของคนเรากำลังก้าวพ้นจุดที่เจริญที่สุดของร่างกาย ..นับต่อจากนี้ไปหากคนเราจะรับประทานอะไรเข้าไป จะมีคุณภาพดีแค่ไหน อย่างมากก็จะเข้าไปเพื่อการบำรุงรักษาซ่อมแซมและชะลอส่วนต่างๆของร่างกายให้สึกหรอช้าลงเท่านั้น มีน้อยมากที่จะเข้าไปเพื่อสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับร่างกาย



ที่ยังจะพอมีใหม่อยู่บ้าง ก็พวกเม็ดเลือด น้ำย่อย น้ำหล่อลื่น เส้นผม เป็นต้น



พูดถึงเส้นผม นับวันก็จะหลุดร่วงหรือเปลี่ยนเป็นสีขาว ..เรื่องการได้ยินก็นับวันจะเสื่อมถอยลง จะฟังอะไรก็ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าตอนหนุ่มสาว ..เรื่องสายตานับวันก็จะมองใกล้ๆเริ่มจะโฟกัสไม่ชัดเหมือนเดิม กลายเป็นสายตายาวขึ้น ..ส่วนเรื่องฟัน นับวันก็จะอ่อนแอโยกคลอนและหลุดร่วง ต้องเสริมด้วยฟันปลอม ..สำหรับผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใต้ดวงตา ใต้คาง บนหลังมือ หรือบริเวณก้น นับวันก็จะหย่อนคล้อย ไม่ค่อยสปริงตัวกลับ ไม่ค่อยปึ๋งปั๋งฟิตดังเดิมแบบคนหนุ่มสาว



มันเป็นตามวัยน่ะ ไม่ได้ผิดปกติอะไร



เมื่อพูดถึงผิวหนังที่ค่อยๆร่วงโรยลงไป ..หากใครเคยเห็นภาพทารกในครรภ์มารดาตอนที่มีอายุอยู่ในครรภ์ประมาณ 5 – 6 เดือน คงจะเคยเห็นว่าบริเวณดวงตาของทารกยังเป็นเนื้อผิวหนังที่ปิดอยู่ และกำลังพัฒนาการไปเป็นดวงตา ซึ่งนั่นก็คือดวงตาพัฒนามาจากเซลล์แบบเดียวกับผิวหนัง








ฉะนั้นหากมองว่าผิวหนังของเราเริ่มหย่อนไม่ฟิตและไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ก็ขอให้เชื่อเถิดว่า ดวงตาของเราก็ไม่ได้สมบูรณ์ดีพร้อมเหมือนเดิมเช่นกัน







อาการตาแห้ง จึงเป็นเรื่องปกติตามธรรมชาติของวัย เมื่อวัยของคนเราล่วงเข้าถึงเลข 40 ..ก็ขออย่าได้ตกใจ เพียงแต่เราจะหาวิธีชะลอสุขภาพที่ดีเอาไว้นานๆ และอยู่ร่วมกับสภาพตาแห้งอย่างคนมีความสุข




ร่างกายของคนปกติทุกคนจะมีน้ำตาธรรมชาติ ซึ่งผลิตขึ้นมาจากต่อมน้ำตาที่อยู่เหนือบริเวณหัวคิ้วทั้งสองข้าง น้ำตาธรรมชาติจะถูกผลิตออกมาตลอดเวลา เพื่อมีหน้าที่สำคัญต่อร่างกาย คือ


1. ให้ความชุ่มชื้นต่อกระจกตาและเยื่อบุตาขาว


2. ปรับสภาพของกระจกตาให้มีความเรียบ เพื่อให้แสงผ่านได้สะดวก การมองเห็นจะได้ชัดเจน


3. ให้สารอาหารและออกซิเจนต่อกระจกตา รวมทั้งขจัดของเสียออกจากกระจกตา


4. มีสารฆ่าเชื้ออย่างอ่อนๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่กระจกตา และช่วยล้างสิ่งสกปรกออกจากดวงตา เช่น เวลาผงเข้าตา



น้ำตาธรรมชาติจึงมีความสำคัญอย่างมาก และจะต้องผลิตออกมาตลอดเวลา





น้ำตาธรรมชาติ เป็นสิ่งสำคัญต่อร่างกายที่หล่อเลี้ยงลูกตาให้ชุ่มชื้นเปรียบเสมือนกับเครื่องจักรที่จะทำงานได้ดีก็ต้องมีน้ำมันหล่อลื่นเพียงพอ น้ำตาธรรมชาติของคนเราจะเห็นเป็นน้ำใสๆหล่อเลี้ยงลูกตา เราจะมองว่าใครมีน้ำตามากหรือน้อยโดยการสังเกตความแวววาวของลูกตา ทั้งนี้ในเด็กหรือในหนุ่มสาว ดวงตาจะแวววาวหรือสุกใสเป็นประกายกว่าคนสูงวัย เพราะมีน้ำตาเพียงพอ ไม่ขาดบกพร่องเหมือนคนที่มีอายุมาก



น้ำตาธรรมชาติแม้มีจะปริมาณบางมาก แต่สามารถแยกออกได้เป็น 3 ชั้น ดังนี้










1. ชั้นไขมัน (Lipid Layer) เป็นชั้นนอกสุด สร้างมาจากต่อมไขมันซึ่งอยู่บริเวณเปลือกตาทั้งด้านบนและด้านล่าง มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้ส่วนที่เป็นน้ำตาระเหยไปได้ง่าย เพื่อน้ำตาธรรมชาติจะได้คงอยู่นานๆ



2. ชั้นน้ำ (Aqueous Layer) เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลางและหนาที่สุด สร้างมาจากต่อมน้ำตาซึ่งอยู่บริเวณหัวคิ้วของตาทั้งสองข้าง เป็นตัวให้อาหารและออกซิเจนหล่อเลี้ยงแก้วตา หน้าที่สำคัญส่วนใหญ่ของน้ำตาธรรมชาติอยู่ที่ชั้นนี้



3. ชั้นเยื่อเมือก (Mucin Layer) เป็นชั้นในสุด สร้างมาจากส่วนเซลล์บุกระจกตา มีหน้าที่ปรับสภาพของกระจกตา ทำให้น้ำตาธรรมชาติกระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว เวลากระพริบตา




น้ำตาธรรมชาติ ซึ่งถูกสร้างตลอดเวลา จากต่อมน้ำตาที่อยู่เหนือบริเวณหัวคิ้วทั้งสองข้าง และจะระบายนํ้าตาส่วนเกิน ลงสู่รูเปิดของระบบระบายนํ้าตาที่อยู่บริเวณหัวตาทั้งสองข้าง แล้วไหลลงไปในช่องจมูกแล้วไหลลงคอ (หลายท่านอาจจะเคยสังเกตว่าเมื่อเราหยอดยาตาบางชนิด จะรู้สึกขมภายในลำคอ )











ในร่างกายของคนที่มีสุขภาพดี อัตราการสร้างนํ้าตาและการระบายนํ้าตาลงท่อระบายน้ำตา จะสมดุลกัน ซึ่งจะไม่เกิดปัญหาตาแห้งหรือนํ้าตาคลอเบ้า ..แต่หากผิวกระจกตาเกิดอาการแห้งเนื่องจากการสร้างน้ำตาธรรมชาติลดลงหรือระเหยไปโดยเร็ว ระบบอัตโนมัติในร่างกายจะสั่งให้เกิดการกระพริบตาขึ้นทันที การกระพริบตาจะเป็นการกระจายน้ำตาธรรมชาติ ให้กระจายไปทั่วกระจกตาและเยื่อบุตาขาวอย่างรวดเร็ว เราจึงรู้สึกสบายตา...และหากเราเสียใจโศกเศร้าอาดูรอย่างรุนแรง หรือดีใจปลื้มใจเป็นพิเศษ น้ำตาก็จะถูกขับออกมามากเป็นพิเศษโดยปฏิกิริยาธรรมชาติ จนเต็มเบ้าตาและไหลล้นออกมานอกดวงตาได้เอง





สาเหตุของอาการตาแห้ง


1. อายุ

ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป การสร้างน้ำตาธรรมชาติจะลดลงไปเรื่อยๆ และเมื่ออายุถึง 70 ปี การสร้างน้ำตาธรรมชาติจะลดลงถึง 90% ..(อย่าตกใจ ยังได้เล่นบล็อกอีกนาน)


2. เพศ

ผู้หญิงจะมีอาการตาแห้งมากกว่าผู้ชายในช่วงอายุเดียวกัน ..ลองถามเพื่อนผู้ชายวัยเดียวกันดูบ้างก็ได้ ..ผมอยากเดาว่า อาจจะเป็นเรื่องฮอร์โมน


3. สภาพแวดล้อม

ในห้องแอร์เย็นมากๆซึ่งมีอากาศแห้ง ในห้องที่มีฝุ่น หรือในห้องที่มีควันมากๆอย่างควันบุหรี่ ผู้ที่นั่งดูโทรทัศน์นานๆ นั่งเล่นคอมพิวเตอร์นานๆ หรือนั่งดื่มสังสรรค์ จะเกิดอาการตาแห้งเร็วกว่านั่งในห้องปกติ


4. ยา

การใช้ยาบางชนิดจะทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ในบางคน เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น


5. การใส่คอนแทคเลนส์

ผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์นานๆจะมีอาการตาแห้งมากกว่าคนปกติ







6. พฤติกรรมการใช้สายตา

คนที่ใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบไม่ยอมกระพริบตา เช่นมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ มองหน้าจอโทรทัศน์ แม้ร่างกายจะพยายามกระพริบตาแบบไม่รู้ตัวแล้วก็ตาม แต่เพราะเจ้าของดวงตาฝืนมอง พยายามมองแบบไม่ยอมกระพริบตา จึงทำให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคืองตา แสบตา ตาแดง ปวดตา ตาพร่า สู้แสงไม่ได้


7. การฉายรังสี

ผู้ที่ได้รับการฉายรังสีเพื่อรักษาเนื้องอกบริเวณใบหน้า อาจทำให้มีการทำลายต่อมสร้างน้ำตาธรรมชาติ


8. โรคบางอย่าง

มีโรคบางอย่างที่ทำให้คนมีอาการตาแห้ง เช่น เยื่อบุตาอักเสบ โรคริดสีดวงตา โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง โรครูมาตอยด์ โรคเอสแอลอี เป็นต้น





การป้องกันและแก้ไขอาการตาแห้ง


ถ้าอาการตาแห้งเกิดขึ้นจากอายุที่มากขึ้น คงยากที่จะหลีกเลี่ยง ก็เหมือนกับผิวพรรณที่มีอาการหย่อนยานหรือเหี่ยวลง เราจะห้ามไม่ให้เกิดย่อมทำได้ยาก.. แต่เราอาจจะชะลออาการตาแห้งให้เกิดขึ้นเล็กน้อยและเกิดขึ้นช้าได้บ้าง







1. รับประทานอาหารสด สะอาด ให้ครบทั้ง 5 หมู่ และโดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A , C และ E ซึ่งจะพบมากในแครอท มะละกอ ฟักทอง มะเขือเทศ มันเทศ ส้ม บรอคโคลี่ ผักบุ้ง เมล็ดอัลมอนด์ น้ำมันตับปลา เป็นต้น จะไม่รับประทานไม่ได้



2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอให้ร่างกายแข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้แจ่มใส



3. เมื่อต้องอยู่กลางแดดจ้า เจอลมพัดแรงและมีฝุ่นละออง เช่นขับขี่รถจักรยานยนต์ นั่งท้ายรถกระบะ จะต้องสวมแว่นกันแดด รวมทั้งต้องสวมแว่นป้องกันอันตราย(Safety Glasses)เมื่อทำงานที่มีความเสี่ยง เช่น อ๊อกโลหะ เจียรเหล็ก สกัดหิน เป็นต้น หรือเมื่อเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยง เช่น ยิงปืน ฟันดาบ เบสบอล เป็นต้น







4. ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีความสว่างมากกว่า 20 แรงทียน และดูห่างจากจอเป็น 5 เท่าของขนาดความกว้างของจอภาพ ..ควรตักเตือนลูกหลานเสมอไม่ให้นั่งจ้องดูโทรทัศน์ใกล้จอเกินไป



5. จัดวางคอมพิวเตอร์โดยหันด้านข้างไปทางหน้าต่าง ไม่ควรจะหันด้านหลังหรือหันด้านหน้าคอมพิวเตอร์ไปทางหน้าต่าง แต่หากวันใดข้างนอกแดดจ้ามาก ก็อาจจะปิดม่านหรือปิดบานเกล็ดเพื่อลดปริมาณแสงภายในห้อง แสงไฟที่ใช้เหนือเพดานก็ควรจะปรับความสว่างให้เหมาะสม และควรจะหลีกเลี่ยงการใช้โต๊ะและเฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อนมันวาว







6. จัดวางหน้าจอคอมพิวเตอร์ห่างจากดวงตาประมาณ 20-28 นิ้ว(นับง่ายๆก็ประมาณ 2 ฟุตหรือประมาณมากกว่า 1 ช่วงแขนเล็กน้อย) ระดับจอภาพควรจะอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ..อนึ่ง จัดวางคีย์บอร์ดและเม้าส์ต่ำกว่าระดับข้อศอก และปรับความสูงของเก้าอี้ให้เหมาะสม โดยมุมตรงเข่ากับเก้าอี้ควรมากกว่า 90 องศาเล็กน้อย เก้าอี้ที่ดีควรจะมีที่พักแขน



7. ควรใช้แผ่นกรองแสงที่จอคอมพิวเตอร์ หรืออาจเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) เพราะจะช่วยถนอมสายตาได้ดีกว่าจอคอมพิวเตอร์แบบเก่า (CRT)



8. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดที่เห็นถนัดตาในขณะพิมพ์งาน ควรปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ..ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรนั้นยังพอได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะนั่งทำงานปกติ



9. อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรามีสมาธิเพ่งจ้องอะไรนานๆ โดยไม่ยอมกระพริบตาหรือกระพริบตาน้อยครั้ง เช่น 6 - 8 ครั้งต่อนาที ..จึงต้องหมั่นกระพริบตาบ่อยๆ เพื่อให้เกิดน้ำตาหล่อลื่นในดวงตา



10. เปลี่ยนอิริยาบถจากการนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเจอร์หรือจอโทรทัศน์ ทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อพักสายตาประมาณ 10 นาที ..โดยอาจจะเดินติดต่องาน พูดโทรศัพท์ ไปห้องน้ำ ไปดื่มน้ำ หรือนั่งคิดวางแผน ..โดยช่วงนั่งคิดวางแผน อาจจะถอดแว่นตาชั่วคราว อาจจะมองไปไกลๆ หรือหลับตา หรือกระพริบตาถี่ๆ







11. หากรู้สึกแสบตา เคืองตา ไม่ควรจะใช้นิ้วมือหรือหลังมือขยี้ตา ควรจะเดินไปห้องน้ำ แล้วใช้น้ำสะอาดล้างตา จะสะอาดกว่า



12. หากจะต้องใช้น้ำตาเทียมหยอดตา จะต้องใช้น้ำตาเทียมที่ยังไม่หมดอายุ และเป็นเฉพาะที่เหมาะกับตนเอง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา



13. ไม่ควรใช้น้ำยาล้างตา มาล้างตาโดยไม่จำเป็น เพราะในน้ำยาล้างตามักจะผสมสารเคมีอ่อนๆเอาไว้ ซึ่งจะทำให้ตาแห้ง และระคายเคืองได้ ..หากจำเป็นจะต้องล้างตา เพื่อล้างบางสิ่งบางอย่างที่เข้าตา ควรใช้น้ำสะอาดในขวดน้ำดื่มจะดีกว่า



14. ควรตรวจสายตาประมาณ 1-2 ปี ต่อครั้งโดยจักษุแพทย์ เพื่อวัดความดันตา และตรวจเช็คความผิดปกติของสายตา แต่เมื่ออายุมากขึ้น การตรวจสายตาจะต้องตรวจถี่ขึ้น








อยากบอกทิ้งท้ายว่า ..ควรเตือนสติตนเองบ่อยๆ


อายุของเราไม่ใช่ 20 หรือ 25 ปีแล้ว ซึ่งควรจะต้องใช้สายตาให้น้อยลงกว่าตอนหนุ่มสาว


ฟันหัก ยังมีฟันปลอมได้ ..แต่ดวงตานั้นมีเพียงคู่เดียว หากเสียไป ..ใช้งานไม่ได้แล้ว


เราจะไม่อาจใช้ดวงตาปลอมคู่ไหนๆ เพื่อการมองเห็นได้อีก.















โดย yyswim










 

Create Date : 05 เมษายน 2551    
Last Update : 5 เมษายน 2551 14:00:28 น.
Counter : 11450 Pageviews.  

เขาพระวิหาร



เขาพระวิหาร






เขาพระวิหาร ที่จะเขียนถึง คือ ปราสาทเขาพระวิหาร



ปราสาทเขาพระวิหาร หรือ ศรีศิขเรศวร เป็นเทวสถานแบบขอม บางเอกสารเรียกที่นี่ว่า ภวาลัย ตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก หรือหากจะออกเสียงแบบเขมรจะต้องออกเสียงว่า ดองเร็ก ซึ่งหมายถึงคานหาบ ก็คงเป็นเพราะรูปทรงสัณฐานของเทือกเขาที่แบนราบคล้ายไม้คาน เทือกเขานี้กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา โดยสร้างขึ้นก่อนนครวัดประมาณ 100 ปี อยู่ระดับความสูง 657 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในเขตจังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา ติดชายแดนไทยที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ



กล่าวกันว่า ปราสาทเขาพระวิหาร ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการแสดงอำนาจของกษัตริย์แห่งเมืองพระนคร ที่มีความเชื่อถือในเรื่องเทวราชา อันหมายถึงกษัตริย์คืออวตารหนึ่งของเทพเจ้าในศาสนาฮินดู จึงมีการสร้างปราสาทเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะและพระมหากษัตริย์






























ท่านใด ประสงค์จะรู้จักเขาพระวิหารเพิ่มเติม ขอเชิญท่องเว๊ปได้ จะมีเขียนอยู่หลายเว๊ป ตัวอย่างเช่น ..จากวิกิพีเดีย (วิกิพีเดียเขียนไม่เยอะครับ) ..จากเว๊ป oceansmile .. จากเว๊ป travelfortoday และจากเว๊ปจังหวัดศรีสะเกษ เป็นต้น




เมื่อปี พ.ศ.2483 เกิดสงครามอินโดจีน ตอนนั้นฝรั่งเศสอ่อนแอ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงได้เรียกร้องให้มีการปรับปรุงพรมแดนไทย-อินโดจีน อันเป็นผลให้ ไทยได้ 4 จังหวัดฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาครอบครอง



ปีพ.ศ.2487 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เนื่องจากไทยจะต้องปรับตัวเอง มิให้เป็นประเทศแพ้สงคราม จึงต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้น คืนให้แก่ฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง



ปีพ.ศ.2502 รัฐบาลกัมพูชานำด้วยสมเด็จพระนโรดมสีหนุ ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา



พอปีพ.ศ.2505 ศาลโลก ก็มีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา



และครั้นในปีพ.ศ.2550 กัมพูชาได้ยื่นเรื่องต่อองค์การยูเนสโก เสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก




ที่จริง แผนผลักดันเขาพระวิหาร ให้เป็นมรดกโลกนั้น ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2547 ที่คณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา มีมติเห็นชอบให้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่เขาพระวิหาร เพื่อประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว ศึกษาประวัติศาสตร์ และกำหนดให้มีการดำเนินการเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก



แต่มาถึงปีปัจจุบัน ทางรัฐบาลกัมพูชาแอบเสนอชื่อ เขาพระวิหาร เป็นหนึ่งในนอมินี เพื่อรับการพิจารณาเป็นมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ขององค์การยูเนสโก ที่เมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ โดยเสนอให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหาร ที่ตั้งอยู่ในเขตกัมพูชาเท่านั้น ซึ่งทางฝ่ายไทยเห็นว่า การจะเป็นมรดกโลกควรจะมีส่วนอื่นๆในภูมิศาสตร์ของไทย รวมอยู่ด้วย เช่น ปราสาทโดนตวล, บรรณาลัย, สถูปคู่, สระตราว และทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร จึงควรที่จะเสนอร่วมทั้งสองประเทศ ไทยจึงยื่นประท้วงให้เป็นมรดกโลกร่วมกัน



และที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 ให้ไทยและกัมพูชากลับไปทำการตกลงกันให้ได้เสียก่อน พร้อมกับร่วมมือกันจัดทำแผนอนุรักษ์และบริหารจัดการบริเวณปราสาทพระวิหาร แล้วค่อยมาเสนอชื่อขอขึ้นทะเบียนอีกครั้ง ในการประชุมสมัยที่ 32 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2551 ที่ประเทศแคนาดา



แต่เมื่อมีการหารือของสองประเทศ นอกจากไม่มีอะไรคืบหน้าแล้ว ทางกัมพูชายังมีโครงการสร้างถนนจาก จ.พระวิหาร และ จ.กัมปงธม ขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร และยังมีโครงการสร้างกระเช้าขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหาร อีกด้วย









พ.อ.นพดล โชติศิริ นายทหารจากกรมแผนที่ทหาร ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาว่าเกิดขึ้นจากแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ คือเรายึดถือแผนที่กันคนละฉบับ จะเห็นได้ว่าตลอดแนวเขตแดนที่เป็นที่ตั้งของเขาพระวิหาร ยังไม่เคยมีการปักปันเขตแดน เนื่องจากยังหาข้อสรุปไม่ได้ แม้ว่าศาลโลกจะได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้ตัดสินให้เส้นเขตแดนเป็นไปตามแผนที่ของคณะกรรมการปักปันเขตแดนอินโดจีน – สยาม หรือแผนที่ที่ทำขึ้นโดยฝรั่งเศส



ประกอบกับแผนที่ดังกล่าว เขียนสันปันน้ำผิด ฉะนั้นสันปันน้ำตามแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนฯที่บอกไว้ จึงไม่มีปรากฏอยู่ในภูมิประเทศจริง หลังจากศาลโลกพิพากษาไปแล้ว รัฐบาลไทยจึงตัดให้กัมพูชาเฉพาะตัวปราสาทไป แล้วจัดทำรั้วลวดหนามกันพื้นที่ดังกล่าวไว้ ซึ่งทางกัมพูชาก็ยอบรับ ไม่เคยละเมิดดินแดนในรั้วลวดหนามที่ไทยกันไว้ตั้งแต่ปีพ.ศ.2505




คือ ไทยยึดถือแผนที่ ที่เป็นฉบับอัตราส่วน 1:50,000 ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2505 ภายหลังที่ศาลโลกได้ตัดสินให้ไทยแพ้คดี ก็ได้เฉือนเฉพาะส่วนปราสาทเขาพระวิหาร ให้กัมพูชาไปเท่านั้น แต่กัมพูชายึดถือแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นเมื่อครั้งได้ พระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐ ไป ซึ่งกินอาณาบริเวณล้ำเข้ามาในฝ่ายไทย



หากมองกันตามแผนที่ของไทยที่ไทยถืออยู่ หากกัมพูชาเสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงลำพัง โดยไม่รวมเอาโบราณสถานทางฝั่งไทยเข้าไปด้วย เท่ากับว่าแผนที่ของฝ่ายกัมพูชาเป็นที่ยอมรับในหลักสากลทันที ตามกฎของการคุ้มครองมรดกโลก ซึ่งเท่ากับว่า ไทยจะต้องเสียดินแดนเพิ่มอีกประมาณ 1,500 ไร่




เขาพระวิหาร ถ้าจะเรียกตามภาษาเขมรจะเรียกว่า เปรี๊ยะ วิเฮียร์ ภาษาอังกฤษ Phrea vihear















เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2551 ผู้สื่อข่าวจากจังหวัดศรีสะเกษ รายงานว่า ที่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และเป็นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะเอกอัครราชทูตจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศคิวบา, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เวียดนาม, จีน, เกาหลีใต้ และประเทศไนจีเรีย ลงพื้นที่สำรวจอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร , เชิงเขาพระวิหาร และ สระตราว ซึ่งเป็นบริเวณที่มีร่องรอยของการตัดเอาหินขึ้นไปก่อสร้างปราสาทเขาพระวิหาร



โดยมีกำลังทหารพราน จากหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ มาคอยเฝ้ารักษาความปลอดภัย ซึ่งคณะทูตดังกล่าวนี้ ไม่มีใครเดินทางขึ้นไปสำรวจบนประสาทเขาพระวิหารแต่อย่างใด และปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆกับสื่อมวลชน เกี่ยวกับการเดินทางสำรวจพื้นที่เขาพระวิหารในครั้งนี้



นายธฤต จรุงวัฒน์ กล่าวว่า การที่นำคณะทูตจาก 7 ชาติ มาสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเขาพระวิหาร เนื่องจากประเทศไทยจะได้มีโอกาสอธิบายให้คณะทูตเข้าใจประเด็นที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ซึ่งการที่รัฐบาลกัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น ตนเห็นว่าจะเป็นการนำไปสู่การปักปันเขตแดนที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าเป็นของตัวเอง อย่างไรก็ตามประเทศไทยยอมรับว่าปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ตามคำพิพากษาของศาลโลกในปี พ.ศ.2505 แต่พื้นที่โดยรอบเขาพระวิหารนั้น ศาลโลกไม่ได้นำเข้าไปพิจารณาตัดสินด้วย จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธ์ว่า เป็นเขตแดนของตัวเอง



“การที่ฝ่ายกัมพูชาจะให้เขาพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ฝ่ายไทยก็ยินดี แต่อย่างไรก็ตาม ควรให้เกิดผลดีต่อดินแดนที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธ์ ไม่เป็นผลในทางบวกเพียงฝ่ายไดฝ่ายหนึ่ง และควรที่จะมีการเจรจาร่วมกันเพื่อหาทางยุติปัญหานี้โดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่าย เป็นการป้องกันรอยร้าวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้”





หากท่านใดต้องการจะเดินชมรอบๆปราสาทเขาพระวิหาร ผมขอเชิญเดินร่วมไปกับทหารนะครับ ..เพราะผมเองเคยไปที่นี่แค่ครั้งเดียว แถมไปเมื่อหลายปีก่อน(ไปกับเพื่อนที่ทำงาน) ..ณ วันนี้ สภาพของที่นี่คงจะเปลี่ยนไปมากแล้ว จึงไม่ถนัดที่จะเป็นไกด์นำชม เชิญครับเชิญทางนี้ คลิกได้เลย...ทหารจะพาทัวร์





รูปข้างล่างนี้ นำมาจากเว๊ปอื่น








































ตัวผมเมื่อหลายปีก่อน วันที่เดินเข้าไปชม วันนั้นแดดร้อนมากๆ เพราะเข้าไปชมในช่วงปลายเดือนเมษายน เรื่องเดินขึ้นบันไดหลายกิโลนี่ ไม่ค่อยเท่าไหร่ สู้ได้ บ่ยั่น ..แต่วันนั้นสวมเสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงยีนส์ หมวกก็ไม่มี ...โห แดดเปรี้ยงตรงหัว เหงื่อโชกเลย เดินกลางแดดราวๆ3 ชั่วโมง ขาลงมาเนี่ย รีบหาน้ำดื่มสะอาดแบบชนิดขวดลิตรกระดกเข้าปากแบบอึ๊กอึ๊กอึ๊กไม่ยั้ง ผิวที่แขนนี่เกรียมแดด ชนิดแสบเทียวละ อุอุอุ




การเข้าชม เปิดให้เข้าได้ทุกวัน ไม่มีวันหยุด เวลา 08.00น. – 16.30 น. ค่าเข้าชม ต้องเสียค่าธรรมเนียมสองด่าน คือด่านเขาพระวิหารของไทย ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท กับค่าเข้าชมเขาพระวิหารที่เป็นด่านของกัมพูชา ชาวไทย 50 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท.















โดย yyswim









 

Create Date : 01 เมษายน 2551    
Last Update : 1 เมษายน 2551 0:02:18 น.
Counter : 7352 Pageviews.  

คลิปวีดิโอ









คลิปวีดิโอ




บล็อกวันนี้ ขอเชิญชวนดูคลิปวีดิโอ...



#1 Goldfish Parade


ปลาทองตัวเล็กๆ สัญชาติญี่ปุ่น ว่ายน้ำท่าทางแปลกดี


ความยาว 0.56 นาที










#2 Man vs Woman


ฝรั่งเขาเปรียบเทียบชายกับหญิง


ความยาว 5.28 นาที










#3 Bruno bozzetto Neuro


ตึกหนึ่งในนครใหญ่ ในยามดึก มีความขัดแย้งก้าวร้าว


ความยาว 2.42 นาที











#4 Icon War


สงครามของไอคอน บนเดสค์ทอป


ความยาว 1.08 นาที










เชื่อหรือไม่ ทุกคนมีสัญชาติญาณก้าวร้าว




ความก้าวร้าวเป็นสัญชาติญานของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่เกิด เด็กทารกจะเม้มหัวนมของมารดาโดยไม่มีใครสอน หากได้นมจากมารดาน้อยเกินไป เด็กเล็กเมื่อไม่ได้อะไรดังใจ จะโกรธจะพยายามใช้กำลังหรือขว้างปาสิ่งของ



แต่ความก้าวร้าวนี่แหละ ที่ทำให้มนุษย์หาทางรอดจากปัญหาและอันตรายต่างๆ



ในยุคแรกๆ การกระทำบางอย่างของมนุษย์ จะดูคล้ายๆกับสัตว์ อย่างเมื่อหิวก็จะล่าสัตว์มากิน เมื่อเจ็บป่วยก็จะเสาะหาพืชมากินเพื่อรักษาตัว ใช่เลย เป็นสัญชาติญาณการต่อสู้และการเอาตัวรอดของสัตว์นั่นเอง สัตว์มีอยู่และมีมาตั้งแต่เกิด เหมือนที่มนุษย์มีเหมือนกัน



ความก้าวร้าว จึงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ ไม่ดี ไปซะทีเดียว



อาชีพบางอาชีพ อาจจะต้องแฝงด้วยความก้าวร้าวเล็กๆ จึงจะทำให้อาชีพนั้นก้าวหน้าขึ้นได้ ถ้าขาดซึ่งความกล้า ขาดซึ่งการคิดแปลกแตกต่างจากผู้อื่น รับรองว่าไม่รุ่งแน่นอน อย่าง ตำรวจ งี้ ..นักกีฬาระดับโลก งี้ .. นักไต่เขา งี้ ..นักออกแบบแฟชั่น งี้.



และหลายคนคงจะมองเห็นถึงความสวยงามของการยอมตามด้วย อย่างคลิปวีดิโอที่ 1 Goldfish Parade เป็นความสามัคคีที่สวยงามมีพลัง



ซึ่งในหลายๆโอกาส รวมทั้งในบางอาชีพ การทำตัวอยู่ในกรอบและความมีวินัย จะเหมาะสม จะก้าวหน้า และจะอยู่รอดมากกว่า



ด้วยว่าความสามัคคีนั้นสร้างพลัง ทำอะไรพร้อมกันจะสวยงาม และสามารถบริหารจัดการได้ง่าย ..ทหาร เป็นตัวอย่าง ..กองเชียร์ เป็นตัวอย่าง ..และพายเรือยาว เป็นตัวอย่าง



หรือ อย่างความมีวินัยในกฎจราจร การเชื่อฟังคุณหมอเมื่อช่วยตนเองไม่ได้ การเชื่อฟังหน่วยบรรเทาสาธารณภัยเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น เหล่านี้ล้วนจะราบรื่นก้าวหน้า หากทุกคนไม่คิดออกนอกกรอบ ทำตัวว่านอนสอนง่าย อย่างปลาทองสี่ตัว




แต่ ความก้าวร้าวที่ขยายตัว เป็นความรุนแรง อย่างคลิปวีดิโอที่ 3 และที่ 4 นั้น เกิดขึ้นจากสาเหตุของ นิสัยความเคยชินที่ได้เคยทำแบบนั้นบ่อยๆ การขาดการติดต่อสังสรรค์กับผู้อื่น รวมทั้งการขาดสติขาดความยับยั้งชั่งใจของตนเอง



เป็นความก้าวร้าวรุนแรงแบบสุดกู่ ที่ทุกท่านไม่ควรจะลอกเลียนแบบแต่อย่างใด



แม้สังคมในนครใหญ่ จะทำให้ไม่มีเวลาสังสรรค์กับผู้อื่น หรือผู้อื่นไม่อยากจะสังสรรค์กับตน แต่หากมีสติ ใจเย็น และให้อภัยต่อกัน ..เรื่องร้ายรุนแรงก็จะไม่เกิดขึ้น



การกระทบกระทั่งจนแตกร้าว ก็เหมือนกับการแตกร้าวของถ้วยแก้ว เราไม่อาจหาน้ำยาใดๆมาประสานรอยแตกร้าวของถ้วยแก้ว ให้เรียบสนิทดีดังเดิมได้



น้ำยาที่ดีที่สุด คือการมีสติ ป้องกันไม่ให้เกิดการแตกร้าว



ขอขอบคุณที่ติดตาม



yyswim


yyswim@hotmail.com





 

Create Date : 29 มีนาคม 2551    
Last Update : 7 กรกฎาคม 2553 3:51:19 น.
Counter : 2849 Pageviews.  

คำคม



คำคม




วันนี้มีคำคม




1. ส้มตำ ตำดีได้ดี ตำชั่วได้ชั่ว


2. คนฉลาด ต้องรู้จักจ้างคนฉลาดกว่า มาเป็นลูกจ้าง


3. วิธีท้าทายคนจบการศึกษาดีๆให้ทำงาน คือพูดท้าทายว่า “ผมว่าคุณทำไม่ได้”


4. ลิ้นอ่อนนุ่ม ยังคงอยู่ ..ฟันแข็งกระด้าง มักร่วงก่อน


5. คำพูดที่ออกจากปาก ควรจำกัด ..อาหารที่จะเข้าปาก ก็ควรจำกัด


6. เนื้อดีกว่าหนัง ..ฟังดีกว่าพูด


7. ฟันผุ สมาชิกเลว เนื้องอก ..ควรนำออกให้หมด


8. ถ้าท่านไม่รู้จักเก็บลิ้น ลิ้นก็จะเก็บท่าน


9. อยากรู้ว่าบ้านไหนพูดอย่างไร จงฟังเด็กๆบ้านนั้นพูด


10. ลูกหนี้ คนค้าขาย ชายเจ้าชู้ ..มักพูดเท็จ












































11. ดีน้อยๆและทำได้ ดีกว่าดีที่สุดแต่ไม่ได้ทำ


12. มีความดี รักษาไว้ จะอยู่ยั่งยืน ..มีความสวย รักษาไว้ อยู่ยั่งยืนไม่ได้


13. ความดี หยิบยื่นให้กันไม่ได้ ..ใครอยากเป็นคนดี ต้องทำความดีเอาเอง


14. การขอให้ยกโทษภายหลัง ทำได้ยากกว่าการขออนุญาตก่อนทำ


15. คนที่อบรมได้ยากที่สุด คือเจ้านาย


16. ไม่รับของเขาก็ได้ เมื่อให้เขา ..แต่ไม่ให้เขาไม่ได้ เมื่อรับจากเขา


17. คนจะไม่ก้าวหน้า หากมี ..หนี้สินรุงรัง นายชัง เมีย(ผัวชั่ว) โรคร้ายติดตัว


18. อย่าทำความชั่ว เพราะคิดว่าผิดแค่นิดเดียว ..อย่าละเว้นทำความดี เพราะคิดว่าได้บุญกุศลนิดเดียว


19. หมั่นนึกถึงความผิด เพื่อจะได้คิดแก้ไข หมั่นนึกถึงความดี เพื่อจะได้มีกำลังใจ


20. ถ้าหลังเราตรงแล้ว ก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะคด













































21. ถ้าต้องการน้ำชาร้อนๆภายในถ้วย ต้องยอมสละน้ำชาเย็นๆภายในถ้วย


22. ถ้าท่านเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ท่านก็จะมีเพื่อนบ้านที่ดี


23. ความกลัวที่จะคิดแตกต่าง นี่แหละที่เราควรกลัว


24. ช่าง ที่เราควรจะเป็น คือช่างซักช่างถาม


25. บาปมหันต์ที่เราทำกับผู้อื่น คือเราทำให้เขาเสียความมั่นใจ


26. ไม่ต้องอายที่เป็นคนจน แต่ควรอายที่เป็นคนเลว


27. เราปรับเปลี่ยนทิศทางลมไม่ได้ แต่เราปรับเปลี่ยนใบเรือได้


28. ไฟใช้ทดสอบทอง ความทุกข์ยากใช้ทดสอบมิตร ความเจ็บไข้ใช้ทดสอบลูกหลาน


29. ทรัพย์จะเสื่อม เพราะใช้จ่ายไม่ถูกทาง มิตรจะเสื่อม เพราะมีความเอื้อเฟื้อต่อกันน้อย ความเคารพนับถือจะเสื่อม เพราะต่ำต้อยในคุณงามความดี


30. เงินทองจะตามไปส่งคนได้ อย่างไกลแค่เตียงพยาบาล ญาติมิตรสหายจะตามไปส่งคนได้ อย่างไกลแค่ป่าช้าเชิงตะกอน ความดีจะตามเราไปทุกที่ที่มีคนเอ่ยถึง ทั้งชาตินี้ชาติหน้า














































ดอกไม้สวย คำคมงาม ...



เราใช้ดอกไม้เพื่อประโยชน์ในงานมากมายหลายอย่าง ทั้งงานเปิดตัวสินค้า งานเปิดป้ายอาคารใหม่ งานเปิดพิธีการต่างๆ หรืองานแต่งงาน และงานศพ ..เราต่างมอบดอกไม้ให้เป็นกำลังใจแก่ผู้อื่นให้เขาหายป่วย เป็นสัญลักษณ์ของความรักของคู่รัก เป็นการแสดงความยินดีเมื่อผู้อื่นรับปริญญาหรือได้เลื่อนตำแหน่งหรือมีลูกคนใหม่ และนำไปวัดเพื่อทำบุญ



ดอกไม้ที่ใช้ ก็จะใช้แตกต่างกัน



คำคมที่งดงามก็เช่นเดียวกับดอกไม้ ..คนฉลาดจะนำไปใช้ในงานได้มากมายหลายอย่าง และนำไปใช้ในงานแต่ละกิจกรรม แต่ละสถานที่ แต่ละเวลา จะใช้แตกต่างกัน ..จะไม่ใช้เพียงคำคมเดียว ในทุกกาลเทศะ



เปรียบไปก็เช่นเดียวกับยาที่หมอจัดให้ ..ในแต่ละโรคในแต่ละคนจะใช้แตกต่างกัน






บล๊อกวันนี้ ผมขอชักชวนให้ใช้ดอกไม้และคำคมเพื่อความเจริญก้าวหน้าอย่างเหมาะสมครับ








โดย yyswim






 

Create Date : 24 มีนาคม 2551    
Last Update : 24 มีนาคม 2551 16:37:59 น.
Counter : 4832 Pageviews.  

สอนกีฬาฟรี


สอนกีฬาฟรี





สอนกีฬาฟรีหลายชนิด



สอนฟุตบอลฟรี สอนบาสเกตบอลฟรี สอนเทนนิสฟรี สอนแบดมินตันฟรี สอนเทเบิลเทนนิสฟรี สอนสควอชฟรี สอนว่ายน้ำฟรี สอนมวยไทยฟรี สอนมวยสากลฟรี สอนยูโดฟรี สอนคาราเต้ฟรี สอนยกน้ำหนักฟรี สอนเพาะกายฟรี สอนโยคะฟรี สอนลีลาศฟรี และอีกมาก



อยากเรียนอะไรดีล่ะ...



หรืออยากจะเรียนการเป็นพ่อบ้านแม่เรือน หรือเรียนไปเพื่อเป็นพื้นฐานอาชีพ หรือเรียนไปก่อนจะเดินทางไปนอก



มี สอนทำอาหารเพื่อสุขภาพฟรี สอนเย็บปักถักร้อยฟรี สอนวาดภาพฟรี สอนพัฒนาบุคลิกภาพฟรี สอนภาษาอังกฤษฟรี สอนแจ๊สแดนซ์ฟรี สอนบัลเล่ต์ฟรี สอนไวโอลินฟรี สอนเปียโนฟรี สอนกีต้าร์โปร่งฟรี สอนกีต้าร์เบสฟรี สอนกลองฟรี สอนดนตรีไทยฟรี สอนรำไทยฟรี ...โอ๊ยเหนื่อย ยังมีสอนอีกเยอะ




สอนโดยผู้ชำนาญการ บางคนจบปริญญา ทั้งนี้เป็นการสอนให้ฟรี โดยผู้สอนได้รับเงินค่าสอนจากทางกทม.แล้ว



ใช่ครับ.. โครงการนี้สอนกันในกรุงเทพ เป็นโครงการของกรุงเทพมหานคร จัดการสอนให้ฟรีแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป ที่ศูนย์กีฬาและศูนย์เยาวชนซึ่งมีกระจายตัวอยู่ ณ หลายเขตทั่วกรุงเทพ




มีการสอนแบบนี้ตลอดทั้งปี รุ่นหนึ่งๆก็มีระยะเวลาเรียน ประมาณ 3 เดือน โดยกำหนดไว้อย่างนี้(เข้าเรียนในช่วงกลางคันไม่ได้ครับ)



รุ่นที่ 1 ต.ค. – ธ.ค. 2550 วันปฐมนิเทศ วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2550


รุ่นที่ 2 ม.ค. – มี.ค. 2551 วันปฐมนิเทศ วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2551


รุ่นที่ 3 เม.ย. – มิ.ย. 2551 วันปฐมนิเทศ วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551


รุ่นที่ 4 ก.ค. – ก.ย. 2551 วันปฐมนิเทศ วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2551




บางท่านอาจจะแปลกใจว่า รุ่นที่ 1 ทำไมไม่เริ่มในเดือนมกราคม ..คือ งี้ ทางราชการจะนับเวลาตามปีงบประมาณ ..ปีงบประมาณพ.ศ. 2551 เริ่มในเดือนตุลาคม 2550 และจะไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2551




การเขียนบล็อกวันนี้ ขอเป็นการเชิญชวนทุกท่านไปเข้าเรียนกีฬาฟรี ในรุ่นที่ 3 คือ ..เดือนเมษายน – มิถุนายน 2551 แต่จะต้องเข้าปฐมนิเทศในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เสียก่อนครับ เพื่อจะได้นัดแนะถึงอุปกรณ์การเรียน วันเวลาที่จะเรียน กรุ๊ปที่จะเรียน และกติกาที่จะเรียนด้วยกัน



อนึ่ง 1. ช่วงเวลาในการจัดการสอน จะขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในวันปฐมนิเทศเป็นสำคัญ



2. ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมการปฐมนิเทศ ในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 นี้จะถือว่าท่านสละสิทธ์ในการเรียน ..กิจกรรมแอโรบิก กิจกรรมสนามเด็กเล่น สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ โดยไม่ต้องปฐมนิเทศ



3. เด็กอายุ 5 -7 ปี สามารถสมัครเรียนในบางกิจกรรมได้ เช่น ว่ายน้ำ ลีลาศ ขับร้อง นาฎศิลป์ ศิลป คหกรรม และภาษาอังกฤษ



4. การจัดการสอนจะจัดเป็นกลุ่มๆละ 20 คน ยกเว้นว่ายน้ำและยกน้ำหนัก สอนกลุ่มละไม่เกิน 10 คน



5. กิจกรรมใดมีผู้สมัครเรียนไม่ครบตามจำนวน อาจจะสงวนสิทธิ์ในการสอน



6. อุปกรณ์เฉพาะตัว หรือวัสดุสิ้นเปลือง ผู้เรียนจะต้องจัดหามาเอง




ผมอยากบอกว่าในช่วงนี้ เหมาะเลย ..เพราะเป็นช่วงที่เด็กปิดเทอม ลูกๆหลานๆว่างจากการเรียน และเป็นหน้าร้อนพอดี งั้น ..ไปลงสระกันเถิด ไม่ต้องไปทะเลหน้าร้อน สระว่ายน้ำที่นี่มีมุงหลังคาให้ครึ่งหนึ่งด้วย ..หรือไปอยู่ในห้องแอร์ เรียนเปียโน เรียนขิมกันเถิด ..หรือไปเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเพิ่มพูนทักษะกันเถิด …ไปเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น รู้วิธีการเล่นกีฬาที่ถูกต้อง ได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ได้เพื่อนกลุ่มใหม่ ได้เปลี่ยนบรรยากาศใหม่ และยังเป็นการเรียนที่ไม่ต้องจ่ายเงินอีกด้วย



















บล็อกเรื่องนี้ ผมนำข้อมูลมาจากศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย – ญี่ปุ่น) ..บางศูนย์เยาวชนและบางศูนย์กีฬา อาจจะมีจำนวนกีฬาที่จะสอนแตกต่างไปจากนี้เล็กน้อย ..เพราะที่นี่เป็นศูนย์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพ ใหญ่แบบมีฐานะระดับกองๆหนึ่งของกรุงเทพมหานครทีเดียว ..จึงได้รับงบประมาณมาก และสามารถเลือกครูผู้สอนระดับที่มีความชำนาญเฉพาะอย่างเข้ามาสอนได้ ..หากสังเกตจำนวนอาคารสถานที่ของที่นี่ ก็จะมีมากกว่าศูนย์เยาวชนและศูนย์กีฬาอื่นๆ



การจะเข้าเรียนฟรีได้ จะต้องสมัครเป็นสมาชิกของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทยญี่ปุ่น)เสียก่อน ..ก้อตามระเบียบการของทุกศูนย์เยาวชนและศูนย์กีฬา ...การสมัครเป็นสมาชิกทำได้สะดวกไม่ยากเลย แค่ประมาณ 10 นาทีก็เสร็จแล้ว



แต่จะใช้ได้กับศูนย์เยาวชนกรุงเทพ(ไทย – ญี่ปุ่น) ที่ดินแดงเท่านั้น จะนำไปใช้กับศูนย์เยาวชนอื่นและศูนย์กีฬาอื่น แม้จะเป็นในสังกัดกรุงเทพมหานครไม่ได้ครับ เพราะศูนย์เยาวชนและศูนย์กีฬาต่างๆยังไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลเดียวกันและยังไม่ได้ออนไลน์ถึงกัน ..ทำให้แต่ละศูนย์เยาวชนและศูนย์กีฬายังต้องการหลักฐานของสมาชิกของตนเก็บเอาไว้ ..แต่ในอนาคตอาจจะมีการทำงานที่ก้าวหน้ากว่านี้



ผู้ที่จะสมัครสมาชิกศูนย์ฯ แทบจะไม่จำกัดอายุ ..คือสมัครได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบขึ้นไป จนถึง 70 - 80 ปี ก็ยังมี เพียงแต่เรียกระดับผู้หลักผู้ใหญ่ว่าสมาชิกทั่วไป ไม่ใช่สมาชิกเยาวชน



หลักฐานการสมัคร มี 1. รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว 2 รูป (รูปหนึ่งติดที่บัตร อีกรูปหนึ่งจัดเก็บเป็นหลักฐานที่ศูนย์ฯ) 2. บัตรประจำตัวประชาชน และ 3. เงินค่าสมัคร อายุ 5-18 ปี 10 บาทต่อปี, อายุ 19-24 ปี 20 บาทต่อปี, อายุ 25 ปีขึ้นไป 40 บาทต่อปี ..โฮะโฮะโฮะ จ่ายถูกมาก



สำหรับ เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งยังไม่มีบัตรประชาชน ขอให้ใช้ทะเบียนบ้านแทน และหากเลือกจะเรียนว่ายน้ำ จะต้องนำใบรับรองแพทย์ไปด้วย ..เพราะเป็นระเบียบการการใช้สระว่ายน้ำทั่วไป ที่จะต้องมีใบรับรองแพทย์ไปแสดงเมื่อจะสมัครว่ายน้ำหรือเรียนว่ายน้ำ



ค่าใช้สระว่ายน้ำ ..อายุ 5-18 ปี 5 บาทต่อรอบ ..อายุ 19-24 ปี 10 บาทต่อรอบ ..อายุ 25 ปีขึ้นไป 15 บาทต่อรอบ (1 รอบ ใช้เวลา 1 1/2 ชั่วโมง) ค่าคอร์ตเทนนิส ชั่วโมงละ 35 บาท ..ค่าคอร์ตแบดมินตัน ชั่วโมงละ 25 บาท




สนามซ้อมฟุตบอล












สนามบาสเกตบอล






สนามเทนนิส









สนามตะกร้อ






สระว่ายน้ำ












คำถามจากทางบ้าน


ถาม : เทนนิสมีเรียนวันอาทิตย์รึเปล่าคะ หรืออะไรที่สามารถเรียนในวันอาทิตย์ได้บ้าง

จาก คุณนักเรียนเก่า


ตอบ : ศูนย์ขอแนะนำดังนี้ ส่วนใหญ่การเรียนจะแบ่งเป็นกลุ่ม เรียนสัปดาห์ละประมาณ 2 วัน หากคุณจะเลือกเรียนวันอาทิตย์วันเดียว เกรงว่าจะไม่ต่อเนื่องและไม่เห็นผล แต่หากคุณมีความจำเป็นเรื่องของเวลา สามารถปรึกษากับอาจารย์ผู้สอนในแต่ละกิจกรรมในวันปฐมนิเทศได้




ถาม : อยากทราบว่าเรียนกลอง สมัครเรียนได้ตั้งแต่อายุกี่ขวบคะ ลูกชายอยากเรียนมากคะ

จาก คุณfai


ตอบ : เรียนกลอง อายุตั้งแต่ 8 ขวบขึ้นไป ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน กลองที่สอนจะเป็นกลองดนตรีสากล




ถาม : อยากจะเรียน ไอคิโดค่ะ เริ่มต้นสอนเมื่อไหร่คะ แล้วดิฉันอยากจะเรียนไวโอลินด้วย สามารถเลือกเรียนกิจกรรมได้ 2 อย่างรึเปล่าคะ หรือสามารถเลือกได้แค่กิจกรรมเดียว แล้วดิฉันอยากจะทราบวันเวลาในการเรียนไอคิโดและไวโอลินด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

จาก คุณrain


ตอบ : กิจกรรมการสอนทุกประเภท(รวมถึงไอกิโด และไวโอลิน)จะจัดให้มีการปฐมนิเทศเพื่อแบ่งกลุ่มเรียน และให้สมาชิกเลือกกิจรรม โดยจัดในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เวลา 14.00 น. ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สำหรับการเลือกกิจกรรม หากเวลาเรียนไม่ตรงกัน คุณสามารถเลือกเรียนได้หลายกิจกรรม ซึ่งวันและเวลาเรียน จะได้ทราบในวันปฐมนิเทศโดยอาจารย์ผู้สอน




ถาม : สนใจจะเรียนไวโอลินที่นี่นะค่ะ เริ่มเรียนวันไหน และลงทะเบียนวันไหน ขอรายละเอียดด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

จาก คุณBow


ตอบ : ไวโอลิน เรียนวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 17.00 - 20.00 น. เรียนโดยไม่เสียค่าผู้ฝึกสอน สมัครเรียนด้วยการสมัครเป็นสมาชิกศูนย์เยาวชนก่อนวันปฐมนิเทศ และเข้าร่วมการปฐมนิเทศ ในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เวลา 14.00 น. ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สำหรับวันและเวลาเรียนของแต่ละบุคคลจะได้ทราบในวันปฐมนิเทศ




ถาม : อยากทราบว่าปิดเทอมปีนี้ มีกิจกรรมสำหรับเด็กอะไรบ้าง เริ่มรับสมัครเมื่อไร และเริ่มเรียนวันไหนถึงวันไหนกันบ้าง?

จาก คุณเอ


ตอบ : กิจกรรมที่เปิดสอนมีให้เลือกกว่า 30 ประเภท เปิดสอนฟรี โดยไม่เสียค่าผู้ฝึกสอน โดยสามารถลงชื่อเรียน และทราบตารางเรียน ในวันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม 2551 เวลา 14.00 น. ณ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สามารถสมัครเป็นสมาชิกล่วงหน้าก่อนวันปฐมนิเทศ





สองรูปข้างล่างนี้ นับว่าน่าสนใจมาก ..

เป็นกำหนดการการสอนอย่างคร่าวๆ ของกิจกรรมทุกอย่างที่มีการสอนอยู่ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ พร้อมชื่ออาจารย์และเบอร์ติดต่อ



กดดูภาพขยายได้ที่นี่





กดดูภาพขยายได้ที่นี่







เวทีการแสดงกลางแจ้ง









แนะนำศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น)



ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เป็นของขวัญที่รัฐบาลญี่ปุ่นมอบให้รัฐบาลไทย เนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เมื่อเดือนเมษายน 2525



โดยคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้น(สมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี) มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างศูนย์เยาวชนขึ้น ในบริเวณสนามกีฬาดินแดงของกรุงเทพมหานคร ..ทั้งนี้ได้มีการลงนามในสัญญาข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2522 มี ฯพณฯ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเป็นผู้แทนรัฐบาลญี่ปุ่น และ มีอธิบดีกรมวิเทศสหการ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย



และ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) อย่างเป็นทางการ ในวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2525



ทุกวันที่ 3 เมษายน ของทุกปี ..จะถือเป็นวาระครบรอบปี การถือกำเนิดของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นศูนย์กีฬาที่ใหญ่ที่สุดที่ให้บริการกีฬาและนันทนาการสำหรับเด็ก เยาวชน และประชาชน ในกรุงเทพมหานคร





ตัวอาคารสถานที่ ..ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) มี


สนามกีฬา : ประกอบด้วย สนามฟุตบอล พร้อมลู่วิ่งมาตรฐาน อัฒจันทร์จุผู้ชมได้ 6,400 คน ..สนามเทนนิส 5 สนาม พร้อมน็อคบอร์ด ..สนามวอลเล่ย์บอล สนามบาสเกตบอล สนามตะกร้อ อย่างละ 1 สนาม ..สนามสควอช 4 สนาม ..สนามฝึกซ้อมฟุตบอล 4 สนาม ..สนามเปตอง 4 สนาม ..และสระว่ายน้ำ ขนาดมาตรฐาน 25 x 50 เมตร อัฒจันทร์จุผู้ชมได้ 800 คน




อาคารกีฬาเวสน์1 : เป็น อาคารเอนกประสงค์ใช้ในการซ้อมและแข่งขันกีฬาในร่มทุกประเภท เช่น แบดมินตัน เทควันโด้ โยคะ เป็นต้น ..จัดกิจกรรมนันทนาการต่างๆ จัดประชุมสัมมนาต่างๆ มีอัฒจันทร์จุผู้ชมได้ 3,800 คน ชั้นใต้ดินสามารถจอดรถยนต์ได้ 120 คัน



อาคารกีฬาเวสน์ 2 : เป็นอาคารเอนกประสงค์ ใช้งานเช่นเดียวกับอาคารกีฬาเวสน์ 1 เช่น สอนลีลาศ สอนกีต้าร์ สอนกลอง เป็นต้น มีอัฒจันทร์จุผู้ชมได้ 1,300 คน



อาคารที่ทำการ : ประกอบด้วย ที่ทำการสำนักงาน ห้องจัดกิจกรรมทั้งด้านกีฬา นันทนาการ เช่น มวยไทย มวยสากล ยกน้ำหนัก เพาะกาย เทเบิลเทนนิส ตลอดจน การปรุงอาหาร เย็บปักถักร้อย และห้องสมุด เป็นต้น ... มี เวทีการแสดงกลางแจ้ง จุผู้ชมได้ 500 คน





หากจะประมวลกิจกรรมของศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) จะมีกิจกรรมที่ทำอยู่ 2 ประเภท คือ กิจกรรมพื้นฐาน และ กิจกรรมพิเศษ



กิจกรรมพื้นฐาน มี 8 ด้าน ประกอบด้วย

• พลศึกษา

• คหกรรม

• นาฏศิลป์และดนตรี

• ศิลปะ

• แอโรบิค

• พัฒนาบุคลิกภาพ(สอนภาวะผู้นำ สอนมารยาทไทย สอนภาษาอังกฤษ)

• ประกวดกิจกรรมของศูนย์(จัดการแข่งขันผลงานระหว่างสมาชิกภายในศูนย์)

• ลานชีวิตใหม่ในวันหยุด(เล่นเกมส์ สังสรรค์ระหว่างสมาชิกกับครอบครัว และการประกอบอาหาร)




ด้านกิจกรรมพิเศษ

• จัดกิจกรรมวันเด็ก(ปีนี้มีเด็กเข้าร่วมกิจกรรมประมาณ 3,000 คน)

• ทัศนศึกษา

• ค่ายศูนย์เยาวชน (จัดค่ายสิ่งแวดล้อมตอนปิดเทอม ทั้งแบบไปกลับและแบบค้างคืน มีผู้เข้าร่วมค่ายประมาณ 500 คน)

• โรงละครแห่งการเรียนรู้ (จัดฉายภาพยนตร์การ์ตูน ภาพยนตร์สารคดี และการตอบปัญหาชิงรางวัล)

• โครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นกรุงเทพมหานคร(คัดเลือกเยาวชนจากผลงานตลอดปี)




สนามเด็กเล่น..บางอุปกรณ์เล่นสนุกได้ทั้งครอบครัว








ชิ้นนี้ เหมาะกับการออกกำลังกายข้อมือ





ป้ายแนะนำวิธีเล่น





ชิ้นนี้เหมาะกับผู้ใหญ่หน่อย ไม่ใช่เด็กอย่างในรูป





ป้ายแนะนำวิธีเล่น มีภาพประกอบด้วย





โยกเยกเอย ..โยกเยกเอย..ชิ้นนี้เหมาะกับเด็กเล็ก และเล่นคนเดียว





ชิ้นนี้คล้ายกรรเชียงบก(ชิ้นที่อยู่ซ้ายมือ) เล่นกันสองคน ผลัดกันโยกหน้าหลังไปมา





ชิ้นนี้ไว้ฝึกโหนเชือกแล้วปีนป่าย





มีอะไร น๊า





มองอะไร ค้า





อ๋อ เล่นอย่างงี้





เอิ๊กเอิ๊กเอิ๊ก เอาอีกรอบ









ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย-ญี่ปุ่น) เป็นส่วนงานราชการ ระดับกอง สังกัดสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ของกรุงเทพมหานคร ..อยู่เลขที่ 2 ถนนมิตรไมตรี แขวง - เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400 (ติดกับกระทรวงแรงงาน) โทร: 0 2245 4743-7



การเดินทาง


หากขับรถ มาจากแยก อ.ส.ม.ท. ผ่านแยก ประชาสงเคราะห์ ไปกลับรถ ณ จุดเดียวกับจุดเลี้ยวขวาไปถนนวิภาวดี กลับรถแล้ว ขับอีกราว 10 เมตร ก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมิตรไมตรี(ปากทางเข้าเป็นธนาคารออมสิน) เมื่อขับรถเข้าไป จะขับผ่านกระทรวงแรงงานอยู่ทางขวามือ มองทางขวามือไปอีกหน่อย ก็จะเห็นรั้วคอนกรีต เป็นลักษณะเสาตั้งๆ ...ใช่แล้ว นั่นละศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร ขับไปอีกราว 20 เมตรก็จะถึงประตูเข้า เป็นประตูที่ 3 เลี้ยวขวาเข้าไปเลย (จะมียามตรงประตู ถามเขาได้) ไปจอดรถ ณ ที่จอดรถใต้ดิน อาคารกีฬาเวสน์ 1 เป็นอาคารแรกใกล้ประตูเข้า มีที่จอดรถราว 120 คัน



หากขับรถ มาจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เส้นทางที่ง่ายหน่อยแต่ต้องอ้อม คือ ขับรถไปทางแยก อ.ส.ม.ท. โดยเมื่อขับไปถึงสามเหลี่ยมดินแดง หรือจุดที่จะลงอุโมงค์แต่ไม่ต้องลงอุโมงค์ ให้เลี้ยวซ้ายขับอ้อมไปทางวิภาวดี ไปกลับรถที่ใต้แยกสุทธิสาร แล้ววกกลับมาใหม่ เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนมิตรไมตรี ..จะมีวิธีเข้าได้สองทาง วิธีหนึ่งคือเลี้ยวซ้ายเมื่อพ้นปั๊มเชลล์ ซึ่งจะเป็นถนนจะตรงไปผ่าน ส.น.ดินแดงและโรงบำบัดน้ำเสีย(ไม่รู้ชื่อถนนว่าอะไร ..ขออภัย) แต่ไปแค่ 10 เมตร ก็จะเลี้ยวขวาอีกที นั่นก็คือถนนมิตรไมตรีนั่นเอง ..อีกวิธีหนึ่งก็คือขับจนถึงสิ้นถนนวิภาวดี แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนดินแดง ขับไปเพียง 10 เมตรอีกเช่นกัน ก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนมิตรไมตรี(แบบที่ได้อธิบายไว้ข้างบน)



หากท่านจะเรียกแท็กซี่ ก็บอกแท็กซี่ว่า ไปสนามกีฬาไทยญี่ปุ่น ดินแดง แท็กซี่ส่วนใหญ่จะชำนาญเส้นทาง มักจะไปถูกทั้งนั้น ...แล้วเมื่อไปครั้งหน้า ค่อยขับรถตัวเองไปก็ได้



หรือท่านที่ประสงค์จะไปโดยรถประจำทาง มีรถประจำทางผ่าน เช่น


สาย 12, 13, 24, 36, 54, 73, 98, 204, ปอ. 12, ปอ. 36, ปอ. 73, เป็นต้น ...อาจจะมีรถประจำทางมากกว่านี้ ผมขออภัยที่ไม่ค่อยชำนาญ





ตบท้ายบล็อกวันนี้ด้วยบรรยากาศภายในศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร(ไทย –ญี่ปุ่น) สถานที่ออกกำลังกายและพักผ่อนของครอบครัวชาวกรุงเทพ





















สวัสดีครับ








โดย yyswim






 

Create Date : 19 มีนาคม 2551    
Last Update : 20 มีนาคม 2551 17:46:12 น.
Counter : 38343 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  

yyswim
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]





บล็อกสรรสาระนี้ จขบ.ไม่ได้เขียน-ไม่ได้ถ่ายภาพ-ไม่ได้อัพโหลดคลิปเอง หากแต่ทำหน้าที่เป็นบรรณาธิการบล็อก เสาะหาเรื่องดีๆ รูปสวยๆ คลิปแปลกๆ มาไว้ในบล็อก


ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยม ขอเชิญชมหรืออ่านตามสบาย ไม่ต้องคอมเมนต์ก็ได้ จขบ.ชอบการเข้ามาเยี่ยม แบบกันเอง ง่ายๆ สบายๆ




เริ่มเขียนBlog เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2548


เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2550 เวลา 23.30 น.


เริ่มนับจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชม




Latest Blogs

New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add yyswim's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.