รู้จักพริกมากแค่ไหน
รู้จักพริกมากแค่ไหน ท่านเชื่อหรือไหมว่า 1. มีการค้นพบว่าประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่มีการปลูกพริก.......เชื่อ..ไม่เชื่อ!!! 2. ญี่ปุ่นไม่สามารถปลูกพริกได้.......เชื่อ..ไม่เชื่อ!!! 3. พริกขี้หนูไทยจิ๋วแต่แจ๋วเผ็ดอันดับหนึ่งของโลก........เชื่อ..ไม่เชื่อ!!! 4. ความเผ็ดที่สุดของตัวพริกอยู่ที่เมล็ด.......เชื่อ..ไม่เชื่อ!!! 5. สารที่สกัดจากพริกนำไปใช้เป็นยาลดความอ้วนได้แล้ว........เชื่อ..ไม่เชื่อ!!! ถ้าท่านต้องการจะตรวจสอบคำตอบ โปรดอ่านข้างล่างให้ละเอียดหน่อย...... ต่อไปนี้คือความจริง # 1 ข้อมูลพื้นฐานของพริก พริกกับพริกไทย แม้ว่าจะมีชื่อพริกเหมือนกัน รสชาติเผ็ดร้อนทำนองเดียวกัน แต่ถ้านับวงศาคณาญาติดูแล้ว พืชทั้งสองชนิดนี้จะไม่มีความเกี่ยวพันกันเลย ...พริกเป็นผักอยู่ในวงศ์โซลานาซิอี (Solanaceae) วงศ์เดียวกันกับมะเขือเทศ ท่านลองสังเกตแกนกลางดูซิ จะพบว่ามันคล้ายกัน มะเขือเทศ พริกจัดอยู่ในสกุลแคปซิคัม (Capsicum) ซึ่งมีอยู่ด้วยกันประมาณ 25 ชนิด (species) แต่ที่นิยมปลูกกันทั่วไปจะมีเพียง 5 ชนิด (species) เท่านั้น# 2 ถิ่นกำเนิด พริกมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ นักโบราณคดีค้นพบพริกในหลุมศพของชาวเปรูในยุคก่อนประวัติศาสตร์ การแพร่กระจายของพริกในสมัยนั้นเกิดขึ้นได้โดยนก เมื่อนกคาบพริกไป ณ ที่ต่างๆ เมล็ดพริกที่ตกลงมาทำให้พริกต้นใหม่งอกขึ้น ชนเผ่าดั้งเดิมในทวีปอเมริกาใต้และอเมริกากลางรับประทานพริกมานานหลายพันปี ก่อนที่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะสำรวจพบทวีปอเมริกา แถวหมู่เกาะอินเดียตะวันตก และเขาได้นำพืชนี้กลับไปยังประเทศสเปนแทนพริกไทยพืชที่เขากำลังไปค้นหา โดยโคลัมบัสเรียกชื่อพืชใหม่ของเขาว่า พริกแดง (red pepper) ตามลักษณะสีของผลเพื่อเปรียบเทียบกับพริกไทยดำ (black pepper) ต่อมาพริกก็มีการแพร่กระจายไปปลูกยังประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชีย และแอฟริกา เมื่อชาวยุโรปนำเข้าไปยังประเทศนั้นๆ ทั้งในลักษณะล่าอาณานิคมและมีการติดต่อทางการค้า# 3 การปลูกพริก ปัจจุบันพริกมีปลูกทั่วไปในส่วนต่างๆของโลก แต่มีสายพันธุ์แตกต่างกันไป ทำให้ผลของพริกมีขนาด รูปร่าง สี และกลิ่น แตกต่างกัน ที่นิยมปลูกกันมากคือ ในอัฟริกา,บาฮามาส์ และเม็กซิโก พริกชี้ฟ้าที่มีจำหน่ายทั่วโลกส่วนใหญ่ ปลูกมาจาก ประเทศไทย อินเดีย เม็กซิโก ตุรกี ญี่ปุ่น ยูการดา ไนจีเรีย และเอธิโอเปีย พริกสามารถปลูกได้ดีในเขตร้อน ดีกว่าปลูกในเขตอบอุ่น ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ปลูกพริกได้ผลผลิตดี สภาพที่เหมาะกับการปลูก คือ ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี มีอินทรีย์วัตถุปานกลางถึงสูง มีความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) ประมาณ 6.0-6.8 ต้นทุนการผลิต / ไร่ ในสภาพไร่ จะมีราคาถูกกว่าต้นทุนการผลิต / ไร่ในสภาพสวน พริกมีการปลูกโดยทั่วไปในทุกภูมิภาคของประเทศไทย จังหวัดที่มีการปลูกพริกมาก คือ จังหวัดอุบลราชธานี ,ศรีสะเกษ, ขอนแก่น, เลย, กาฬสินธุ์, นครสวรรค์, อุตรดิตถ์, เชียงใหม่, ลพบุรี, พระนครศรีอยุธยา, กาญจนบุรี, นครปฐม, ตราด, สุราษฏร์ธานี, และนครศรีธรรมราช พริกปลอดสารพิษจาก ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎณ์ธานี การเรียกชื่อพริกที่ปลูกกัน จะมีผู้เรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละภาค เช่น ดีปลี ดีปลีขี้นก ปะแกว หมักเพ็ด พริกแด้ พริกซ่อม เป็นต้น พริกที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพริกหวาน ได้แก่ พริกหยวก กับกลุ่มพริกเผ็ด ได้แก่ พริกขี้หนู พริกขี้หนูสวน (พริกชี้ฟ้า บางตำราบอกว่าอยู่ในกลุ่มพริกหวาน)หมายเหตุ : พริกที่พบมากในประเทศไทยได้แก่ พริกชี้ฟ้า (Capsicum annuum Linn.) พริกขี้หนู (Capsicum frutecens Linn.) และ พริกขี้หนูสวน (Capsicum minimum Roxb.) ซึ่งแต่ละชนิดก็แบ่งย่อยเป็นหลายพันธุ์อีก วิธีการปลูก ปลูกโดยการเพาะกล้าด้วยเมล็ด อัตรา 50 กรัม / ไร่ เมื่ออายุ 30 วัน ย้ายลงแปลงเพาะปลูก หลุมละ 1 ต้น ระยะปลูก 80 x 80 ซม.จำนวนต้น / ไร่ 2,500-3,000 ต้น การให้น้ำอาศัยน้ำฝนในสภาพไร่ ควรเลือกช่วงปลูกประมาณเดือนพฤษภาคม หากเป็นในเขตชลประทานให้น้ำแบบพ่นฝอย และควรคลุมฟางเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำในดิน ไม่ควรจะใช้แกลบคลุมดิน เพราะถ้าเกิดการพรวนดินกลบโคน แกลบจะเกิดการสลายตัว พริกจะชะงักการเจริญเติบโตได้ การเก็บเกี่ยวพริก เริ่มเก็บเกี่ยวครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ 100-120 วัน โดยเก็บเกี่ยวผลที่ห่ามไปถึงสุก ผลผลิตที่เก็บได้ควรนำไว้ในที่ร่มและไม่ควรกองสุมกัน เพราะอาจจะทำให้เกิดการเน่าเสียได้ # 4 การบริโภคพริก คนไทยบริโภคพริกอย่างกว้างขวาง บางคนกินเผ็ดมาก บางคนกินเผ็ดปานกลาง บางคนกินเผ็ดน้อย แต่มีเหมือนกันที่บางคนไม่ยอมกินเผ็ดเลย แต่มีอยู่จำนวนน้อย เพราะแกง ต้มยำ ยำ รวมทั้งน้ำจิ้มต่างๆของอาหารคาวไทยประกอบขึ้นมาจากพริกทั้งนั้น พริกมีรูปร่างของผลที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งยาวรี กลม หรือบุบบู้บี้ สำหรับตามขนาดผล มีตั้งแต่ไม่ถึงนิ้วจนกระทั่งถึงหลายนิ้ว หรือทรงกลมขนาดเท่าหัวแม่มือ ส่วนสีสันก็มีมากมาย เช่น สีเขียว แดง ม่วง เหลือง ส้ม ขาว ความนวลที่ผิวของผลพริกนั้นขึ้นอยู่กับพันธุ์หรืออายุ ส่วนความเผ็ดกลับไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับขนาดของผล เช่น พริกขี้หนูมีรูปร่างยาวรี ขนาดเล็กแต่เผ็ดร้อน แม้จะมีขนาดผลเล็กแต่ก็มีฤทธิ์ของความเผ็ดมาก ต่างกับพริกหยวกที่มีขนาดยาวและใหญ่กว่า กลับเผ็ดน้อยกว่า ผลพริกสามารถกินได้ทั้งในรูปสด หรือแห้ง หรือในรูปปรุงแต่ง เช่น พริกดอง พริกเผา หรือพริกแกง อาหารไทยนั้นมีชื่อเสียงในด้านรสชาติกลมกล่อมบวกความเผ็ด และพริกก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้อาหารไทยโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งต้มยำกุ้ง ส้มตำ แกงเขียวหวาน และผัดไทย ล้วนแล้วแต่มีพริกประกอบอยู่ในอาหารทั้งสิ้น ผลผลิตของพริกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะใช้เพื่อบริโภคในครัวเรือน และเพื่อการอุตสาหกรรม พบว่าพริกมีการส่งออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในรูปพริกแห้ง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกเผา และน้ำพริกแบบต่าง ๆ อย่างไรก็ตามประเทศไทยเราก็ยังมีการนำเข้าพริกจากต่างประเทศด้วย ในลักษณะพริกแห้งเม็ดใหญ่ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค คนหลายๆชาติ ก็ใช้พริกเป็นส่วนประกอบในอาหารเช่นเดียวกันกับคนไทย มีรายงานว่า คนอเมริกัน บริโภคพริก 1.5 มิลลิกรัม / คน / วัน คนอินเดีย บริโภคพริก 2.5 กรัม / คน / วัน คนไทย บริโภคพริก 5 กรัม / คน / วัน คนเม็กซิโก บริโภคพริก 20 กรัม / คน / วัน # 5 ในพริกมีอะไร 1. พริกมีวิตามิน C สูง เป็นแหล่งของกรด ascorbic acid ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหาร เพื่อให้ดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น ช่วยร่างกายขับถ่าย ของเสีย และช่วยนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อของร่างกาย (tissue) พริกขี้หนูสดและพริกชี้ฟ้าสด มีปริมาณวิตามิน ซี 87.0 - 90 มิลลิกรัม / 100 g 2. พริกมีสารเบต้า แคโรทีน หรือวิตามิน A สูง สังเกตที่ผิวของพริกจะมีสีสันสดใส ทั้งเขียว เหลือง แดง (พริกขี้หนูสดมี 140 .77 RE ) 3. พริกมีสารสำคัญอีก 2 ชนิด ได้แก่ Capsaicin และ Oleoresin โดยเฉพาะสาร Capsaicin ที่ นำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และผลิตภัณฑ์รักษาโรค ในอเมริกามีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในชื่อ Cayenne สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร 4. Capsaicin ยังมีคุณสมบัติ ลดความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ หัวไหล่ แขน บั้นเอว และส่วนต่างๆของร่างกาย มีผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายทั้งชนิดเป็นโลชั่นและครีม ( Thaxtra - P Capsaicin) แต่การใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะมีผลกระทบต่ออาการหยุดชะงักการทำงานของกล้ามเนื้อได้เช่นกัน เพื่อความปลอดภัย USFDA ได้กำหนดให้ใช้สาร capsaicin ได้ ที่ความเข้มข้น 0.75 % เมื่อใช้เป็นยารักษาโรค 5. สีของพริกมีหลากหลายสี มีทั้ง เขียว แดง เหลือง ส้ม ม่วง และสีงาช้าง โดยเฉพาะเมื่อนำไปปลูกในเขตร้อนชื้นที่ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน จะมีสี( colorant) ที่สดใสมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ทั้งการปรุงแต่งรสชาติและสีสัน(colouring spice) รวมทั้งแนวโน้มในอนาคต การผสมสีในอาหารจะมาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ด้วย # 6 พริกลดความอ้วนได้จริงหรือ หลายคนมองหาสมุนไพรตามธรรมชาติมาใช้เพื่อลดความอ้วน สารสกัดจากพริกก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีการชักชวนให้ใช้ จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ซึ่งถูกกล่าวอ้างว่า จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหารได้ แต่จริงๆแล้วจากการศึกษาพบว่า Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้เพียงประมาณ 200 กิโลแคลอรี่เท่านั้น และพบว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ด จะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรือการใช้อุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการยืนยันว่า การใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลต่อการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ # 7 ทำใมพริกจึงเผ็ด ในพริก สารเคมีที่ชื่อว่า แคปไซซิน (capsaicin)เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้พริกเผ็ด แคปไซซินเป็นสารหลักของสารในกลุ่มแคปไซซินอยด์ (capsaicinoids) ซึ่งสารในกลุ่มนี้นอกจากแคปไซซินแล้ว ยังมีไฮโดรแคปไซซิน (hydrocapsaicin) ซึ่งเป็นสารให้ความเผ็ดเช่นเดียวกัน แต่เผ็ดน้อยกว่า โดยทั่วไปแคปไซซินอยด์จะประกอบด้วยแคปไซซิน 70% และไฮโดรแคปไซซิน 22% และสารอื่นๆ อีก 8% เผ็ดนั้นเผ็ดแค่ไหน ผู้ที่บุกเบิกการวัดค่าความเผ็ดของพริกเป็นคนแรก คือ วิลเบอร์ สโควิลล์ (Willbur Scoville) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน เมื่อปี พ.ศ. 2455 วิธีการนั้นคือการทำให้สารละลายที่สกัดได้จากพริกเจือจางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งสารละลายนั้นไม่มีความเผ็ดเหลืออยู่เลย พร้อมกับจดบันทึกว่า ต้องทำการเจือจางทั้งหมดกี่ครั้ง ถ้ามีการเจือจางมากครั้งก็แสดงว่าพริกนั้นเผ็ดมาก ถ้าเจือจางน้อยครั้งก็แสดงว่าเผ็ดน้อย วิธีการวัดดังกล่าวได้รับความนิยมเรื่อยมา จนกระทั่งในระยะหลังได้มีการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า เอชพีแอลซี (HPLC - high pressure liquid chromatography) เข้ามาช่วยวัด โดยเครื่องมือดังกล่าวนี้ จะวัดปริมาณของสารแคปไซซินในพริกแต่ละชนิดโดยตรง และจากการใช้เครื่องมือวัดความเผ็ดนี้ ทำให้สามารถแยกแยะพริกได้ตามความเผ็ด ดังนี้เผ็ดอันดับที่หนึ่ง ฮาบาเนโรแดง ซาวีนา (Red Savina Habanero) มีความเผ็ดมากที่สุด ระดับ 580,000 หน่วย นับว่าเผ็ดที่สุดในโลก ปลูกแพร่กระจายในอเมริกากลางและอเมริกาใต้เผ็ดอันดับที่สอง ฮาบาเนโร (Habanero) มีความเผ็ดมากๆ ระดับ 200,000-500,000 หน่วย ปลูกแพร่กระจายในอเมริกากลางและอเมริกาใต้พริกขี้หนู เผ็ดอันดับที่สาม พริกขี้หนู (Thai Bird Pepper) พริกสก็อต บอนเนท (Scotch Bonnet) และพริกจาเมก้า (Jamaica Hot) มีความเผ็ดมาก ระดับ 100,000-350,000 หน่วย เผ็ดอันดับที่สี่ พริกชี้ฟ้า (Cayenne) มีความเป็นพริกเล็กน้อย-ปานกลาง ระดับ 30,000-50,000 หน่วย เผ็ดอันดับที่ห้า พริกหยวก หรือ พริกหวาน (Bell Pepper หรือ Italian Sweet) เป็นพริกที่ไม่เผ็ด มีความเผ็ดเป็น 0-30,000 หน่วย หมายเหตุ : จขบ.เพิ่งทราบจากการค้นคว้ามาเขียนครั้งนี้ ว่า พริกขี้หนู มีสายพันธ์ Capsicum frutescens L. คำว่า frutescens หมายถึง เป็นพุ่มเตี้ย (shrubby of bushy) พริกเด่นในกลุ่มนี้ ได้แก่ พริกทาบาสโก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตซอสพริกทาบาสโกอันเลื่องชื่อ และพริกขี้หนูของไทย
โฮะโฮะ สองพริกที่ดังคนละมุมโลก เป็นสายพันธ์เดียวกัน ส่วนพริกชี้ฟ้า มีสายพันธ์ Capsicum annuum L. คำว่า annuum แปลว่า รายปี หรือประจำปี เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกทั่วโลก สามารถผสมข้ามพันธุ์ได้ง่าย ทำให้มีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น พันธุ์นิวเม็กซิโก พันธุ์จาลาปีโน (Jalapeno) พันธุ์เบลล์ (Bell) พันธุ์แวกซ์ (Wax) พันธุ์ที่คนไทยรู้จักกันดี คือ พริกชี้ฟ้า
..สรุปคือ พริกชี้ฟ้า เป็นคนละสายพันธ์กับพริกขี้หนู# 8 ตรงไหนของพริกที่เผ็ด ส่วนใหญ่บริเวณที่พบสารแคปไซซินที่ผลพริก จะอยู่บริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว หรือเรียกว่า "รก" (placenta) ส่วนของเนื้อผลพริก เปลือกผล และเมล็ดนั้น จะมีสารแคปไซซินอยู่บ้างแต่น้อยมาก ซึ่งคนทั่วไปมักจะคิดว่า เมล็ดคือส่วนของพริกที่เผ็ดที่สุด เยื่อแกนกลางของพริกที่เผ็ดสุด ปริมาณของสารแคปไซซิน จะมีความแตกต่างกันออกไปตามชนิดและสายพันธุ์ของพริก กล่าวคือ ปริมาณของสารแคปไซซิน มากน้อยเรียงตามลำดับ ดังนี้ พริกขี้หนู 18.2 ppm. (ส่วนในล้านส่วน) พริกเหลือง 16.7 ppm. พริกชี้ฟ้า 4.5 ppm. พริกหยวก 3.8 ppm. พริกหวาน (พริกยักษ์) 1.6 ppm. อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพริกจะเผ็ด แต่ปริมาณสารแคปไซซินที่พริก ก็ไม่ได้มีมากมายหรอก เพราะว่าพริกที่มีสารนี้เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เผ็ดได้ ตัวอย่างเช่น พริกชี้ฟ้า 1 กิโลกรัม จะสามารถสกัดสารแคปไซซินออกมาได้เพียง 2.13 กรัมเท่านั้น # 9 การแก้ไขเมื่อเผ็ด เนื่องจากสารแคปไซซินสามารถละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย แต่ละลายได้ดีในไขมัน ในน้ำมัน และในแอลกอฮอล์ ดังนั้นถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปาก ควรดื่มแอลกอฮอล์หรือกินอาหารที่มีไขมันหรือน้ำมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะน้ำที่ดื่มมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น ความเผ็ดยังไม่ได้ลดลง เพราะว่าน้ำไม่สามารถทำละลายสารแคปไซซินได้ดีนัก อีกอย่าง ความเผ็ดร้อนในปากสามารถลดลงได้ ด้วยอาหารที่มีมะเขือเทศ และอาหารที่มี casein เช่น นม และการรับประทานเกลือ# 10 สารพัดประโยชน์จากพริก 1. ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ทำให้การหายใจสะดวกสบาย สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดนํ้ามูกหรือสารกีดขวางระบบการหายใจ อันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ และยังช่วยบรรเทาอาการไอ ด้วยเหตุนี้สารแคปไซซินจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของยาหลายชนิด 2. ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด พริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดี และช่วยลดความดัน เพราะสารพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง เพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น 3. ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเทอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเทอรอลชนิดไม่ดี (LDL-low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้สร้างคอเลสเทอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) 4. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง พริกเป็นพืชที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามีนซีมากๆ จะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ 5. ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด มนุษย์เรารู้จักใช้พริกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดมาแต่โบราณกาล เช่น ลดการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้ทาบรรเทาอาการปวด อันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงที่เกิดบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาท์หรือโรคข้อต่ออักเสบ 6. ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียซึ่งปนเปื้อนในอาหารได้ 7. ช่วยเสริมสร้างสุขภาพดีและอารมณ์แจ่มใส สารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้น 8. พริกเพื่อการป้องกันตัว ในราว พ.ศ. 2528 ได้มีการผลิตสเปรย์ป้องกันตัวโดยใช้พริกเป็นส่วนประกอบสำคัญ สเปรย์ดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่การฉีดเข้าตาโดยตรงจะมีผลทำให้ตามองไม่เห็นเป็นเวลาสองสามนาที ซึ่งนานเพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ 9. พริกใช้ไล่แมลงวัน กรีดผลพริกชี้ฟ้าสด ผ่าออกเสียบเอาไว้กับไม้เสียบแหลมๆหลายๆชิ้น ปักไม้เอาไว้บริเวณที่ตากปลาเค็ม ปลาสลิด กุ้งแห้ง หมูหรือเนื้อแดดเดียว เพื่อไล่แมลงวันไม่ให้มาตอม สิ่งของที่ตากไว้ 10. ใช้พริกช่วยตกแต่งประดับอาหารในถ้วย ทำให้อาหารมีสีสันสวยงาม ดูน่ารับประทานจากคำถามข้างบนสุด ถ้าท่านตอบ ไม่เชื่อๆๆๆๆ ทุกข้อ ก็แปลว่าท่านรู้จักพริก ระดับพระอาจารย์ แล้วครับ...ขอปรบมือให้ โดย yyswim
Create Date : 20 ตุลาคม 2549
Last Update : 20 ตุลาคม 2549 16:32:40 น.
53 comments
Counter : 15766 Pageviews.
โห ได้ความรู้เพิ่มตั้งเยอะแน่ะ
พึ่งรู้นะคับว่าพริกเป้นตระกูลเดียวกับมะเขือเทศ เป้นไปได้ไงหว่า
ไปล่ะคับ ทนไม่ไหวแล้ว อยู่นานๆแล้วแสบลิ้น
ต้องรีบไปดื่มน้ำก่อน เผ็ดจิงๆๆ