น้ำตกของไทย
น้ำตกของไทย
ททท. ได้รวบรวมรายชื่อ 10 ยอดน้ำตกงดงามของเมืองไทยเอาไว้ ...ผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว น่าที่จะหาโอกาสไปเยือนน้ำตก อันซีนของเมืองไทย เหล่านี้ดูบ้าง ....เพราะมีความสวยงามไม่แพ้ น้ำตกของต่างประเทศ
ผมขอหมายเหตุเอาไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น เปิดม่าน ว่า
ข้อมูลที่เขียนในวันนี้ ได้มาจากการค้นคว้านะครับ ...ไม่ใช่ได้มา จากการที่ผมไปเที่ยวน้ำตกด้วยตัวเอง ภาพทุกภาพก็เป็นฝีมือถ่ายภาพ ของผู้อื่นทั้งสิ้น
ผมนำมาจากเว๊ปสาธารณะทั่วไป จนจำไม่ได้แล้วว่า ภาพไหนนำมาจากเว๊ปอะไร เพื่อนๆลองสังเกตข้อความที่ติดมากับภาพนั้นๆนะครับ อาจจะมีชื่อเจ้าของภาพหรือชื่อเว๊ปของเขาติดอยู่
ผมขอขอบพระคุณเจ้าของข้อมูลและเจ้าของภาพทุกท่าน ไว้ ณ โอกาสนี้
เหตุที่อยากค้นคว้า "น้ำตกของไทย" แล้วนำมาเขียนบล็อกเรื่องนี้ เพราะอยากจะให้เพื่อนๆ ชมน้ำตกสวยๆในเมืองไทย และมีความคิดที่จะช่วยกันถนอมหวงแหนรักษาป่าไม้ เพื่อให้น้ำตกทุกแห่งยังคงสวยงามเช่นนี้ต่อไปอีกนานๆ
และหากจะมีคำถามประการใดถึงรายละเอียดของน้ำตก ผมใคร่ขอให้ผู้รู้ หรือผู้ที่เคยไปเที่ยวน้ำตกนั้นๆ ช่วยกรุณาตอบแทนผมด้วยนะครับ
1. น้ำตกแม่ยะ จังหวัดเชียงใหม่
น้ำตกแม่ยะ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่(ใหญ่สุดของจังหวัดเชียงใหม่) มีความสวยงามไม่แพ้น้ำตกใดๆของเมืองไทย สายน้ำจะไหลลงมาตามหน้าผาสูงชัน ราว 280 เมตร กระทบโขดหินเป็นชั้น ๆ เหมือนม่านน้ำ แล้วไหลลงไปรวมกัน ที่แอ่งน้ำใสข้างล่าง ....ผู้ที่ไปเยือนสามารถจะเล่นน้ำ ณ บริเวณแอ่งน้ำข้างล่างนี้ได้
น้ำตกแม่ยะ เกิดจากต้นน้ำในผืนป่าสูงของยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศ นอกจากที่นี่จะเป็นแหล่งต้นกำเนิดของน้ำตกแม่ยะแล้ว ยังเป็นแหล่งให้กำเนิดน้ำตกที่สวยงามอื่นๆด้วย
.
น้ำตกสวยงามอื่นๆบนดอยอินทนนท์นั้น จะอยู่ริมเส้นทางขึ้นสู่ยอดดอย เช่น น้ำตกแม่กลาง อยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 8 ใกล้ด่านเก็บเงินของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์, น้ำตกวชิรธาร อยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 21 ด้านขวามือของทางขึ้นยอดดอย โดยจากลานจอดรถ จะต้องเดินเท้าลงไปชมน้ำตก ราว 351 เมตร และ น้ำตกสิริภูมิ อยู่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 30 แยกขวามือเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร
รอบๆบริเวณน้ำตกแม่ยะ เป็นป่าไม้พรรณไม้ร่มรื่น น่ามองน่านั่งพักหรือเดินชมป่าแบบสบายใจ หรือผู้มาเยือนอาจเดินศึกษาธรรมชาติของป่าดึกดำบรรพ์บริเวณอ่างกาหลวง ในแถบรอบๆบริเวณนี้ซึ่งมีเส้นทางเดินป่าจัดไว้ให้ด้วย
ในช่วงหน้าฝนเช่นเดือนกรกฎาคม เดือนนี้ ปริมาณน้ำของน้ำตกแม่ยะ จะมีมากและไหลค่อนข้างแรง น่าที่จะคนไทยจะได้ไปเห็นกับตาสักครั้ง
การเดินทาง .....น้ำตกแม่ยะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 70 กว่ากิโลเมตร โดยไปตามทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด) ไปประมาณ 58 กิโลเมตร ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 58(ก่อนจะถึงตลาดอำเภอจอมทอง) เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 (จอมทอง-ดอยอินทนนท์) ประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตร จะถึงลานจอดรถบริเวณน้ำตกแม่ยะ จากนั้นจะต้องเดินเท้าเข้าสู่น้ำตก ระยะทางประมาณ 300 เมตร
อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์มีบ้านพัก เต็นท์สนาม ไว้บริการนักท่องเที่ยว รายละเอียด ติดต่อสอบถามได้ที่ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ถนนอินทนนท์-จอมทอง กิโลเมตรที่ 31 อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 50160 หรือติดต่อ ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. (02) 579-7223, 579-5734
คำเตือน อากาศบนดอยอินทนนท์ จะหนาวเย็นตลอดทั้งปี หากเดินทางไปเที่ยวหรือพักค้างคืน ควรจะนำเสื้อกันหนาว ไปด้วย
2. น้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี
น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกใหญ่และสวยงามบนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ อยู่ในพื้นที่ของเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ" ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี
ธารน้ำตกเอราวัณ จากชั้นบนสุดถึงชั้นล่างสุด มีความยาวประมาณ 2,000 เมตร แบ่งเป็นชั้นใหญ่ๆ ได้ทั้งหมด 7 ชั้น โดยไหลลดหลั่นลงมาท่ามกลางผืนป่าเขียวร่มรื่น มีเถาวัลย์พันเกี่ยวทอดบนต้นไม้ใหญ่ มีกล้วยไม้ป่าบนคาคบไม้ เสียงน้ำและเสียงนกดังระงมไปทั่วป่า
จากลานจอดรถ จะมีทางเดินเท้าเข้าสู่บริเวณน้ำตก ทางอุทยานฯได้จัดเส้นทางเดินไว้ และไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปรับประทานที่บริเวณน้ำตก เพื่อรักษาความสะอาดและความเป็นธรรมชาติเอาไว้ เส้นทางเดินประมาณ 500 เมตรก็จะถึงน้ำตกชั้นแรก ด้วยโครงสร้างของผาหินปูน น้ำตกเอราวัณนับเป็นน้ำตกที่มีลีลาการรินไหลของธารน้ำตก ที่มีคนพูดว่า อ่อนช้อยสวยงาม
น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 1
น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 2
น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก
น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ
น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง
เมื่อเดินขึ้นไปจนถึง น้ำตกเอราวัณ ชั้นที่ 7 ชั้นบนสุด จะเห็นธารน้ำแยกตกลงมาเป็น 2 สาย สีขาวของสายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาสูง หากมองไกลๆ จะมีลักษณะคล้ายงาช้างและหัวของช้าง ที่ยื่นเดินออกมาจากภูผา .....นั่นไง จึงได้ถูกเรียกชื่อว่า "น้ำตกเอราวัณ"
การเดินทาง
.. จากตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เส้นทางสาย กาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ (ทางหลวงหมายเลข 3199) เมื่อถึงหลักกิโลเมตรที่ 56 แยกซ้าย ข้ามสะพาน เข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร จะถึงลานจอดรถ แล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร ก็จะถึงตัวน้ำตก รวมระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 65 กิโลเมตรจากตัวเมืองกาญจนบุรี
ค่าธรรมเนียมเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท บริเวณน้ำตกเอราวัณ มีบ้านพักและเต็นท์บริการ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี 71250 โทร. 034-574222 , 034-574234 หรือที่ ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. (02) 579-7223, 579-5734
3. น้ำตกกรุงชิง จังหวัดนครศรีธรรมราช
น้ำตกกรุงชิง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มียอดเขาหลวง ความสูง1,835 เมตร อันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของภาคใต้ ที่นี่ยังเป็นผืนป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นแหล่งต้นน้ำของน้ำตกขนาดใหญ่หลายสาย ทั้งน้ำตกกรุงชิง น้ำตกพรหมโลก(น้ำตกนี้มีบางแอ่งน้ำ ที่ห้ามลงเล่นเพราะมีน้ำวน) น้ำตกกะโรม และน้ำตกอ้ายเขียว
ชื่อ"กรุงชิง"มาจาก "ต้นชิง" พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ซึ่งมีอยู่มากในบริเวณนั้น การเข้าชมน้ำตกกรุงชิง จะต้องเดินเท้าจากที่ทำการอุทยานฯ ผ่านเส้นทางเดินป่าระยะทาง 3.8 กิโลเมตร เข้าไปถึงน้ำตก ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมง เส้นทางบางช่วงจะเป็นทางเดินลาดชัน แต่ก็เดินไปพร้อมกับศึกษาเส้นทางธรรมชาติของป่า ได้อย่างน่าจะสนุก..... อุอุ ของดีจะต้องได้มายาก เป็นธรรมดา
น้ำตกกรุงชิง มีด้วยกัน 7 ชั้น ชั้นที่ 7 ชื่อว่า วังเรือบิน
..ชั้นที่ 6 ชื่อว่า หนานต้นตอ
.. ชั้นที่ 5 ชื่อว่า หนานโจน
ชั้นที่ 4 ชื่อว่า หนานจน
ชั้นที่ 3 ชื่อว่า หนานปลิว
ชั้นที่ 2 ชื่อว่า หนานฝนแสนห่า
.และชั้นที่ 1 ชื่อว่า หนานมัดแพ
น้ำตกกรุงชิง ชั้นที่ 7 วังเรือบิน
น้ำตกกรุงชิง ชั้นที่ 5 หนานโจน
น้ำตกกรุงชิง ชั้นที่ 2 หนานฝนแสนห่า
น้ำตก ชั้นที่ 2 ที่ชื่อว่า "หนานฝนแสนห่า" นั้น สายน้ำจะตกลงจากหน้าผาสูงชัน ประมาณ 80 เมตร กระแสน้ำแผ่เป็นผืนกว้าง กระจายออกมาเป็นละออง ราวสายฝน ไม่จับตัวกันเป็นเกลียวเหมือนน้ำตกอื่นๆ นี่แหละจึงเป็นที่มาของชื่อ ฝนแสนห่า
เป็นน้ำตกที่สวยงาม.....สวยงามขนาดที่แบ๊งค์ชาติ เคยนำภาพของน้ำตกชั้นนี้ ไปลงพิมพ์บนธนบัตรไทย
ผู้ที่เคยไปเที่ยวบอกว่า ทาก ที่น้ำตกกรุงชิงยังคงพอมี ไปครั้งหลังๆ เจอทากแค่ 6 ตัวเท่านั้น ซึ่งนับว่าค่อนข้างน้อยสำหรับความเป็นป่าอุดมสมบูรณ์
. เพราะนกเงือก และทาก นับเป็นตัววัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าได้ ....ถ้าหากมีทากน้อย แสดงว่าป่านั้นลดความอุดมสมบูรณ์ลงไปมาก
การเดินทาง
.. น้ำตกกรุงชิงอยู่ที่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาหลวง ต.กรุงชิง กิ่งอำเภอนบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช
.เดินทางออกจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ไปตามเส้นทาง 4015 แล้วเลี้ยวขวาเข้าเส้นทาง 4016 สายนครศรีธรรมราช-พรหมคีรี เส้นทางจะผ่านทางเข้าน้ำตกพรหมโลก น้ำตกอ้ายเขียว น้ำตกยอดเหลือง ถึงสามแยกเหรง เลี้ยวซ้ายไปทางกิ่งอำเภอนบพิตำ แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ เส้นทางหมายเลข 4186 ถึงบ้านห้วยพาน เลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทาง 4188 ไปอีกสักพัก สังเกตทางซ้ายมือจะพบป้ายทางเข้าน้ำตกกรุงชิง แล้วต้องเข้าไปตามทางลูกรังอีก 8 กิโลเมตรจึงจะถึงน้ำตก สรุปว่า จากเมืองนครไปที่น้ำตกกรุงชิง จะต้องขับรถไป ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ก็ราวชั่วโมงนิดหน่อย
บริเวณน้ำตกจะมีที่พักไว้ให้บริการ... ติดต่อที่ ส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. (02) 579-7223, 579-5734 หรือติดต่อที่ หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาหลวง น้ำตกกรุงชิง โทร.075-309 644 หรือถ้าต้องการจะล่องแก่งกรุงชิง ก็ติดต่อศูนย์บริการท่องเที่ยว อบต.กรุงชิง โทร. 01-2282051 หรือสอบถามข้อมุลเพิ่มเติม ที่ ททท. สำนักงานภาคใต้ เขต 2 สนามหน้าเมือง ถ.ราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีฯ โทร. 075 346 515
4. น้ำตกพลิ้ว จังหวัดจันทบุรี
น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันออกของไทย อยู่ในเขตเทือกเขาสระบาป อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 84,062.50 ไร่ ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขามของจังหวัดจันทบุรี
บริเวณนี้ยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารหลายสาย
ทางเดินเข้าน้ำตกจะร่มรื่นไปด้วยพรรณไม้ เป็นน้ำตกที่นักท่องเที่ยวสามารถจะขับรถเข้าไปถึงน้ำตกได้สะดวก มีน้ำไหลตลอดปี ....ปกติน้ำจะใส จนสามารถมองเห็นพื้นล่างที่เป็นหินและทรายในระดับความลึกกว่า 2 เมตรได้
บริเวณน้ำตกจะมีปลาใหญ่น้อยหลายชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะปลาพลวงหิน ซึ่งจะพบได้ที่น้ำตกแห่งนี้ และในบางน้ำตกเท่านั้น
น้ำตกพลิ้วมี 3 ชั้น จากทางขึ้น เดินไปประมาณ 200 เมตร จะเห็น อลงกรณ์เจดีย์ อยู่ทางขวามือ เป็นเจดีย์ศิลาแลง ซึ่งรัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้สร้างไว้ ส่วนทางซ้ายมี สถูปพระนางเรือล่ม อันเป็นที่บรรจุ พระอังคารของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี
.. สถูปและอลงกรณ์เจดีย์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น เนื่องจากพระองค์เคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว เมื่อปี พ.ศ. 2417 และทรงชื่นชมประทับใจกับน้ำตกนี้เป็นอย่างยิ่ง
คำว่า "พลิ้ว" บางคนบอกว่าเป็นภาษาชอง ซื่งเป็นภาษาของเจ้าของถิ่นเดิม แปลว่า ทรายหรือหาดทราย แต่บางคนบอกว่า "พลิ้ว" คงจะได้ชื่อมาจาก ต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งชอบขึ้นบนที่ดินปนทราย เป็นไม้เถา มีดอกเป็นช่อ มีผลเล็กขนาดลูกเกด สีเหลืองอมแดง ขึ้นอยู่ทั่วไปในแถบนี้
น้ำตกพลิ้ว เป็นน้ำตกที่สามารถไปเที่ยวได้ทั้งปี เพราะจะมีน้ำไหลตลอดปี แต่ผู้คนจะนิยมไปเที่ยวชมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นช่วงฤดูผลไม้ เงาะ มังคุด ทุเรียน สละ กระท้อน ของจังหวัดจันทบุรีออกให้ชิมและชมเป็นขวัญตาด้วย
. เปิดให้เข้าชมน้ำตกตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น. ทุกวัน ค่าธรรมเนียมเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
การเดินทาง
.. น้ำตกพลิ้วอยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี ประมาณ 14 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 3 ถนนสุขุมวิท แล้วแยกซ้ายไปทางบ้านพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตก ถนนขับรถสะดวกสบายเพราะลาดยางตลอดสาย เหมาะกับการไปเที่ยวพักผ่อน
ทางอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว จัดบ้านพักไว้บริการจำนวน 3 หลัง พักได้ หลังละ 8 คน ราคาหลังละ 600-800 บาท และค่ายพักแรม พักได้ 20-30 คน ราคาหลังละ 200-500 บาท ติดต่อ สำรองที่พักได้ที่ กรมป่าไม้ โทร. (02) 579-7223, 579-5734
5. น้ำตกแม่สุริน จังหวัดแม่ฮ่องสอน
เป็นน้ำตกชั้นเดียวที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม ตัวน้ำตกแม่สุรินนั้นแม้จะไม่ใหญ่แต่สูงมาก นับเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของภาคเหนือ ลักษณะของสายน้ำจะไหลจากหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตร ตกลงมาสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างระหว่างหุบเขา ลักษณะพื้นที่โดยรอบเป็นป่าสนและป่าดิบ ซึ่งบางครั้งจะสามารถพบเห็น เก้ง กวาง หมี ลิง และนกหลายชนิด
ด้านบนสุดเป็นบริเวณที่กางเต็นท์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งมีทางเดินลงมาดูข้างล่างได้ ใช้เวลาเดินลงและเดินขึ้นประมาณ 3 ช.ม. ขาเดินลง จะเร็วและง่ายหน่อย แต่ขาเดินขึ้นหรือปีนขึ้น ... คุณเอ๊ยยย เหนื่อยหอบ เหงื่อซกเลย แต่น้ำก็เย็นเจี๊ยบฉ่ำใจ .....อุอุ ก้อมัน ...น้ำตกอยู่บนภูเขา จ.แม่ฮ่องสอน
นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะไปชมน้ำตกแม่สุริน ค่าธรรมเนียมชมน้ำตก ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท รถยนต์ 30 บาท ควรจะไปในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม เพราะจะได้ชมทุ่งดอกบัวตองบานสะพรั่งบนดอยแม่อูคอ ซึ่งเป็นทางผ่านไปทางน้ำตก ... อาจจะตั้งค่ายพักแรมที่ดอยแม่อูคอ และใช้เวลาในช่วงกลางวัน ไปชมน้ำตกแม่สุริน ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปจากทุ่งบัวตอง ประมาณ 11 กิโลเมตร
การเดินทาง
น้ำตกแม่สุริน อยู่ในเขตบ้านแม่สุริน ตำบลแม่ยวมน้อย อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน การเดินทางใช้เส้นทางหลวง หมายเลข 108 (แม่ฮ่องสอน - ขุนยวม) ถึงอำเภอขุนยวม แล้วแยกขวาเข้าไปอีกประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับไปทุ่งดอกบัวตอง ที่ดอยแม่อูคอ ห่างจากทุ่งบัวตอง ราว 11 กม. ใช้ถนนของกรมทางหลวงชนบท สาย แม่อูคอ - บ้านหัวฮะ
อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุริน มีบริการบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ติดต่อ อุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุริน ต.ปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน โทร.0-5361-2996 หรือส่วนอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร. (02) 579-7223, 579-5734
6. น้ำตกเขาสอยดาว จังหวัดจันทบุรี
น้ำตกเขาสอยดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว น้ำตกอยู่ห่างจากที่ทำการเขตฯ ประมาณ 4 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำไหลตลอดปี มี 16 ชั้น แต่ละชั้น จะสวยงามแตกต่างกัน ... ชั้นที่ 5 ชื่อว่า งาจ้าวพงพี ชั้นที่ 6 ชื่อว่า ผานางลื่น ชั้นที่ 7 ชื่อว่า วังผีเสื้อ ชั้นที่ 9 ซึ่งมีคนพูดกันว่า สวยที่สุด ชื่อว่า วังพญางิ้วดำ
บริเวณรอบน้ำตก จะแวดล้อมไปด้วยป่าดงดิบชื้นที่สมบูรณ์ มีสิ่งน่าสนใจให้ชมมากมาย ทั้งต้นไม้ยักษ์และพรรณไม้หลากชนิด โดยเฉพาะป่ากระวาน ซึ่งว่ากันว่า ดีที่สุดในโลก และเป็นดินแดนแหล่งดูนก ดูผีเสื้อ ที่ดีที่สุดในแถบผืนป่าตะวันออกทีเดียว เพราะจะมีผีเสื้อหลากหลายชนิด ให้ชมให้ศึกษา ยิ่งหากไปถูกจังหวะเวลา จะมีโอกาสได้ชม ราชินีแห่งป่าเขาสอยดาวหรือดอกโสกเขา ที่จะพากันบานสะพรั่งต้อนรับทั้งราวป่าในช่วงฤดูหนาว
พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว มีสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน มียอดเขาสูง 2 ยอด คือ ยอดสอยดาวเหนือ สูงประมาณ 1,556 เมตร และยอดสอยดาวใต้ สูงประมาณ 1,675 เมตร สภาพป่ายังอุดมสมบูรณ์ทำให้เป็นต้นกำเนิดของธารน้ำหลายสาย แล้วไหลรวมกันและตกลงมาเป็น น้ำตกเขาสอยดาว ท่ามกลางป่าที่ยังคงความเป็นธรรมชาติมากๆ
ผู้สนใจไปเที่ยว จะสามารถเดินขึ้นน้ำตกด้วยตนเองได้ถึงชั้นที่ 9 รวมระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินขึ้น 1 ชั่วโมงเศษ ซึ่งจะพบทั้งความงามและความตื่นเต้นท้าทาย
สำหรับน้ำตกชั้นที่ 1016 จะต้องใช้เจ้าหน้าที่นำทาง เพราะจะไม่มีทางเดินที่กำหนดไว้แน่นอน หากไม่มีคนนำทางอาจจะเดินหลงทางได้ การเดินตามผู้นำทางไปถึงชั้นที่ 16 จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
ถ้าชอบความตื่นเต้นหวาดเสียว การเล่นน้ำที่น้ำตกสอยดาวตรงชั้นที่ 6 ที่ชื่อว่า ผานางลื่น จะหวาดเสียวมาก ตรงนี้จะมีแผ่นหินเอียงลาดที่บางคนเรียกว่า สไลเดอร์ แต่ลื่นมาก ผู้ที่ชื่นชอบความท้าทาย จะปล่อยตัวให้ก้นลื่นไถลไปตามลาดหินกลางน้ำตก ลงไปยังแอ่งน้ำเบื้องล่าง ที่สูงประมาณ 7 ม. ซึ่งจะอันตรายมากหากลื่นตกลงไปผิดจังหวะ หรือพุ่งเลยแอ่งน้ำนั้น ....โฮะโฮะ แค่เขียนก็ไม่อยากจะนึกถึงภาพ เปลหาม
สิ่งที่น่าสนใจ ในบริเวณน้ำตกเขาสอยดาว มีหลายอย่าง
- ต้นไม้ยักษ์ ....เมื่อเดินจากทางเข้าไปยังน้ำตกชั้นแรก ประมาณ 200 ม. ทางขวามือจะพบกับต้นไม้ยักษ์ หรือต้นพระเจ้าห้าพระองค์ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่ขึ้นอยู่ในป่าดงดิบชื้น รอบลำต้นขนาดประมาณ 20 คนโอบ ....อูว์ว์ ใหญ่ยักษ์อะไร ขนาดนั้น โดยเฉพาะ พูพอนหรือรากขนาดใหญ่ของต้นไม้นี้ซึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือผิวดิน สูงถึง 5 ม. แยกแขนงเป็นซอกหลืบจนดูคล้ายโพรงถ้ำ
- ดอกโสกเขา จำนวนมาก.... ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหวานของผีเสื้อและแมลงต่าง ๆ ...ถือกันว่า ดอกโสกเขา เป็นราชินีแห่งป่าเขาสอยดาว ช่วงเดือนธันวาคม เมษายน ของทุกปี ดอกโสกขาวจะผลิช่อดอก สีส้มแดง บานไปทั่วทั้งแนวป่า ....ต้นโสกเขาเป็นไม้ยืนต้น ลำต้นสูงเต็มที่ประมาณ 10 เมตร มีใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับใบย่อย 3-7 คู่ รูปใบ มีลักษณะเป็นรูปไข่หรือใบหอก กว้างประมาณ 2-8 ซม. ยาวประมาณ 8-10 ซม. รากมีสรรพคุณทางยา ใช้ต้มน้ำเพื่อดื่มแก้ยาพิษ หรือยาเบื่อ
- ดูนก ดูผีเสื้อ ....ตลอดเส้นทางการเดินเท้าสู่น้ำตก ชั้นที่ 1-16 จะเป็นจุดชมนก ชมผีเสื้อที่ดีที่สุด ยิ่งกว่านั้นแถวบริเวณไหล่เขา อาจจะมีโอกาสได้พบกับ นกขุนแผนหัวแดง นกขุนแผนอกส้ม นกพญาปากกว้างลายเหลือง รวมทั้งนกเฉพาะถิ่น อย่าง ไก่ฟ้าหลังขาวจันทบูร นกสาลิกาเขียวหางสั้น นกกระทาจันทบูร และผีเสื้ออีกนับสิบชนิด เช่น ผีเสื้อนิโกร ผีเสื้อหางติ่งนางละเวง ผีเสื้อหางติ่งชะอ้อน เป็นต้น ......ในระหว่างเดือนธันวาคม-เมษายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่เหมาะแก่การดูผีเสื้อ เพราะจะมีผีเสื้อในช่วงนั้นจำนวนมากที่สุด
- หากต้องการดูป่ากระวาน ควรจะติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางให้นำไปดู เพราะจากน้ำตกชั้นที่ 16 ซึ่งเป็นชั้นบนสุด จะมีเส้นทางเดินเท้าแยกไปอีกประมาณ 1 ชม.เศษ ป่ากระวานที่นี่ นับเป็นป่ากระวานที่ดีที่สุด ชาวบ้านมักจะเข้ามาหาของป่า โดยเฉพาะกระวาน และไม้กฤษณา ....ซึ่งปัจจุบันทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ จะอนุญาตให้ชาวบ้านขึ้นไปเก็บกระวาน และจัดการดูแลต้นกระวานได้เป็นครั้งคราว ...โดยเรียกกันว่าให้ขึ้นไปสวนกระวาน
- เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ....เส้นทางนี้ อยู่ทางด้านหลังอาคารของที่ทำการเขตฯ เป็นพื้นที่เปิดสำหรับผู้สนใจศึกษาธรรมชาติป่า มีเส้นทางเดินเท้าประมาณ 2.5 กม. สองข้างทางเป็นป่าดงดิบชื้น สภาพทางไม่สูงชันมาก ระหว่างทางมีจุดน่าสนใจ เช่น ต้นไทรยักษ์ขนาดกว่าสิบคนโอบ ที่แผ่รากออกมาคล้ายถ้ำย่อม ๆ คร่อมลำธาร .....มีพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด เช่น เร่ว กระวาน กะทือ ต้นยาง สำหรับต้นตะเคียนหิน ตะเคียนทอง ต้นมะหาด แต่ละต้นจะมีขนาดใหญ่มาก หากมาเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน จะได้เห็นดอกโสกเขา ชูช่อสีส้มแดง ให้เห็นตลอดทาง ขณะที่รอบๆบริเวณก็หอมอบอวลไปด้วยดอกมะลิป่า จำปีป่า จำปูน และมีโอกาสได้เห็นนกเฉพาะถิ่น รวมทั้งผีเสื้อที่มีอยู่มากมายหลายชนิด
การเดินทาง ......เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว อยู่ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 70 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 317 ที่มุ่งสู่อำเภอสระแก้ว ผ่านอำเภอโป่งน้ำร้อน ถึงหลักกิโลเมตรที่ 22 ก่อนจะถึงตลาดปะตง จะมีทางแยกซ้ายมือ เข้าไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว และน้ำตกเขาสอยดาวอยู่ห่างออกไปอีกประมาณ 4 กิโลเมตร
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก ...... เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว มีเรือนพักขนาดใหญ่ สามารถเข้าพักได้ 20 คนขึ้นไป โดยเสียค่าธรรมเนียม 300 บาท/คืน และมีเรือนรับรองติดแอร์ด้วย นอกจากนั้นยังมีห้องบรรยาย ฉายสไลด์ รวมทั้งมีวิทยากรบรรยายสภาพทั่วไปของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างถูกต้อง ....มีลานกางเต็นท์ บริเวณแคมป์ไฟ อันนี้ไม่เสียค่าบริการ หากต้องการนำรถเข้าไปในพื้นที่ ควรจะติดต่อเจ้าหน้าที่ด้วย เวลาเปิดให้เข้าชม 06.00-18.00 น.
หากต้องการติดต่อล่วงหน้า เชิญที่ สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าทรายขาว ตู้ ปณ.15 อำเภอสอยดาว จันทบุรี 22180 หรือ ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ กรุงเทพฯ โทร. 0 -2579 9776
หมายเหตุที่ 1 : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เป็นผืนป่าอนุรักษ์ในรูปแบบของ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รูปแบบของการจัดการ จึงมีกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าอุทยานแห่งชาติ โดยเหตุที่ว่า เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิดตามธรรมชาติ ที่จะไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์
ซึ่งจากการสำรวจพบว่า มีสัตว์ป่าในเขตฯเขาสอยดาว ไม่น้อยกว่า 562 ชนิด จำนวนแมลงไม่น้อยกว่า 94 ชนิด สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจำนวน 125 ชนิด มีสัตว์ขนาดใหญ่ได้แก่ ช้าง เสือ กระทิง เลียงผา หมี จำพวกนก ไม่น้อยกว่า 280 ชนิด ชนิดที่สำคัญได้แก่ ไก่ฟ้าหลังขาว ไก่ฟ้าพญาลอ นกกระทาดงจันทบูรณ์ สัตว์เลื้อยคลานไม่น้อยกว่า 89 ชนิด และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ไม่น้อยกว่า 31 ชนิด โดยเฉพาะ กบ อกหนาม ซึ่งเป็นสัตว์เฉพาะถิ่น ที่พบเฉพาะในเขตฯเขาสอยดาวเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ดังนั้นหากมีความประสงค์จะเข้าไปในพื้นที่ จึงจำเป็นต้องขออนุญาตจากกรมป่าไม้เสียก่อน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันสำหรับการเข้าไปในพื้นที่และพักแรมภายในเขตฯ แต่หากเป็นการไปทัศนศึกษาภายในวันเดียว โดยไม่มีการพักแรม ก็สามารถกระทำได้แบบไม่ยากนัก
กบ อกหนาม
หมายเหตุที่ 2 : มีกระทู้เรื่องขอข้อมูลไปเที่ยวน้ำตกเขาสอยดาว ซึ่งมีคนโพสต์เอาไว้ แล้วมีคนเข้ามาตอบ ผมขอนำมาให้เพื่อนๆ อ่านประกอบนะครับ
..
ผมเคยไปที่นี่ เมื่อตอนอยู่ ม.4ครับ ฮ่าๆๆ นานมากแล้ว เป็นครั้งแรกเลย ที่เดินป่าอย่างจริงๆจังๆ ไม่มีวันลืมที่นี่เลย จำได้....ไปกับค่ายอนุรักษ์ที่โรงเรียน ไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปเลยนอนหนาวเหน็บ ของที่เอาไปก็ไม่ได้นำเอาของที่มีประโยชน์ไป ก่อไฟก็ไม่เป็น หุงข้าวนี่ไม่ต้องพูดถึง กางเต็นท์ยังไม่เป็นเลย ฮ่าๆๆ ดังนั้นข้อมูลของผมอาจจะเชยระเบิด เพราะมันนานมาแล้ว เอาเท่าที่จำความได้ก็แล้วกันนะทั่น ถนนหนทางเป็นยังไง ลำบากมากมั๊ย? ....ลาดยางยาวเลยครับ พอถึงทางแยกเข้าเขตฯจะเป็นลูกรัง ซึ่งลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ ....เค้าให้พักในเขตน้ำตกมั๊ย? ......สบายมาก ลองไปติดต่อดู แต่ทางขึ้นเขา เอาการละครับ ชันดี แต่ไม่ตลอดทั้งหมด จะชันเป็นช่วงๆครับ ....นอกจากน้ำตกแล้ว มีอะไรให้เที่ยวอีก? มี ยอดเขาไงครับ สูงXXX ม. จำไม่ได้ เพราะตอนนั้นยังไม่ได้สนใจอะไร? น้ำน่ะ มีตลอดเส้นทาง .....มีอะไรอีก?.....มีสารพัดเลย พรรณไม้แปลกๆ ตรึม แต่จำไม่ได้เลยซักต้น ฮ่าๆๆ ขอให้สนุก ผมช่วยได้เท่านี้ล่ะครับ เพราะไปมานานมากโขแล้วทั่น ฮ่าๆๆ....
อีกท่านเขียนบอกว่า ป่าสอยดาว เป็นป่าที่ผมชอบมาก ไปเที่ยวบ่อยแทบจะเป็นป่าประจำตัวแล้ว อยากจะแนะนำข้อมูลให้ เขาสอยดาวนี่ มีน้ำตกที่สวยงามมาก มีชั้นทั้งหมด 16 ชั้น แต่ผมเห็นส่วนใหญ่ เล่นกันแค่ชั้น 5 และชั้น 6 เพราะนอกจากนี้ไป ทางจะลื่น แต่ช่วงนี้คงไม่เท่าไหร่ ชั้นที่สวยงามที่สุดคือ ชั้น 9 และชั้น 10 เป็นน้ำตกจากหน้าผาสูง ....ขอแนะนำ หยุดแค่ชั้นนี้พอแล้ว เพราะชั้น 16 เป็นลำธารธรรมดาเหมือนชั้นล่างเลย ขึ้นไปก็ไม่คุ้มเหนื่อย ขอแนะนำว่า ข้างบนจะเปลี่ยวและรกมาก .....ชั้นล่างถึงชั้น 16 พวกผมเดินไปกับคนนำทาง ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว แต่เดินแบบคนเดินป่าเป็นนะครับ เอ่อ ผมมีเส้นทางเดินลัดไปชั้น 16 ให้คุณ คือคุณต้องข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง(จากชั้นล่าง) เดินไปครึ่งชั่วโมงก็จะทะลุไปชั้น 16 เลย แต่จะไม่ผ่านชั้นน้ำตกนะครับ
.....ถามว่าน้ำมากไหม? น้ำมากพอสมควร สวยดี ....กางเต็นท์ได้ ตรงลานที่พักบ้านรับรอง สะอาดด้วย มีอาหารขายถึง 6 โมงเย็น ....ส่วนการเดินทาง เป็นถนนลาดยางตลอด จนถึงน้ำตก สะดวกมาก เข้าได้ถึง 2 ทุ่มน่ะ ผู้หญิงเดินได้สบายมากสำหรับน้ำตกนี้ อ้อ ตลาดปะตง ก็คือชื่อเดิม ของอำเภอสอยดาวนั่นแหละ
..... ขอตอบข้อมูลที่ถามนะครับ 1.ห้องน้ำสะดวก สะอาดใช้ได้ อยู่ตรงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ส่วนที่ตัวน้ำตก ผมไม่แน่ใจ 2.อากาศหนาว คาดว่าน่ะ แต่อากาศมักจะไม่แน่นอน ฝนก็พอมี 3.ที่นี่กางเต็นท์ ดูดาวได้ แต่อาจเห็นไม่มาก เพราะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สูง ขอแนะนำว่า ถ้าอยากเที่ยวป่าเขาสอยดาวให้ถึงแก่นจริงๆ ไปที่ บึงซีโต้ ซิครับ เป็นบึงน้ำอยู่บนยอดเขาสอยดาวใต้ ตรงที่นั่น จะเห็นดาวชัด เห็นฝั่งเขมรเลย เนื่องจากอยู่สูงมาก ป่าก็เป็นธรรมชาติมาก ขากลับพวกผมยังเคยเจอหมีปีนจากต้นยาง แต่มันหนีพวกเราน่ะ ป่าโบราณที่นี่เหมือนที่น้ำตกแม่ยะ แถวดอยอินทนนท์เลย แต่ที่นี่สวยมาก เพราะจะไม่ค่อยมีคนขึ้น ขนาดพวกผม ชายฉกรรจ์ ขึ้นตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึง ห้าโมงเย็น ทางไม่ชันเหมือนภูกระดึงหรอก แต่รก เดินไกล และทากเยอะ
....ตอนผมไป เคยติดต่อป่าไม้ แต่แกพาพวกเราหลง ต่อมาพวกเราเลยติดต่อพรานนำทาง เก่งมากเลย มีน้ำใจอัธยาศัยดี เทคแคร์ตลอด อาชีพเสริมของพรานคนนี้ คือวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เข้าไปถามหาเลย ชื่อวินัย ส่วนค่านำทาง ผมตังค์หมด เลยให้คนละ 700 (เพราะไป 2 วัน) ถ้ามีตังค์ จะให้ไปคนละพัน เพราะแกบริการดีเหลือเกิน เขาลูกนี้สวยมากครับ น่าทะนุถนอม ผมหวงมาก(แม้จะไม่ใช่ของเรา) แต่ประทับใจและภูมิใจที่พิชิต เขายอดที่สูงที่สุดของภาคตะวันออกได้
.....เอ่อ ขอแนะนำว่า อย่าเอาอย่างผมนะ คือ ผมไม่ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ผมไปกันเองกับชาวบ้าน .....อันนี้ไม่ดีครับ การเข้าไป ควรจะบอกให้เจ้าหน้าที่เขารู้ หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์นะครับ
ผมเพิ่งไปมา ช่วงนี้น้ำเยอะ ถ้าจะขึ้นทางน้ำตก ต้องลงมาก่อน18.00 น.นะครับ มีผีเสื้อพอสมควร ถ้าจะค้างบนน้ำตก บนยอดน่ะ ควรจะต้องติดต่อ จนท.เขาก่อน เพื่อเขาจะได้รับทราบ และควรแวะตุนเสบียงจากในตลาดไปเสียก่อน
หวังว่าหลังจากอ่านคำตอบของกระทู้นี้ คงจะได้ข้อมูลเพิ่มขึ้น
(ยังมีต่อ)
Create Date : 13 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2551 0:51:59 น. |
|
50 comments
|
Counter : 14183 Pageviews. |
|
|
|
040
เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เกิดขึ้นจากลำธารหลายสาย ไหลมารวมกัน ได้แก่ลำธารวังกวาง, ธารสวรรค์, ธารพระองค์, ธารถ้ำสอ แล้วจึงรวมเป็นน้ำตก เป็นน้ำตกที่อยู่ในป่าปิด ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวในฤดูฝน เพราะการเดินทางจะเสี่ยงอันตรายและไม่สะดวก จะให้เที่ยวได้เฉพาะในฤดูหนาวและฤดูร้อน คือ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมิถุนายน และต้องทำเรื่องขออนุญาตก่อนจะขึ้นไปชม
ระยะทางจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เดินทางด้วยเท้าสู่น้ำตกขุนพอง ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. จะต้องเดินผ่านป่าสนและป่าดงดิบระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร เสียงดังของสายน้ำตก จะได้ยินแต่ไกลก่อนที่จะได้เห็นตัวน้ำตกจริงๆ แล้วทุกคนจะต้องปีนลงสู่ หนทางสูงชันเบื้องล่างอย่างระมัดระวัง แล้วภาพน้ำตกสวยงามก็จะปรากฏให้เห็น คุ้มค่ากับระยะเวลาและความยากลำบาก
สายน้ำ ที่ตกรุนแรงแบบถาโถมลงมา ตกลงมาเป็นชั้นๆจากที่สูง สูงไม่น้อยกว่า 60 เมตรบวกกับสีแดงสดของใบเมเปิ้ล สร้างความสวยงามและแปลกตาแบบไม่น่าเชื่อว่า จะมีภาพแบบนี้ที่น้ำตกของไทยเรา . นับเป็นความงามกลางป่าใหญ่ที่น้อยคนนักจะได้เห็น เปรียบเสมือนเป็นเพชรเม็ดงามกลางป่าปิดทีเดียว
041
042
ที่จริงหากใครจะขึ้นภูกระดึง ผมอยากจะแนะนำว่า ควรจะมีเวลาในการท่องเที่ยวบนภูกระดึง สัก 3 วัน จึงจะคุ้มค่ากับการเดินทางฝ่าความสูงชันขึ้นไป และควรจะหาโอกาสไปชมน้ำตกอื่นๆด้วย ...เช่น น้ำตกวังกวาง น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกถ้ำสอใต้ น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ และน้ำตกหงษ์ทอง เพราะเป็นน้ำตกที่มีธารน้ำใส น้ำเย็น และสวยงามเช่นกัน เพียงแต่มีขนาดไม่ใหญ่เท่าน้ำตกขุนพองเท่านั้น และควรจะเลือกไปเที่ยวบนภูกระดึง ในช่วงหลังฤดูฝนต่อฤดูหนาว คือราวเดือนตุลาคมถึงธันวาคมเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นน้ำตกจะมีน้ำน้อย ไม่ค่อยสวย
043
การเดินทาง .อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ตั้งอยู่ที่ หมู่ 1 บ้านศรีฐาน ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ...จากตัวเมืองเลย ใช้ทางหลวงหมายเลข 201 (เลย-ภูกระดึง) แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2019 บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 276 ประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ..... หรือจากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ผ่านตัวเมืองสระบุรี แล้วเลี้ยวขวา เข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 21 ผ่าน เขตจังหวัดลพบุรี เพชรบูรณ์ เมื่อผ่านบ้านถ้ำพระ ไปประมาณ 10 กิโลเมตร จะพบสี่แยกใหญ่ ให้เลี้ยวขวาเข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 12 สู่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อผ่านอำเภอคอนสาร ไปแล้วจะพบสามแยกใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายเข้า เส้นทางหลวงหมายเลข 201 สู่จังหวัดเลย จากนั้นแยกซ้าย เข้าเส้นทางหลวงหมายเลข 2019 บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 276 ประมาณ 8 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว เป็นเรือนแถว 2 หลัง เต็นท์ 300 หลัง และนักท่องเที่ยวสามารถจะนำเต็นท์ของตัวเองขึ้นไปได้ โดยให้กางเต็นท์ในบริเวณที่จัดไว้เท่านั้น เสียค่าธรรมเนียมคนละ 5 บาท ติดต่อสำรองที่พักที่ กรมป่าไม้ โทร (02) 579-7223, 579-5734 หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. (042) 812-534 ต่อ 146 สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม ในฤดูท่องเที่ยวจะมีร้านค้าหลายร้าน ตั้งอยู่ที่เชิงภูและบนยอดภู ซึ่งทางอุทยานฯ จะมีการจัดการที่เป็นระเบียบ สะอาด ราคายุติธรรม และยังมีร้านค้า และแคร่พัก เป็นเพิงไม้ไผ่ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบตลอดสองข้างทางที่เดินขึ้นด้วย ส่วนลูกหาบนั้น สามารถติดต่อได้ ณ ที่ทำการอุทยานฯ ก่อนจะเดินทางขึ้นภูกระดึง
044
หมายเหตุอีกแล้ว : หมายเหตุที่ 1 : ภูกระดึงได้รับการจัดตั้งเป็น อุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สอง ถัดจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ 217,575 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด มีที่ราบบนยอดภูกระดึง ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 37,500 ไร่ มีความสูงระหว่าง 400-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณ คอกเมย คือมีความสูง 1,316 เมตร .บนภูกระดึง มีธรรมชาติที่นักท่องเที่ยวประทับใจหลายอย่าง ทั้งการชมพระอาทิตย์อัสดงที่ผาหล่มสัก, การสำรวจพรรณไม้นานาชนิด(เช่น ไฟเดือนห้าที่แดงสด และดงป่าสนอันกว้างใหญ่) และการชมน้ำตกขุนพองที่สวยงามแปลกตา ...ในช่วงวันหยุดยาว จะมีนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนภูกระดึงราวหนึ่งหมื่นคน หากหยุด 4 วันมักจะเดินทางขึ้น 1 วัน, ท่องน้ำตก 1 วัน, เลียบผา 1 วัน, ลง 1 วัน. หากหยุด 3 วันมักจะเดินทางขึ้น 1 วัน เที่ยว 1 วัน ลง 1 วัน คนที่มีสุขภาพที่ดี อาจจะสามารถเดินเที่ยวเส้นทางน้ำตกพร้อมกับเส้นทางหน้าผาได้ภายในวันเดียว แต่จะไม่เหมาะกับผู้ที่มีสุขภาพไม่ดี
หมายเหตุที่ 2 : มีกระทู้ใน Pantip ตั้งกระทู้โดยคุณใบไผ่_npc เล่าถึงการเดินทางไปเที่ยวน้ำตกขุนพองว่า
045 ทางลงสู่ น้ำตกขุนพอง
046 ใกล้แล้วครับ เดินคนเดียวก็ไปเรื่อยๆ
ได้ยินเสียงน้ำตกจากหน้าผาอย่างแรง ถึงแล้วครับ น้ำตกขุนพองที่หมายของการเดินทาง เคยคิดไว้ว่าถ้าบ่าย 2 โมงยังมาไม่ถึงขุนพอง เราจะหันหลังกลับ แต่เรามาถึงตอนเที่ยงพอดี ...มองจากทางด้านบนแล้ว ขุนพองยิ่งใหญ่มาก หน้าน้ำแบบนี้ต่างจากช่วงธันวาคม ......เราเดินลงสู่ชั้นล่างครับ ทางลงชันและลื่นมาก เพราะฝนและมีละอองของน้ำตก นำเอาละอองน้ำไปคลุมทางเดิน .แต่ที่สุดเราก็ ลงมาถึงแล้ว!!!! สายน้ำแห่งขุนพอง
047
048
049
050
051
052