นิทานสร้างคน
นิทานสร้างคน
#1 นิทานดีกว่าทีวี
กระต่ายกับเต่า นิทานยอดฮิตตลอดกาลที่อยู่ในใจของใครต่อใครหลายคน
คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า การเล่านิทานก่อนนอน คือความโหยหาของเด็กๆ และคงจะปฏิเสธไม่ได้อีกว่า นิทานสามารถจะช่วยพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของเด็กได้ดีอีกทางหนึ่ง
การที่พ่อแม่สละเวลาเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง อาจจะทำเพียงวันละ 15-20 นาทีเท่านั้น แต่ผลที่ได้รับตามมานั้น นับว่าคุ้มค่ามหาศาล
ดีกว่าการปล่อยให้เด็กอยู่แต่กับทีวีตามลำพัง
เพราะการฟังนิทาน เด็กจะได้รับทั้งความชอบ การซักถาม และความรู้สึกอันอบอุ่น
การเล่านิทานให้เด็กฟัง สามารถทำได้ตั้งแต่แม่เริ่มรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ เพราะสมองของเด็กสามารถจะได้ยินเสียงตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เสียงที่มีความไพเราะ เสียงที่ทำให้เด็กในท้องสบายใจ ก็คือเสียงที่บอกถึงความรักความอบอุ่นจากพ่อและแม่นั่นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ช่วงเด็กแรกเกิด - 6 ขวบ จะเป็นช่วงที่มหัศจรรย์มาก เป็นช่วงที่สมองของเด็กจะเรียนรู้ได้เร็วกว่าปกติด้วย จึงเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะเล่านิทานให้ลูกฟัง และพูดคุยกับลูกบ่อยๆ
การเล่านิทาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฟังคนอื่นเขาเล่ามา อ่านมาจากหนังสือ หรือแต่งเองก็ตาม ล้วนแล้วแต่เกิดผลดีทั้งนั้น
เพราะธรรมชาติของเด็ก จะชอบฟังเสียงและจะชอบดูท่าทาง ยิ่งพอเล่าให้ฟังแล้ว พ่อแม่ช่วยใส่ท่าทางและน้ำเสียงให้สนุกตื่นเต้นด้วย เด็กก็จะยิ่งรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน หัวเราะอย่างชนิดลืมเวลาเลยทีเดียว เด็กจะรู้สึกมีความสุขและนอนหลับสนิทหรืออาจจะฝันดี ทั้งๆที่ใช้เวลาในการฟังนิทานก่อนนอนแค่15-20 นาทีเท่านั้นเอง
ครอบครัวเขมะโยธิน เป็นครอบครัวหนึ่งที่มีความตั้งใจเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างสม่ำเสมอ
กวาง-กมลชนก เขมะโยธิน ดาราสาวเล่าว่า
"น้องเน็ตลูกชาย จะชอบให้แม่เล่านิทานให้ฟัง เพราะเขาบอกว่าแม่ทำเสียงสัตว์ตลกดี บางครั้งที่กวางไม่อยู่ คุณพ่อน็อตก็จะเล่าให้ฟังแทน นอกจากจะเป็นประโยชน์กับลูกแล้ว ยังทำให้ครอบครัวของเรา ได้คุยกันมากขึ้นด้วย"
การเล่านิทานนี่แหละ ที่ทำให้เกิดการสื่อสารระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ตลอดเวลา ได้รู้ว่าขณะนี้น้องเน็ตมีพัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว
ช่วงเวลาก่อนนอน น้องเน็ตเขาจะชอบให้เล่านิทานให้เขาฟังมาก และจะชอบให้แม่หรือพ่อเลียนเสียงสัตว์ต่างๆประกอบในขณะที่เล่า มีบ้างเหมือนกันที่ถามขึ้นเองระหว่างที่เล่าว่า แม่ครับเสือมันร้องยังไง แม่ครับช้างมันเดินยังไง ก็จะทำเสียงให้น้องเน็ตฟัง แสดงท่าทางให้เขาดู เราก็สนุกสนานกันตามประสาแม่ลูก
"เพื่อนบ้านของกวาง เขามีลูกอยู่ในวัยเดียวกันเลย แต่ลูกเขายังไม่ยอมพูด ซึ่งขณะนั้นลูกของกวางพูดแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
แต่ก็มีอยู่สาเหตุหนึ่ง ที่ครอบครัวของเราต่างกับครอบครัวของเขา คือ ครอบครัวของเราจะเลี้ยงลูกด้วยการเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ส่วนครอบครัวของเขามักจะให้ลูกเขาดูโทรทัศน์เป็นส่วนใหญ่"
หากพ่อแม่เล่านิทานไม่เป็น หรือไม่มีนิทานจะเล่า การอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง พร้อมกับให้ลูกดูภาพในหนังสือก็สามารถกระทำได้เช่นเดียวกัน
ที่จริง ช่วงเด็กแรกเกิด เด็กจะยังไม่เข้าใจเนื้อเรื่องที่เล่าเท่าใดนัก แต่เด็กจะสนใจฟังน้ำเสียงของพ่อแม่ ท่าทางของพ่อแม่ และการสัมผัสอันอบอุ่นจากพ่อแม่มากกว่า
พอเด็กเติบโตขึ้น เด็กจึงจะเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น แต่แม้จะเป็นการอ่านหรือเล่านิทานเรื่องเดิมซ้ำๆ เด็กก็ยังพอใจ เพราะเด็กจะพอใจฟังน้ำเสียง ดูท่าทางขณะเล่า มากกว่าความอยากจะทราบเนื้อเรื่อง
ยิ่งกว่านั้น นิทานที่มีตัวละครเป็นสัตว์ ยังจะช่วยทำให้เด็กเรียนรู้บทบาทของสัตว์ในตัวละครว่า ตัวใดเป็นผู้ร้ายหรือตัวใดอยู่ฝ่ายธรรมะ และตัวใดมีลักษณะนิสัยพื้นฐานเป็นอย่างไร วิธีการสอนแบบนี้จะซึมซับเข้าไปอยู่ในใจของเด็ก มากกว่าการสอนด้วยคำพูดด้วยซ้ำ
แต่การให้เด็กดูโทรทัศน์เอง คนเดียว เด็กจะไม่ได้พูดซักถามใคร เด็กจะขาดการสัมผัสที่อบอุ่น ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อการพูดช้า ไม่ค่อยกล้าถาม และไม่ค่อยกล้าพูด
ยิ่งกว่านั้น เด็กบางคนจะชอบยืนดูทีวีอยู่ใกล้จอ ซึ่งจะมีผลเสียต่อสายตาของเด็กที่ได้รับรังสีมากเกินควร และถ้าให้เด็กยืนดูทีวีบ่อยๆ ความเร็วของภาพในจอจะเร็วจนทำให้เซลล์สมองรับภาพแล้วตัดทิ้ง ฉะนั้นหากดูเกิน 20 นาที ประสาทหูและประสาทตาจะล้ม เมื่อมีเรื่องที่น่าสนใจเข้ามา ประสาทหูและประสาทตาของเด็กอาจจะไม่รับก็ได้
ในกรณีที่จะให้เด็กดูทีวี จึงควรที่พ่อหรือแม่อยู่ด้วย เพื่อจะได้แนะนำตักเตือน ไม่ให้เด็กยืนดูอยู่ใกล้จอมากเกินไป คอยพูดแนะนำและซักถามเด็ก เพื่อให้เด็กได้หยุดดูทีวีเป็นช่วงๆ และเด็กจะได้มีการพูดคุยหรือซักถามพ่อแม่ในสิ่งที่ตนเองยังไม่เข้าใจและอยากรู้.
#2 สำนึกของความเป็นแม่
หญิงสาวคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
... พอดีวันนั้นดิฉันเพิ่งกลับจากทำงาน มันค่อนข้างจะดึกแล้ว และเป็นวันที่ดิฉันผจญเรื่องราวต่างๆมาหนักหนาสาหัสจากที่ทำงาน จะเรียกว่าดิฉันหมดสภาพเลยก็ได้ ทำให้พลอยไม่อยากจะทำอะไรเมื่อกลับไปถึงบ้าน ซึ่งมีลูกนั่งรอให้เล่านิทานอยู่ ลูกยังไม่ยอมเข้านอน
โดยปกติ ดิฉันและพ่อของลูกจะสลับกันเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอนเป็นประจำ วันนั้นพ่อของลูกก็กลับดึกเช่นกัน ในขณะที่ดิฉันก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งเล่านิทานให้ลูก เพราะรู้แต่ว่าตอนนั้นดิฉันเครียด
วันนี้ แม่ขอไม่เล่านิทานให้ฟังได้ไหม? แต่ลูกไม่ยอม ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลูกก็ไม่ยอม ลูกยิ่งดื้อ ดิฉันยิ่งอารมณ์เสีย พยายามจะบอกเขาว่า วันนี้แม่ไม่มีอารมณ์จริงๆ ขอไม่เล่านะ
เขาไม่ยอม เราก็ยิ่งอารมณ์เสีย จนกระทั่งเขาร้องไห้ เขาปล่อยโฮออกมาเสียงดังปากสั่นมาก ชนิดที่ดิฉันเองก็ตกใจและใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
วินาทีนั้น สำนึกของความเป็นแม่ก็แว๊บเข้ามา เข้าใจเลยว่าลูกตั้งหน้าตั้งตารอเราจนดึก เพื่อจะรอให้แม่เล่านิทานให้เขาฟัง ซึ่งเป็นช่วงเวลาความสุขของเขามาก
เราต่างหากที่เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง เครียดมาจากที่ทำงานแล้ว กลับไม่สนใจความรู้สึกของลูกที่รอเราอยู่ และยังนำความเครียดกลับมามอบให้เขาก่อนนอน
ดิฉันเดินเข้าไปกอดลูกทั้งน้ำตา ทิ้งทุกอย่างรอบๆข้างในคืนนั้น แล้วนั่งเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างรู้สึกผิดระคนรู้สึกสุขใจ
ดิฉันเชื่อว่า คนที่เป็นพ่อแม่ทุกคนต่างก็คงจะเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้ ที่ทำให้เราต้องหันมาทบทวนตัวเองว่า... เราจะทำสิ่งใดก็ตาม เราได้คิดถึงตัวเองเป็นหลัก หรือได้คิดถึงลูกเป็นหลัก หรือได้คิดถึงครอบครัวเป็นหลัก
มันอยู่ที่ว่า เราจะจัดลำดับความสำคัญของชีวิตของเราเอาไว้ตรงไหน ถ้าเราคิดว่าครอบครัวต้องมาก่อน การตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องง่าย
ถ้าวันนั้นดิฉันเห็นแก่ตัว เดินหนีลูก ไม่สนใจว่าลูกจะร้องไห้หรือน้อยใจเพียงใด เพราะเด็กกับเรื่องการร้องไห้ มันเป็นของคู่กัน เดี๋ยวก็คงเงียบไปเอง
แต่สิ่งที่เราเรียกกลับคืนมาไม่ได้ ก็คือ จิตใจที่ถูกทำร้ายด้วยท่าทีของพ่อแม่ ถูกทำร้ายด้วยการเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง.
#3 พระเจ้าสร้างประเทศไทย
เรื่องนี้เขียนดัดแปลงมาจาก ฟอร์เวิดเมล์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ครั้งที่พระเจ้าเพิ่งจะสร้างโลก
พระองค์มีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ของวิเศษ แล้วพระองค์ก็นำของวิเศษไปวางไว้ ณ พื้นที่ต่างๆทั่วโลก โดยพระองค์จะทรงวางของดีและของไม่ดีควบคู่กันเสมอ เพื่อไม่ให้ที่หนึ่งที่ใดสมบูรณ์ไปกว่าที่อื่นๆ
พระองค์ทรงวางเทือกเขาร็อกกี้และน้ำตกไนแอการ่าไว้ที่อเมริกา แล้วก็ไม่ทรงลืมวางทะเลทรายอริโซนากับพายุทอร์นาโดไว้ให้ด้วย พระองค์ทรงวางป่าอเมซอนไว้ที่บราซิล แล้วก็ไม่ทรงลืมวางไข้ป่า เอาไว้ให้ด้วย
พระองค์ทรงวางขั้วแม่เหล็กโลกไว้ที่แคนาดา แล้วก็ไม่ทรงลืมวางความหนาวเย็นเอาไว้ให้ด้วย พระองค์ทรงวางเทือกเขาหิมาลัยเพื่อเป็นปราการไว้กั้นข้าศึก ไว้ที่ทิเบตและเนปาล แล้วก็ไม่ทรงลืมวางความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งเอาไว้ให้ด้วย
ลองมองดูซิ ทุกประเทศจะได้ของคู่กันทั้งนั้น ไม่มีประเทศใดได้น้อยหน้ากว่าประเทศใดเลย
แต่แล้วพระองค์ก็ทรงลืมประเทศรูปขวานเล็กๆในแหลมอินโดจีน พระองค์ทรงลืมวางของไว้ให้กับประเทศไทย!!!!
แต่ให้บังเอิญ ขณะที่พระองค์ทรงสะพายถุงวิเศษก้าวข้ามภูเขาหิมาลัยนั้น เพราะความที่ภูเขาหิมาลัยนั้นสูงมาก มันจึงเกี่ยวถุงของพระองค์ขาด สิ่งของดีๆที่พระองค์จะเตรียมนำไปวางไว้ที่ประเทศอื่นๆ
เช่น แดดสวยฟ้าใส ฝนที่ตกชุ่มฉ่ำตลอดปี ป่าไม้และที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ แม่น้ำไหลแรงหลากหลายสาย นกปลาสัตว์ป่าหลากหลายพันธุ์ ไม้ผลอร่อยหลากหลายชนิด ดอกไม้กลิ่นหอมหลากหลายสี หาดทรายขาวสวยและปะการังรูปทรงแปลกตา
สิ่งของเหล่านี้ จึงรั่วออกจากถุง เทลงมากองรวมกันที่ประเทศไทย ทั้งหมด
ว้า แย่แล้ว พระเจ้าทรงคิด
ประเทศนี้ท่าทางจะเจริญรุ่งเรืองกว่า ประเทศอื่นๆเป็นแน่
พระเจ้าจึงทรงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุลสิ่งดีๆ ที่ถูกเทมากองรวมกัน
แต่มันก็สายเกินไป เพราะพระองค์ทรงวางภูเขาไฟกับแผ่นดินไหวไว้ที่ญี่ปุ่นไปแล้ว ทรงวางไต้ฝุ่นไว้ที่เวียตนามและที่ฟิลิปปินส์ไปแล้ว
โอว์
ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ ประเทศอื่นๆก็จะหาว่าเรานั้นไม่ยุติธรรม อืมม...จะมีภัยธรรมชาติอันใดอีกน๊ออออ
ที่จะทำให้ประเทศไทย ไม่เจริญไปกว่าประเทศอื่นๆได้
สุดท้ายพระองค์ก็ทรงคิดออก เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ ไม่ให้ล้ำหน้าไปกว่าประเทศอื่นๆ
พระองค์จึงทรงสร้าง นิสัยของคนไทย ให้อยู่คู่กับคนไทยขึ้นมา
ถ้ามีคนไทยอยู่ที่ไหน ละก้อ ต่อให้ที่นั้นๆสมบูรณ์มากขนาดไหน คนไทยก็จะทำให้ที่นั้นๆ ไม่มีวันเจริญไปได้
..
พระเจ้าทรงรู้ความจริงข้อนี้ดี....
อิอิอิ มีเรื่องไหนชอบบ้างครับ? #1, #2, หรือ #3
Create Date : 17 เมษายน 2549 |
Last Update : 17 เมษายน 2549 22:33:04 น. |
|
24 comments
|
Counter : 2283 Pageviews. |
|
|
|
ที่จริง หนทางไปมาระหว่างบ้านอาหญิงกับบ้านสินนั้นก็ห่างกันมาก เพราะอยู่กันคนละอ่าว ยิ่งสมัยเด็กนั้น รถราแถวบ้านสินก็ไม่ค่อยจะมีด้วย จะไปจะกลับแต่ละทีค่อนข้างจะลำบาก แต่สินก็เต็มใจจะไปที่บ้านอาหญิง
ไปก็เพราะจะไปฟังนิทานนี่แหละ
อาหญิงนั้นมีสามคน แต่ละคนก็อยากจะชวนให้สิน(ยังเด็กนะครับ)ไปนอนด้วย ตัวเลือกให้สินจะไปนอนที่เตียงของอาหญิงคนไหน ก็อยู่ที่นิทานอีกนั่นแหละ