ดาวในวงการกีฬา
ดาวในวงการกีฬา
ดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล
ดาวรุ่งในที่นี้ คือ เล่นกีฬาเก่งมากๆระดับโลก ในขณะที่อายุยังน้อย เช่น โมนิกา เซเลส ได้แชมป์ 8 แกรนด์สแลม เมื่อตอนอายุ 19 ปี
รอนนี โอ ซุลลิแวน คว้าแชมป์สนุกเกอร์ ยูเค แชมเปี้ยนชิพ ซึ่งมีศักดิ์ศรีใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากชิงแชมป์โลก ในวัย 17 ปี
และเอียน ธอร์ป (Ian Thorpe) ฉลามหนุ่มชาวออสซี่ ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิค 3 ทอง 1 เงิน ที่ซิดนีย์ ขณะอายุ 17 ปีเท่านั้นเอง
สำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ จัดให้ผู้ฟังและผู้อ่านในประเทศอังกฤษลงคะแนนโหวตว่าใครคือดาวรุ่งทางกีฬาที่เจ๋งที่สุดตลอดกาลในความคิดของตนเอง
ซึ่งคำตอบที่ได้ออกมา ผู้ที่ได้คะแนนนำ ไม่ใช่นักกีฬาทั้ง 3 คนข้างบน แต่เป็น
..
อันดับ 9 : ไทเกอร์ วูดส์ ยอดโปรกอล์ฟชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้คนนับล้านๆคนทั่วโลกหันมาออกรอบหวดลูกลงหลุมกัน
ขณะที่ไทเกอร์อายุ 15 ปีนั้น ตอนนั้นเขาคว้าแชมป์ ยูเอส จูเนียร์ อเมเจอร์ แล้ว ซึ่งเป็นสถิติอายุที่น้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา พอเขาอายุ 16 ปีเขาก็เป็นนักกอล์ฟอายุน้อยที่สุดที่เล่นในพีจีเอ ทัวร์
จากนั้นเขายังทุบสถิติอายุที่น้อยที่สุดอีก ด้วยการเป็นแชมป์ ยูเอส อเมเจอร์ เมื่ออายุเพียง 18 ปี จากเจ้าเสือน้อยที่คนเคยพูดถึงในวันนั้น เขาก็กลายมาเป็นพญาเสือในวันนี้ ตำแหน่ง 10 แชมป์แกรนด์สแลม จึงเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับคนอย่างเขา
อันดับ 8 : นาเดีย โคมาเนชี ราชินีนักยิมนาสติกสาวชาวโรมาเนีย ที่ดังระเบิดในโลกกีฬาโอลิมปิกในปี 1976 เพราะเธอเป็นมนุษย์คนแรกของโลก ที่ทำ Perfect Ten หรือสิบคะแนนเต็ม แบบที่น่าอัศจรรย์ไม่น่าจะเป็นจริงได้
แล้วเธอก็ทำอย่างนั้นได้อีกถึง 6 ครั้ง ฟังข่าวนี้แล้ว คนทั่วโลกถึงกับอ้าปากค้างและขนลุก ในงานนี้ ตัวเธอเองคนเดียวคว้าเหรียญโอลิมปิกได้ถึง 3 ทอง 1 เงิน และอีก 1 ทองแดง ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น เมื่อตอนเธออายุ 14 ปี
อันดับ 7 : มาร์ตินา ฮินกิส สาวน้อยมหัศจรรย์แห่งวงการเทนนิส ชาวสวิส ขอเขียนถึงเธอสั้นๆว่า โคตรยอดเยี่ยม
เธอเป็นผู้ที่สามารถคว้าแชมป์เทนนิสโลก 3 จาก 4 แกรนด์สแลมได้ ภายในปีเดียว เมื่อตอนเธออายุแค่ 16 ปี ซึ่งในปีเดียวกันนี้ เธอยังเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกที่อายุน้อยที่สุด บางทีคำว่า ตำนาน ยังน้อยเกินไปสำหรับเธอ
อันดับ 6 : เวย์น รูนีย์ ต้องขอย้ำซะก่อนว่า ผลของการลงคะแนนเหล่านี้ ได้มาจากชาวอังกฤษผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลเป็นบ้าเป็นหลัง
ชื่อของเจ้าหนู หรือที่ใครๆก็เรียกว่า เจ้าหมูบินรูนีย์ คงแทบไม่ต้องอธิบายให้มากความสำหรับชาวอังกฤษ นับจากประตูแจ้งเกิดสุดสวย ที่ซัดดับชีพอาร์เซนอล
นับจากนั้นมา ไม่มีแม้แต่วันเดียว ที่จะไม่มีชื่อ รูนีย์ ปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายค่ายมาอยู่ที่ แมนฯ ยูฯ ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ ขณะที่อายุ 18 ปี
อันดับ 5 : ไมเคิล โอเวน คนที่ทำประตูสุดสวย ช่วยให้อังกฤษพิชิตอาร์เจนตินา ในเวิลด์คัพปี 1998 ซึ่งขณะนั้น เบบี้โกลของเรามีอายุเพียงแค่ 17 ปี
ในอดีตเขาคือกำลังหลักของทีมลิเวอร์พูล แต่ปัจจุบันเขาเป็นกำลังหลักของทีมนิวคาสเซิล และแน่นอนของทีมสิงโตคำราม
ส่วนอันดับ 4 : คือ ซาชิน เทนดูลคาร์ นักคริกเกตชาวอินเดีย ที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังดุจจรวด ตั้งแต่อายุ 16 ปี ซึ่งแม้เมืองไทยจะไม่นิยมกีฬาคริกเกต แต่ในเมืองผู้ดีนั้นเขาคลั่งกีฬาชนิดนี้ ไม่ได้น้อยหน้ากีฬาฟุตบอลเท่าใดนัก
อันดับ 3 : บอริส เบคเกอร์ นักเทนนิสชาวเยอรมันที่เคยคว้าตำแหน่งเป็นมือหนึ่งของโลก การได้ชมเบคเกอร์ตีเทนนิสนั้น ว่ากันว่าเป็นความตื่นเต้นตื่นตาบวกกับลูกเสิร์ฟอันทรงพลังของเขา
ทำให้วันที่เขาคว้าแชมป์ชายเดี่ยววิมเบิลดัน 1 ใน 4 แกรนด์สแลม เป็นวันที่ชาวอังกฤษประทับใจเขาติดตามิรู้ลืม เขาทำสถิติเป็นนักหวดที่อายุน้อยที่สุด ที่คว้าแชมป์วิมเบิลดัน ด้วยวัยเพียง 17 ปี
แล้วก็มาถึงอันดับ 2 : เจ้าของฉายา โบยบินเหมือนผีเสื้อและต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง หรือสิงห์จอมโว มูฮัมหมัด อาลี
คนส่วนใหญ่ทั่วโลกจะรู้จักชื่อเสียงของอาลีเป็นอย่างดีบนสังเวียนมวยอาชีพ แต่ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนชื่อจาก คาสเซียส เคลย์ ชื่อเดิม มาเป็นชื่อ มูฮัมหมัด อาลี ในแบบมุสลิม โลกก็ทึ่งกับกำปั้นของเคลย์ ตั้งแต่เขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกปี 1960 ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปี
ประวัติของอาลี ยิ่งใหญ่ขนาดที่ฮอลลีวู้ดนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ใหญ่ นำแสดงโดยวิล สมิธ และภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม และสาขาผู้แสดงสมทบชาย ในปี พ.ศ.2545 ด้วย
ลำดับสุดท้ายแล้ว ดาวรุ่งกีฬาที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล อันดับ 1 : เปเล่ จากบราซิล
เจ้าของฉายา ราชาไข่มุกดำ เป็นเจ้าของแชมป์ด้วยคะแนนโหวตว่าเป็นดาวรุ่งกีฬาที่ยอดเยี่ยมสูงสุด
ในเวิลด์คัพปี 1958 คนที่โชคดีเกิดมาทันหรือเคยได้ดูเทป จะได้เห็น เขาร่ายมนตร์ลูกหนังใส่ลงในกีฬาฟุตบอลในฟุตบอลโลกครั้งนั้น เป็นปีที่เจ้าหนูเปเล่ มีอายุแค่ 17 ปี แต่เขาสามารถสู้กับผู้ใหญ่ที่คร่ำหวอดกับกีฬาฟุตบอลมานานอย่างไม่กลัวเกรง ตะบันเบ็ดเสร็จรวม 6 ประตูชัย ช่วยทำให้ทีมบราซิลเถลิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ จากความสามารถของเขาโดยแท้
ดาวเด่นบอลโลก2006
ที่มา: น.ส.พ.บ้านเมือง วันอาทิตย์ 1 มกราคม 2549
โรนัลดินโญ : โรนัลดินโญ เดอ แอสซิส โมไรรา ว/ด/ป เกิด : 21/03/1980 เกิดที่ : ปอร์โต อเลเกร, บราซิล สัญชาติ : บราซิล สูง : 180 ซม. น้ำหนัก : 80 กก. ลงเล่นทีมชาติ : 70 นัด ประตู : 16 สโมสร 1998 - 2001 : เกรมิโอ 2001 - 2003 : ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2003 - ปัจจุบัน : บาร์เซโลนา
โรนัลดินโญ หนุ่มน้อยจากแดนแซมบ้า มีนามเต็มๆ ว่า โรนัลดินโญ เดอ แอสซิส โมไรรา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1980 ที่เมือง ปอร์โต อเลเกร ประเทศบราซิล ซึ่งเจ้าตัว เหยินน้อย เกิดในครอบครัวของนักฟุตบอล โดยมีคุณพ่อ เจา ดา ซิลวา โมไรรา กับ โรแบร์โต พี่ชายของเขา เป็นนักฟุตบอล เหยินน้อย เริ่มฝึกหัดฟุตบอลกับสโมสร เกรมิโอ ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะอาชีพเมื่อปี 1997 เมื่ออายุ 17 ปี ผลงานในสโมสร : โรนัลดินโญ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพกับสโมสร เกรมิโอ ในลีกของบราซิล ซึ่งเจ้าตัวสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดๆ โดยเฉพาะลีลาการกระชากลากเลื้อยที่เด็ดสะระตี่ โดยลงสนามรับใช้ทีม เกรมิโอ เป็นเวลาทั้งสิ้น 3 ปี ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ยอดทีมจากเมืองน้ำหอม ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล ในเมืองหลวงฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์อะไรมาครองได้เลยก็ตาม หลังจากรับใช้ ปารีสฯ อยู่ 2 ปี เหยินน้อย ก็ย้ายไปร่วมทัพกับ เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนา ยอดทีมจากแดนกระทิงดุ ด้วยค่าตัว 21 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,575 ล้านบาท) ซึ่งที่นี่เอง ทำให้ โรนัลดินโญ โชว์ผลงานได้กระหึ่มโลกอยู่จนถึงทุกวันนี้
โดยเมื่อปีที่แล้วได้พาทีม บาร์เซโลนา คว้าแชมป์ฟุตบอล ลา ลีกา ของสเปน มาครองเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และเจ้าตัวก็สามารถคว้า 3 รางวัลอันยิ่งใหญ่อย่าง ฟิฟโปร, บัลลงดอร์ ของนิตยสาร ฟรองซ์ ฟุตบอล และนักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ผลงานในทีมชาติ : เหยินน้อย เริ่มต้นทีมชาติด้วยการติดทีมบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ชุดลุยศึกชิงแชมป์โลก ที่ประเทศอียิปต์ เมื่อปี 1997 ซึ่ง โรนัลดินโญ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมชาติบราซิลคว้าแชมป์มาครองได้ และตนเองยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด และตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยม (MVP) มาครองด้วย
หลังจากนั้นเขาก็ถูกดันขึ้นมาติดชุดลุยศึก ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ 1999 ซึ่ง ดินโญ ก็ยังคว้าตำแหน่ง ดาวซัลโวสูงสุด มาครองได้อีกครั้ง ก่อนจะติดทีมทำศึกโอลิมปิกเกมส์ที่ ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2000 ซึ่งเจ้าตัวก็ยิงได้ถึง 9 ประตูด้วยกัน
และอีก 2 ปีต่อมานั้น โรนัลดินโญ ประสบความสำเร็จสูงสุดกับทีมชาติ เมื่อคว้าแชมป์โลกในปี 2002 มาครองได้สำเร็จ และในฟุตบอลโลกปี 2006 ครั้งนี้ เจ้าตัวก็จะเป็นกำลังสำคัญของทีม เซเลเซา ที่จะพาทีมมาคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ให้ได้
ทรรศนะ : ปี 2005 นั้น นับเป็นปีทองของ โรนัลดินโญ อย่างแท้จริง ทำให้เขาถูกจับตามองในฟุตบอลโลก ปี 2006 เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาคือหัวใจสำคัญของทีมชาติบราซิลชุดนี้เลยทีเดียว
นอกจากลีลากระชากลากเลื้อยที่สุดจะคลาสสิกแล้ว ดินโญ ยังคงมีทีเด็ดอยู่ที่ลูกฟรีคิก ที่แม้ว่าจะไม่แม่นเท่า เดวิด เบคแฮม แต่ฟรีคิกของเขานั้นก็ยังเชื่อใจได้ แถมในศึกฟุตบอลโลก2006 ครั้งนี้ บราซิล ยังถูกจับให้อยู่ในสายที่ไม่แข็งมาก ทำให้ โรนัลดินโญ จะสามารถโชว์พรสวรรค์ที่แท้จริงได้อย่างเต็มที่แน่นอน ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ มี 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
รูนีย์ : เวย์น รูนีย์ ว/ด/ป เกิด : 24/08/1985 เกิดที่ : ลิเวอร์พูล, อังกฤษ สัญชาติ : อังกฤษ สูง : 178 ซม. น้ำหนัก : 78 กก. ลงเล่นทีมชาติ : 31 นัด ประตู : 11 สโมสร 2002 - 2004 : เอฟเวอร์ตัน 2004 - ปัจจุบัน : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ไอ้หมูบิน เวย์น รูนีย์ ถือเป็นนักเตะดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในขณะนี้ รูนีย์ เกิดวันที่ 24 ตุลาคม 1985 ในเมืองลิเวอร์พูล โดยครอบครัวของ รูนีย์ นั้นเป็นแฟนบอลของ เอฟเวอร์โตเนียน ซึ่งก่อนที่ รูนีย์ จะได้เซ็นสัญญากับ เอฟเวอร์ตัน ตัวเขานั้นโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับทีม คอปเปอร์เฮาส์ โดยลงเล่นใน จูเนียร์ลีก ยิงไปทั้งหมด 99 ประตูด้วยกัน ผลงานในสโมสร : รูนีย์ ลงสนามในพรีเมียร์ลีก ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมพบกับ ไก่เดือยทอง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ แต่คนในเมืองผู้ดีนั้น รู้จักชื่อ เวย์น รูนีย์ อย่างเต็มตัวในเกมที่ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน เฉือนเอาชนะ ไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ในปี 2002
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวย์น รูนีย์ ก็ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก และเจ้าตัวก็เริ่มพัฒนาความสามารถขึ้นมาเรื่อยๆ จนในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 บรรดายักษ์ใหญ่อย่าง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ได้รุมแย่งตัวของ รูนีย์ ไปร่วมทีม แต่แล้ว ไอ้หมูบิน ก็ได้ตัดสินใจแปรพักตร์เป็นสาวก ปีศาจแดง ด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 25 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,875 ล้านบาท) ซึ่งการลงสนามของเจ้าตัวในปีแรก ก็ไม่ทำให้แฟนบอล เรด เดวิลส์ ต้องผิดหวัง เมื่อลงเล่นในลีกทั้งหมด 33 เกมยิงไปจำนวน 11 ประตูด้วยกัน ขยับขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมโดยปริยาย
และในปี 2004 ยังได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยม ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษไปครอง ส่วนในปี 2005 ไอ้หนูวัย 20 ปี ก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมลงเล่นไปแล้ว 26 นัด ยิงไปทั้งหมด 10 ประตู ผลงานในทีมชาติ : หนุ่มน้อยจากเมืองลิเวอร์พูล เริ่มต้นการติดทีมชาติในชุด ยู 19 ปี ด้วยอายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น และหลังจากโชว์ฟอร์มกับต้นสังกัดได้อย่างยอดเยี่ยม ก็ถูก สเวน ยอแรน อีริคสัน เรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ และประเดิมสนามในเกมที่พบกับ ออสเตรเลีย ในเดือนมีนาคม ปี 2003 และกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุด ที่ลงเล่นในนามทีมชาติอังกฤษ
อีก 7 เดือนต่อมา รูนีย์ ก็กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุด ที่ยิงประตูให้กับทีมชาติ หลังยิงไป 1 ประตูในเกมที่พบกับ มาซิโดเนีย ซึ่งหลังจากนั้น รูนีย์ ก็เดินเข้าออกในแคมป์ทีมสิงโตคำรามอย่างต่อเนื่อง จนติดทีมไปทำศึกฟุตบอลยูโร 2004 ที่โปรตุเกส
และในฟุตบอลรายการนี้เอง ชื่อเสียงของ รูนีย์ ดังกระฉ่อน หลังจากเป็นกำลังสำคัญให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะมีอาการบาดเจ็บจนต้องเปลี่ยนตัวออก ในเกมที่พบกับ โปรตุเกส ซึ่งจบเกม อังกฤษ เป็นฝ่ายพ่ายให้กับเจ้าภาพไป
ซึ่งในรายการนี้ รูนีย์ ยิงได้ 4 ประตูด้วยกัน และยังเป็นกำลังสำคัญที่นำพลพรรค ทรีไลออนส์ ไปลุยฟุตบอลโลกในเมืองเบียร์ในปี2006 ได้อีกด้วย
ทรรศนะ : ทุกคนยังติดใจในฝีเท้าของไอ้หนูรายนี้ในศึกฟุตบอล ยูโร 2004 อยู่ แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวนั้นเกิดอาการบาดเจ็บเสียก่อน ซึ่งด้วยสไตล์การเล่นที่ บู๊ ดุดัน และวิ่งไม่มีหยุดของ รูนีย์ ทำให้เขาได้เป็นนักเตะสำคัญที่ทางทีมชาติอังกฤษ จะขาดไม่ได้เสียแล้ว
แต่เจ้าตัวนั้นก็ยังคงมีปัญหาในด้านการควบคุมอารมณ์อยู่เล็กน้อย แต่เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว หลังจากได้รับการสั่งสอนจากบรมครู เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ รูนีย์ มีสูงมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน เนื่องจากทีมชาติอังกฤษนั้นมีผู้เล่นระดับเวิลด์คลาสอย่าง เดวิด เบคแฮม, สตีเวน เจอร์ราร์ด และ แฟรงค์ แลมพาร์ด คอยเปิดป้อนบอลให้พังประตู
เฟอร์กี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ ผีแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เวย์น รูนีย์ เป็นดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ตนเคยพบมา ฉายแววจะสืบทอดตำนานแข้งของ จอร์จ เบสต์ นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของ "ผีแดง" ที่เพิ่งจากไปเมื่อ 25 พ.ย. ที่ผ่านมาได้ โดยเขากล่าวว่า "ผมหวังเสมอว่าจะเห็นใคร ฉายแววสืบทอด จอร์จ เบสต์ บ้าง เวย์น รูนีย์ อายุแค่ 20 และไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาเป็นนักเตะหนุ่มที่เยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ถ้าเขายังรักษาระดับฝีเท้าของตนเองและพัฒนาขึ้นอีกต่อไป ใครจะไปรู้ว่าเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหนในอนาคต แต่ในขณะนี้เขามีค่าในเกมมาก"
ปาร์ก จี ซุง : ปาร์ก จี ซุง ว/ด/ป เกิด : 25/02/1981 เกิดที่ : โซล, เกาหลีใต้ สัญชาติ : เกาหลีใต้ สูง : 175 ซม. น้ำหนัก : 70 กก. ลงเล่นทีมชาติ : 53 นัด ประตู : 5 สโมสร 1999 - 2000 : เพอร์เพิล ซังกา 2002 - 2005 : พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน 2005 - ปัจจุบัน : แมนฯ ยูไนเต็ด
ปาร์ก จี ซุง หนุ่มน้อยหน้าตี๋ตาตี่ หลุดออกมาจากท้องแม่ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 1981 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และเริ่มต้นอาชีพค้าแข้ง ด้วยอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น กับทีมเล็กๆ ในดิวิชั่น 2 ของประเทศญี่ปุ่น
ผลงานในสโมสร : ปาร์ก ได้เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับสโมสร เพอร์เพิล ซังกา ในดิวิชั่น 2 ของดินแดนญี่ปุ่น ซึ่ง ปาร์ก ก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์ ดิวิชั่น 2 ของลีกญี่ปุ่นมาครองได้ ก่อนที่จะย้ายมาค้าแข้งในประเทศ ฮอลแลนด์ กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน เมื่อปี 2002 ด้วยการชักนำของ กุด ฮิดดิง อดีตกุนซือทีมชาติเกาหลีใต้ ที่หนีบเขามาด้วยหลังจากตกลงมารับงานที่แดนกังหันลม
ซึ่งในฤดูกาลแรกของ ปาร์ก นั้น ยังไม่ค่อยโสภาเท่าไร เนื่องจากยังมีปัญหาในการปรับตัวอยู่มาก ทำให้หนุ่มน้อยชาวเกาหลีใต้ได้ลงสนามไปแค่เพียง 7 เกมเท่านั้น แต่ในปีต่อมาหลังจากที่ ปาร์ก ได้เริ่มปรับตัวเขากับบรรยากาศได้แล้ว เขาก็เริ่มเรียกฟอร์มเก่งของเขากลับมาได้ พร้อมกับขยับขึ้นมาเป็นแกนหลักในทีม พีเอสวี ในฤดูกาล 2003 - 2004 ซึ่งปาร์ก ลงสนามไปทั้งหมด 38 เกมยิงไปทั้งหมด 6 ประตูด้วยกัน
แต่ความร้อนแรงของ ปาร์ก ยังไม่หยุดแค่นั้น ในปี 2004 - 2005 ถือว่าเป็นปีทองของ ปาร์ก เลยทีเดียว หลังจากขึ้นมาเป็นแกนหลักในทีม พีเอสวี อย่างเต็มตัว และสามารถนำทีมคว้าแชมป์ ดิวิชั้น 1 ของฮอลแลนด์มาครองได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังเกือบพาทีมผ่านเข้าไปเล่นรอบชิงชนะเลิศศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ แต่ก็ต้องพลาดท่าเมื่อโดน ปีศาจแดง-ดำ เอซี มิลาน เฉือนเอาชนะเข้ารอบไป แต่ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมในนัดที่เจอ มิลาน ทั้งสองเกมนั้น ทำให้ทั่วทั้งยุโรป ได้รู้จักชื่อของ ปาร์ก จี ซุง มากขึ้น
จนทาง ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมจากเมืองผู้ดี ดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท) ซึ่งตอนแรกหลายฝ่ายคิดว่าการมาเล่นในลีกผู้ดีของ ปาร์ก นั้น อาจจะเป็นการตัดสินใจผิด แต่หนุ่มน้อยพลังโสมก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่มีปัญหาใดๆ ให้กลุ้มใจ ซึ่งสามารถปรับตัวกับทีมได้อย่างสบายๆ และได้กลายเป็นกำลังหลักของทีมไปโดยปริยาย ซึ่งในปัจจุบันนี้ ปาร์ก ลงสนามให้ แมนฯ ยูฯ ไปแล้ว 27 นัด ยิงไปแล้ว 1 ประตูด้วยกัน
ผลงานในทีมชาติ : ปาร์ก ได้ถูกเรียกตัว ติดทีมชาติเกาหลีใต้ครั้งแรกเมื่อปี 2000 ในเกมที่พบกับ เม็กซิโก และก็ติด 1 ใน 23 คนของทีมโสมขาว เพื่อลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด โดยในเกมที่พบกับ โปรตุเกส ที่ปาร์ก เป็นผู้ยิงประตูชัยพร้อมทั้งถีบยอดทีมจากยุโรปตกรอบไปอย่างพลิกความคาดหมาย ก่อนที่ทีมเกาหลีใต้จะจบด้วยการคว้าอันดับที่ 4 มาครองได้
และในอีก 4 ปีต่อมา ปาร์ก ได้กลับมาเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้ง หลังจากทีมชาติเกาหลีใต้ผ่านเข้ามาสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งในฟุตบอลโลกเมื่อ 4 ปีทีแล้ว ปาร์ก ก็โชว์ฟอร์มได้ดีในระดับหนึ่ง ทำให้ในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เมืองเบียร์ครั้งนี้ ทำให้หลายฝ่ายจับตามองว่า ปาร์ก จะพาทีมบ้านเกิดของเขาไปได้ไกลแค่ไหน
ทรรศนะ : ตั้งแต่ย้ายมาลงเล่นในยุโรป ความสามารถของ ปาร์ก เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไอ้หนุ่มจากแดนโสมขาวนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่พละกำลังที่ตัวเขานั้นมีเหลือเฝือมาก เท่านั้นยังไม่พอ ปาร์ก ยังเป็นนักเตะที่สามารถหาตำแหน่งในการยืนได้ดีมากทีเดียว และยังเป็นคนที่ไม่ห่วงบอลและจ่ายบอลง่ายๆ ทำให้เพื่อนเล่นบอลได้ง่าย
ซึ่งด้วยการเล่นที่ง่ายๆ ของ ปาร์ก นั้น จะเป็นผู้ฉุดนำพาทีมชาติเกาหลีใต้เดินไปข้างหน้าในฟุตบอลโลก โดยทางเกาหลีใต้ ถูกอยู่ในสายเดียวกับ ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์ และ โตโก ซึ่งก็ถือว่าไม่ใช่งานง่ายของทีมจากเอเชีย และก็ไม่ยากเกินไป สาเหตุที่ทำให้ ปาร์ก น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ วิธีการเล่นที่ง่ายๆ แต่อันตรายสุดๆ และเขาก็เป็นเครื่องจักรสำคัญของทีมโสมขาวชุดนี้ ยิ่งจะทำให้เขามีบทบาทมากขึ้นไปอีก ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ ปาร์ก นั้น มี 50 เปอร์เซ็นต์
ดร็อกบา : ดิดิเยร์ ดร็อกบา ว/ด/ป เกิด : 01/03/1978 เกิดที่ : อาบิยัน, ไอวอร์รี โคสต์ สัญชาติ : ไอวอรี โคสต์ สูง : 188 ซม. น้ำหนัก : 74 กก. สโมสร 1998 - 2002 : เลอ ม็องส์ 2002 - 2003 : ก็องแก็ง 2003 - 2004 : โอลิมปิก มาร์กเซย์ 2004 - ปัจจุบัน : เชลซี
ดิดิเยร์ ดร็อกบา กองหน้าจอมโขกของ เชลซี เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1978 ในเมืองอาบิยัน ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ของประเทศ ไอวอรี โคสต์ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 8 ปี ช่วงนั้นเขาไม่คิดว่าจะได้มาเล่นในลีกต่างประเทศขนาดนี้ จนเมื่ออายุได้ประมาณ 17-18 ปี ก็มีทีมจากฝรั่งเศสมาเซ็นสัญญาไปร่วมทีม และจากนั้น คือ จุดเริ่มต้นของเขาในวงการ ฟุตบอลจนถึงบัดนี้
ผลงานในสโมสร : ดร็อกบา เคยค้าแข้งที่ลี เมนส์ ในประเทศบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายมาร่วมทีม เลอ ม็องส์ ทีมใน ดิวิชั่น 2 ของลีกฝรั่งเศสในปี 1998 ซึ่งในปีแรกนั้น เด็กหนุ่มยังไม่เป็นที่ไว้วางใจของโค้ชเลย ไม่ค่อยได้ลงสนามเท่าที่ควร แต่ในปีต่อมาเจ้าตัวเริ่มสร้างความเชื่อมั่นให้กับเทรนเนอร์จนกลายเป็นตัวหลักของทีมมาตลอด 3 ปีที่เขาอยู่ในสโมสร เลอ ม็องส์ โดยลงสนามไปทั้งสิ้น 64 เกม ยิงไปทั้งสิน 12 ประตู ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ ก็องแก็ง ซึ่ง ดร็อกบา ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนทาง โอลิมปิก มาร์กเซย์ ดึงตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท) ซึ่งเจ้าตัวยังเฉิดฉายแววอย่างต่อเนื่องในทีม โอเอ็ม ลงสนาม 46 เกมยิงไป 27 ประตู พร้อมผงาดซิวตำแหน่ง ดาวซัลโว ศึก ยูฟ่า คัพ มาครองได้ แม้จะไม่สามารถพาทีมเป็นแชมป์ ยูฟ่า คัพ ได้
จน โฆเซ มูรินโญ กุนซือของ สิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ติดใจในตัวของกองหน้าวัย 27 ปีจนต้องดึงตัวมาร่วมทีมเมื่อปี 2004 ด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 24 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,800 ล้านบาท) โดยที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในตอนแรกนั้น ดร็อกบา ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องภาษา แต่ก็สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญเขายังเป็นแกนหลักในการพาทีม เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และ คาร์ลิง คัพ มาครองได้ โดยลงเล่นทั้งหมด 60 นัด ยิงไปจำนวน 27 ประตู ส่วนในปี 2005 นั้น ดร็อกบา ก็ยังแรงไม่หยุด ในฤดูกาลนี้ยิงไปแล้ว 9 ประตูด้วยกัน ผลงานในทีมชาติ : กับทีมชาตินั้น ดร็อกบา นั้น ถูกถือว่าเป็นพระเจ้าของชาว ไอวอรี โคสต์ เลยทีเดียว หลังจากประสบความสำเร็จพาทีมไปเล่นฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมนี ได้สำเร็จ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนั้น ดร็อกบา ยิงให้ทีม ตราช้าง ไปถึง 9 ลูกด้วยกัน
ทรรศนะ : ฟุตบอลโลก 2006 ถือว่าเป็นครั้งแรกของ ไอวอรี โคสต์ และ ดร็อกบา ซึ่งแม้ว่าจะถูกจับให้อยู่ในสายแข็งร่วมกับ อาร์เจนตินา, เซอร์เบียฯ และ ฮอลแลนด์ แต่ด้วยฟอร์มการเล่นของ ดร็อกบา ที่กำลังอยู่ในช่วงท็อปพีคสุดๆ ทำให้ทีมอื่นไม่สามารถที่จะประมาทเขาได้ โดยเฉพาะลูกกลางอากาศที่ถือว่าเป็นลูกถนัดของ ดร็อกบา เลยทีเดียว แม้ว่าชื่อชั้นจะเป็นรองทุกทีมในกลุ่มนี้ แต่ถ้ามาเช็คตัวจริงล่ะก็ทีมของ ดร็อกบา ก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ ดูแล้วโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้มี 60 เปอร์เซ็นต์
ริเควเม : ฮวน โรมัน ริเควเม ว/ด/ป เกิด : 24/06/1978 เกิดที่ : บูเอโนสไอเรส, อาร์เจนตินา สัญชาติ : อาร์เจนตินา สูง : 182 ซม. น้ำหนัก : 79 กก. ลงเล่นทีมชาติ : 27 นัด ประตู : 7 สโมสร 1995 - 1996 : อาร์เจนตินอส จูเนียร์ 1996 - 2002 : โบคา จูเนียร์ 2002 - 2003 : บาร์เซโลนา 2003 - ปัจจุบัน : บียาร์รีล
ริเควเม ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 1978 ที่ กรุงบูเอโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โดย ริเควเม เริ่มเล่นบอลตั้งแต่เล็กๆ เหมือนยอดนักฟุตบอลคนอื่นๆ ทั่วไป จนอายุ 17 ปี ความฝันของเด็กที่ชื่อ ริเควเม ที่บ้าฟุตบอลก็เป็นจริง เมื่อได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในปี 1995 ผลงานในสโมสร : ริเควเม เริ่มต้นกับสโมสร อาร์เจนตินอส จูเนียร์ แต่เจ้าตัวไม่มีโอกาสลงสนามเลยแม้แต่นัดเดียว ทำให้ในปีต่อมาได้ย้ายไปเล่นให้กับ โบคา จูเนียร์ ทีมยักษ์ใหญ่ในแดน ฟ้า-ขาว ซึ่งที่โบคานั้น ได้เล็งเห็นความสามารถของ ริเควเม จึงเปิดโอกาสให้ลงสนาม และเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์ม ไม่ทำให้ทีมต้องผิดหวัง เมื่อลงสนาม 22 เกมยิงได้ 4 ประตูด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มพัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลัก ของทีม โบคา จูเนียร์
และ ริเควเม ก็ร่ายเวทมนตร์ได้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ทำให้บรรดาทีมต่างๆ ในยุโรป จ้องตะครุบตัว และก็เป็น เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลนา สโมสรยักษ์ใหญ่จากแดนกระทิงดุคว้าตัวไปครองได้สำเร็จ แต่ในปีแรกที่สเปนนั้น ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเพลย์เมกเกอร์สายเลือดฟ้าขาว นั้นไม่สามารถที่จะยึดตัวจริงถาวรได้ ทำให้ต้องลุกๆ นั่งๆ ซุ้มม้านั่งสำรองอยู่ตลอดเวลา โดยในปีแรก โรมี ลงสนามไปทั้งหมด 41 เกม โดยตกเป็นตัวสำรองถึง 20 เกมด้วยกัน แต่ปีที่ 2 ในถิ่น คัมป์ นู ไม่ง่ายเลย เมื่อไม่สามารถเบียดขึ้นมาเป็นตัวจริงได้
ทำให้ต้องระเห็จไปอยู่กับ บียาร์รีล เพื่อนร่วมลีกของ บาร์เซโลนา และที่นี่เองที่ทำให้ ริเควเม ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาจนได้ โดยเฉพาะฤดูกาล 2004 - 2005 ถือว่าเป็นปีทองของ ริเควเม เลยทีเดียว โดยเจ้าตัวลงสนามทั้งหมด 39 เกม และยิงได้ถึง 18 ประตู พร้อมทั้งพาต้นสังกัดผงาดเข้าไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ ขณะที่ในปีนี้เจ้าตัวก็ยังคงร่ายฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในลีก ที่ลงสนามไป 14 นัด ยิงได้ถึง 7 ประตู ซึ่งดูแล้วความร้อนแรงของ ริเควเม ยังไม่หยุดแค่นี้แน่นอน
ผลงานในทีมชาติ : ในทีม ฟ้า-ขาว อาร์เจนตินา นั้น โรมี ได้ลงสนามเป็นนัดแรกในเกมที่พบกับ โคลัมเบีย ซึ่งในเกมนั้นทั้งสองทีมเสมอกันไป แต่เจ้าตัวยังได้โอกาสลงสนามไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากในตำแหน่งของเขานั้น มี ฮวน เซบาสเตียน เวรอน เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ อินเตอร์ มิลาน คอยขวางทางอยู่ แต่หลังจากที่ เวรอน ได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาว โอกาสของ ริเควเม ก็มาถึง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนตินาต้องผิดหวัง โดยเฉพาะ โฆเซ เปอร์เกมัน เทรนเนอร์คนปัจจุบัน เมื่อ โรมี สามารถร่ายเวทมนตร์พาทีมผงาดผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ในฐานะแชมป์ของโซนอเมริกาใต้ ขณะเดียวกัน ริเควเม ก็สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอาร์เจนตินาได้สำเร็จและคาดว่า เปอร์เกมัน จะใช้ โรมี เป็นแกนหลักในทีม ฟ้า-ขาว ชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมัน
ทรรศนะ : หลังจากที่ โฆเซ เปอร์เกมัน เทรนเนอร์ของ อาร์เจนตินา ได้ออกมาประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า ฮวน โรมัน ริเควเม นั้นเหนือกว่า โรนัลดินโญ เจ้าของตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมถึง 3 รางวัล ทำให้ทั่วโลกนั้นเริ่มจะนำเขามาเปรียบเทียบในทันที ริเควเม นั้นเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่มีจุดเด่นในเรื่องการจ่ายบอล ซึ่ง โรมี มักจะทำได้อย่างยอดเยี่ยมเสมอ โดยเฉพาะจังหวะการจ่ายบอลคิลเลอร์พาส ที่สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมยิงประตูมาได้นักต่อนักแล้ว ขณะที่ลูกยิงฟรีคิกก็ถือว่าเป็นมือสังหารที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครเช่นกัน ถึงแม้ในครั้งนี้อาร์เจนตินาจะอยู่ในสายหนักไม่ใช่เล่น แต่ก็ยังไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่ ริเควเม จะนำพาทีมชาติอาร์เจนตินาไปถึงฝั่งฝัน สำหรับโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้ของ ริเควเม นั้นมี 60 เปอร์เซ็นต์
อังเดร เชฟเชนโก : อังเดร เชฟเชนโก ว/ด/ป เกิด : 29/09/1976 เกิดที่ : ดวิเคียเชนา, ยูเครน สัญชาติ : ยูเครน สูง : 183 ซม.แน้ำหนัก : 72 กก. สโมสร 1994 - 1999 : ดินาโม เคียฟ 1999 - ปัจจุบัน : เอซี มิลาน
จรวดยูเครน อังเดร เชฟเชนโก ลืมตาดูโลกครั้งแรกเมื่อ 29 พฤศจิกายน 1976 ที่เมือง ดวิเคียเชนา ซึ่งใกล้เมืองเคียฟ เชว่า เริ่มหลงใหลในฟุตบอลตั้งแต่เด็ก และได้เริ่มเล่นฟุตบอลด้วยการเป็นเยาวชนของสโมสร ดินาโม เคียฟ และด้วยความสามารถที่มากเกินวัย เชฟเชนโก ก็ถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น
ผลงานในสโมสร : ปีแรกในทีมชุดใหญ่ของ เชฟเชนโก นั้น เจ้าตัวยังไม่ค่อยได้ลงสนามมากเท่าไหร่ เนื่องจากทางโค้ชนั้นยังเห็นว่ายังเด็กอยู่ แต่ในฤดูกาล 1995 - 1996 เชฟเชนโก ก็เริ่มฉายแววยอดนักเตะมากขึ้น เมื่อสามารถยิงได้มากถึง 16 ประตู จากการลงสนาม 31 นัดติดกัน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เชว่า ก็สามารถยึดตัวจริงในทีม ดินาโม เคียฟ ได้ตลอด และสามารถยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ จนในฤดูกาล 1998 - 1999 เชฟเชนโก ก็ระเบิดฟอร์มสุดยอดออกมาจนเตะตาบรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป ด้วยการยิงได้ทั้งหมด 28 ประตูจากการลงสนามทั้งหมด 44 เกม ซึ่งในปีนี้เจ้าตัวยังสามารคว้ารางวัล ดาวซัลโว ของลีกยูเครน
ทำให้ในฤดูกาล 1999 - 2000 ทาง ปีศาจแดง-ดำ เอซี มิลาน ยอดทีมจากแดนมะกะโรนี ดึงตัวร่วมทีมด้วยค่าตัวจำนวนมหาศาลถึง 26 ล้านดอลลาร์ (1,040 ล้านบาท) และปีแรกในการลงสนามในถิ่น ซาน ซิโร เชว่า ก็สร้างความตื่นตะลึงด้วยคว้าตำแหน่งรางวัล ดาวซัลโวสูงสุด ของลีกมาครองได้สำเร็จหลังจากกดไปทั้งหมด 24 ประตู ซึ่งจากนั้นมา เชว่า ก็กลายเป็นดาวยิงเบอร์หนึ่งของทีม ปีศาจแดง-ดำ มาตลอดจนถึงบัดนี้
ซึ่งในปี 2004 ก็ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของเชฟเชนโกเลยทีเดียว เมื่อพาทีม เอซี มิลาน ผงาดเป็นแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองได้ และเท่านั้นยังไม่พอปลายปี เชว่า ก็ได้ถูกรับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป หรือ บัลลง ดอร์ ประจำปี 2004 ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของ เชฟเชนโก เลยก็เป็นได้
ผลงานในทีมชาติ : แม้ว่าชื่อของ อังเดร เชฟเชนโกนั้น จะติดหูแฟนบอลมาเนิ่นนานแล้ว ก็เฉพาะในสโมสรเท่านั้น แต่กับทีมชาติยูเครนนั้น เชื่อว่าแฟนบอลไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไร โดยเฉพาะกับรายการใหญ่ๆ อย่างฟุตบอลโลก เพราะว่า ทีมชาติยูเครนไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นรายการใหญ่ได้บ่อยครั้ง โดย เชฟเชนโก ได้ลงสนามเล่นกับทีมชาติครั้งแรกในปี 1995 ในเกมพบกับ โครเอเชีย โดยเจ้าตัวมีเป้าหมายสูงสุด คือการพาทีมชาติยูเครนไปเล่นฟุตบอลโลกให้ได้ และเจ้าตัวก็สามารถทำได้สำเร็จ เมื่อพาทีมไปลุยศึกฟุตบอลโลกฉบับเมืองเบียร์ได้ ซึ่งนี้เองทำให้เป็นที่น่าจับตามองว่าการเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกของ เชฟเชนโก นั้นจะทำได้ดีแค่ไหน
ทรรศนะ : ฟุตบอลโลกปี 2006 ฉบับเมืองเบียร์ ถือว่าเป็นครั้งแรกของ ยูเครน และของ เชฟเชนโก ซึ่งยอดทีมจากยุโรปตะวันออกนั้น ถูกจับให้อยู่สายเดียวกับ สเปน, ตูนิเซีย และ ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นสายที่ไม่แข็งมาก ทำให้ อังเดร เชฟเชนโก มีโอกาสที่ดี ที่จะสร้างชื่อเสียง ให้กับตัวเองอีกครั้ง
เชว่า นั้นมีจุดเด่นที่ความเร็ว และความแม่นยำในการยิงประตู หากมีโอกาสจะๆ เมื่อไร โอกาสที่พลาดการได้ประตูนั้นยาก ซึ่งการที่อยู่ในสายที่ไม่แข็งเช่นนี้ ทำให้ เชว่า มีโอกาสแจ้งเกิดในฟุตบอลโลกครั้งนี้มากถึง 60 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว.
Create Date : 24 เมษายน 2549 |
Last Update : 24 เมษายน 2549 0:44:08 น. |
|
40 comments
|
Counter : 1936 Pageviews. |
|
|
|