พังงา
พังงา
กรุงเทพในเดือนมิถุนายน เป็นช่วงฤดูฝน มีสายฝนฉ่ำฟ้าในบางเวลา แต่ก็ตกทั่วฟ้าทั่วทุกบ้านและทั่วทุกเขต
พังงา จังหวัดหนึ่งทางทะเลฝั่งอันดามัน ซึ่งปกติจะมีฝนตกบ่อยอยู่แล้ว ยิ่งฤดูฝนช่วงนี้ จะยิ่งมีเมฆฝน ครึ้มทมึน ดูๆก็น่ากลัวอยู่ บางวันจะมีฝนตกหนัก คลื่นทะเลแถวๆชายหาดในตอนเช้าและตอนย่ำค่ำจะสูงถึง 1 เมตร
นับเป็นช่วงโลว์ซีซั่น สำหรับการท่องเที่ยวของ จ.พังงาโดยแท้
เรือนำเที่ยวไปดำน้ำ ไปดูปลาแถวเกาะสิมิลัน และหมู่เกาะสุรินทร์(หมู่บ้านชาวมอแกน) ช่วงนี้จะหยุดให้บริการชั่วคราว กิจกรรมริมหาดสวยๆแถวเขาหลัก ซึ่งปกติจะมีคนนั่งและนอนอยู่หนาตา (ลักษณะการนั่งและนอน จะแบบสงบเงียบ เพราะจ.พังงาเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ จะไม่มีร่มริมชายหาด จะไม่มีเจ็ทสกี บัลลูน หรือบานาน่าโบ๊ต) ...ในช่วงนี้ชายหาดจะร้างผู้คน จะมีคนเดินเล่นที่ชายหาด แทบจะนับคนได้
ช่วงนี้ โรงแรมทุกโรงแรมต่างลดราคาค่าห้องลงมา จากหลักหลายๆพันบาท หรือระดับสองหมื่นบาทเศษ ก็จะเหลือเพียงระดับพันบาทเศษๆ หรือเพียง 3-4 พันบาทเท่านั้น
ใครคิดอยากจะไปเทียบชั้นมหาเศรษฐี ได้นั่งและนอนบนห้องพักหรูๆ ผ้าปูที่นอนขาวสะอาด ฟูกหนานิ่มเหลือเกิน ก็ไปในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม นี้แหละ
ไม่ควรจะพลาด
ผมบังเอิญได้ไปพังงาในช่วงนี้ ได้นอนพังงา 3 คืน ใน 2 โรงแรมระดับห้าดาว ห้องพักเนี๊ยบมาก บริการของโรงแรมก็แสนจะวิเศษ ยิ้มแย้มและให้เกียรติราวกับผม เป็นแขกวีไอพี ทั้งๆที่ราคาค่าห้อง ซึ่งนอนกันห้องละ 3 คนรวมอาหารเช้า เพียงราคา 1,900 บาทเศษ และอีกโรงแรมหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รวมอาหารเช้า ราคาเพียง 1,500 บาทเท่านั้น
บริเวณโรงแรม พวกบ้านเป็นหลังๆ นี่แหละ ที่ราคาในช่วงไฮ ซีซั่น จะต้องจอง และราคา 2 หมื่นบาทเศษ
แต่ผมพัก ชั้นสูงกว่านั้น อิอิ ...อยู่ชั้นสาม ราคาปกติ 5,500 บาท การตกแต่งห้องพักบนชั้นสาม และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้อง ก็มีครบและหรู คล้ายๆกับแบบห้องที่เป็นบ้านครับ มีกาแฟให้กินฟรีด้วย
เพียงแต่แบบห้องพักที่เป็นบ้าน เนื้อที่ห้องจะกว้างกว่า มีห้องรับแขกแยกจากห้องนอน มีตู้เสื้อผ้าใหญ่กว่า มีทีวีจอใหญ่กว่า เตียงก็ใหญ่กว่า ... อ้อ และที่อาบน้ำก็มีทั้ง แบบอาบภายในอ่างอาบน้ำ อาบจากฝักบัวภายในห้องน้ำ และก้อ ยืนอาบกลางแจ้งท่ามกลางแสงจันทร์แสงดาวและพันธ์ไม้ โฮะโฮะ
นี่ไง สระว่ายน้ำใสแจ๋ว ว่ายซะชุ่มช่ำใจ
ร้านอาหารอร่อยๆดังๆ แถวจ.พังงา ที่ปกติแต่ละโต๊ะจะต้องรอคิวอาหารนานเกินครึ่งชั่วโมง ช่วงนี้ จะไม่ต้องรอคิวเลย สั่งปุ๊บก็จะได้กินปั๊บ เพราะมีคนไปกินกัน แค่จอดรถหน้าร้านเพียง 3-4คัน หรือแค่ 3-4 โต๊ะเท่านั้น
อาหารยังสด และอร่อยเหมือนเดิม ... โฮะโฮะ แต่ราคาอาหาร ไม่ยัก กะลด เหมือนราคาห้องพักในโรงแรม
แกงส้มปลากะพง ผักรวม
ผัดสะตอใส่กะปิ
ทอดมัน
ต้มกะทิผักเหมียง
น้ำพริกกุ้งเสียบ
ไข่เจียวปู
และเย็นวันหนึ่ง ได้โอกาสไปกิน ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ กัน ..ผมชอบกินขนมจีน ที่ใส่น้ำยาเลนๆ(น้ำยาใส่แฉะๆ)กับผักดองเยอะๆ แต่ผักสดก็สนใจนะครับ
ส่วนเพื่อนๆ เธอชอบกินขนมจีนน้ำยาปูไข่ เห็นชิ้นปูม้าในจานขนมจีนคนละ 1 ชิ้น ... แต่เขาไม่ยอมให้ถ่าย หุหุ เขาบอก กำลังหิว อย่าจุ้น
หากใครมีโอกาสได้ไปพังงาในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม นอกจากจะได้เป็นราชาในโรงแรมหรูๆแล้ว ใครที่ไปช่วงเดือนนี้ ยังจะได้กินผลไม้สดอร่อยจากในสวน เขาขายกันมากมาย ริมถนน อย่างราคาถูกมากๆด้วย
จะได้เป็นเจ้าชายเจ้าหญิง บนกองผลไม้ ก็ตอนนี้ละ
กินกันเปรม อุราเลยยย
เงาะโรงเรียน กิโลละ 10 บาท
มังคุด กิโลละ 12-13 บาท มังคุดนี่ ภายในรถแทบจะมีอยู่เต็มรถ และตลอดเวลา เพราะทุกคนชอบกินมังคุด กินจนจะอิ่มแทนข้าวอยู่แล้ว รถจอดที ต้องทิ้งเปลือกมังคุดที อุอุ
หนามแบบนี้ ผมไม่ทราบว่ากิโลละเท่าไร เพราะไม่มีใครสนใจทุเรียนสักคนเดียว คงจะเหม็นรถ และล้างมือลำบาก ครั้นจะนำเข้าไปกินในโรงแรม เขาก็ห้าม
มีใครสนใจลางสาด และแตงโมบ้าง
อุอุ เงียบ!!! ไร้คนเหลียวมอง
สะตอสดๆ เก็บมาจากสวน 100 ฝักราคาขาย 220 บาท ขายกันริมถนนเลย ...ซื้อกันแทบทุกคนครับ ..แปลกดี!!! หลังจากที่แต่ละคนได้ทานผัดสะตอ และสะตอกับน้ำพริกกะปิ แค่ 5 วันเอง
ผักเหมียง และกะปิ ก็มีคนซื้อกลับกรุงเทพครับ
..
วันใดฟ้าเปิด พอจะมีแดดบ้าง นักท่องเที่ยวก็จะออกไปเที่ยวในอ่าวพังงา เช่น เกาะปันหยี เขาตะปู เขาพิงกัน และถ้ำลอด มีบ้างที่นั่งเรือหางยาว และมีบ้างที่พายเรือคะยัค
ผมเอง พอเสร็จจากงานราชการ ผมก็ออกไปเที่ยวพร้อมๆกะเพื่อนด้วย ไม่ได้ไปดำน้ำหรอกครับ แค่ออกไปนั่งเรือหางยาวเล่น ไปที่เขาตะปู เขาพิงกัน แต่ไม่ได้ขึ้นเกาะ แค่ถ่ายรูปจากบนเรือหางยาวเท่านั้น แล้วก็จะรีบไปถ้ำลอด
ที่ถ้ำลอด ก็ถ่ายรูปจากเรือหางยาวเช่นกัน ตอนนั้นเรือกำลังโคลงเคลงไปมาได้ที่ทีเดียว น่าจะมีคนอ๊วกบ้าง แต่เปล่าเลย มัวสนุกกับการผลัดกันถ่ายรูปไปมา เธอมั่ง ฉันมั่ง ตอนนั้นเรือหางยาวดับเครื่อง ให้พวกเราได้ถ่ายรูป
บนเกาะปันหยี ได้จอดเรือและขึ้นไปรับประทานอาหารและซื้อของ มีพวกสร้อยคอมุก ปลาเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาหมึกแห้ง ผมไม่ได้ซื้ออะไรครับ เพราะยังจะต้องไปทำงานต่อที่ระนอง
ถ้ำพุงช้าง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจ.พังงาที่ผมประทับใจ และขอแนะนำเพื่อนๆว่า หากใครมีโอกาสไปเยือนจ.พังงา ควรจะพยายามหาโอกาสไปเที่ยวที่นี่
. ผมว่าที่นี่ เป็นอันซีนของเมืองไทยแห่งหนึ่งได้ทีเดียว
ความสวยมหัศจรรย์ภายในถ้ำ ยังคงสภาพแบบดั้งเดิม ธรรมชาติมากๆ หินงอกหินย้อยมีขนาดใหญ่โตกว่าที่อื่น บางชิ้นแผ่พลิ้วและบางราวกับผืนผ้าไหม บางชิ้นงอกยาวแหลมและทิ่มตรงราวกับคมหอกคมดาบ บางชิ้นก็ลดหลั่นเป็นชั้นๆราวกับบัลลังก์ บางชิ้นก็ขรุขระ งอกแบบไร้มิติที่แน่นอน มองดูคล้ายโขลงช้าง คล้ายหญิงสาว คล้ายหลวงจีน คล้ายนก คล้ายปลา แล้วแต่ใครจะจินตนาการมองออกเป็นอย่างไร
ถ้ำแห่งนี้มืดสนิท ไร้ซึ่งแสงสว่างใดๆ หากดับไฟฉายที่ทุกคนนำเข้าไป ถ้ำแห่งนี้ก็จะมืดและเงียบ สาเหตุเพราะทุกคนกำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางของใต้ภูเขานั่นเอง
เมื่อรถตู้มาถึงเขาช้าง
น่าเสียดายครับ เขาห้ามถ่ายภาพเด็ดขาดภายในถ้ำ เพราะหินย้อยหินงอกยังมีชีวิต อีกอย่างในถ้ำมืดมาก และมีน้ำหยด กับจะต้องลุยน้ำ ...กล้องคงจะสะบักสะบอมหากนำเข้าไป
การไปถ้ำแห่งนี้ หากใครจะไปเองแบบไม่มีคนนำทาง ผมขอบอกว่า ไม่ควรจะกระทำนะครับ เพราะจะเสี่ยงอันตรายเกินไป หากพลาดพลั้งก้าวเท้าลงในน้ำลึก แล้วไฟฉายบังเอิญดับหรือพลัดหล่นหาย หรืออาจจะไฟฉายดับเพราะถ่านหมด ....คราวนี้ละรอบข้าง จะมืดสนิท ...ซึ่งอาจจะหลงทางกลับออกมาไม่ได้ และอาจจะเดินชนหินสะดุดหินได้ง่ายมาก ....ขนาดคนนำทางเอง เขายังบอกผมว่า หากให้เขาเข้ามาเพียงคนเดียว เขายังไม่กล้าเลย ที่เขากล้าเข้ามานี่ ก็เพราะมีพวกเราเข้าไปด้วย .......โฮะโฮะ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
การไปเที่ยวชมถ้ำพุงช้าง นักท่องเที่ยวไม่ว่าไทย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี(ตอนนี้ฝรั่งเริ่มจะรู้จักและเข้าไปเที่ยวมากขึ้น) กระทำโดยจ้างคนนำทางครับ ซึ่งจะมีให้บริการอยู่บริเวณปากถ้ำ การนำทางทำโดยเด็กหนุ่มๆวัยประมาณ 20 เศษ ซึ่งจะเล่าโน่นเล่านี่ไปตลอดทาง จริงบ้างเท็จบ้าง มั๊ง?
ค่านำเที่ยวเสียเป็นรายคน คนละ 200 บาท ใช้เวลาอยู่ในถ้ำราวชั่วโมงเศษ ทั้งนี้จะมีไฟฉายให้ยืมคนละดวง ไว้ส่องดูผนังถ้ำ ดูเพดานถ้ำ ซึ่งจะมีค้างคาวนับร้อย และมีพันธ์ค้างคาวที่คนนำทางบอกว่า เล็กที่สุดในโลก อยู่ในถ้ำแห่งนี้
ไฟฉายบางครั้งจะต้องไว้ส่องทางเดินในน้ำ ....ถูกแล้วครับ ...การเที่ยวถ้ำพุงช้าง จะมีบางช่วงที่ทุกคนจะต้องเดินด้วยเท้า ในลำธารน้ำใสและเย็นเจี๊ยบ แต่บางช่วงก็จะได้นั่งเรือแคนู และบางช่วงก็จะได้นั่งบนแพไม้ไผ่ อุอุ ชัวร์ ทำกันในท่ามกลางความมืด
จ่ายเงินค่านำทางแล้วก็เดินตรงไปที่ปากถ้ำ
ถ้ำพุงช้าง เป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่ และเป็นหินงอกหินย้อยที่ยังมีชีวิต เพราะถ้ำแห่งนี้อยู่ภายในภูเขา ความยาวของถ้ำประมาณ 1,200 เมตร คดเคี้ยวไปตามความยาวของกลางภูเขา ชื่อว่า ภูเขาช้าง ปากถ้ำอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออก บริเวณใกล้ส่วนหัวของภูเขา ส่วนด้านก้นถ้ำซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก อยู่บริเวณส่วนท้ายของภูเขาลูกเดียวกัน
พื้นของถ้ำจะมีลำธารไหลผ่านตลอด ไม่มีตอนใดเลยภายในถ้ำที่จะยืนบนที่แห้ง พื้นถ้ำบางช่วงจะมีน้ำลึก ถ้าอยู่บริเวณปากทางเข้าถ้ำก็จะใช้เรือยาง แต่ถ้าอยู่ลึกเข้าไป ท่ามกลางความมืดภายในถ้ำ ก็ใช้แพไม้ไผ่
ข้างในถ้ำจะมืด และเงียบ อาจจะมีเพียง เสียงของหยดน้ำที่จะไหลหยดตลอดเวลาจากบนเพดานถ้ำ หยดลงมาจากหินย้อย หยดลงสู่หินงอก หินงอกหินย้อยจึงยังมีชีวิตอยู่ตลอดทั้งปี
.น้ำในลำธารพื้นถ้ำ และน้ำที่หยดจากบนเพดานถ้ำและแถวผนังถ้ำ เป็นน้ำใต้ดินที่มีอยู่ตลอดทั้งปีภายใน ภูเขาช้าง
ผมถามคนนำทางว่า เคยสังเกตว่ามีน้ำมากขึ้นกว่าเดิม บ้างมั๊ย?
คนนำทางบอกว่า มี แต่ไม่ได้ไหลบ่าลงมาทันทีแบบน้ำป่า แต่จะค่อยๆเอ่อสูงขึ้นเรื่อยๆ หากมีฝนตกต่อเนื่องหลายๆวัน ช่วงเวลาแบบนั้น ก็จะหยุดให้บริการชั่วคราว
ระหว่างการนำทาง ผมสังเกตว่า คนพายเรือไม่ค่อยจะตอบอะไร มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อนของผม มอบขวดน้ำดื่มให้เขา พอเขาพูด ผมจึงถึงบางอ้อ อ้อ เป็นคนงานพม่า
ความมหัศจรรย์ของถ้ำพุงช้างอีกอย่าง ก็คือ ถ้านี้อยู่ใกล้ชุมชนมาก อยู่ในตัวเมืองของจ.พังงาเลย แม้ฝนจะตก แม้แดดจะร้อน ก็สามารถไปเที่ยวที่นี่ได้ จะไปตอนเช้าก็ได้ จะไปตอนบ่ายก็ได้ หรือจะไปตอนเย็น ตอนใกล้พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว ก็ยังได้(แต่ต้องนัดกับคนนำทางเอาไว้ก่อนนะครับ)
เพราะในถ้ำแห่งนี้ ไม่ต้องการแสงไฟ และไม่ต้องการเวลา
ไปเวลาไหนๆ ไปตอนอากาศข้างนอกจะเป็นอย่างไร ข้างในถ้ำก็สวยงามเท่าเทียมกัน
สมัยเมื่อเริ่มเปิดถ้ำพุงช้างใหม่ๆ ประมาณเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ผมเคยไปกับเพื่อนๆรวม 4 คน จ้างคนนำทางไป 1 คน(ค่าจ้างสมัยนั้น จ่ายให้คนนำทาง คนละ 20 บาท) สมัยนั้นตรงปากถ้ำ จะมีแต่แพไม้ไผ่ นอกนั้นเดินลุยด้วยเท้าประการเดียว บางช่วงที่เป็นน้ำตื้น ก็เดินทอดน่องสบายๆ เสียงย่ำเท้าในน้ำตื้น ท่ามกลางความมืด เสียงจะก้องภายในถ้ำ ราวกับมีคนกำลังเดินตาม
..บรื๊อส์ส์ส์
แต่ในบางช่วง พวกเราจะต้องเดินลงในน้ำลึก ลึกถึงลำคอทีเดียว เดินไปก็ต้องคอยเขย่งปลายเท้าไป สำหรับไฟฉายนั้นจะต้องคอยยกชูไว้เหนือศีรษะ เพราะเป็นอาวุธสำคัญกว่าเสื้อผ้าหรืออื่นๆ โชคดีที่วันนั้น ก่อนจะเข้าถ้ำ คนนำทางแนะนำให้เก็บกระเป๋าตังค์และนาฬิกาไว้ที่รถเสียก่อน
เขาบอกว่าไม่ต้องกลัว ถึงจะลึกก็ไม่ท่วมหัว
อุอุ แต่ไม่ได้บอกว่า ลึกถึงลำคอ
หูยยย
.วันนั้น ทั้งหนาวทั้งสนุก
เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเธอบอกว่า ขอเกาะแขนผมด้วย เธอเกาะไปตลอดทางเลย เธอบอกว่า ไม่ไว้ใจคนอื่น
ฮึฮึฮึ ....เสียงใครไม่รู้ คำรามอยู่ในความมืด
พวกเราทั้ง 5 คนในวันนั้น เดินในถ้ำกันอย่างทุลักทุเล คนนำทางก็คงจะเป็นมือใหม่หัดนำเข้าถ้ำ ด้วยมั๊ง? เพราะเห็นแกนำทางแบบจะก้าวไปแต่ละก้าว แกก็ปอดๆ ว่า จะเจอน้ำลึกข้างหน้ารึเปล่า? พวกเราทั้ง 4 คนก็เกร็งและลุ้น กับท่าทางของแกที่เดินอยู่ข้างหน้า
จะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก ...โหยยย มันเกร็งสุดๆ พร้อมกับช่วยส่องไฟนำทางให้แกเดิน พร้อมภาวนาว่า ขอให้แกเดินไปถูกเส้นทางและปลอดภัยด้วยเถิด
.เพราะหากแกเป็นอะไรไป ใครล่ะจะนำทางออกมา รอบๆข้างนั้นมืดมากกก เรื่องความมืดนี่ ไปครั้งหลัง ก็ยังคงมืดเท่ากัน คือมืดแบบไม่เห็นอะไรเลย แม้แต่นิ้วมือตนเองที่ยกขึ้นตรงหน้า ก็มองไม่เห็น
จนถึงสุดปลายทางของถ้ำอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งเมื่อใกล้ อีกสัก 50 เมตรจะถึงปลายทางของถ้ำ ก็จะเริ่มเห็นแสงอาทิตย์ยามบ่าย แบบแสงเรื่อๆไรๆ ... อูว์ว์ว์ ดีใจครับ ราวกะรู้ว่า ไม่ตายแล้ว
ที่ปลายถ้ำ เป็นป่า ต้นไม้ต้นใหญ่พอสมควร แต่คิดว่าคงจะมีคนมาจับจองป่าไปแล้ว เพราะได้กลิ่นเผาตอไม้ อยู่แถวนั้น พวกเรานั่งพักเหนื่อยกันราวๆ 10 นาที แล้วก็เดินย้อนกลับเข้าในถ้ำทางเดิม ท่ามกลางความเงียบและความมืด แต่เป็นอันซีนที่อัศจรรย์ แบบที่ไม่เคยลืมเลือน และอยากจะบอกต่อๆกันให้ทราบ
ตอนที่ผมกำลังนั่งทำงานให้คำปรึกษา อยู่ที่พังงานั้น
มีน้องคนหนึ่งที่ทำงานอยู่บนกระทรวงเข้ามาสะกิดถาม พี่ พี่ ถ้าให้เลือก ไปถ้ำลอด กับไปถ้ำพุงช้าง แค่ที่เดียว พี่ว่าควรจะไปที่ไหนดี?
ผมตอบแบบไม่ลังเลเลย ไปถ้ำพุงช้างเลยน้อง
หุหุ แต่เสียดายมาก ไปครั้งหลังนี้ คนนำทางไม่ยักกะนำทาง ไปจนถึงปลายถ้ำอีกด้านหนึ่ง เขาบอกว่า มันอันตรายมากกกก
เอ รึว่า จะมีปลาดุกตัวเท่าแขน อยู่ในน้ำลึก ภายในถ้ำจริงๆ (ดังที่มีคนกระซิบบอก) ...แต่ที่เห็นกับตาของผม ...ผมเห็นจริงๆตอนเดินอยู่ในถ้ำในครั้งนี้ ก็คือ เห็นปลาคาร์ฟตัวขนาดเท่าแขน สีส้มทั้งตัว ว่ายอยู่แถวเท้าของผมขณะที่กำลังย่ำลำธารอยู่ เห็นแค่ตัวเดียวครับ อยู่บริเวณน้ำตื้น ไม่ใช่บริเวณน้ำลึก มันคงจะกินขี้ค้างคาวเป็นอาหาร
ส่วนบริเวณน้ำลึก คนนำทางไม่ให้ใครลงไปเดิน และเขาเองก็ไม่ยอมลงไปเดิน เช่นกัน
เบื่ออ่านหรือยังครับ?
รถตู้ ขับผ่านป้าย ..เส้นทางหนีคลื่นยักษ์ จำนวนหลายป้ายทีเดียว มีติดอยู่ทั้งบริเวณใกล้ชายหาด และทั้งบริเวณริมถนนใหญ่ ...
มีอยู่ป้ายหนึ่ง ติดอยู่ริมถนน ผมรู้สึกทึ่ง ตั้งแต่มองเห็นเป็นครั้งแรก คือป้าย คนต้องสู้(ชีวิต) เป็นป้ายของร้านอาหาร
ป้ายนี้ บอกด้วยว่า ร้านอาหารอยู่เข้าไปภายในซอย บริเวณริมชายหาด
.ชื่อของร้าน.โก้ซะไม่มี
ตอนนั้น พวกเรากำลังหาเส้นทางไปยัง หาดสน รีสอร์ท โรงแรมที่พัก แห่งที่สอง(ของพังงา) ซึ่งอยู่บริเวณหาดบางสัก อยู่พอดี และบังเอิญทางเข้าของโรงแรมนี้ ต้องเข้าไปในซอยเดียวกับร้านอาหาร ผมก็เลยหันขวาหันซ้าย อยากจะดูว่าร้านอาหารที่ว่า เป็นลักษณะอย่างไร
โอ๊ะ คนก็พอจะมีในร้านนี่ แสดงว่าอาหารคงจะอร่อย บริการคงจะดี จึงมีคนขับรถเข้ามากิน ถึงริมชายหาด
ภาพที่เห็นภาพแรกคือภาพ ผู้ชายผูกผ้าขะม้าเคียนเอว กำลังยิ้มให้กับรถของพวกเรา แล้วก็รีบเสิร์ฟอาหารต่อ
.ทุกคนในรถ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าจะลองอาหารร้านนี้
หาดสน รีสอร์ท โรงแรมที่พวกเราเข้าไปถาม เป็นโรงแรมหรูและสวย สถานที่เหมาะกับฝรั่งเข้ามาพักมากๆ แต่เขาคิดราคาค่าห้องคืนละ 2,000 บาท พักได้สองคน และไม่มีอาหารเช้า (ราคานี้ลดให้แล้ว) พวกเราขอต่อรองเป็น ขอพักห้องละสามคน และขอราคาเพียงห้องละ 1,500 บาท เด็กที่เคาเตอร์พูดจาสุภาพว่า ไม่อาจจะลดให้ต่ำกว่านี้ได้ แต่อาจจะมีโรงแรมที่ไม่ไกลจากที่นี่ สวยเช่นเดียวกัน อาจจะลดให้ได้
พวกเราจึงย้ายรถออกมา แล้วก็แวะถามเส้นทางไปโรงแรมแห่งใหม่ ที่ร้านอาหารคนต้องสู้(ชีวิต) เจ้าของร้าน คือคนที่ผูกผ้าขะม้าเคียนเอว อธิบายอย่างใจดี ใจเย็น และอย่างสุภาพ จนพวกเราเข้าใจเส้นทางเป็นอย่างดี
โรงแรมแห่งใหม่ คือ รอยัล บางสัก บีช รีสอร์ต เป็นโรงแรมที่ทั้งหรูทั้งกว้างและสวยถูกใจ ราคาก็แสนจะถูกใจ คือเขายอมลดให้ตามที่พวกเราร้องขอ ...คือ หนึ่งห้อง พักสามคน ขอไม่รับประทานอาหารเช้า คิดราคาเพียง 1,500 บาท เจ้าหน้าที่ที่เคาเตอร์ก็รีบโทร.ไปถาม จีเอ็มของโรงแรม และจีเอ็ม เขาใจดียอมลดให้ แถมได้ห้องพักติดกับห้องพักของ จีเอ็มโรงแรมด้วย
อุอุ สงสัยว่า จีเอ็ม อยากจะเห็นหน้า ผู้ขอต่อราคาห้องพักหรูๆ ก็ได้?
คนงานในจ.พังงา ทั้งชายและหญิงส่วนใหญ่ จะเป็นคนพม่า ไม่ได้สวมโสร่งนะครับ สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆเก่าๆ แต่ก็พอจะดูออกว่า ไม่ใช่คนไทย
เธอทูนของหนักบนศีรษะ แบบเดินปล่อยมือได้
.ภาพนี้ทางโรงแรม เขากำลังปรับปรุงห้องบางห้อง ในช่วงโลว์ ซีซั่น
เมื่อเช็คอิน และฝากกระเป๋าให้เด็กนำขึ้นไปที่ห้อง ที่ชั้นสองแล้ว รถตู้ก็เคลื่อนล้อไปที่ร้านคนต้องสู้(ชีวิต)ทันที
ขอยืนยันว่า อาหารรสชาติแซ่บทุกจาน กินไปก็ต้องเช็ดน้ำมูกน้ำตาไป แต่ทุกคนก็บอกว่า ไม่เข็ดหลาบ พรุ่งนี้ ตอนอาหารเช้า จะขอมาต่ออีกรอบ ก่อนที่จะออกจากพังงาเพื่อไปจ.ระนอง
พอเจ้าของทราบว่า พวกเราจะมารับประทานอีก ในเวลาอาหารเช้าของพรุ่งนี้ เจ้าของร้านก็รับอาสา จะไปหาซื้ออาหารทุกอย่างตามที่พวกเรารีเควสต์ ใครอยากจะกินอะไรเป็นพิเศษ สั่งไว้ได้หมด
บริการดีๆอย่างนี้ จึงต้องขอสัมภาษณ์ ลงบล็อกแก๊งค์ กันหน่อย
คุณสรวิศ จ้านสกุล หรือที่คนคุ้นเคยแถวๆนั้น ต่างเรียกว่า พี่ดม หรือ ดม เป็นคนตะกั่วป่า พังงา โดยกำเนิด อายุ 40 ปี จบการศึกษาวิทยาลัยเกษตรระนอง มีครอบครัวแล้ว มีลูกชายคนโต เรียนชั้นม.2(มาช่วยงานเสริฟอาหารที่ร้านด้วย) กับลูกสาวคนเล็ก อายุ 4 ฃวบเศษ เข้าเรียนอนุบาล และคุณแม่ช่วยสอนเพิ่มเติมจนเขียนคล่อง น้องเขาจะเดินมาทักทายพูดคุยกับลูกค้าในร้าน ฉลาดน่ารักมาก ตอนจ่ายเงิน น้องเขาก็ถือบิลมามอบให้ลูกค้าด้วย
คุณดม เล่าเหตุการณ์ตอนเกิดคลื่นซึนามิ ให้ฟัง เมื่อมีผู้ซักถาม
คุณดมเล่าว่า ตอนนั้น เปิดร้านอาหารคล้ายๆกับแบบนี้ละ แต่เล็กกว่า อยู่ที่เขาหลัก อยู่ใกล้ๆกับโรงแรมเขาหลัก ออคิด ที่ที่คุณพุ่มพักอาศัย ตอนนั้น ตัวเองต้องทำทุกอย่าง ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจให้กับร้านอย่างเต็มที่ เพราะเป็นร้านอาหารแห่งแรกที่ตนเองเป็นเจ้าของ ตอนนั้นลูกจ้างก็ยังไม่มี ต้องปรุงอาหารเอง เดินเสิร์ฟเอง คิดเงินเอง ล้างจานเอง ปิดร้านเอง และไปซื้อของสดจากตลาดเอง
ตอนนั้นลูกสาวเพิ่งจะหัดเดิน แม่เขาก็เลยต้องดูแลทั้งลูกชายและลูกสาว เขาก็เลยจะเข้ามาช่วยงานได้บ้างเป็นบางวัน
โชคดีที่เริ่มจะมีลูกค้าติดใจฝีมืออาหารขึ้นบ้าง เป็นฝรั่งก็ยังมี
วันที่คลื่นมา วันนั้นโชคดีอีกที่เป็นตอนเช้า เพราะตอนบ่ายๆ คนไทยจะมาเที่ยวหาดกันเยอะ อาจจะสูญเสียมากกว่านี้ ก็ได้
ตอนเช้าของวันนั้น คุณดม มองไปที่ชายหาด อยู่ๆน้ำทะเลก็เหมือนกับถูกดูดหายไปเฉยๆ ชายหาดแห้งน้ำไปเลย มองเห็นแต่โขดหินเล็กน้อย ปลาก็ดิ้นอยู่บนชายหาดที่แห้งน้ำ คนก็แปลกใจกัน ต่างออกไปยืนดูกันหลายคน บ้างก็ลงไปจับปลา แต่ก็มีฝรั่งบางคนตะโกนเป็นภาษาของเขา ให้วิ่งหนีคลื่น
คุณดม ฟังสำเนียงฃองฝรั่ง ก็รู้สึกเอะใจ จึงช่วยเรียกให้คนขึ้นมาจากชายหาด
.เพียงแป๊บเดียวเท่านั้น คลื่นสูงมากๆ ก็เข้ามาแบบไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว คุณดมเอง บอกว่าเป็นนักวิ่งเร็วของจังหวัดพังงา วิ่งอ้าวออกจากที่ตรงนั้นเลย ตอนแรกก็วิ่งไปหลบที่หลังตึกสองชั้นก่อน คิดว่าคงจะหลบพ้น แต่คลื่นมันสูงพ้นตึกสองชั้นนั้นอีก มันพัดทุกอย่างไปไกลเลย รวมทั้งตัวคุณดม ด้วย แต่คุณดม โดนกลางๆของตัวคลื่น มันซัดพาไปไกลทีเดียว ที่สุด คุณดมเอง ก็คว้ายอดเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งไว้ได้
ตอนนั้นถ้าใครว่ายน้ำไม่เป็น แย่เลย เพราะน้ำทะเลขึ้นสูงมาก สูงเท่าๆกับยอดของต้นมะพร้าว คุณดมบอกว่าสามารถช่วยคว้าฝรั่ง ที่บาดเจ็บที่ขา ไว้ได้คนหนึ่ง ก็ช่วยพยุงยึดกันเอาไว้ที่ยอดเสาไฟฟ้าต้นนั้น ติดอยู่อย่างนั้นแบบแช่อยู่ในน้ำ พักหนึ่ง
สักครู่ มันมาอีกแล้ว คลื่นสูงแบบเดิมอีก คุณดมบอกว่า ถ้าเจอหัวคลื่น คุณดมต้องตายแน่ๆ เพราะหัวคลื่นมันจะม้วนเอาทุกอย่างให้หมุนเข้าไปอยู่ใต้น้ำ ที่สูงระดับต้นมะพร้าว คุณดมจึงบอกให้ฝรั่งยึดยอดเสาไฟฟ้าเอาไว้ให้แน่น ฝรั่งตอนนั้นทั้งเจ็บทั้งอ่อนแรงลงมากแล้ว ตัวคุณดมนั้นมีแต่ความเหนื่อยล้า อย่างที่แทบจะไม่มีแรงว่ายน้ำเอาเสียเลย แต่ก็ต้องกัดฟันฝืนใจ ว่ายต่อไปให้พ้นหนองน้ำ เพราะสุดหนองน้ำ ก็จะเป็นถนนแล้ว
สุดท้ายก็กระเสือกกระสนจนไปถึงถนน แต่ก็สำลักน้ำไปหลายครั้ง แถวถนนตอนนั้นไม่มีคนเลย มีแต่ซากปรักหักพัง และศพ
คุณดม ต้องทนนอนทั้งเสื้อเปียกอยู่อย่างนั้น หลายชั่วโมง สุดท้ายก็พอจะช่วยพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น และยืนขึ้น
คนต้องสู้ชีวิต ครับ จึงจะอยู่รอด ...ทุกอย่างอยู่ที่ใจ ของตัวเรา
ร้านอาหารนี้ ที่จริง คุณดม บอกว่าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐเลย
ผมสู้ทุกอย่างด้วยตัวของผมเอง เข้าไปขอกู้เงินจากทางธนาคาร ทั้งๆที่ตอนนั้น ผมก็ยังไม่มีหลักทรัพย์ มีแต่กำลังใจแท้ๆภายในตัวเองเท่านั้น
ผมมองว่า ที่หาดบางสัก มีอาสาสมัครเข้ามาช่วยงานขนศพ ตรวจดีเอ็นเอ ศพกันหลายคน บางคนเมื่อเหนื่อยจากงานแล้ว ก็ควรจะได้รับประทานอาหารอร่อยๆ รสแซ่บบ้าง ผมจึงนำเอาไอเดียนี้ ไปเสนอกับทางธนาคาร ธนาคารจึงยอมให้กู้เงิน
ร้านของคุณดม เป็นร้านแรกสุด ของหาดบางสัก ตอนแรกยังมีขนาดเล็ก และคุณดมบอกว่า ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เหมือนเดิม อยากจะจ้างพ่อครัว แต่ไม่มีใครยอมมาอยู่ด้วย เพราะแถวนี้ตอนนั้น ค่อนข้างจะมีกลิ่นของคนตาย ทุกอย่างที่คุณดม สู้ฝ่าฟันมา จึงหนักและเหนื่อยมาก
ทุกอย่าง ผมว่ามันอยู่ที่ใจ ถ้าใจของเราสู้ ก็ไม่มีอะไรที่ยากเกินกำลัง มาถึงตอนนี้ ก็คิดว่าค่อยๆจะดีขึ้นบ้างแล้ว ร้านก็เริ่มก่อสร้างให้ถาวรมากขึ้น แม่ครัวก็เริ่มจะมี เด็กลูกน้องก็เริ่มจะมี ทางร้านสามารถจะจัดเลี้ยงนอกสถานที่ให้ได้นะครับ ถ้ามีใครต้องการ
สำหรับช่วงนี้ เป็นช่วงโลว์ มีคนมาเที่ยวน้อย แต่เพราะผม เริ่มจะมีลูกค้าประจำ ผมก็เลยไม่ยอมปิดร้านหนี ร้านอื่นเขาปิดร้านหนีไปเกือบหมด แต่เชื่อเถอะ พอถึงฤดูไฮ ก็จะมีคนเข้ามาเปิดร้านอาหาร แบบหวังกำไรระยะสั้น แล้วก็จะทิ้งร้านหนีไปอีก พอร้านเริ่มไม่มีคน
ร้านของผม เคยได้รับเกียรติ ลงเผยแพร่ใน หนังสือพิมพ์ โพสต์ ทูเดย์ กับได้เคยออกข่าวทางทีวีช่อง 9 เรื่องคนสู้ชีวิต มาครั้งหนึ่งแล้ว
..สำหรับราคาอาหาร ที่นี่ ไม่คิดแพงเลยครับ ปรุงสะอาด และรสชาติค่อนข้างจัด แต่ถ้าต้องการรสชาติแบบอื่น ก็บอกก่อนปรุงได้นะครับ
อาหารที่ทางร้านถนัดและทำบ่อยๆ เพราะลูกค้าชอบสั่ง ก็มีพวก ปลากะพงลุยสวน ลาบปลาทอด หอยชักตีน หอยน้ำผื้ง ปูดำไข่ผัดพริกไทยดำ ปูม้าผัดผงกะหรี่ หมึกไข่นึ่งมะนาว และหมึกหอมย่าง
ที่นั่งรับประทานอาหาร มีทั้งแบบซุ้ม และแบบโต๊ะอาหาร
ผมเปิดร้านทุกวันครับ อยู่ที่หาดบางสัก ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า ถ้าไปหาดบางสักถูก ก็จะหาร้านคนต้องสู้(ชีวิต)ไม่ยากหรอกครับ เพราะคนแถวนั้น จะรู้จักร้านนี้ดี แต่หากจะโทร.ไปถามก่อนก็ได้ครับ จะได้ทราบว่า วันนั้นทางร้านมีวัตถุดิบสดๆ อะไรบ้าง โทร. 081-893-2854
จขบ.เอง ชอบปรัชญาชีวิตของ เจ้าของร้าน จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อ นะครับ
ปรัชญาชีวิตของคุณสรวิศ จ้านสกุล หรือของ คุณดม
ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่มีความกล้า คุณก็จะไม่กล้า
ถ้าคุณอยากจะเป็นผู้ชนะ แต่ขณะเดียวกันคิดว่า ไม่มีทาง เกือบเป็นสิ่งที่แน่นอนว่า คุณจะไม่มีทางชนะ
ถ้าคุณคิดว่า คุณจะเป็นผู้พ่ายแพ้ คุณก็จะพ่ายแพ้
ในโลกนี้ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ ด้วยความมั่นใจในตัวมนุษย์ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ สภาวะจิตของตนเอง เพียงอย่างเดียว
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ การเสาะหา ไม่ใช่ เกิดมาเป็น
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ การฟันฝ่า ไม่ใช่ ฟลุ๊คฟลุ๊ค
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ การต่อสู้ ไม่ใช่ นั่งดูดวง
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ ความเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ โชคช่วย
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ การฝึกฝน ไม่ใช่ บุญหล่นทับ
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ ความสามารถ ไม่ใช่ วาสนา
ความสำเร็จ เป็นเรื่องของ พรแสวง ไม่ใช่ พรสวรรค์
ฉะนั้น ความสำเร็จมาจากตัวเองทั้งหมด
ชัยชนะไม่ได้อยู่ที่ผู้แข็งแรงกว่า หรือผู้มีความรู้มากกว่า
..แต่อยู่ที่ ผู้ที่คิดว่า ฉันทำได้ เท่านั้น.
ก่อนที่พวกเรา จะเคลื่อนรถออกจาก จ.พังงาในวันนั้น ทุกคนพูดกันว่า อยากจะทำสังฆทาน อุทิศส่วนบุญกุศล ไปให้ผู้ที่ล่วงลับ กันดีมั๊ย?
ทุกคน ลงความเห็นเป็นเอกฉันท์
แล้วรถก็เคลื่อนไปที่ตลาด บริเวณท่ารถ บ.ข.ส.เพื่อต่างคนต่างเลือกซื้อของ เพื่อจะใช้ถวายสังฆทาน ซื้อเสร็จก็มองหาวัด เจอวัดแห่งหนึ่ง เห็นเงียบดี ก็นำรถเข้าไปจอด
ชาวบ้านบอกว่า จะทำไงดี? วันนี้ พระ 7 รูปรับนิมนต์สวดทำบุญอุทิศส่วนกุศล 100 วันในวัดไปแล้ว พระอีก 5 รูป ก็รับกิจนิมนต์ออกไปสวดข้างนอก ไม่มีพระรูปไหนในวัด ที่เหลืออยู่เลย
ขณะนั้น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสที่รับนิมนต์สวดทำบุญส่วนกุศล 100 วันเดินผ่านมา พอท่านรับทราบ ท่านก็พูดว่า ประเคน พระรูปไหนก็ได้ ใช่ไหมโยม ....งั้นตามมาทางนี้
แล้วท่าน ก็รับสังฆทานจากพวกเราทุกคน
วัดที่ท่านจำพรรษาอยู่นั้น ไม่ใช่วัดอื่นไกล คือ วัดย่านยาว ที่เก็บศพ รอตรวจดีเอ็นเอ
งานหนักของคุณหมอพรทิพย์ นั่นเอง
พอทุกคนในรถรับทราบว่า พวกเรากำลังอยู่ในวัด ที่อดีตเคยเก็บศพจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ตกตะลึงปนความรู้สึกยินดี เพราะทุกคนชื่นชม วัดแห่งนี้มานานแล้ว และไม่คาดฝันว่า จะได้มาทำสังฆทาน อุทิศส่วนบุญกุศล ให้กับผู้ที่ล่วงลับ ณ วัดแห่งนี้.
ขอขอบคุณ เพื่อนๆที่ทนอ่านจนจบ มาถึงบรรทัดนี้
หากจะอ่านข้ามไปบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก
เพราะผมเขียน เหมือนๆกับเล่าเรื่องราวชีวิตตอนหนึ่งของผม
ไว้ให้ญาติๆทางบ้าน ได้มีโอกาสอ่านด้วย.
หากใครมีโอกาสเข้ามาอ่าน ช่วยกรุณาลงชื่อ บอกไว้สักนิด นะครับ
เพื่อ ผมจะได้เขียนขอบคุณ ได้ถูก
Create Date : 28 มิถุนายน 2550 |
Last Update : 28 มิถุนายน 2550 17:52:19 น. |
|
38 comments
|
Counter : 9069 Pageviews. |
|
|
|
โรงแรมสวยน่าไปพักมาก แต่สงสัยไม่มีปัญญาค่ะ
โชคดีที่คนในครอบครัวคุณดมไม่เป็นอะไรจากซึนามิ ถือว่าเป็นพรที่พระให้ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้เค๊าสู้ชีวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เอาเรื่องราวดีๆ มาฝากกันค่ะ