Group Blog
 
All blogs
 

New life, new travelling



หลังปีใหม่ ฉันเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ (โดยไม่ได้จะอยากเปลี่ยน)
ผ่านพ้นไป 3 วันฉันกำลังมองมุมบวกของวิถีชีวิตใหม่

Office ฉันขยายสำนักงานเพิ่ม และฉันเป็นคนหนึ่งที่จะต้องไปทำงานที่ใหม่
ซึ่งจะไกลบ้านมากขึ้น

มนุษย์เรายึดติดความเคยชิน … ฉันก็ไม่ได้ผิดไปจากมนุษย์ส่วนใหญ่ทั้งนั้น



….ความเคยชินของฉัน…..

ฉันเคยอยู่ในรัศมีเดินทาง 6 กม.จากบ้านไป Office ขับรถแบบสบาย ๆ ถึงเจอรถติดบ้าง แต่เนื่องจากรัศมีใกล้ ฉันจึงไม่ต้องหัวเสียมากนักกับการที่รถติด
(นิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง)


ฉันไม่ใช่คนชอบตื่นเช้า


ฉันเคยออกกำลังกายหลังเลิกงานสัปดาห์ละ 2 วันแบบสบาย ๆ


….แต่วิถีชีวิตของฉันกำลังเปลี่ยน….



ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยการตื่นเช้าขึ้น และมาออกกำลังกายยามเช้า
ฉบับมินิแทน

ฉันกลายเป็นคนนอนเร็วขึ้น เพราะต้องตื่นเช้า ตอนนี้ใครอย่ามาถามรายการทีวีฉันนะ ฉันคงตกยุคเป็นแน่แท้

ฉันเปลี่ยนวิถีชีวิตการเดินทาง ด้วยการขับรถไปจอดที่จุดจอดสถานีรถไฟฟ้า แล้วเดินทางโดยรถไฟฟ้าแทน (ขอบคุณที่ฉันยังโชคดีที่บ้านอยู่ใกล้รถไฟฟ้า
ฉันจึงมีทางเลือก)




.....ฉันกำลังมองมุมบวกในสิ่งที่ฉันเปลี่ยนแปลง
(ที่พูดอย่างนี้ เพราะฉันยังไม่ได้มีความสุขเต็มที่กับวิถีชีวิตใหม่)...

ฉันตื่นเช้าขึ้น และมาออกกำลังกายยามเช้าแทน ฉันสัมผัสอากาศที่ใสสะอาด
ฉันเพิ่งสังเกตว่ามีเสียงนกร้องยามเช้าเป็นเสียงที่ไพเราะ
ฉันไม่ใช่คนตื่นเช้าแบบนี้มาก่อน

ฉันนอนเร็วขึ้น ซึ่งถ้าอ่านหนังสือสุขภาพ ส่วนใหญ่มักจะบอกให้นอนหัวค่ำแล้วตื่นแต่เช้า แต่ฉันปฏิบัติในทิศทางตรงข้าม คิดซะว่าฉันกำลังกลับเข้าสู่สภาวะสมดุลของเวลาที่ถูกต้องแห่งการพักผ่อนของมนุษย์

ฉันลดการใช้รถส่วนตัว โมเมว่าฉันเป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการลดภาวะโลกร้อน (นางเอ๊ก นางเอก
ประชด ๆ)

ฉันเดินมากขึ้น ก็รถไฟฟ้านี่จ๊ะ ยังไงก็ต้องเดินบ้างล่ะ คิดซะว่าฉันเปลี่ยนจากการออกกำลังกายหลังเลิกงานมาเป็น
ออกกำลังกายทุกวันทั้งเช้าและเย็น

ฉัน 5 ส. ข้าวของที่ย้าย Office อย่างไม่น่าเชื่อ ปกติฉันเป็นคนสะสม (เอกสารและข้าวของ) แต่ฉันสามารถจัดเก็บข้าวของลงกล่องเพียง 1 ใบ
(กล่องไม่ใหญ่มาก) แค่นั้น (ไม่รวมคอมพิวเตอร์) นอกนั้นฉันตัดใจทิ้งหมด

ฉันกำลังสอนตัวเองเรื่อง “อย่ายึดติด”
เพราะชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง

แต่บางเรื่อง พูดง่าย แต่ทำยาก ถึงต้องสอนตัวเองอยู่


คิดซะว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นสาวฮ่องกงแล้ว ที่เดินทางโดยรถไฟฟ้าเป็นหลัก


ปัจจุบันฉันมีบัตรคู่ชีพ 2 ใบสำหรับการดำรงชีวิตแบบใหม่ คือบัตรจอดรถ และบัตรรถไฟฟ้าแบบรายเดือน

ส่วนตั๋วรถเมล์ใบเล็ก เก็บเป็นที่ระลึกของการขึ้นรถเมล์ต่ออีก 2 ป้ายสำหรับวันแรกของการเดินทาง

หลังจากนั้นมีบริการรถตู้มาส่งระหว่างรถไฟฟ้ากับ office ค่ะ






….รัชชี่….









Ratchee's Greatful Journal
วันอาทิตย์ 10 ม.ค. 53


บันทึกมองผ่านเลนส์สายตาเมื่อเปลี่ยนวิถีการเดินทางแบบใหม่

...วันจันทร์แรกหลังปีใหม่ ฉันเพิ่งเห็นแถวคนยาวเหยียดที่ช่องแลกเงินและซื้อบัตรรถไฟฟ้า เพราะเมื่อก่อนนาน ๆ ครั้งที่ฉันใช้บริการ มันไม่เป็นแบบนี้

...โชคดีที่ฉันซื้อบัตรรถไฟฟ้ารายเดือน
ก็ต่อแถววันนั้นวันเดียวจบ

...ฉันเพิ่งรู้ว่าการเดินทางในช่วง peak ยามเช้า เมื่อเลยสถานีสยาม คนหายไปจากรถไฟฟ้าเยอะมาก

...ฉันเพิ่งรู้ว่าร้าน 7&11 ที่สถานีหนึ่งของรถไฟฟ้า ทำ
แซนวิสวางรอบนเคาน์เตอร์ไว้เลย ให้พร้อมสำหรับคนซื้อ เพราะปกติที่สาขาอื่น เราต้องสั่งทีละครั้ง
....วิถีชีวิตคนเมืองจริง ....ให้ไว ให้ไว

...ฉันเพิ่งรู้ว่า 2 วันแรก ฉันเข้าร้านขนมปัง Yamazaki ผิดด้าน ไปเข้าที่ประตูทางออก วันหลัง ๆ ที่ไม่ค่อยเร่งรีบถึงเพิ่งสังเกตเห็น

...สรุปสุดท้าย วิถีชีวิตแบบใหม่นี้ ฉันได้เดินเยอะขึ้นจริง ๆ เพราะขาลงรถไฟฟ้า บันไดเลื่อนตรงมุมนั้นจะเป็นทางขึ้น พอขากลับบ้าน ฉันก็ต้องเดินขึ้นบันได้ เพราะมุมบันไดเลื่อนตรงนั้นเขาจะปรับสวิทช์เป็นขาลง







Ratchee’s Grateful Journal
วันพุธ 13 ม.ค. 53

การได้เห็นอะไรแปลกไปกว่าที่เคย ถือเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง

2 วันที่ผ่านมา ฉันได้เห็นการถ่ายทำนอกสถานที่ คือเราจ้างบริษัทข้างนอกทำการถ่ายทำนอกสถานที่ถึงสินค้าของเรา และสัมภาษณ์ผู้ใช้บริการสินค้าของเรา ฉันได้สังเกตเห็นการจัดฉาก เห็นมุมมองที่เหมาะสมที่ควรจะถ่าย

ซึ่งพอได้เห็นการถ่ายทำของจริง ก็เลยทำให้เวลาฉันดู VTR เรื่องอื่น ๆ แล้ว ฉันได้สังเกตการจัดฉากและวัตถุองค์ประกอบมากขึ้น

…ชีวิตคือการเรียนรู้จริง ๆ…









 

Create Date : 07 มกราคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2553 18:38:10 น.
Counter : 604 Pageviews.  

ขอบคุณปี 2552 และปณิธานปี 2553



ตรวจสอบตัวเองในปีที่ผ่านมา + ปณิธานสำหรับปีใหม่

....ขอบคุณในสิ่งที่ผ่านมาของปี 52....


1. อากาศยามเช้าที่สดชื่นแจ่มใส ประกอบกับเสียงนกร้อง เพราะฮึดตัวเองตื่นเช้าขึ้นอีกนิด ออกมาสัมผัสอากาศหน้าบ้านพร้อมรำกระบอง (ฉบับมินิ 5 นาที) ตอนเช้า

...เรื่องจริง...เป็นคนขี้เกียจตื่นเช้ามาก ๆ ตั้งนาฬิกาเช้าขึ้นอีกนิด กว่าจะงัดตัวเองออกจากเตียงแทบแย่

.......................................................................

2. การเขียนมากขึ้น ทำให้รู้ความรู้สึกตัวเองมากขึ้น และทำให้รู้ความจริงในตัวเองเพิ่มขึ้น

...เรื่องจริง...ก่อนหน้าเขียนบล็อก มีบันทึกไดอารี่บ้างแต่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว การเขียนบล็อกมีข้อดีคือบันทึกเรื่องราว + กิจกรรมที่ผ่านมา และเป็นการเก็บเรื่องราวเป็นหมวดหมู่

......................................................................

3. ขอบคุณการทะเลาะ ที่ทำให้รู้จุดบกพร่องของตัวเอง

...เรื่องจริง.... การทะเลาะแม้ว่าทำให้เจ็บปวด โดยเฉพาะกับ
คำพูด แต่เมื่อเวลาผ่านไปและได้ใคร่ครวญตัวเอง ทำให้รู้
จุดบกพร่องของตัวเองด้วยเช่นกัน

...เรื่องจริง...แน่นอนคนที่ทะเลาะด้วย ก็ต้องคิดว่าตัวเอง
เป็นผู้ถูก

...เรื่องจริง..การทะเลาะกันทำให้พบว่า เรื่องบางเรื่องไม่มีเหตุผล ทุกคนคิดว่าตัวเองถูก

แต่สิ่งสำคัญมันต้องมีคนหนึ่งยอม (แม้จะจริง ๆ แล้วต่างคนต่างมีส่วนผิดด้วยก็ตาม)

.........................................................................


4. ขอบคุณที่กล่าวคำขอโทษ อย่างน้อยก็รู้สึกว่าพูดไปแล้ว

....เรื่องจริง...ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนปากหนักอย่างฉันจะกล่าว
คำขอโทษ

.........................................................................


5. ขอบคุณกัลยาณมิตรทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต






......ปณิธานในปี 53.......

1. ฉันจะมีสติให้มากขึ้นกับการใช้ชีวิต

...ปัจจุบัน...วัน ๆ รู้ตัวว่าไม่ค่อยมีสติ
..ข้อดี.. การที่รู้ตัวว่าไม่ค่อยมีสติ ก็ยังดีล่ะนะที่รู้ตัว
แสดงว่ายังมีสติอยู่

2. ฉันจะใกล้ชิดภาษาอังกฤษให้มากขึ้น ฉันจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้มากขึ้น


3. ฉันจะบริจาคเสียง (อ่านหนังสือออกเสียงอัด mp3) ให้คนตาบอด ให้จบเล่มและส่งแผ่นไปให้มูลนิธิคนตาบอดซะที


4. ฉันจะคาดหวังกับคนและสิ่งต่าง ๆ ให้น้อยลง

5. ฉันจะพยายามยึดติดให้น้อยลง

6. ฉันจะใช้ชีวิตให้ simple และติดดินมากขึ้น

...ปัจจุบัน...ฉันรักความสบายพอสมควร
...ข้อดี..ถ้าใช้ชีวิตให้ simple เราจะอยู่อย่างไรก็ได้

7. ฉันจะใช้ถุงผ้ามากขึ้น และพยายามลดการขอถุงพลาสติก

8. ฉันจะให้อภัยคนที่ทำให้ฉันเสียใจ

9. ฉันจะให้อภัยตัวเองในสิ่งที่ทำผิดพลาด

10.ฉันจะสวดมนต์ให้บ่อยขึ้น

11. ฉันจะ 5 ส. โต๊ะทำงานและห้องนอนให้บ่อยขึ้น

12. ของที่ไม่ใช้แล้วจริง ๆ ฉันจะต้องเคลียร์ออกหรือบริจาคให้มากขึ้น
เพื่อให้คนที่เขาต้องการได้ใช้ประโยชน์แทน



.....รัชชี่......

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...








Ratchee's Grateful Journal
วันที่ 1 ม.ค. 53


และแล้ววันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ฉันก็ได้มีโอกาสไป Countdown ที่ยุวพุทธเป็นครั้งที่ 2 ไปถึงราว ๆ บ่ายโมงกว่าและอยู่ถึง 1 ทุ่ม ถึงได้กลับออกมาก่อน เพราะว่าอยู่ข้ามคืนไม่ไหว



ช่วงเวลาบ่ายต้น ๆ พิธีกรประกาศว่ามีคนมาลงทะเบียนถึงขณะนั้นประมาณ 1,800 คน (ปีที่แล้ว 1,700 คน) แต่ว่ายิ่งเวลาผ่านไปโดยเฉพาะช่วงเวลาที่ฉันใกล้กลับ ในห้องประชุมคนยิ่งมามากขึ้น

มีการฟังบรรยายธรรมะ สลับกับการเดินจงกรมและนั่งสมาธิ รวมถึงสวดมนต์



....บทสรุปจากการฟัง ที่ฉันจับมาเป็น Hilight .....

สิ่งที่ถูก....โชคร้ายของมนุษย์คือการไม่รู้ว่าตัวเองโชคดี"

สิ่งที่ผิด...ธรรมชาติของมนุษย์ชอบคิดว่าชีวิตคนอื่นดีกว่า




ศีล คือ สิ่งที่ควรตั้งใจเพราะศีลเปรียบเสมือนกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มนุษย์ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน

....ตรวจสอบตัวเอง.... สำหรับศีล 5 ปัจจุบันฉันค่อนข้างมั่นใจว่าศีลข้อ 1-3 และ 5 ไม่มีปัญหา

แต่! ข้อ 4 นี่สิ สอบตกบ่อย ๆ ....ทำไมเหรอ???

ศีลข้อ 4 มันไม่ได้แค่หมายถึงการไม่พูดโกหกนะคะ
เพราะเรื่องนี้ก็จิ๊บ ๆ สำหรับฉัน

แต่ศีลข้อ 4 ครอบคลุมถึงการพูดเพ้อเจ้อ การบ่น การพูดส่อเสียดนี่แหละ การเมาท์การนินทานี่ก็เป็นจุดหนึ่ง

ฉันสอบตกตรงที่ เวลาสติแตกแล้วล่ะก็ ฉันบ่น พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย

เอานะ! ... อย่างน้อยก็ถือว่ารู้จักตัวเอง


ควรมีสติ และสมาธิ เพราะมีหลักวิทยาศาสตร์เคยพิสูจน์มาแล้วดังเช่นเรื่องผลึกของน้ำ ที่เราเคยได้ยินมาว่าผลึกของน้าที่ได้รับเสียงที่แตกต่างกัน จะมีการเรียงตัวเป็นระเบียบที่แตกต่างกัน

เพราะร่างกายมนุษย์มีน้ำประกอบเป็นสัดส่วนเยอะมาก ...ฉันใดฉันนั้น

อ้อ! เพิ่งรู้อีกอย่างว่า สติ เป็น สังขารขันธ์ คือเป็นอาการระลึกรู้ จำได้ถึงสภาวะธรรม ดังนั้นเราจึงควรเจริญสติบ่อย ๆ

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ถือว่าปัจจุบันการเจริญสติและการทำสมาธิของฉัน

สอบตกค่ะ









Ratchee's Grateful Journal
วันเสาร์ 2 ม.ค. 52

เมื่อวานทัวร์กรุงเทพตั้งแต่บ่ายสองถึง 3 ทุ่ม ระยะเวลากำลังพอดี
สำหรับขาลาก


ไปเดินโซน Little India , Little little จริง ๆ

ได้เข้าวัดซิกข์ค่ะ สถานที่เคารพอยู่ชั้น 4 แต่ข้างบนเขาไม่ให้ถ่ายรูป เขามีผ้าวางไว้ให้เรานำมาโพกหัวด้วย


แล้วก็โต๋เต๋ไปวัดไตรมิตร ประชากรหนาแน่นมาก เก้าอี้ยังถูกแปะตีตราจองไว้ก่อนสำหรับผู้ที่จะมาสวดมนต์

คืน 31 ธ.ค. วันนั้นนอนดึก หลังเที่ยงคืน เปิดทีวีช่องหนึ่งมี่ถายทอดการสวดมนต์ข้ามปีที่วัดไตรมิตรด้วย

ภาพสถานที่ยามกลางวัน ได้เห็นมุมแล้วนึกออกว่าคืนส่งท้ายปีเก่าเป็นอย่างไร



ไปโซนสยามพารากอน กะจะไปเดินพิพิธภัณฑ์ศิลปะตรงข้ามมาบุญครองซะหน่อย ปิดซะนี่ เมื่อปีใหม่ปีที่แล้วจะเข้ามิวเซียมสยาม ก็ปิด

หรือเราไม่ถูกกับอาร์ตเนาะ

Dinner ที่ร้านญี่ปุ่น Sukishi ที่สยามดิสคัพเวอรี่ (น่าจะใช่นะ) เพราะตอนแรกเดินไปเรื่อย ๆ ถึงสยามพารากอนก่อน


ปิดท้ายคำคืน เดินชมความงามยามราตรีไปถึงรถไฟฟ้าชิดลม วันนี้อุดหนุนวัน Car free day จ้า

ไว้ว่าง ๆ ค่อยมาอัพบล็อกเป็นเรื่องเป็นราว มาโน้ต ๆ ไว้ก่อน







 

Create Date : 31 ธันวาคม 2552    
Last Update : 2 มกราคม 2553 9:41:09 น.
Counter : 1567 Pageviews.  

เมื่อ "รัชชี่" ไม่สบาย



ก่อนหน้านี้สัก 1-2 สัปดาห์ มีคนใกล้ ๆ ตัว 2-3 คนมีอาการไม่สบาย สไตล์อาหารเป็นพิษบ้าง อาหารไม่ย่อยบ้าง

ปรากฎว่าเมื่อวันพุธที่แล้ว หลังจากทานมื้อกลางวันแล้ว
ช่วงบ่ายฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย
แน่น ๆ ท้อง อาการคล้ายอาหารไม่ย่อย ก็คิดว่าอักสักพักคงดีขึ้น



//student.mahidol.ac.th/~u4909007/image/n21.jpg



เวลาผ่านไปถึงบ่ายสามโมง เจ้าอาการนี้ก็ยังคงอยู่ในระดับเดิม ตอนแรกคิดว่าจะกลับบ้านดีมั้ย แต่มานึกอีกที รออีกสักหน่อยก็ห้าโมงแล้ว ค่อยกลับบ้านทีเดียว

เย็นวันนั้นจริง ๆ แล้วฉันมีคลาสฝึกโยคะเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่ต้องขอบาย เพราะไม่ไหวจริง ๆ

ช่วงขับรถกลับบ้าน รถยังติดอีก อยากถึงบ้านเร็ว ๆ สรุปว่าพอถึงบ้านแล้วก็ไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรเลยค่ะ ท้องก็ยังแน่นอยู่ เลยนอนตั้งแต่ 1 ทุ่ม

รู้สึกตัวอีกทีก็ราว 4 ทุ่มครึ่ง อาการค่อยยังชั่วค่ะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำ

ความจริงอาการ "อาหารไม่ย่อย" มักจะเกิดกับฉันเวลาเดินทางไกล ก็ไม่รู้เหมือนว่าเป็นเพราะนั่งนานหรือเปล่า ผู้ร่วมทริปขาประจำจะรู้ทุกทีว่าเป็นอีกแล้ว เวลาเดินทางจึงไม่ค่อยกล้ากินอะไรมาก
ก็ต้องรู้จักจุดแข็ง จุด่อนของร่างกายของตัวเองน่ะนะ







เป็นจริงดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
"ความไม่มีโรคคือลาภอันประสริฐ"

โดยปกติ เวลาไม่สบาย ฉันก็เป็นพวกหวัดบ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วส่วนใหญ่ด้วยความที่เป็นคนกินยายาก ไม่ชอบกินยา ยิ่งเม็ดใหญ่ ๆ ล่ะก็อยากจะโยนทิ้ง กลืนแล้วมันติดคอน่ะ ทำให้เหมือนเด็กเลยคือถ้าเป็นเม็ดใหญ่ ๆ ต้องหักเป็นเม็ดเล็ก ๆ

ดังนั้นถ้าไม่เป็นอะไรนักหนาแล้ว ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกินยา
เน้น "นอน" อย่างเดียว



//images.google.co.th/imgres?imgurl=//beebabies.files.wordpress.com/

สำหรับฉัน การนอนคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดค่ะ ฉันว่ายาบางตัวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อจะให้เราพักผ่อน ดังนั้นการกินยาที่มีผลให้ง่วงนอนในเวลากลางวัน ในวันทำงานของเรา
เป็นสิ่งที่ขัดแย้งที่สุด








มีสิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณและเป็นตัวช่วยเรื่องสุขภาพ คือ การออกกำลังกาย ขอคอนเฟิร์มว่าดีจริง ๆ ฉันเป็นคนออกกำลังกายมาตลอดตั้งแต่เรียนปริญญาตรี จะเต้นแอโรบิกมาตลอด มาเมื่อ 2-3 ปีนี้เปลี่ยนมาเป็นโยคะและรำกระบอง



//learners.in.th/file/beebow999/YOKA_10-J.jpg

จริง ๆ แล้วพวกเราทุกคนรู้กันน่ะแหละว่าอะไรดีต่อร่างกาย
หลักการ อ.
อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย อุจจาระ
ใช่มั้ยน้อ 5 อ.ที่ฉันเขียน โมเมว่าใช่แล้วกัน




//www.cheewajit.com/images/web/stick1.jpg


แต่ส่วนหนึ่งคงด้วยวิถึชีวิตของคนยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป อาหารเราก็เป็นจานด่วนบ้าง อากาศ ถ้าเข้ามาวิ่งวุ่นวายในเมือง ก็คงควบคุมยาก คงต้องเจอต้นไม้ใบหญ้าที่บ้านแทน อารมณ์ มันก็แปรผันตามสภาพแวดล้อมอีกเช่นกัน
คงเคยใช่มั้ยคะ ตอนนี้อารมณ์ดี ๆ อยู่ มาเจออะไร ๆ ที่ทำให้หงุดหงิด

ออกกำลังกาย ก็เป็นตัวหนึ่งที่บางคนบอกว่าไม่มีเวลา จริง ๆ ฉันว่าไม่ใช่นะ เวลาน่ะมี แต่ขี้เกียจออกกำลังกายมากกว่า ซึ่งฉันเองก็เป็น เลยต้องออกกำลังกายร่วมกับคนอื่น ๆ จะได้เป็นแรงผลักดันว่าคนอื่นเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้

เคยอ่านเจอว่า ที่บอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย แต่สังเกตมั้ยว่าเราสามารถ
นั่งจุมปุ๊กดูทีวีได้เป็นชัวโมง ๆ แสดงว่าที่บอกว่าไม่มีเวลาน่ะไม่จริงแล้วล่ะค่ะ

ส่วน อ.ตัวสุดท้าย ฉันได้อ่านพวกคอลัมน์สุขภาพบอกว่าควรพยายามถ่ายให้ได้ภายใน 5.00-7.00 น. ไม่เช่นนั้น
ของเสียก็จะหมุนเวียนกลับมาในร่างกายคนเราอีก








ขอยกเคสของน้องคนหนึ่งที่เธอเพิ่งมาร่วมกิจกรรมออกกำลังกายด้วย ความจริงไม่กี่เดือนเองนะคะ แต่ทำให้เห็นข้อดีของการออกกำลังกายที่ได้ผลเร็วมาก

ปกติน้องคนนี้เธอไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน และบอกว่าชีวิตประจำวันเธอพบหมอเป็นเรื่องปกติ

ครั้งแรก ๆ เธอก็เหนื่อยหน่อย ต้องฝืนตัวเองหน่อย

ไป ๆ มา ๆ นี่เธอกลายเป็นคนขยันประจำคลาสไปแล้วค่ะ ถ้าไม่ติดธุระอะไรจริง ๆ เราจะพบเจอกันเสมอ


ที่สำคัญ เธอดูมีน้ำมีนวลมากขึ้นค่ะ

ป.ล. ถ้าแวะเข้ามาอ่านล่ะก็ บอกเลยว่าขอชมเลยนะ




//variety.teenee.com/foodforbrain/img7/46913.jpg


.......สัปดาห์นี้คุณออกกำลังกายหรือยังคะ????......



.....รัชชี่.....







Ratchee’s Grateful Journal
วันอังคาร 24 พ.ย. 52

ได้ไอเดียจากบล็อกพี่มารูนแห่งบล็อก “Devonshire” อีกแล้ว หลังจากอัพบล็อกหน้าหลัก พี่มารูนจะมาบันทึกปิดท้ายแต่ละวันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ที่บล็อกคุณ “คนขับช้า” อีกท่านหนึ่ง ที่นาน ๆ ทีก็จะอัพเรื่องราวไดอารี่ ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะบางทีบางเรื่องราวดี ๆ เราก็ลืมไป

เลยขออนุญาตทั้ง 2 ท่านว่าขอมาใช้หลัก Copy & Development บ้าง

กับอีกแนวคิดหนึ่งของหนูดี วนิษา เรซ เคยพูดถึง Grateful Journal มีวิชาหนึ่งที่ฮาร์วาร์ดให้นักศึกษาเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้าง Positive Thinking

ช่วงนี้ตั้งนาฬิกาปลุก 6.10 น. พยายามฝึกตัวเองให้ตื่นเช้าขึ้นอีกหน่อย ไม่ใช่ง่าย ๆ เลยล่ะ เพราะบางวันก็แอบนอนต่อ แล้วตื่นตามเสียงนาฬิการอบใหม่ ความจริงอากาศตอนเช้ามัน
ดีมาก ๆ แต่ก็เสียดายเวลานอน (ซะจริง ๆ)

อากาศเช้านี้เย็นสบายดีจัง เดินออกไปหน้าบ้าน รำกระบองยามเช้ากับอากาศสดใสสัก 5 นาที เช้านี้ข่าวเช้าสรยุทธบอกว่าวันนี้ในกรุงเทพอุณหภูมิ 23 องศา อุ่นขึ้นกว่าเมื่อวาน 2 องศา ชอบระดับความเย็นขนาดนี้ กำลังดีสำหรับตัวเอง

ขอบคุณที่วันนี้ได้ใส่เสื้อกันหนาว (ที่ซื้อตัวใหม่ของปีนี้) เป็นวันที่สามแล้ว ......เกรงว่าจะไม่คุ้ม


เมื่อวานมีพี่คนหนึ่งบอกว่าชอบ Twitter ของฉัน ดีจัง รู้สึกดี ๆ ที่บางประโยคที่เอาไปใส่ในนั้นทำให้ใครรู้สึกดี ฉันบอกเธอไปว่าไม่ค่อยได้เข้าไปอัพ Twitter เท่าไหร่นัก เรื่องของเรื่องคือฉันลองเล่น Social network ทั้ง Hi5, Facebook, Twitter เพียงเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แค่นั้น

ใน Twitter บางข้อความ ฉันหยิบยกประโยคดี ๆ ที่เคยได้อ่านแล้วกินใจ อันไหนทราบว่าใครเขียนก็จะแจ้งให้เครดิตผู้เขียนไว้ แต่อันไหนไม่ทราบเพราะว่าก็อ่านเจอต่อ ๆ มากันอีกที ก็ขออภัยผู้เขียนประโยคนั้นด้วยนะคะ

ติดตาม Twitter ได้ที่มุมขวามือที่ Links
แล้วคลิกที่ “My Twitter”

จู่ ๆ มาได้แนวคิดสงสัยต้องเปิด Group Blog ใหม่ บันทึกเรื่องงานบ้าง เพราะว่าเวลาผ่านไปแล้วลืมว่าฉันทำอะไรไปบ้างที่เป็น Project (ไม่นับงานประจำ) แต่ต้องขออนุญาตให้เป็นบล็อกลับ (เฉพาะส่วนตัว) ไม่ publish ให้เข้ามาอ่านกันได้


จริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องลับ เพียงแต่รู้สึกอยากเป็นส่วนตัวค่ะ อ้อ! อีกอย่างงานหลายชิ้นของตัวเอง ถือเป็น Confidential ใน Office ค่ะ (รู้ได้เฉพาะผู้บริหาร)

หมายเหตุ : ไม่ได้ fake นะคะ เดี๋ยวจะมีผู้สงสัยว่าเกินไปหรือเปล่า เขียนแต่สิ่งดี ๆ สุขและทุกข์เข้ามาเยี่ยมเหมือนคนปกติแหละค่ะ

เราเขียนสิ่งดี ๆ เพื่อขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เข้ามาในวันนี้ดีกว่า









Ratchee’s Grateful Journal
วันพุธ 25 พ.ย. 52

วันจันทร์ถึงพุธ เจอประชุมไปซะหลายชั่วโมง


วันจันทร์ประชุมประมาณชั่วโมงกว่า ๆ เป็นการเชิญบริษัท Organizer เข้ามารับคอนเซปต์และวัตถุประสงค์ของงาน และนัดให้ทั้ง 3 บริษัทไปคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้งานน่าสนใจ และให้เข้ามานำเสนออีกครั้ง

แปลกดีนะ กับการจัดงานต่าง ๆ ไปว่าจะเป็นงานสัมมนา
งานอีเวนต์ บริษัทสมัยใหม่ต้องใช้บริการ Organizer โดยตลอด
จะว่าไปก็ถือเป็น Opportunity ของบริษัท Organizer
นะในยุคนี้

วันอังคารกับพุธก็ประชุมไปอย่างละครึ่งวัน

เมื่อวันอังคารก็เป็นคณะทำงานคัดเลือกบริษัทวิจัย มี 5 บริษัทเข้ามานำเสนอ ข้อดีคือเราก็ได้แนวคิดใหม่ ๆ ของบางบริษัทที่ไม่เคยรู้จักในวงการนี้มาก่อน บางบริษัทเราก็ให้โอกาสเข้ามานำเสนอเป็นครั้งแรก การเป็นบริษัทวิจัยหน้าใหม่ ๆ ก็เป็น Threat เหมือนกัน แต่ถ้าบริษัทนั้นได้รับการคัดเลือกและพัฒนาผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ก็ถือเป็น Opportunity ของบริษัทเขาเอง
เช่นกันที่จะได้รับการคัดเลือกในวันข้างหน้าอีกครั้ง

งวดนี้มาแปลกค่ะ ปกติบริษัทวิจัยที่เป็น International ผู้มาพรีเซนต์ยังไงก็เป็นคนไทย คือคราวนี้ก็เป็นคนไทยอยู่ดี เพียงแต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือบริษัทหนึ่งพาฝรั่งมาด้วย 1 คน กับอีกบริษัทหนึ่งมาชาวญี่ปุ่นมาด้วย 1 คน จริง ๆ 2 ท่านที่เป็นชาวต่างชาติก็ไม่ได้พูดอะไรนะคะ เพียงแต่แลกนามบัตรกันบวกทักทาย Say Hello and nice to meet you แค่นั้นแหละ

ฉันเดาว่าหลัก ๆ คงพาชาวต่างชาติมารู้จักบริษัทในเมืองไทย หรือมาทำความรู้จักลูกค้า (ในอนาคต) ก็เป็นได้

น้องคนที่ร่วมเล่นโยคะด้วยกันที่ฉันเขียนถึงในบล็อกนี้ เมลล์มาถามว่าเอ่ยถึงเขาใช่มั้ย แม่นแล้ว พร้อมให้คำแนะนำดี ๆ ว่าเผื่อมีอาการอย่างนี้อีก ควรกินอะไรเป็นตัวช่วย

จะว่าไปการเข้าร่วมชมรมดี ๆ หรือกิจกรรมดี ๆ ที่คนมีความสนใจร่วมกัน เป็นจุดหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนะ








Ratchee’s Grateful Journal
วันพฤหัส 26 พ.ย. 52

วันนี้ว่าด้วยขำเรื่องชื่อน้องหมา เมื่อคืนเดินอยู่แถวบ้าน เห็นผู้หญิงขี่จักรยาน พร้อมกับใช้สายจูงหมาน่ารักเชียว 1 ตัว ได้ยินเธอเรียกหมาว่า “หมูอบ” ได้ยินแล้วแอบขำเลยล่ะ

ทำเอานึกไปถึงว่ามีหมาตัวหนึ่งที่ร้านอาหารที่เคยไปทานมื้อกลางวัน น้องหมาก็ชื่อ “โอโม่”


เรื่องราวเล็ก ๆ ที่ทำให้ยิ้มได้







Ratchee’s Grateful Journal
วันศุกร์ 27 พ.ย. 52

เช้านี้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ่ายตังค์ค่าเดินทางให้รถมอเตอร์ไซด์ ลักษณะการแต่งตัวเหมือนวิศวกรทำงานไซต์ หอบหิ้วอุปกรณ์ เป้สะพายหลัง เห็นกระบอกน้ำไซด์ขนาดกำลัง
พอเหมาะ 1 อันผูกอยู่กับเป้ และหิ้วปิ่นโตข้าวอีก 1 ชุด (แต่เป็นปิ่นโตที่มองไม่เหมือนปิ่นโต เพราะบางทีคนหิ้วก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเป็นปิ่นโตนะ ที่รู้ว่าข้างในเป็นปิ่นโต
เพราะว่าเคยได้อุปกรณ์นี้ฟรีมา 2 ชุด )

พอเห็นแล้วคิดไปถึงวิถีชีวิตคนทำงานประเทศตะวันตกหรือญี่ปุ่นที่บางทีจะพกข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันติดตัวไปด้วย ในขณะที่คนไทยยังมีคนส่วนน้อยที่ทำแบบนี้

วันนี้ได้ฟังแนวทางของบริษัทวิจัยแห่งหนึ่ง (ซึ่งมานำเสนอข้อมูลพฤติกรรม Life style ของจำนวนกลุ่มตัวอย่างส่วนหนึ่งที่ถือเป็นตัวแทนของประชากรไทย) โดยนำเสนอในรูปโปรแกรม (ลิขสิทธิ์เฉพาะตัว) และเราสามารถเลือกลูกเล่น ปรับนั่นนี่ให้เพราะกับผลิตภัณฑ์หรือลูกค้าของเรา ไม่ใช่ได้เป็นเพียง paper สรุปสำเร็จรูป ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน







Ratchee’s Grateful Journal
วันเสาร์ 28 พ.ย. 52


วันนี้ได้ดูหนังแผ่นเรื่อง The Wrestler ที่บล็อกเกอร์คุณ “คนขับช้า” ส่งมาให้ดู บอกว่าดี เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาอัพบล็อกเรื่องนี้ว่ามีความเห็นอย่างไร

ตอนนี้กำลังชอบเพลงเรื่อง “ซินยุนบก” เลยเอาเพลงมาแปะเผื่อใครอยากฟังก็คลิกเข้าไปเลยค่ะ มีความหมายภาษาไทยประกอบด้วย



Song of the Wind
เสียงขับขานแห่งสายลม

ภายใต้แสงจันทร์นั้น เธอและฉัน
ช่างใกล้กันเหลือเกิน
มือนั้น ราวกับสัมผัสได้
ตานั้น ราวกับมองเห็น
แต่กลับยิ่งพร่ามัว
อีกนานแค่ไหน ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่
ขอเรียกเธออีกเพียงครั้งจะได้ไหม
ยากจะเปล่งเสียงผ่านลำคอ
หายใจติดขัด
เมื่อพยายามเรียกหาเธอ
สายลมพัดพลิ้วจะกอดเธอเอาไว้
จะชำระมันด้วยหัวใจของฉัน
เฉกเช่นความฝันวัยเยาว์
ราวกับความฝันแสนอบอุ่นของเด็กสาว
โผขึ้นไปพร้อมกับเธอ
ข้ามไปจนสุดปลายฟ้า
ดังก่อนนี้ในวันวาน
เช่นเดียวกับความฝันของฉันเมื่อยังเยาว์วัย ช่างแสนไกล
และอีกครั้งที่ยังเฝ้ารอ
เมื่อค่ำคืนที่ยาวนานได้จบสิ้นลง
ในเงามืดสลัว
สายลมพัดพลิ้วจะกอดเธอเอาไว้
จะชำระมันด้วยหัวใจของฉัน
เฉกเช่นความฝันวัยเยาว์
ราวกับความฝันแสนอบอุ่นของเด็กสาว
โผขึ้นไปพร้อมกับเธอ
ข้ามไปจนสุดปลายฟ้า
ดังก่อนนี้ในวันวาน
เช่นเดียวกับความฝันของฉันเมื่อยังเยาว์วัย ช่างแสนไกล
ดังที่เคยเป็นเสมอมา ดังเช่นช่วงชีวิตที่ผ่านเลยไป
เธอก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น
เช่นเดียวกับใจของฉัน ก็เหมือนกับสายลมนั้น
เธอจะยังเป็นดังเดิม และ..
ฉันจะไปกับเธอ..
จะกอดเธอเอาไว้...
สายลมจะพัดพาไป
ชำระไว้ด้วยหัวใจของฉัน
เหนือยอดเขาสีฟ้า
เปล่งประกายสะท้อนพื้นพิภพ
โผขึ้นไปพร้อมกับเธอ
ข้ามไปจนสุดปลายฟ้า
หากแต่ลึกลงไปในความมืดมิด
กลับยินเสียงก้องภายในใจ
ใต้แสงจันทร์ที่ฉาบอยู่บนฟากฟ้า
ฉันเพรียกหาชื่อเธอ
ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด
ก็จะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นนั้น







 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2552 18:32:15 น.
Counter : 2615 Pageviews.  

In my handbag




ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง จริง ๆ แล้วมีเรื่องที่อยากเล่าเหมือนกัน แต่ยังไม่ว่างเรียบเรียงการเขียน เลยขออนุญาตยืมมุขเปิดกระเป๋าจาก
บล็อกพี่มารูน Devonshire ค่ะ

อีกประการ เวลาอ่านนิตยสารชอบดูมุมเปิดกระเป๋าเหล่าเซเล็บหรือดาราค่ะ

เลยแอบมาเปิดกระเป๋าตัวเองบ้างดีกว่า ...

...ว่าแต่อาจจะไม่มีใครอยากรู้ก็ได้..





กระเป๋าคู่ชีพ ปัจจุบันสลับใช้อยู่ 4 ใบค่ะ ใบนี้หน้าฝน อาจไม่ค่อยได้ใช้
ไม่อยากให้เปียกฝน



โทรศัพท์มือถือคู่ใจ (ใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพังแล้วค่อยเปลี่ยน)

มีเพื่อนที่เรียนปริญญาเอก บอกว่าไม่สนับสนุนให้เปลี่ยนมือถือกันบ่อย เพราะเธอกำลังดูโปรเจคเกี่ยวกับขยะและสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนมือถือบ่อย ๆ
กระทบสิ่งแวดล้อมโลก


กระเป๋าสีเหลืองไว้ใส่ตังค์ ตอนนี้พกเงินสดไม่เกิน 500 บาท ยกเว้นว่าถ้าต้องการไปช็อปปิ้งที่ไหนค่อยว่ากัน ใส่กุญแจรถ บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต หวี กระจก ใส่มือถือด้วยก็ได้





กระเป๋าตังค์ใบเล็ก Coach อภินันทนาจากญาติค่ะ เอาไว้ถือเวลาเดินไปไหน
ไม่ไกล เพราะใส่เฉพาะตังค์ก็เต็มแล้วค่ะ


บัตรเข้า Office (ไม่มีเดี๋ยวเข้าไม่ได้ เพราะต้องแปะตรงประตูเข้า +
สแกนนิ้วชี้ เช็คว่าคือคน ๆ เดียวกัน )




Thumb drive





Recorder ไม่ได้เอาไปอัดอะไรหรอก เอาไว้ฟัง MP3 (แต่มีโปรเจคบริจาคเสียงให้คนตาบอดอยู่ ยังอ่านไม่ถึงไหนเลย รอให้จบเล่มค่อย copy ลงแผ่น ส่งให้มูลนิธิคนตาบอด)



เจลล้างมือ



กระดาษเปียก MamyPoko


แว่นขยาย ไม่ได้ใส่แว่นค่ะ แต่พกแว่นขยายติดกระเป๋าเผื่อเวลาอ่านตัวหนังสือจิ๋วไม่เห็น


แป้ง Etude ของฝากจากญาติ มาจากแดนเกาหลี


ครีมกันแดด


เวลาออกนอกสถานที่ จะมีส่วนเพิ่มที่พกคือ ผ้าพันคอ เพราะเป็นคนขี้หนาวค่ะ
+ ถุงผ้าค่ะ



อะไรไม่จำเป็นไม่พกค่ะ ไปหยิบ ๆ เอาที่ office หรือในรถ




สารพัดบัตรสมาชิกหรือบัตรลดต่าง ๆ จะเก็บไว้ที่รถค่ะ ไว้จะแวะไปไหน
ค่อยหยิบเอา เพราะไม่ชอบพกพาเยอะแยะ


.....รัชชี่.....


emo





 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2552 17:08:11 น.
Counter : 697 Pageviews.  

เมื่อตัวหนังสือนำ"บล็อกเกอร์"มาพบกัน



"คุณเคยคิดที่จะไปพบคนที่ไม่รู้จักโดยไม่เกี่ยวกับติดต่อ
ธุระใด ๆ มั้ยคะ"



....ถามใหม่....

"คุณเคยคิดที่จะไปพบคนที่รู้จักผ่านทางตัวหนังสือมั้ยคะ"






..........................................................

...กริ๊งค์............เสียงโทรศัพท์มือถือฉันดังขึ้นในวันหนึ่ง

"จำป้าได้มั้ย" เบอร์มือถือโชว์ว่า kookkai คือป้ากุ๊กไก่แห่งบล็อก "ร่มไม้เย็น"

"จำได้ค่ะ" ฉันกับป้ากุ๊กไก่เคยให้เบอร์มือถือกันไว้

"ป้าอยากชวนคุณรัชชี่ไปเป็นวิทยากรร่วมเรื่องการทำบล็อกน่ะ คุณสินน้องชายป้ากำลังหาวิทยากรร่วมอยู่ในงามสัมมนา KM day ของกระทรวงอุตสาหกรรม"



"โห ให้คุย ๆ เล่า ๆ บอก ๆ สอน ๆ น่ะพอได้ แต่ให้ไปอยู่บนเวที ไม่ไหวมังคะ" ฉันตอบป้ากุ๊กไก่ไปแบบนั้น พร้อมกับกำลังคิดถึงบางบล็อกอยู่ว่าใครพอจะมีแวว

หลังจากคุยกันแล้ว ฉันได้หลังไมค์ไปหา 2 ท่าน ซึ่งเป็นอาจารย์ทั้งคู่ว่า
ถ้าอย่างไรให้ติดต่อกลับไปที่ป้ากุ๊กไก่ด้วย ท่านหนึ่งคาดว่าคงไม่ค่อยมีเวลาเข้าบล็อก จึงติดต่อป้ากุ๊กไก่ช้าหน่อย

อีกท่านหนึ่งขอปฏิเสธว่ายังเพิ่งทำบล็อกมาไม่นาน

ป้ากุ๊กไก่ติดต่อมาอีกครั้งบอกว่า พอจะได้วิทยากรร่วมเสวนา 4 ท่านแล้ว
รอการตอบรับอีกครั้ง

ฉันบอกป้ากุ๊กไก่ไปคร่าว ๆ ว่าถ้ามีโอกาสเคลียร์งานได้ จะแวะเวียนไปฟังค่ะ ป้ากุ๊กไก่เลยเชียร์ว่าอยากให้ไป จะได้เจอกันแบบตัวเป็น ๆ เสียที

........................................................


...รู้จัก "ป้ากุ๊กไก่"....

ป้ากุ๊กไก่มาเจิมบล็อกฉันโดยบังเอิญถึง 2 ครั้งติดต่อกัน เมื่อฉันอัพบล็อกใหม่
สู่สาธารณะ

และก็ให้บังเอิญว่าป้ากุ๊กไก่สังเกตว่าเปิดบล็อกตัวเองในช่วงเวลาที่เริ่ม ๆ คุ้นชื่อบล็อกกัน เห็น comment ฉันไปลอยโดดเด่นปิดท้ายทุกที

....เอ๊ะ มันยังไง....หรือโลกต้องการให้เรารู้จักกัน


ป้ากุ๊กไก่เกษียณแล้ว ตอนนี้มีกิจกรรม "บริจาคเสียง" คืออ่านหนังสือออกเสียงให้คนตาบอดฟัง

ปัจจุบันป้ากุ๊กไก่เป็นขาเจิม (มือวางอันดับหนึ่ง) ที่บล็อกรัชชี่ค่ะ มีสัญลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร


....................................................................................

เมื่อฉันพอเคลียร์ ๆ อะไรได้ ก็บอกป้ากุ๊กไก่ก่อนวันงานสัก 2 วันว่าคาดว่าคงไปร่วมงานได้

.....และแล้ว.....ตัวหนังสือก็นำบล็อกเกอร์มาพบกัน.....




.....รู้จัก คุณสิน วิทยากรหลัก.....

ฉันได้มีโอกาสรู้จักคุณสิน แห่งบล็อก YYSWIM แบบตัวเป็น ๆ ซึ่งเป็นวิทยากร
ผู้ดำเนินรายการของกระทรวงอุตสาหกรรม
บล็อกคุณสิน เป็นบล็อกที่รวบรวมความรู้หลากหลาย แถมชอบอัพบล็อกยาว ๆ และเคยแซวฉันว่า "อัพบล็อกสั้น อ่านไม่ทันไรก็จบแล้ว"
มันมีที่มาที่ไปค่ะ คือ 1. รัชชี่ขี้เกียจอัพบล็อกยาว และ 2. รัชชี่กลัวคนอ่านขี้เกียจอ่านยาว ๆ (แต่ยกเว้นบล็อกเรื่องนี้ค่ะ เขียนยาวกว่าทุกครั้ง เพราะถ้าเกิดมาเขียนตอน 1 ตอน 2 ไปเรื่อย ๆ ล่ะก็ เดี๋ยวได้ถูกขว้างจอแน่)




วิทยากรร่วมที่ไปเสวนาบนเวทีกับคุณสิน มีทั้งหมด 4 ท่านค่ะ


เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป มาติดตามกันค่ะ


....................................................................................

หลังจากงานเสร็จ ฉันตั้งมั่นว่าจะเขียนเรื่อง
"เมื่อตัวหนังสือนำบล็อกเกอร์มาพบกัน"
แต่ก่อนอื่นต้องตระเวณขออนุญาตบล็อกเกอร์ท่านอื่นว่าจะอนุญาตให้
นำรูปมาลงบล็อกไหม



จากในรูปภาพ มีทั้งบล็อกเกอร์ที่ร่วมเป็นวิทยากร บล็อกเกอร์ที่มาเป็นหน้าม้า
ล้อเล่น มาเป็นกำลังใจ และผู้ติดตามบล็อกเกอร์มาด้วย







หลังจากผ่านการขออนุญาตจากทุกท่านและประมวลในภาพรวมแล้ว อนุญาตให้
เผยแพร่ได้มากน้อยแค่ไหนค่ะ ก็สรุปออกมาดังนี้

เฉลยตัวเป็น ๆ ของบล็อกเกอร์ค่ะ ซ้ายสุดคือคุณหมู แห่งบล็อก
"วันทีท้องฟ้าแจ่มใส" ถัดมาที่ใส่เสื้อยืด คือ รัชชี่ ชุดสีครีม คือ ปอป้า แห่งบล็อก "พรหมญาณี" สีชมพู คือ ป้ากุ๊กไก่ แห่งบล็อก "ร่มไม้เย็น" ผู้ที่ยืนด้านหลังในเสื้อสีขาว คือ ป้าแอ๊ด แห่งบล็อก "Addsiripun" คุณผู้ชายสะพายกล้อง คือ คุณพ่อบ้านป้าแอ๊ด จากบล็อก "ระบบราง"


ส่วนคุณสิน แห่งบล็อก "YYSWIM" จะอยู่ในรูปก่อน No.2 ค่ะ
คือคนที่นั่งข้างหน้าคุณหมู


คราวนี้ขอแนะนำท่านอื่น ๆ นอกเหนือจากป้ากุ๊กไก่และคุณสินในรูป
No. ต่าง ๆ ค่ะ ไปจับคู่กันเอาเองค่ะ

....No.1...

เป็นบล็อกเกอร์ที่เน้นเรื่องราวธรรมะ แต่เป็นคนคุยสนุก ขำ ๆ ฮา ๆ แรกเริ่มที่เขียนเรื่องธรรมะ แม้จะเห็นว่าปัจจุบันสามารถหาเรื่องธรรมะอ่านได้ตามเวปไซด์
มากมาย แต่อยากนำบางเรื่องราวมาลงและให้อ่านง่าย

บล็อกเกอร์ท่านนี้ถูกแซวจากคุณลูกเมื่อปีก่อนว่า "แม่ติดบล็อก"

ฉันมีโอกาสอ่านบล็อกของท่านนี้อยู่สัก 2-3 บล็อก



....No 2...

เป็นบล็อกเกอร์ที่เน้นเรื่องราวการเย็บปักถักร้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันไม่ค่อยถนัด ฉันจึงไม่เคยเข้าบล็อกนี้เลย จนเมื่อป้ากุ๊กไก่ link บล็อกนี้ให้อ่าน ฉันจึงได้ไปอ่านเพื่อทำความรู้จักก่อนเจอตัวจริง

ท่านเป็นวิทยากรสอนเรื่องราวด้านนี้ด้วยในชีวิตจริง และเปิดบล็อกให้แฟน ๆ เข้าไปสอบถามวิธีทำได้

เป็นศาสตร์ด้านหนึ่งที่ฉันสนใจ แต่รู้สึกไม่ค่อยถนัด
(ถนัดที่จะดู มากกว่าที่จะทำ )
ถ้าจะได้มีโอกาสเรียนกับท่านจริง ๆ สงสัยต้องไปเรียนระดับเบื้องต้นเลยล่ะค่ะ

ถ่ายภาพก่อนเริ่มงานค่ะ



....No 3....

เป็นบล็อกเกอร์ที่ชอบท่องเที่ยว บล็อกเกอร์ท่านนี้ให้ความเห็นบางเรื่องที่น่าสนใจเชียว เช่น การที่จะเป็นเพื่อนใครด้วยความจริงใจ เวลาจะไป comment ใคร เราควรอ่านเรื่องที่เขานำเสนอด้วย ไม่ใช่เพียงแค่อยากให้เขามา comment เราแค่นั้น โดยไม่รู้เรื่องเลยว่าเรากำลังนำเสนอเรื่องอะไรอยู่

เปรียบเสมือนมีเพื่อนที่มีคุณภาพดีกว่ามีเพื่อนที่มีแต่ปริมาณ
(อันนี้ฉันสรุปเอง)

....No 4....

บล็อกเกอร์ท่านนี้ หลังจากรู้จักว่าใครเป็นใครแล้ว ทักฉันว่า
"ยัยคนนี้เที่ยวเก่ง"


ท่านนี้ยอมรับว่าคุยเก่งมาก ปกติที่เคยอ่านบล็อกนี้และเห็น comment
จากบล็อกเกอร์ท่านนี้ เราก็จินตนาการได้ว่าต้องเป็นคนตลก ๆ คุยสนุก ๆ ซึ่ง
ตัวจริงก็ไม่แตกต่างกันเลยค่ะ

ผิดคาดอยู่อย่างเดียว ... คุยเก่งกว่าที่คาดการณ์มาก ๆ ค่ะ


ปัจจุบันเปิดร้านอาหารอยู่ รัชชี่อนุญาตให้เข้ามาโฆษณาร้าน บวกแนะนำแผนที่เพิ่มเติมได้นะคะ โดยไม่คิดค่าโฆษณา


...แต่ว่า ถ้ามีโอกาสไปแถวนั้น จะขอไปทานฟรีค่ะ .....


ภาพจัดนิทรรศการค่ะ



....No 5.....

ท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ เป็นทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัยและวิทยากรตามสถานที่ต่าง ๆ

ฉันมีโอกาสไปอ่านและ add เป็น friend's blog ไว้ เผื่อว่าต้องการข้อมูลทางธุรกิจหรือด้านการตลาด จะได้เข้าไปค้นได้

ท่านบอกว่าสามารถนำเรื่องราวที่ลงบล็อกไปใช้ได้ โดยไม่สงวนลิขสิทธิ์

....No 6......

ท่านนี้เป็นคุณพ่อบ้านของ No 2 เริ่ม ๆ จะเขียนบล็อกเหมือนกัน เพราะครอบครัวนี้ถือเป็นครอบครัวบล็อกเกอร์ มีบล็อกทั้ง 4 คน พ่อ แม่ ลูกค่ะ
และดูท่าจะเป็นมือโปรด้านการถ่ายภาพด้วย


จะรอติดตามอ่านบล็อกถัด ๆ ไปนะคะ





..... บทสรุปจากเสวนา .....

เริ่มลืม ๆ เลือน ๆ หลังจากผ่านไปหลายวัน .....


การเขียนบล็อกถือเป็นการแบ่งปันความรู้หรือ KM (Knowledge Management) ประเภทหนึ่ง และสามารถเก็บข้อมูลอยู่ยืนยงได้หลายปี เราสามารถย้อนมาดูบางเรื่องราวที่ต้องการรู้ตามการแบ่งประเภทของเนื้อเรื่องได้ เป็นการเก็บเรื่องราวอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้แล้วยังได้เพื่อนที่มีความสนใจในเรื่องราวที่ตรงกัน

ผู้ที่อยากเริ่มต้นเขียนบล็อก ปัจจุบันที่เวปไซด์หลายแห่งที่ให้เข้าไปเขียนบล็อก โดยที่เราไปสร้างรูปร่างหน้าตาบล็อกตามใจเราเพิ่มเติม

ถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี เริ่มแรกก็เขียนเรื่องที่เราสนใจไปก่อน

บล็อกส่วนหนึ่งถือเป็นไดอารี่ที่เก็บเรื่องราว หรือกิจกรรมต่าง ๆ ของชีวิต
เพื่อไม่ให้มันหายไปกับสายลม



.....ความเห็นฉัน (เพิ่มเติม).......

คุณหมูกับฉันคุยกันและมีความเห็นตรงกันว่า ปกติถ้าจะมาเจอคนที่รู้จักทางตัวหนังสือ ขอคิดดูก่อน แต่พอดีงานนี้เป็นงานสัมมนาของกระทรวงอุตสาหกรรม และถือว่าเป็นสถานที่เปิด และจากการสัมผัสผ่านทางตัวหนังสือแล้ว บุคคลที่จะมาเจอท่าทางโอเค พอดีคุณหมูรู้จักปอป้าแล้ว ปอป้าเลยชวนมาเป็นกำลังใจ

ก่อนหน้านี้ฉันได้มีโอกาสอ่านบล็อกบางเรื่องและประทับใจในมิตรภาพของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณพล แห่งบล็อก aoiagata ปัจจุบันอยู่ที่ปักกิ่ง และ
ป้าเดซี่ แห่งบล็อก Oops! a daisy อยู่ที่ฮ่องกง คุณพล ขณะนั้นอยู่เมืองไทยและถามข้อมูลป้าเดซี่ถึงเรื่องปักกิ่ง ป้าเดซี่หาข้อมูลให้เพียบเลย สำหรับเอกสารต่าง ๆ การเข้าไปอยู่ปักกิ่ง ล่าสุดเมื่อไม่นานที่ผ่านมา คุณพลไปฮ่องกงและได้มีโอกาสพบป้าเดซี่แบบตัวเป็น ๆ เป็นครั้งแรก

คุณสินไปเที่ยวปักกิ่งและฝากของกินจากเมืองไทยไปให้คุณพล โดยเอาไปฝากไว้ที่สถานที่ที่สะดวก และให้คุณพลไปรับ สองท่านนี้ก็ไม่เคยเจอกันจริง ๆ

ฉันเคยอ่านเรื่องราวของสองสาวไทยอาศัยที่เนเธอร์แลนด์ สองสาวคุยถูกคอจากบล็อก และวันหนึ่งนัดเที่ยวกันที่จุดกึ่งกลางของเนเธอร์แลนด์ เพราะสองคนนี้อยู่คนละมุมของประเทศ

ฉันเองได้รับดีวีดีหนังหลายเรื่องจากคุณ Bernadett และได้รับโปสการ์ดจากหลายบล็อก พร้อมได้รับซีดีหลายแผ่นจากป้ากุ๊กไก่เช่นกัน

โลกออนไลน์ที่ใคร ๆ กลัวว่าจะจริงใจหรือไม่ แท้จริงก็อยู่กับคนที่เราเลือก เพราะไม่ว่าจะเป็นคนจากโลกออนไลน์หรือ
คนตัวเป็น ๆ ที่เรารู้จักต่างมีทั้งดีและร้ายไม่ต่างกัน


.....................................................................................


ตอนแรกกะว่าจะอัพบล็อกในวันครบรอบการเขียนบล็อกของรัชชี่ 1 ปีในวันที่ 24 ก.ย. นี้ แต่ท่าทางหลาย ๆ ท่านเฝ้ารออ่านอยู่ ....ให้ไว ๆ

เราเจอกันเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ก.ย. ป้าแอ๊ดอัพบล็อกเรียบร้อยตั้งแต่วันแรก คุณหมูตามมาติด ๆ อัพบล็อกในวันถัดไป ไวจริง ๆ


ยินดีที่ได้รู้จักทุกท่านค่ะ รวมถึงน้องสาว"ปอป้า" คุณแม่ "ป้ากุ๊กไก่"
คุณภูริ (อันนี้ตั้งชื่อให้เอง เพราะมองบางมุมแล้วคล้าย ๆ ดาราที่ชื่อ ภูริ)
และคุณพีท แห่งกระทรวงอุตสาหกรรม

ขอบคุณการต้อนรับในยามเช้า เพราะฉันเดินโต๋เต๋อยู่หน้างาน ป้ากุ๊กไก่ให้เบอร์โทรคุณสินไว้ ฉันเดาว่าช่วงนั้นบล็อกเกอร์ที่เป็นวิทยากรร่วม
คงอยู่ในห้องรับรองแน่ ๆ

ฉันเดินเข้าไปหาคุณสิน (เพราะเคยเห็นรูปคุณสินจากบล็อก) แนะนำตัวว่าคือ "รัชชี่" คุณสินบอกเจ้าหน้าที่ให้พา "บล็อกเกอร์" ไปทานอาหารว่างที่ห้องรับรอง จนได้พบแต่ละท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว

ขอบคุณคุณสินและป้ากุ๊กไก่ที่พารัชชี่มาหย่อนลงที่รถไฟฟ้า เพราะจอดรถไว้ที่สถานีอ่อนนุช

ขอบคุณสำหรับอาหารกลางวันและของฝาก น้ำพรืก + ขนมติดไม้ติดมือกลับมา แถมยังได้นาฬิกาข้อมือของงาน KM day ไปเป็นที่ระลึกอีก

ขอบคุณของฝากจากอินเดียที่ปอป้าให้ไว้ค่ะ



.....รัชชี่....


รวมมิตรรูปภาพหลายกล้องค่ะ





Brief in English……By Ratchee

Have you ever thought to meet someone you don’t know before??


One more question???

Have you ever thought to meet someone you know only reading Blog each other ??

Last Friday I had a chance to meet Bloggers at Ministry of Industry. They’re all good kind of person.

There’s a seminar about KM (Knowledge Management). One interviewer Khun Sin , and 4 Bloggers talking about Blog , because now Blog is one choice of KM.

It’s good opportunity of mine to meet some good friends there.








 

Create Date : 22 กันยายน 2552    
Last Update : 22 กันยายน 2552 17:10:29 น.
Counter : 1050 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

รัชชี่
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




พี่มานิต ประภาษานนท์ เป็นผู้ชักชวนเข้าสู่วงการการเขียนบล็อก ด้วยประโยคว่า
“จ๊ะเขียนบล็อกซี"

เริ่มเขียนบล็อก : 24 ก.ย. 51




สงวนลิขสิทธิ์ตาม พรบ.ลิขสิทธิ์
พ.ศ.2539 ห้ามละเมิดไม่ว่าการลอกเลียน นำรูป ข้อความที่เขียนไว้หรือส่วนหนึ่งส่วนใดในบล็อกแห่งนี้ ไปเผยแพร่อ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบล็อก






Setting program for counting visitors since 7 Nov. 2009
free counters
New Comments
Friends' blogs
[Add รัชชี่'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.