กลอนเก่า
บทความนี้ เขียนโดย : วาณิช จรุงกิจอนันต์ นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 11115 วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544
วันก่อนนี้คุณพี่ ชูวงศ์ ฉายะจินดา โทรศัพท์มาถึงผม
คุณพี่กับผม ไม่เคยรู้จักเจอะเจอกันมาก่อน หรืออาจจะเคยเจอ เคยกราบไหว้สวัสดีกันมาสักครั้งสองครั้งก็ได้ ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ คือ ผมอ่านหนังสือของคุณพี่ มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นๆ
"จำเลยรัก"..."เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย ฉันทำอะไรให้เธอเคืองขุ่น...."
ผมดูหนังที่สร้างจากนิยายเรื่องนี้ของคุณพี่ตั้งแต่ มิตร ชัยบัญชา เป็นพระเอก นางเอกคือ "มี้"...พิสมัย วิไลศักดิ์
นางร้ายซึ่งดูเหมือนเพิ่งจะหวนคืนสู่จอเงินหลังจากหายไปพักหนึ่ง คุณพี่อมรา อัศวนนท์
พิสมัย วิไลศักดิ์ นั้น ลูกหลานในวงการบันเทิงเรียกเธอว่ามี้ มี้คือแม่ ผมก็เรียกตาม
มี้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ มติชนรายวันฉบับวันอาทิตย์ เมื่อไม่นานมานี้ มีประโยคหนึ่งที่มี้พูดแล้วผมจับใจมาก
พูดถึงชีวิตและการงานของตนเอง บอกว่าถ้าหมดแรงขอให้หมดลม
ผมด้วย ขอด้วย ขอเป็นอย่างนั้นด้วย
คุณพี่ชูวงศ์ ท่านโทรศัพท์มาขอโทษขอโพยผม เรื่องที่ว่า ท่านนำกลอนของผม ไปลงประกอบนิยายที่เขียน เห็นว่าลงพิมพ์ใน นิตยสารรายสัปดาห์สกุลไทย บอกว่าไม่ได้ขออนุญาต แต่ก็ลงชื่อผมไว้
ตอนนี้หนังสือพิมพ์เป็นเล่ม แต่กลอนของผมนั้น คนจัดพิมพ์ไประบุชื่อว่า เป็นของ รองศาสตราจารย์นภาลัย สุวรรณธาดา ผมก็ถามว่า กลอนผมเขียนว่ายังไงครับ คุณพี่
คุณพี่ก็อ่านให้ฟังว่า
"สัมผัสท้าพิศวาสไม่ขาดตก สัมผัสหกยังจะมีอยู่ที่ไหน
สัมผัสรักหากจะมีอยู่ที่ใด เพียงแค่ไกลคนรักก็จักรู้"
ผมก็ถามต่อว่า แล้วกลอนบทนี้ของผม มันพิมพ์อยู่ที่ไหนล่ะครับ
คุณพี่ก็บอกว่าพิมพ์อยู่ใน หนังสืองานแต่งงานของลูกอาจารย์นภาลัย...อาจารย์นภาลัยก็คือคุณพี่ นภาลัย สุวรรณธาดา ภรรยาของคุณพี่ อำพล สุวรรณธาดา นามสกุลเดิมของคุณพี่ คือ ฤกษ์ชนะ เป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่ง ในบรรดานักกลอนหญิงที่ผมรู้จัก
ผมก็งงๆ อยู่ แต่บอกคุณพี่ชูวงศ์ท่านว่า
ไม่เป็นไรครับคุณพี่ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น อย่าได้กังวลเดือดร้อนใจอะไรเลย
คุณพี่ก็ขอบอกขอบใจ บอกว่าชอบกลอนบทนี้ มันเข้ากับเรื่องที่เขียน...
ตอนคุณพี่อ่านกลอนจบนั้น ผมเกือบจะบอกแล้วว่า เพราะดีนะครับ แต่เนื่องจากคุณพี่บอกว่าเป็นกลอนผม เลยไม่กล้าที่จะพูดอย่างนั้น
ก็คงจะเป็นกลอนผม เพราะแม้ผมจะลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นคนเขียน แต่พอได้ฟังเที่ยวเดียว ผมก็จำได้ ไม่ได้จำได้ในทันทีทันใดดอกนะครับ มานั่งทบทวนอยู่พักหนึ่ง ผมนึกถึงเรื่องนี้อยู่สามวัน กลอนบทนี้ ไม่ได้มีอยู่แค่สี่บรรทัดแน่ ต้องมีบทก่อนหน้านี้นำมา
ผมไม่ได้เขียน ให้กับหนังสืองานแต่งงานของลูกคุณพี่นภาลัยกับคุณพี่อำพลแน่ ผมคงเขียนไว้ที่ไหนสักที่หนึ่ง ผมไปงานแต่งงานลูกของคุณพี่ทั้งสองหรือเปล่า หรือคุณพี่นภาลัยมาขอกลอนบทนี้ของผม ไปลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกงานแต่งงาน ไม่รู้ครับ ไม่แน่ใจเลย จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่แน่ใจ
แต่รู้แล้วครับ รู้ว่ากลอนบทนี้ผมเป็นคนเขียนแน่ เพราะมันรวมอยู่ในหนังสือรวมกลอน "ขับขานกานท์กลอน" ของผม
ใช้เวลาสามสี่วัน กว่าจะนึกออกและคลำเจอ เป็นกลอนที่มีอยู่สามบท
ชื่อบทว่า "รสรัก"
สองบทแรกก่อนจะถึง บทสุดท้ายนั้น เขียนว่า
"ก็เมื่อเนียนแนบเนียนไร้เสี้ยนเสียด อิ่มละเอียดปรากฏรู้รสอิ่ม
เมื่อเลื่อนไล้ใกล้ชิดสนิทพิมพ์ รู้ว่าลิ้มรสนี้เปรมปรีดา
เสนอปองสนองนานหอมหวานนัก ย่อมแรงรักระบุบ่งอยู่ตรงหน้า
เมื่อคลื่นลมเงียบสงบตาสบตา ก็รู้ว่าสองเรานั้นเข้าใจ"...
แล้วจึงไปถึง "สัมผัสห้าพิศวาสไม่ขาดตก..."
ผมเขียนไว้ที่ไหน น่าจะเป็นที่สตรีสารรายสัปดาห์นะครับ จำได้ว่าผมเขียนกลอนจบในสามบทอย่างนี้ อยู่ในสตรีสารพักหนึ่ง ถามว่าถ้ากลอนบทนี้ไปพิมพ์อยู่ที่หนึ่งที่ใด และลงชื่อคนเขียนเป็นคนอื่น ผมได้อ่านแล้ว จะจำได้ไหมว่า เป็นกลอนที่ผมเขียน...
จำได้ไหมทั้งๆ ที่ลืมไปแล้วว่า ตัวเองเขียนกลอนบทนี้ไว้
ได้ครับ...น่าจะได้ การเขียนกลอนนี่ว่าไปก็คล้ายการเขียนลายมือ ถึงจะดูคล้ายกันเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่าง มีลายมือผมอยู่ที่ไหนเห็นเมื่อไรผมจะรู้
จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่มีคนคัดหรือลอกกลอนบทหนึ่งของผม ส่งไปลงพิมพ์ในนิตยสาร เป็นกลอนยาวสิบบทหรือสิบสองบท นิตยสารที่ลงก็คือ "ลลนา" ซึ่งผมเองก็แวะเวียนอยู่แถวนั้น
เห็นกลอนลงเต็มหน้า ผมก็อ่าน เอ๊ะ คุ้นๆ อ่านไปสองสามบท ผมก็จำได้ นี่มันกลอนของกูเองนี่หว่า เขาลอกมาทุกตัวอักษรเลยนะครับ ที่ร้ายคือ ลงชื่อจริงด้วย ลงชื่อที่อยู่รับค่าเรื่องไปแล้วเรียบร้อย
แล้วก็มีอีกบางครั้ง ที่อ่านกลอนที่ลงพิมพ์ในหนังสือ แล้ว ผมรู้เลยว่าลอกกลอนผมมา คือเขาก็พยายามเปลี่ยนนะครับ เปลี่ยนคำ เปลี่ยนจังหวะ เปลี่ยนเรื่อง แต่โครงสร้างของคำและรูปคำนั้น อ่านแล้ว ผมรู้ว่ามาจากกลอนบทไหนของผม
เรื่องลอกกลอนนี่ ผมเองก็ทำตอนที่หัดเขียนสมัยเด็กๆ ชอบกลอนบทไหน ก็ลองเอามาเขียนเปลี่ยนคำ เปลี่ยนยังไงคนเขียนเดิมก็ต้องจำได้ เพราะคำที่ใช้อยู่เดิมนั้น มันจะมีที่ชอบเสียจนไม่อยากจะเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแล้วก็รู้สึกว่าไม่เข้าท่า
คำที่ใช้ในกลอนนี่ แต่ละคน แต่ละนักกลอน ใช้ไม่เหมือนกันนะครับ รูปกลอน รูปคำ ลีลาการเขียนลีลาความคิดก็แตกต่าง
อย่างที่เคยเขียนเล่าไว้ตรงนี้เมื่อนานมาแล้ว ว่า วันหนึ่งผมนั่งรถแท็กซี่ แล้วโชเฟอร์เปิดรายการวิทยุที่มีพระเทศน์ พระก็จบการเทศน์รายการนั้นด้วยการอ่านกลอน ผมฟังอยู่ ก็คุ้นๆ คล้ายๆ ว่ากลอนที่พระยกมานั้น จะเป็นกลอนที่ตัวเองเขียน
ใช่จริงๆ เพราะอ่านกลอนจบ พระท่านบอกว่าเป็นกลอนของผม
เกี่ยวกับรูปกลอนที่อ่านแล้ว จำได้ว่าเป็นของใคร คนไหนเขียนนั้น ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ก็รู้นะครับ มันต้องอ่านบ่อยๆ อ่านมากๆ
อย่างกลอนของท่านสุนทรภู่นั้น ใครอ่านมามากๆ เห็นที่ไหน อ่านที่ไหน ก็รู้ได้ว่า นี่เป็นกลอนของสุนทรภู่ ไม่ต้องลงชื่อดูลายมือ ก็รู้ว่านี่สุนทรภู่
เหมือนที่เขียนกำเนิดพลายงามในขุนช้างขุนแผน
"ครานั้นวันทองผ่องโสภา เห็นลูกแก้วแววตาจะอาสัญ
คิ้วเขม่นเป็นลางแต่กลางวัน ให้หวั่นหวั่นหวิวหวิวหิวหาวนอน"
...รูปกลอนอย่างนี้ไม่มีใคร เป็นพระเดชพระคุณท่านสุนทรแน่ๆ แล้ว
สมัยผมเรียนอยู่ อ่านกลอน เขียนกลอนเยอะ นักกลอนก็ไม่ได้มีมากมาย ผมว่าผมอ่านแล้วพอรู้ว่าเป็นกลอนของใครโดยไม่ต้องดูชื่อ กลอนของ สุจิตต์ วงษ์เทศ แน่ๆ เขียนอย่างนี้ลีลาภาษาความคิดอย่างนี้ นี่กลอน ขรรค์ชัย บุนปาน เขียนอย่างนี้คิดอย่างนี้ไม่เหมือนชาวบ้าน อย่างนี้ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นั่น สุรศักดิ์ ศรีประพันธ์ นั่นธารี อย่างนี้ นิภา บางยี่ขัน อย่างนั้นน่าจะเป็น นภาลัย ฤกษ์ชนะ มาอย่างนี้ จินตนา ปิ่นเฉลียว แน่ๆ อื่นๆ อีกมากมายหลายคนครับ
อ่านบ่อยๆ ก็พอจะจับทางได้ว่า เป็นของใคร ทุกวันนี้มีบางวันที่ว่างๆ หยิบหนังสือรวมกลอนสมัยก่อนๆ มานั่งอ่าน ก็ยังจำได้ จำความรู้สึกตัวเอง ที่ชอบที่ซาบซึ้งกับกลอนบางบทได้
อย่างของคุณพี่นภาลัยที่ว่า
"เมื่อคิดถึงฉันจนทนไม่ไหว ก็จงไปในที่ซึ่งมีฉัน
มิได้ชิดชื่นใจไม่สำคัญ สบตากันสักครั้งก็ยังดี"
เฮ้อ...โดสเวอร์ เดอะ เดย์...คืนวันที่ผ่านเลย
บทความนี้ เขียนโดย : วาณิช จรุงกิจอนันต์ นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 11115 วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544
จำเลยรัก ศิลปิน: แหม่ม พัชริดา
เนื้อร้อง
เจ็บแค้นเคืองโกรธ โทษฉันไย
ฉันทำอะไร ให้เธอเคืองขุ่น
ปรักปรำ ฉันเป็นจำเลยของคุณ
นี้หรือพ่อนักบุญ แท้จริงคุณคือคนบาป
ไม่ขอคุกเข่า เฝ้าง้องอน
แม้ใจขาดรอน ขอตายดีกว่า
ไม่ขอร้องใคร ให้กรุณา
ไม่ขอเศร้าโศกา หรือบีบน้ำตา อ้อนวอนใครๆ
เชิญคุณลงทัณฑ์ บัญชา
จนสมอุรา จนสาแก่ใจ
ไม่มีวันที่ฉันจะ ร้องไห้
ร่ำไร เพราะฉันไม่ใช่หญิงเจ้าน้ำตา
* กักขังฉันเถิด กักขังไป
ขังตัว อย่าขังหัวใจดีกว่า
อย่าขัง หัวใจให้ทรมา ให้ฉันเศร้าโศกา
เหมือนว่าฉันเป็น เช่นดั่งจำเลย...........
Create Date : 14 พฤษภาคม 2548 |
Last Update : 15 พฤษภาคม 2548 13:15:11 น. |
|
25 comments
|
Counter : 2490 Pageviews. |
|
|
|