Chapter 86

 ตอนที่ 86

"ยังหลับอยู่หรอเนี่ย"  เจอร์รี่กลับเข้ามาที่ห้องตัวเองอีกครั้งหลังจากไปนั่งจิบกาแฟอยู่เกือบสองชั่วโมงเพื่อปล่อยให้คนอื่นๆรวมทั้งเคนได้นอนพักผ่อน
"ขี้เซาจัง"  ต่อว่าน้องชายยิ้มๆแล้วเดินมาดูน้องใกล้ๆ 
"ไม่มีไข้แล้ว"  เอามือแตะลงที่หน้าผากน้องชายเพื่อตรวจดูว่าน้องยังมีไข้อยู่หรือเปล่า ในตอนนั้นเคนก็เริ่มขยับตัว
"เจ้าขี้เซา ตื่นแล้วหรอ?"  เจอร์รี่พูดแหย่น้องพร้อมกับยิ้มให้ เคนเอามือขยี้ตาด้วยความงัวเงีย
"อย่าขยี้ตาสิ ไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำก่อน"  พี่ใหญ่ดึงมือน้องไว้ไม่ให้ขยี้ตา
"กี่โมงแล้ว"  เคนถามพี่ชายเสียงอู้อี้
"ใกล้จะบ่ายโมง"  คำตอบนั้นทำให้เคนตาสว่างทันที
"ชั้นต้องรีบไปเข้างาน วันนี้ต้องเข้าสองกะด้วย"  เคนว่าแล้วก็วิ่งเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าลวกๆ
"เสี้ยวเทียน!!"  พี่ใหญ่รีบคว้าตัวน้องไว้ก่อนที่จะทันได้วิ่งออกจากห้อง
"อะไรอีกเล่า! เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน"  เคนตวัดเสียงใส่
"วันนี้อย่าเพิ่งทำงานเลยนะ พักผ่อนให้หายดีก่อน"  พูดกับน้องด้วยความเป็นห่วง
"นายอยากให้ชั้นตกงานจริงๆหรืองัย? แค่นี้ชั้นก็โดนหมายหัวไม่รู้กี่ดาวแล้ว"  เคนหันไปพูดใส่อารมณ์กับพี่ชาย
"ถ้าเพียงเพราะไม่สบายแล้วเขาจะไล่ออกนายก็น่าจะดีใจที่ออกมาจากบริษัทที่ใจแคบได้"  เจอร์รี่พูดเสียงจริงจัง
"บริษัทไม่ใจแคบหรอกแต่ชั้นเองนี่แหละที่ละอายแก่ใจเพราะทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่ทั้งที่เงินเดือนก็รับของเขาเต็ม"  เคนตวัดเสียงใส่แล้วล้มตัวนอนอย่างเซ็งๆเพราะรู้ดีว่าหากดึงดันไปทำงานคงได้ทะเลาะกับพี่ชายอีกแน่
"อย่าคิดมากสิ เวลาทำงานเราก็ทำให้เขาเต็มที่ไม่ใช่หรอ? แต่หากเกิดเรื่องสุดวิสัยขึ้นแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้"  พูดกับน้องเสียงอ่อนลง
"คิดถึงพี่รองกับน้องบ้างหรือเปล่า?"  แล้วก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ เคนสบตากับพี่ชายแว๊บหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ
"โทรไปหาดีมั๊ย?"  ถามลองเชิงน้องชาย 
"ไม่เอา"  เคนตอบแบบไม่ต้องคิด
"ทำไมหละ?"  ถามน้องกลับอย่างสงสัย
"ยิ่งได้คุยกันก็ยิ่งคิดถึง ไว้กลับไปบ้านแล้วค่อยคุยน่าจะดีกว่า"  เคนให้เหตุผลแล้วหลับตาลง
"แสดงว่าอยากเจอพี่รองกับน้องเหมือนกันน่ะสิ"  ถามซักไซร้น้องชายอีกแต่เคนไม่ตอบกลับพลิกตัวนอนหันหลังให้
"ถ้าได้เจอตอนนี้จะดีใจมั๊ย?"  ก้มหน้าลงมาถามน้องต่ออีก
"พูดไร้สาระอะไรอีกเนี่ย? จะให้ชั้นพักผ่อนไม่ใช่หรอ? แล้วนายไม่ยอมเงียบแบบนี้ชั้นจะนอนได้ยังงัย?"  เคนต่อว่าพี่ชายเข้าให้
"เพิ่งจะตื่นขึ้นมายังนอนหลับอีกหรอ?"  เคนไม่ตอบแต่ถอนหายใจเบาๆ
"พี่ใหญ่ถามนายซักเรื่องได้มั๊ย?"  หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเจอร์รี่ก็ตัดสินใจที่จะพูดเรื่องพ่อแม่กับน้อง
"อะไรหละ"  เคนย้อนถาม
"ตอนที่นายไปเที่ยวกับพ่อแม่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น"  เคนได้ยินก็อึ้งไปพักหนึ่ง
"นายก็รู้เรื่องแล้วไม่ใช่หรอ"  เคนย้อนถามพี่ชาย
"ก็รู้มาบ้างแต่พ่อแม่ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังละเอียดนัก"  เจอร์รี่ตอบน้องตามตรง
"อยากรู้รายละเอียดเพื่อที่จะได้หาเรื่องด่าชั้นใช่มั๊ย?"  เคนอดที่จะประชดพี่ชายไม่ได้
"ทำไมถึงพูดแบบนี้หละ?"  พี่ใหญ่เริ่มหน้าเครียดเมื่อได้ยินน้องว่าเช่นนั้น
"ช่างเถอะ เพราะยังงัยชั้นก็ผิดอยู่ดี"  เคนยักไหล่
"เรื่องที่ใครผิดมันไม่ใช่ประเด็น แต่นายควรรู้เอาไว้นะที่พ่อแม่เขาทำแบบนั้น....."  เจอร์รี่ยังพูดไม่ทันจบเคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
"เพราะว่าเขารักชั้น"  พี่ใหญ่นิ่งไปเมื่อน้องต่อคำนั้นขึ้นมา
"ชั้นฟังนายพูดแบบนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว"  เคนพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
"ชั้นไม่ชอบให้ใครมาคิดแทนชั้น ทางที่ดีควรพูดกันตรงๆเลยจะดีกว่า"  พี่ใหญ่อ่อนใจกับความดื้อดึงของน้อง
"ที่พ่อแม่ทำแบบนั้นเพราะเขาไม่อยากทำให้นายโกรธอีก พวกเขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้นายพอใจไม่อยากให้นายสูญเสียสิ่งที่รักไปอีก"  เจอร์รี่แย้งคำพูดของน้องชาย
"คิดว่าทำแบบนี้ชั้นจะพอใจงั้นหรอ? งี่เง่าชะมัด! พวกเขาทำเพื่อจะให้ตัวเองสบายใจมากกว่า!"  เคนกระแทกเสียง
"เสี้ยวเทียน!!"  พี่ใหญ่ได้ยินน้องพูดเช่นนั้นก็เรียกชื่อน้องเสียงเข้ม 
"อย่านึกว่าชั้นมีเรื่องติดค้างนายอยู่แล้วชั้นจะไม่กล้าทำอะไรนายนะ!"  พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ชั้นไม่คิดแบบนั้นหรอกเพราะรู้ดีว่าคงไม่มีอะไรที่นายไม่กล้าทำ"  เคนตอกกลับพี่ชายเป็นเชิงประชด
"รู้ก็ดี! เพราะฉะนั้นอย่าให้ชั้นได้ยินนายพูดกล่าวหาพ่อแม่อีกเด็ดขาด ชั้นจะเตือนแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น"  พี่ใหญ่ย้ำคำชัดเจน
"ชั้นไม่ได้กล่าวหาแต่มันเป็นความจริง พ่อแม่คิดเอาเองว่าชั้นทำใจไม่ได้ที่จะต้องเสียบ้านไปก็เลย....."  เคนหยุดพูดกระทันหันเพราะพี่ชายพูดแทรกขึ้นมาก่อน
"พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ไม่ว่าเขาทำผิดยังงัยนายก็หนีความจริงข้อนี้ไม่ได้ แล้วนายก็ไม่มีสิทธิที่จะต่อว่าเขาเพราะถ้าไม่มีพวกเขาแม้แต่ชื่อของนายก็จะไม่มีปรากฏอยู่บนโลกใบนี้เลยด้วยซ้ำ"  เจอร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"และสิ่งที่นายควรจำใส่หัวเอาไว้ก็คือต่อให้วันนึงนายกลายเป็นคนที่ทั้งโลกรังเกียจมากที่สุด พ่อแม่ก็ยังจะรักนายจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของพวกเขา"  พี่ใหญ่พูดเตือนสติน้องชาย ทำให้เคนนิ่งไปเช่นกัน
"ความจริงชั้นเองคงไม่ต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ก็ได้เพราะตอนที่พ่อวิ่งฝ่าเพลิงไฟเข้าไปช่วยนายออกมานั่นก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว"  แม้ไม่อยากพูดอะไรให้น้องสะเทือนใจอีกแต่ตอนนี้เจอร์รี่ก็เห็นว่ามันจำเป็นเพื่อที่จะให้น้องฉุกคิดได้
"จะไปไหน?"  ถามต่อเมื่อเห็นน้องลุกขึ้น
"กลับห้องพักของชั้น"  เคนตอบเสร็จแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ เจอร์รี่ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา

- ตอนเย็น -
"พี่รองคิดว่าหากว่าพี่กลางได้เห็นหน้าพวกเราจะอ้าปากค้างหรือเปล่า?"  ไจ่ไจ๋ถามพี่ชายคนรองเสียงใส หลังจากที่กลับห้องไปพักผ่อนกันได้ซักพักไจ่ไจ๋ก็ชวนแวนเนสมาหาพ่อแม่ที่ห้องอีกครั้ง
"พี่ว่ามันคงทำหน้าแบบอึ้งๆ แล้วก็พูดเสียงห้วนๆว่า พวกนายมากันทำไม"  แวนเนสพูดเลียนแบบเสียงเคนเรียกเสียงหัวเราะจากพ่อแม่และน้องชายได้เป็นอย่างดี
"ชักอยากเจอแล้วสิ ไม่รู้ป่านนี้พี่กลางตื่นหรือยัง พี่ใหญ่ก็เงียบเลย"  น้องเล็กบ่นต่อแล้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
"พี่เขาอาจจะนอนพักอยู่ก็ได้ แม่ว่าพวกเราออกไปเดินเล่นข้างนอกกันดีกว่า ไหนๆก็มาเที่ยวกันแล้ว"  แม่เอ่ยชวนทุกคน
"ดีครับ!"  แวนเนสกับไจ่ไจ๋ตอบรับพร้อมกัน
"ข้างบนเป็นโซนร้านอาหารครับ เราไปบนนั้นกันดีกว่า"  ไจ่ไจ๋พูดอย่างกระตือรือร้น
"งั้นผมไปตามพี่ใหญ่แล้วกัน ไปเจอกันข้างบนเลยนะ"  แวนเนสเสนอตัวแล้วลุกไปเคาะประตูห้องพี่ชายทันที
"เสี้ยวเทียนยังหลับอยู่หรอ?"  แวนเนสถามเมื่อพี่ชายมาเปิดประตูให้ เจอร์รี่ถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้า
"มันกลับห้องพักมันไปแล้ว"  ตอบด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
"นายบอกมันไปแล้วหรอว่าพวกชั้นมา"  ถามพี่ชายต่ออีก
"เปล่า แต่พอดีมีมีเรื่องเถียงกันนิดหน่อย"  พูดจบก็ถอนหายใจ
"ยังไม่ดีกันอีกหรอ?"  แวนเนสเองก็พลอยมีสีหน้าไม่สบายใจไปด้วย
"ไม่เชิงหรอก น้องมันคุยกับชั้นก็จริงแต่ส่วนใหญ่จะประชดประชันมากกว่า ชั้นเองก็อ่อนใจจริงๆ"  พี่ใหญ่ตอบตามตรง
"พ่อแม่ให้มาชวนออกไปดูโน้นดูนี่บ้างน่ะ"  แล้วแวนเนสก็เปลี่ยนเรื่อง 
"อืม....เดี๋ยวชั้นขอไปหยิบกระเป๋าเงินก่อนนะ"  พูดจบเจอร์รี่ก็เดินหายเข้าไปในห้องโดยที่แวนเนสยังยืนรออยู่หน้าห้อง
"นายมาได้ยังงัย?"  เสียงที่ร้องทักทำให้แวนเนสหันขวับไปทางต้นเสียง แล้วก็เห็นว่าเป็นน้องชายคนกลางนั่นเอง
"เสี้ยวเทียน!"  แวนเนสตรงเข้าไปสวมกอดน้องอย่างคิดถึง
"เซอร์ไพรส์มั๊ยหละ?"  ถามน้องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่เคนกลับหน้างอ
"เซอร์ไพรส์บ้าบออะไร! พวกนายเป็นบ้าอะไรกันเนี่ย? คิดจะมาก็มาอย่างนั้นหรอ?"  เคนแหวใส่พี่ชายชุดใหญ่ 
"จะโวยวายทำไมหละเสี้ยวเทียน? ที่ทุกคนมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเขาเป็นห่วงนายทั้งนั้น"  พี่ใหญ่เป็นคนพูดเสียงเองเมื่อเห็นว่าแวนเนสยังอึ้งๆอยู่
"ทุกคน? นายอย่าบอกนะว่าพ่อแม่แล้วก็ไจ่ไจ๋ก็มาด้วยน่ะ?"  เคนหันไปทางพี่ใหญ่
"ใช่"  เจอร์รี่ตอบไปตามตรง
"โอ้ย! ชั้นอยากจะบ้า! ไม่มีอะไรทำกันแล้วหรืองัยถึงได้มายุ่งกับชั้นนักเนี่ย!"  เคนบ่นเป็นชุด
"นายจะโมโหทำไมเนี่ย? เห็นหน้าครอบครัวแล้วมันจะลงแดงตายหรืองัย?"  แวนเนสเอ็ดใส่น้องชายบ้าง
"ยังจะมีหน้ามาพูดอีก! ชั้นมาทำงานนะ! แล้วถ้าพวกนายอยู่ชั้นจะทำงานได้ยังงัย?"  เคนเถียงกลับ
"ไม่เป็นไรจ๊ะเสี้ยวเทียน ถ้าลูกลำบากใจงั้นเรากลับก็ได้"  เสียงแม่เอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังโดยมีพ่อและไจ่ไจ๋เดินตามมาด้วย
"ทำไมมานี่หละไจ่ไจ๋?"  แวนเนสถามน้องเบาๆ
"ก็พ่อแม่บอกว่ามารอไปพร้อมกันดีกว่า"  ไจ่ไจ๋ตอบเสียงอ่อยๆ 
"ใช่ลูก พวกเราแค่อยากมาเห็นว่าลูกสบายดี ตอนนี้พ่อก็รู้แล้วว่าลูกไม่ได้เป็นอะไร งั้นพรุ่งนี้เราจะกลับบ้านกัน"  พ่อพูดพร้อมกับยิ้มให้ลูกชาย 
"ทำไมต้องกลับด้วย?"  ไจ่ไจ๋พูดขึ้นมาบ้าง
"เรามาเที่ยวมันก็เป็นสิทธิของเรา พี่กลางเขาเป็นใครที่จะมาห้ามไม่ให้พวกเราอยู่ที่นี่?"  ไจ่ไจ๋พูดพร้อมกับมองหน้าพี่ชายไปด้วย
"พี่กลางทำงานก็เรื่องของเขา แต่พวกเราห้าคนมาเที่ยวในฐานะนักท่องเที่ยวจะอยู่นานเท่าไหร่ใครก็ไม่มีสิทธิห้าม"  เคนมองหน้าน้องชายอึ้งๆ   
"ถ้าใครทนไม่ได้ก็กลับไปเองสิ! แต่ผมจะอยู่เที่ยวจนกว่าจะพอใจ!"  คำพูดของน้องเล็กทำเอาทุกคนนิ่งเงียบกันไปหมด
"นั่นสิ.....ใครจะกลับก็กลับไป ผมคนนึงหละที่ยังไม่กลับ นานๆทีถึงจะได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้เรื่องอะไรจะกลับไปง่ายๆ"  แวนเนสพูดสนับสนุนคำพูดของน้องเล็ก
"ผมเห็นด้วยครับ กว่าเราจะได้มาเที่ยวกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นผมก็ยังไม่กลับเหมือนกัน"  เจอร์รี่พูดเสริมอีกแรง
"แต่ว่า....."  แม่ตั้งท่าจะแย้งแต่พ่อกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
"ถ้าลูกสามคนยืนยันแบบนั้น งั้นพ่อก็ตามใจพวกลูกแล้วกันเพราะยังงัยพ่อแม่สองคนก็แพ้เสียงของลูกสามคนอยู่ดี"  คำพูดของพ่อทำให้ลูกชายทั้งสามคนยิ้มออกมาได้ยกเว้นเคนเท่านั้นที่ทำหน้างอ
"อยากอยู่ก็อยู่สิ! แล้วไม่ต้องมายุ่งกับชั้นแล้วกัน!"  เคนกระแทกเสียงแล้วหันหลังจะเดินกลับแต่เจอร์รี่ดึงแขนน้องไว้ก่อน
"เดี๋ยวสิ! แล้วนายมาที่ห้องชั้นทำไมกัน?"  ถามอย่างนึกขึ้นได้
"ยุ่ง!"  เคนปัดแขนพี่ชายออกแล้วเดินจากไปทันที สมาชิกที่เหลือมองหน้ากันไปมาก่อนจะประสานเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน    

- วันต่อมา -
"เสี้ยวเทียน! มาพอดีเลย.....ลูกค้าห้องนี้สั่งอาหารโดยระบุว่าให้นายเป็นคนทำ"  เพื่อนร่วมงานของเคนร้องบอกในขณะที่เคนเดินเข้ามาในครัว 
"แล้วยังกำชับว่าให้นายเป็นคนเอาขึ้นไปเสริฟด้วย สงสัยงานนี้ได้ติ๊บหนักแหงๆ"  พูดจบก็ตบไหล่เคนเบาๆ
"สั่งเยอะขนาดนี้เชียว? ทำไมเขาไม่ไปกินบุปเฟ่ต์เนี่ย?"  เคนมองรายการอาหารพร้อมกับบ่นเล็กน้อยแต่พอเห็นเลขห้องก็หน้ามุ่ยลงทันตาเห็น
"วุ่นวายชะมัด!"  บ่นต่อเบาๆแต่ก็ลงมือเตรียมอาหารให้ทันที
"ทุกทีไม่เห็นจะเคยบ่นลูกค้านี่ ทำไมวันนี้พอเห็นรายการอาหารแล้วถึงดูอารมณ์เสียขึ้นมาหละ?"  เพื่อนคนเดิมเอ่ยถาม
"ก็ลูกค้าห้องนี่น่ะเรื่องมากจะตาย"  เคนตอบในขณะที่ก้มหน้าก้มตาทำ
"ให้ชั้นช่วยแล้วกัน"  เสนอตัวที่จะช่วย
"ไม่ต้องหรอก ชั้นทำเองดีกว่า ขอบใจมาก"  เคนรีบร้องห้ามเพราะใจจริงแล้วเขาก็อยากทำอาหารให้ทุกคนในครอบครัวกิน
"เอางั้นหรอ? งั้นชั้นทำออเดอร์ห้องอื่นนะ"  พูดจบเพื่อนก็เดินไปทำอย่างอื่น
"ของทอดทั้งนั้น ต้องเป็นเจ้าไจ๋มันสั่งแหงๆ"  เคนดูรายการอาหารพร้อมกับบ่นไปด้วย
"เดี๋ยวก็ได้เจ็บคอกันพอดี"  บ่นน้องชายต่ออีก แต่ก็รีบทำอาหารทั้งหมดโดยเร็ว จนเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ก็ทำเสร็จ
"เดี๋ยวชั้นไปเสริฟอาหารก่อนนะ"  เคนร้องบอกเพื่อนร่วมงานเสร็จก็จัดการเอาอาหารทั้งหมดใส่รถเข็น
"ได้ติ๊บเยอะต้องเลี้ยงเพื่อนนะโว้ย!"  เสียงเพื่อนดังไล่หลังมาทำให้เคนได้แต่หัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปที่ลิฟต์
"ก๊อกๆๆ!!!"  เมื่อมาถึงห้องพักของพี่ชายคนโตเคนก็เคาะประตูห้อง เพียงครู่เดียวประตูก็เปิดออกพร้อมกับเสียวเจี๊ยวจ๊าวภายในห้องที่ดังเล็ดลอดออกมา
"อาหารมาแล้ว!!"  ไจ่ไจ๋ร้องอย่างดีใจแล้วรีบเปิดประตูออกกว้าง
"อันนี้ของผมแหงๆ"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็รีบเปิดดูอาหารบนรถเข็นนั้นแต่แล้วก็ทำหน้าผิดหวัง
"ว้า....กุ้งเทมปุระมีแค่สองตัวเองหรอ? คราวที่แล้วมันมีตั้งสี่ตัวไม่ใช่หรอ?"  บ่นอุบเมื่อเห็นว่าอาหารไม่ได้เป็นดังคาด
"จะกินทำไมเยอะแยะ! ของทอดน่ะกินให้มันน้อยๆหน่อย!"  เคนเอ็ดน้องชายเข้าให้เพราะเขาเองไม่อยากให้น้องกินของทอดเยอะเกินไป
"คุณเชฟครับ....ผมสั่งอาหารมันก็เป็นหน้าที่ของคุณเชฟที่จะต้องทำให้ไม่ใช่หรอ? มาบ่นลูกค้าแบบนี้มันทำเกินหน้าที่ไปหรือเปล่า?"  น้องเล็กได้ทีต่อว่าพี่ชาย
"ในครัวเชฟมีหน้าที่ทำอาหารจริง แต่ตอนนี้ที่ยืนพูดกับนายอยู่เชฟคนนี้พูดในฐานะพี่ชายโว้ย!"  เคนเอ็ดใส่น้อง ทำให้สมาชิกคนอื่นถึงกับยิ้มออก ต่อให้เคนปั้นปึงกับทุกคนยังงัยแต่ใจจริงแล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
"งั้นคุณพี่ชายอยู่กินข้าวด้วยกันนะ มื้อนี้พี่ใหญ่เลี้ยง"  น้องเล็กว่าพร้อมกับกอดแขนพี่ชาย
"ไม่ได้ พี่ต้องไปทำงานต่อ"  เคนส่ายหน้าแล้วยกอาหารทั้งหมดไปวางที่โต๊ะ
"เลิกงานกี่โมงลูก?"  แม่ถามลูกชายบ้าง
"ห้าทุ่มครับ"  เคนตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
"งั้นเลิกงานแล้วมาคุยกันหน่อยเป็นงัย? หาไวน์มาซักขวดก็ดี"  แวนเนสเอ่ยชวน
"พรุ่งนี้ชั้นต้องทำงานอีก"  เคนตอบเป็นเชิงปฏิเสธ
"พรุ่งนี้ก็เรื่องของพรุ่งนี้สิ แต่วันนี้ต้องมานะ"  แวนเนสย้ำคำแบบไม่ให้น้องปฏิเสธ
"แวนเนส น้องไม่อยากมาก็อย่าบังคับน้องเลย"  แม่เตือนลูกชายคนรองเบาๆ
"ไม่ได้ พวกเรามาถึงนี่ทั้งทีเจ้าถิ่นอย่างมันจะไม่มาดูแลเลยหรืองัย?"  แวนเนสยังยืนกรานที่จะให้น้องมาหลังเลิกงาน
"ชั้นคิดดูก่อน ถ้าไม่เหนื่อยจะแวะมา"  เคนตอบแบ่งรับแบ่งสู้
"ไม่ต้องคิดหรอกพี่กลาง! ต้องมานะครับ"  ไจ่ไจ๋พูดเสริมอีกแรง เคนถอนหายใจเบาๆก่อนจะวางอาหารจานสุดท้ายลงบนโต๊ะ
"เรียบร้อยแล้ว"  เคนว่าแล้วพยักหน้าไปที่โต๊ะอาหาร 
"เท่าไหร่?"  เจอร์รี่เอ่ยถามพร้อมกับเปิดกระเป๋าเงินจะจ่ายให้น้อง
"ไม่ต้อง มื้อนี้ชั้นเลี้ยงเอง"  เคนตอบแล้วเหลือบตามองไปทางแวนเนส
"เดี๋ยวจะมีคนหาว่ามาถึงนี่ทั้งที่แต่เจ้าถิ่นไม่ดูแล"  ว่ากระทบพี่ชายจบก็เข็นรถเดินออกไป 
"ฮึ! ไอ้ลูกชายตัวดีของแม่นี่มันร้ายกาจจริงๆ"  แวนเนสว่าด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
"เราก็ชอบไปฝืนใจน้อง"  แม่ว่าแวนเนสอีกเพราะกลัวว่าเคนจะลำบากใจ
"ผมนี่นะฝืนใจมัน แม่เชื่อเถอะว่าคืนนี้เก้าในสิบมันต้องมาแล้วที่มาไม่ใช่เพราะมาแบบเสียไม่ได้แต่มันมาเพราะอยากมาเองต่างหาก"  แวนเนสพูดอย่างมั่นใจ
"ผมพนันข้างพี่รอง"  ไจ่ไจ๋ยกมือสนับสนุนพี่ชายคนรองเต็มที่
"น้อยๆหน่อยเถอะเรา หัดมาเล่นพนันกันตั้งแต่เมื่อไหร่?"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับเขกหัวน้องเบาๆ
"โธ่! แล้วพี่ใหญ่จะเล่นข้างไหนหละ?"  น้องเล็กหันไปกอดเอวพี่ชาย
"ไม่เล่น!"  บีบจมูกน้องชายอย่างหมั่นไส้ 
"หึๆๆๆ"  ไจ่ไจ๋หัวเราะแล้วปล่อยมือ 
"อาหารน่ากินจังเลย อยู่บ้านไม่เห็นพี่กลางจะจัดจานให้สวยแบบนี้เลย มากินกันเถอะครับ"  ไจ่ไจ๋ว่าก็ชักชวนให้คนอื่นๆมากินข้าว
"ถึงที่บ้านมันจะไม่จัดจานแบบนี้แต่พี่ก็เห็นว่านายก็ซัดเรียบไม่มีเหลือทุกทีแหละ"  แวนเนสแซวน้องชาย
"พี่รองว่าผมตะกละหรอ?"  น้องเล็กหันไปทำตาขวางใส่พี่ชาย
"อ๊ะ! นายพูดเองนะ"  แวนเนสยิ้มร่าเมื่อแหย่น้องได้สำเร็จ    
"ไปแหย่น้องอีกแล้ว"  พี่ใหญ่ดึงหูเจ้าน้องชายจอมกวนเข้าให้
"ชั้นแหย่มันที่ไหนหละ? มันพูดของมันเองชั้นยังไม่ทันว่าอะไรเลยซักคำ"  แวนเนสทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชาย
"เอาน่าๆๆๆ.....อย่าเถียงกันเลย พ่อหิวแล้ว"  พ่อรับห้ามทัพเมื่อเห็นว่าบรรดาลูกชายจะโต้เถียงกันต่อ
"ถ้าพี่กลางเปิดร้านอาหารเองนี่ท่าจะดีเนอะ"  แล้วไจ่ไจ๋ก็เปลี่ยนเรื่องคุย
"วันๆผมคงมีความสุขมาก"  พูดพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ
"ใช่....นายคงได้กลิ้งเป็นลูกบอลเพราะเดินเข้านอกออกในก็หยิบโน้นหยิบนี่เข้าปากตลอดเวลา"  แวนเนสอดปากที่จะแขวะน้องชายไม่ได้
"ว่าแต่ผม พี่รองก็ไม่น้อยไปกว่ากันหรอก ถ้าพี่รองไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิงผมว่าก็คงปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนกว่าผมอีก"  ไจ่ไจ๋ตอกพี่ชายกลับ
"นายนี่จะไม่เถียงพี่ซักวันได้มั๊ย? พูดอะไรหน่อยเดียวก็เถียงฉอดๆ"  เมื่อสู้น้องไม่ได้แวนเนสจึงต่อว่าน้องเอาดื้อๆ
"อ้าวๆๆๆ ผมแค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้นไม่ได้เถียงพี่รองเลยนะ"  น้องเล็กเองก็ไม่ยอมแพ้
"หยุดได้แล้วทั้งคู่นั่นแหละ! ถ้าขืนยังเถียงกันอีกพี่จะเก็บขึ้นให้หมดเลย"  พี่ใหญ่พูดขู่ แล้วก็ได้ผลเพราะทั้งแวนเนสกับไจ่ไจ๋ต่างพากันเงียบแล้วรีบตักอาหารกันยกใหญ่
"ตะกละไม่มีใครเกิน"  เจอร์รี่บ่นพึมพำกับเจ้าน้องชายตัวแสบทั้งคู่
"หึๆๆๆ"  พ่อกับแม่หัวเราะลูกชายคู่ปรับสองคนนี้
"ถ้าลูกเปิดร้านอาหารเองจริงก็คงดีนะพ่อ แบบนั้นลูกคงมีความสุข"  แม่หันไปคุยกับพ่อ
"นั่นสิ พ่อก็คิดอยู่ว่าอยากให้ทุนลูกซักก่อนไปหาที่ทางเปิดร้านเล็กๆ"  เจอร์รี่ชะงักไปกับสิ่งที่พ่อแม่คุยกัน เพราะเขารู้ดีว่าหากน้องชายรู้คงไม่พอใจอีก
"พ่อแม่ครับ เรื่องนี้อย่าไปยุ่งกับน้องเลย หากว่าเสี้ยวเทียนอยากเปิดร้านอาหารผมว่าน้องคงขวนขวายเองได้พวกเราคอยสนับสนุนเขาอย่างเดียวก็พอ หากน้องต้องการความช่วยเหลือให้น้องเอ่ยปากเองจะดีกว่า"  พูดเตือนพ่อแม่กลายๆเพราะรู้ดีว่าน้องชายไม่ยินยอมให้พ่อแม่ลงทุนให้แน่นอน
"นั่นสิ เราก็ชอบคิดแทนลูกไปซะทุกอย่างนะ"  แม่ได้ยินก็ฉุกคิดถึงคำพูดของเคนขึ้นมาได้
"แม่ครับ ถ้าพี่กลางไม่เอาผมเอาเองก็ได้แล้วเดี๋ยวผมจ้างพี่กลางมาเป็นเชฟเอง"  เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มกร่อยไจ่ไจ๋ก็แกล้งพูดติดตลกขึ้นมา
"อย่างนายจะมีปัญญาจัดการร้านอาหาร? จัดห้องนอนตัวเองให้เป็นระเบียบก่อนเถอะน้องเอ้ย....."  แวนเนสได้ทีว่ากระทบน้องเล็กอีก
"แล้วอีกอย่างถ้าไอ้พี่กลางมันมาเป็นลูกจ้างนายคงตลกพิลึกเพราะวันๆเจ้าของร้านคงโดนคุณเชฟใหญ่ด่ายับ"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ยกมือเงื้อง้าใส่พี่ชายแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
"พี่รองนี่ชอบกวนน้ำให้ขุ่นอยู่เรื่อย!"  สุดท้ายก็ได้แต่ต่อว่าพี่ชายหน้ามุ่ย ทำให้พ่อแม่หัวเราะออกมาได้ในที่สุด

- ตอนกลางคืน -
"พี่กลางมาจริงๆด้วย!"  ไจ่ไจ๋ร้องอย่างดีใจหลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
"มาช้าแบบนี้ต้องโดนปรับให้ดื่มสองแก้วรวดนะโว้ย"  แวนเนสว่าแต่ก็หันไปยิ้มให้น้องชาย
"ได้"  เคนรับปากแล้วยิ้มบางๆพร้อมกับยกขวดไวน์ขึ้นมา
"ชั้นเอามาสมทบอีกขวด"  พูดจบก็เดินมาร่วมวง
"ดีมาก!"  แวนเนสว่าแล้วก็รับขวดไวน์มาจากน้อง
"เฮ้ย! อย่าให้น้องดื่มเยอะ"  เมื่อเห็นว่าแวนเนสเล่นเทไวน์ซะเกือบเต็มแก้วพี่ใหญ่ก็ร้องห้ามทันที
"ไหนตกลงกันแล้วงัยว่าวันนี้นายจะไม่บ่นจู้จี้"  แวนเนสหรี่ตามองพี่ชาย
"ก็....."  พี่ใหญ่ถึงกับเถียงไม่ออกเพราะเขาได้รับปากกับน้องจริงๆ
"แค่วันเดียวเอง แล้วอีกอย่างพรุ่งนี้เสี้ยวเทียนมันก็เข้างานตอนหกโมงเย็น ต่อให้เมาหัวทิ่มก็คงลุกไปทำงานได้แหละ"  แวนเนสอ้างเหตุผลต่อ
"นั่นสิลูก น้องทำงานมาเหนื่อยๆเราก็อย่าบ่นมากเลย"  พ่อสมทบด้วยอีกคน เคนจึงเปลี่ยนสายตาไปทางพ่อ
"วันนี้ไม่เมาไม่เลิกนะครับ"  เคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน ทำให้สมาชิกคนอื่นเกิดอาการงงเล็กน้อย
"เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแบบนี้บ่อยนักเพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะยอมสละเวลาพักผ่อนเพื่อที่จะมาดื่มกับทุกคน"  คำพูดของเคนทำให้ทุกคนถึงกับยิ้มออก
"ได้เลยครับพี่กลาง ถึงไหนถึงกัน"  ไจ่ไจ๋ตอบรับเสียงใส
"น้อยๆหน่อยเถอะไอ้ตัวดี ตราบใดที่นายยังไม่บรรลุนิติภาวะก็อย่าหวังว่าจะได้ดื่มจนเมาเลย"  เคนหันไปทำหน้าเข้มใส่น้องชาย
"อ้าวๆๆๆ!! มีการแบ่งระดับความแก่กันด้วยหรอ? แบบนี้ก็แย่สิ"  ไจ่ไจ๋ทำหน้าผิดหวัง
"ไอ้นี่พูดจาไม่น่าฟังเลย! แบ่งระดับความแก่อะไร? เขาเรียกว่าแบ่งระดับความมีวุฒิภาวะต่างหาก"  แวนเนสต่อว่าน้องเล็กทันที
"อ้อ! อย่างพี่รองนี่มีวุฒิภาวะมากงั้นสิ?"  น้องเล็กทำเสียงสูงเหมือนจะแขวะ
"แหงหละว่าไม่มี"  แวนเนสตอบหน้าตาเฉยเรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกคนอื่นได้ดี
"ลูกสองคนนี้เอาแต่ว่ากระทบกันไปมาอยู่ได้ ไม่เบื่อบ้างหรืองัย?"  แม่ต่อว่าลูกชายทั้งสองคน
"แล้วลูกไม่เหนื่อยหรือจ๊ะเสี้ยวเทียน?"  แล้วก็หันมาถามลูกชายคนกลางบ้าง
"ไม่หรอกครับ ผมชินแล้ว บางทีก่อนเลิกงานยังทำกับแกล้มเพื่อเอาไปสังสรรกับเพื่อนๆที่เป็นเชฟด้วยกันเลย"  เคนตอบแล้วรับแก้วไวน์มาจากแวนเนส
"ดื่มครับ"  เคนยกแก้วขึ้นมาแล้วหันไปทางบุพการีทั้งสองคน พ่อและแม่ยิ้มรับแล้วรีบดื่มกับลูกชายทันที ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันสนุกเจอร์รี่กลับนั่งเงียบไม่เอ่ยปากอะไรเลย
"เสี้ยวเทียน"  แวนเนสเอาศอกกระทุ้งแขนน้องชาย
"มีอะไร?"  เคนหันไปถาม แวนเนสจึงบุบใบ้ไปทางพี่ชายคนโต เคนมองตามแล้วหยิบผักรองจานปาไปทางเจอร์รี่ที่นั่งเหม่ออยู่
"คงไม่ได้มานั่งห่วงงานหรอกนะ"  เมื่อพี่ชายมองมาเคนก็พูดเปรยๆ 
"เปล่าหรอก"  เจอร์รี่ส่ายหน้าปฏิเสธ
"งั้นทำไมไม่คุยอะไรบ้างหละครับพี่ใหญ่?"  ไจ่ไจ๋ถามแทรกขึ้นมาบ้าง เจอร์รี่ไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพียงแต่ยกแก้วขึ้นดื่ม
"เรื่องอาเหลียนไปถึงไหนแล้วครับ?"  เคนถามลอยๆขึ้นมาแบบไม่ได้เจาะจง
"แจ้งความแล้ว"  เจอร์รี่เป็นคนตอบ 
"ส่วนคนที่ทำโปรเจ็คร่วมกับนายก็สารภาพว่าได้รับเงินก้อนนึงจากอาเหลียนโดยแลกเปลี่ยนว่าพวกเขาต้องพูดใส่ความนาย"  เจอร์รี่ตอบคำถามนั้นด้วยสีหน้าเครียดๆ
"ชั้นเลยให้พักงานไว้ก่อน แล้วค่อยพิจารณากันอีกทีว่าจะดำเนินการต่อยังงัยดี"  จบคำตอบนั้นเคนก็มีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ
"จะไล่พวกเขาออกหรอ?"  เคนถามพี่ชายกลับแล้วเปลี่ยนสายตาไปทางพ่อด้วย
"ลูกเห็นว่ายังงัยหละ?"  พ่อย้อนถาม เคนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ
"ผมเองก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในบริษัทอีก แต่บอกตรงๆว่าผมไม่สบายใจที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนของผมถูกไล่ออกจากงาน"  คำตอบนั้นทำให้ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา
"พี่กลางครับ คนที่ใส่ร้ายพี่แบบนั้นยังจะเรียกว่าเพื่อนอีกหรอ? แล้วอีกอย่างตัวต้นเหตุไม่ใช่พี่แต่เป็นเพราะความโลภของพวกเขาต่างหาก"  น้องเล็กแย้งอย่างไม่เข้าใจพี่ชายนัก
"ความโลภ? พี่ไม่อยากตัดสินว่าที่พวกเขาทำแบบนั้นเพราะความโลภหรอกนะ"  เคนพูดเสียงเรียบ
"บางทีเขาอาจจะมีความจำเป็นเรื่องเงินก็ได้ถึงต้องยอมทำเรื่องแบบนี้"  คำพูดของเคนทำให้ทุกคนต่างนิ่งเงียบ
"พวกเขาคงคิดว่าเสียเพื่อนไปซักคนเพื่อแลกกับฐานะความเป็นอยู่ของตัวเองมันคงเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า"  พ่อและแม่ถึงกับสะอึกกับสิ่งที่ลูกชายพูดออกมา
"มันแล้วแต่คนคิดน่ะ พวกเขาไม่ผิดหรอก"  พูดจบเคนก็ยกแก้วขึ้นดื่ม
"ต่อให้เราไม่ไล่พวกเขาออกแล้วนายคิดว่าเขาจะยังกล้าทำงานต่ออีกหรอ?"  แวนเนสถามน้องด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ไม่รู้สิ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้โอกาสพวกเขาอีกครั้ง"  เคนตอบเสียงแผ่วลง
"ถ้าลองมาคิดในอีกด้านนึง บางทีสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเราเองก็อาจจะมีส่วนผิดด้วยก็ได้"  เคนว่าแล้วก็หันไปสบตากับพี่ชายคนโต
"สิ่งที่เราคิดว่าทำถูกต้องแล้วบางทีมันอาจจะไม่ใช่การกระทำที่ถูกใจคนอื่นก็ได้จริงมั๊ย?"  เจอร์รี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"สิ่งที่ถูกต้องไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจเสมอนั่นแหละ ชั้นไม่เข้าใจว่านายกำลังจะพูดอะไร"  มองหน้าน้องชายอย่างต้องการคำตอบ
"ก็เพราะมันเป็นแบบที่นายว่าเพราะฉะนั้นบางคนถึงเลือกสิ่งที่ถูกใจแทนที่จะเลือกสิ่งที่ถูกต้องงัย"  เคนตอบ
"อาเหลียนเขาเลือกสิ่งที่ถูกต้องมาตลอด"  เคนพูดต่อ
"แต่เมื่อสุดท้ายเขารู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นไม่ได้ทำให้เขามีความสุขเลยเขาถึงต้องเปลี่ยนมาทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อตอบแทนความต้องการของตัวเอง"  พ่อได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้าเคนตรงๆ
"ลูกคงไม่ขอให้พ่อยอมความกับอาเหลียนหรอกนะ"  พ่อพูดออกมาตามตรงเพราะรู้สึกเหมือนเคนจะไม่อยากให้เอาเรื่องใคร
"พ่อคงยอมไม่ได้หรอกเพราะสิ่งที่เขาทำกับลูกมันร้ายแรงมาก"  พูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พ่อครับ พ่อรักผมมากใช่มั๊ย?"  เคนถามพ่อกลับ
"แน่นอนสิ พ่อรักลูกมาก"  พ่อตอบแบบไม่ต้องคิด
"เพราะฉะนั้นไม่ว่าวิธีไหนพ่อก็จะทำเพื่อปกป้องผม?"  ถามต่ออีก พ่อไม่ตอบเพียงแต่พยักหน้ารับ
"อาเหลียนก็ทำแบบนี้เพื่อลูกสาวของเขาเหมือนกัน"  เคนพูดแล้วมองหน้าพ่อ
"ผมคิดว่าถ้าอาเหลียนอยู่ตัวคนเดียวไม่มีภาระที่บ้าน เขาต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อบริษัทเรามากที่สุด"  คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในครอบครัวอึ้งไป
"ถึงแม้ว่าลูกสาวของอาเหลียนจะไม่อยู่แล้วแต่ความเป็นพ่อของอาเหลียนก็ยังคงอยู่ เขาคิดว่าเป็นเพราะตัวเองไม่รวยถึงไม่สามารถรักษาชีวิตของลูกสาวไว้ได้เขาถึงไม่สนใจความถูกต้องอีกต่อไป"  เคนถอนหายใจเบาๆก่อนจะพูดต่อ
"ที่อาเหลียนพูดมาก็ถูก เขาช่วยให้เรามีทุกอย่างแต่เขากลับไม่เหลืออะไรเลย ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าแบบนี้ใครจะไปรับได้"  บรรยากาศในห้องตกอยู่ในความเงียบพักใหญ่
"ถ้าเขาบอกพ่อก็ต้องช่วยเขาอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย"  พ่อพึมพำเบาๆ
"ตอนลูกสาวเขาป่วย พ่อเองก็รู้ข่าวแต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรง"  พ่อมีสีหน้าเศร้าลง
"พ่อครับ สิ่งที่ผมขออาจจะทำให้พ่อลำบากใจแต่ถ้าเป็นไปได้ผมไม่อยากให้พ่อเอาเรื่องอาเหลียนรวมถึงทุกคนที่มีส่วนในครั้งนี้ด้วย"  เคนพูดกับพ่อตรงๆ
"เสี้ยวเทียน เรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ ว่ากันไปตามกฎหมายจะดีกว่า"  เจอร์รี่แย้ง
"นั่นสิครับพี่กลาง บริษัทเราก็เสียหายมากนะที่อาเหลียนเขาทำแบบนี้ แล้วจะปล่อยไปเฉยๆหรอ?"  ไจ่ไจ๋พูดเสริมพี่ใหญ่
"ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย ถ้าหากว่าชั้นเป็นคนทำเรื่องนี้จริงๆนายจะปล่อยให้เป็นกระบวนการของกฎหมายหรือเปล่า?"  เคนถามพี่ใหญ่กลับ
"เสี้ยวเทียน!"  เจอร์รี่เรียกชื่อน้องอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
"มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ พี่กลางไม่ใช่คนแบบนั้น"  น้องเล็กร้องแทรกทันที
"นายอย่ามั่นใจในตัวพี่นักเลย เพราะพี่เองยังไม่ไว้ใจตัวเองเลยว่าวันนึงจะทำเรื่องอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า"  เคนพูดกับน้องน้ำเสียงจริงจัง
"มันไม่เหมือนกันนะเสี้ยวเทียน นายเป็นคนในครอบครัวต่อให้ผิดยังงัยทุกคนก็ไม่มีวันส่งนายเข้าคุกได้หรอก"  แวนเนสที่เงียบอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง
"แต่ถ้าชั้นทำผิดกับคนอื่นแล้วเขาจะเอาเรื่องชั้นให้ถึงที่สุดหละ?"  เคนถามต่อ
"พวกเราก็ต้องช่วยนายอยู่ดี"  แวนเนสตอบแบบไม่ต้องคิด
"ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าพวกนายจะเลือกทำในสิ่งที่ถูกใจมากกว่าสิ่งที่ถูกต้องน่ะสิ"  คำพูดของเคนทำให้ทุกคนอึ้งไปอีกรอบ
"ชั้นก็แค่ไม่อยากสร้างศัตรูให้บริษัท อย่างน้อยการให้โอกาสก็ยังดีกว่าการทำลายเป็นไหนๆ"  พูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด   




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2557    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2558 19:56:01 น.
Counter : 926 Pageviews.  

Chapter 85

  ตอนที่ 85

"หัวหน้ารู้ใช่มั๊ยครับว่าเป็นพี่ใหญ่?"  เคนเดินตามหาหัวหน้าจนเมื่อเจอก็ทำหน้างอนิดๆในขณะเอ่ยถาม
"เจอกันแล้วหรอ? ขอโทษที.....พอดีพี่ชายเธอขอร้องไว้น่ะว่าอย่าเพิ่งบอก"  หัวหน้าได้ยินก็หัวเราะเบาๆแล้วเอ่ยขอโทษ
"ยุ่งจริงๆ"  เคนต่อว่าพี่ชายอุบอิบ
"พี่ชายเธอไม่ได้บอกอะไรหรอกแต่ชั้นก็พอจะรู้ว่าเธอมีเรื่องไม่สบายใจอยู่"  เคนได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
"ถ้าทะเลาะกันก็น่าจะคุยกันดีกว่า คนบ้านเดียวกันยังงัยก็ตัดกันไม่ขาดหรอก"  พูดให้ข้อคิดเอาไว้แล้วตบไหล่เคนเบาๆ
"ตอนนี้ชั้นพูดในฐานะที่เห็นเธอเป็นลูกเป็นหลานนะ"  พูดจบก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน
"หัวหน้าครับ!!"  เคนร้องเรียกเอาไว้แล้ววิ่งตาม หัวหน้าจึงหันกลับมาเป็นเชิงถาม
"ถ้าผมทำผิดกฎอีกครั้ง จะโดนไล่ออกหรือเปล่า?"  คำถามนั้นทำให้คนถูกถามขมวดคิ้ว
"หมายความว่างัย?"  ย้อนถามเคนกลับ
"คือว่า.....ถ้าผมเกิดไปนอนพักในห้องผู้โดยสาร....."  เคนยังพูดไม่ทันจบหัวหน้าก็ยิ้มเล็กน้อย
"ตอนนี้ห้องพักของเธอก็มีแค่เธอพักอยู่คนเดียวไม่ใช่หรอ? ถ้าเธอไม่พูดแล้วจะมีใครรู้หละ?"  เคนยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"งั้น...."  เคนยังไม่ทันพูดต่อก็โดนผู้อาวุโสเอามือเขกหัวเบาๆ
"แล้ววันหลังถ้าคิดจะทำอะไรผิดกฎก็อย่ามาให้ชั้นรับรู้"  พูดจบก็ส่ายหน้ายิ้มๆแล้วหันหลังเดินกลับไปห้องพัก เคนเอามือลูบหัวตัวเองแต่สีหน้ามีรอยยิ้ม จนเมื่อหัวหน้าเดินจากไปแล้วเขาก็เดินตรงไปยังห้องพักของพี่ชาย
"ก๊อกๆๆๆ!!!"  เคาะประตูห้องซักพักประตูก็ถูกเปิดออก
"เสี้ยวเทียน!"  เมื่อเห็นหน้าคนที่เคาะประตูเจอร์รี่ก็ยิ้มดีใจเพราะเป็นน้องชายเขานั่นเอง
"ยังไม่นอนอีกหรืองัย?"  เคนทำเสียงแข็งๆแล้วเดินเข้าไปในห้องพักของพี่ชาย
"ก็กำลังจะหลับแต่เรามาเรียกพี่ก่อนน่ะ"  เจอร์รี่ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม เคนค้อนใส่พี่ชายเล็กน้อย
"อาเจียนอีกหรือเปล่า?"  ถามพี่ชายต่อด้วยน้ำเสียงแข็งๆ
"ไม่แล้วหละ"  เจอร์รี่ตอบแล้วมองน้องชายด้วยสายตาอ่อนโยน
"เสี้ยวเทียน พี่อยากจะ....."  เจอร์รี่ยังพูดไม่ทันจบเคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
"จะพูดอีกนานมั๊ย!? ชั้นง่วงแล้ว!"  พี่ใหญ่เกิดอาการงงเล็กน้อยแต่พอเห็นน้องล้มตัวนอนลงที่เตียงของเขาเจอร์รี่ก็ได้แต่อมยิ้ม ไม่ว่ายังงัยเคนก็ยังเป็นห่วงพี่น้องเสมอต่อให้ทะเลาะกันให้ตายน้องชายคนนี้ก็ไม่มีทางที่จะหันหลังให้ในเวลาที่เขาลำบาก
"ยังไม่มานอนอีก! จะยืนอยู่ให้เมาเรืออีกรอบหรืองัย! คนบ้าอะไรก็ไม่รู้เมาเรือลำเบ้อเร้อเบ้อร่าขนาดนี้ได้!"  เมื่อเห็นว่าพี่ชายยังยืนอยู่อย่างนั้นเคนก็เอ็ดใส่อีก เจอร์รี่จึงรีบเดินมาที่เตียงทันที
"นายมานอนกับพี่แล้วไม่เป็นไรหรอ?"  ถามน้องอย่างนึกห่วงกลัวน้องจะเดือดร้อน
"จะเป็นอะไรก็เรื่องของชั้น!"  เคนยังทำปากแข็งพูดประชดพี่ชายทั้งที่ตัวเองก็เป็นห่วงพี่ชายจะแย่
"ถ้าพี่ทำให้นายลำบากก็ต้องขอโทษด้วยนะ"  พี่ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"พี่แค่อยากมาเจอ อยากมาเห็นกับตาว่าน้องพี่ไม่เป็นไร"  เคนนิ่งไปแล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้
"พี่ไม่ได้อยากมาวุ่นวายกับนายเลย ถ้าพี่ทำให้นายอึดอัดพรุ่งนี้เรือเทียบท่าเมื่อไหร่พี่จะกลับทันที"  พี่ใหญ่พูดต่อด้วยสีหน้าซึมลง
"จะนอนได้หรือยัง? พรุ่งนี้ชั้นเข้างานเก้าโมงเช้านะ"  เคนตวัดเสียงเล็กน้อย แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมหน้า พี่ใหญ่ถอนหายใจเบาๆแล้วนอนลงข้างน้องชาย จนเมื่อเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครหลับ 
"ทำไม....."  เคนเอ่ยขึ้นมาเบาๆ เจอร์รี่ได้ยินก็หันหน้ามาทางน้องชาย
"ทำไมถึงคิดว่าชั้นเป็นคนทำ?"  คำถามนั้นทำให้พี่ใหญ่ปวดร้าวไปถึงใจ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามจะลบเลือนรอยแผลในใจของน้องชายให้ได้แต่ตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่สร้างรอยแผลใหม่ให้กับน้องชาย
"พูดมาเถอะ ชั้นแค่อยากรู้ว่าคนอย่างชั้นมีภาพพจน์ที่คนอื่นมองมาเป็นยังงัย?"  น้ำเสียงที่ฟังเหมือนจะเข้มแข็งนั้นหากฟังให้ดีจะรู้ว่ามีอาการสั่นเล็กน้อย
"เสี้ยวเทียน ตอนนั้นชั้นเองก็สับสน แล้วยังจะมีอีกหลายคนที่มาพูดตรงกันหมดว่านายเป็นคนทำ"  เจอร์รี่เองก็ต้องสารภาพกับน้องตามตรงเช่นกัน
"ชั้นพยายามโทรหานายตั้งแต่แรกที่รู้เรื่องแต่นายก็ไม่รับสายชั้นเลย นั่นยิ่งทำให้ชั้นคิดไกลไปอีกว่านายกำลังหลบหน้า"  เคนรับฟังด้วยสีหน้านิ่งงัน
"ชั้นเองก็ไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อแบบนั้นเลย"  พี่ใหญ่พูดเสียงแผ่ว
"แต่นายก็เชื่อ นายเชื่อพวกเขา"  เคนแย้งด้วยความรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน
"ถ้าเป็นน้องคนอื่น.....ถ้าเป็นแวนเนส.....ถ้าเป็นไจ่ไจ๋....."  เคนหลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลตามออกมา
"ถ้าเป็นสองคนนั้นนายคงยืนกรานหนักแน่นได้ว่าไม่มีทางแน่นอนใช่มั๊ย?"  เจอร์รี่นิ่งงันกับคำถาม เขาจุกจนพูดอะไรแทบไม่ออก
"ชั้นขอถามนายตามตรงนะว่าชั้นเป็นลูกของพ่อแม่จริงหรือเปล่า?"  เจอร์รี่ได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งทันที
"เสี้ยวเทียน! นี่นายคิดอะไรอยู่?"  พี่ใหญ่เอ็ดใส่น้อง เคนมองพี่ชายทั้งน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน
"ชั้นคิดอยู่ตลอดว่าอยากให้ตัวเองเป็นลูกที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยง เพราะชั้นจะได้หาเหตุผลให้ตัวเองได้ว่าทำไมชั้นถึงต้องถูกปฏิบัติต่างจากคนอื่น"  พี่ใหญ่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนี้
"ชั้นจะสามารถบอกตัวเองได้ว่าที่พ่อแม่ผลักไสชั้นไปก็เป็นเพราะว่าชั้นไม่ได้มีสายเลือดของเขาอยู่ในตัว จะบอกตัวเองได้ว่าทำไมชั้นถึงต้องถูกตีหนักกว่าใครในข้อหาเดียวกัน และจะได้บอกตัวเองได้ว่าทำไมคนในครอบครัวนี้ถึงไม่ไว้ใจชั้นเลย"  เคนพูดพลางสะอื้นไปด้วย คำตัดพ้อของน้องชายเหมือนกับใบมีดที่กรีดลงที่หัวใจของพี่ใหญ่ เขารู้ว่าน้องเจ็บแต่ไม่นึกว่าจะเจ็บมากกว่าที่เขาคาดเดาไว้หลายเท่าตัว เจอร์รี่ดึงน้องชายเข้ามากอด
"พี่ขอโทษ.....พี่รักนายมากนะ.....อย่าคิดแบบนี้ได้หรือเปล่า....."  พี่ใหญ่เองก็พลอยร้องไห้ไปกับน้องด้วย
"นายเป็นน้องพี่ เป็นลูกของพ่อแม่ เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน"  พี่ใหญ่พูดย้ำให้น้องฟัง
"งั้นทำไม? ทำไมถึงต้องทำกับชั้นแบบนี้? ทำไมต้องทำให้ชั้นเกลียดตัวเองด้วย?"  คำถามของน้องทำให้เจอร์รี่เจ็บมากขึ้นอีกหลายเท่า แน่นอนว่าคำไม่มีคำตอบให้นอกจากอ้อมกอดที่โอบร่างน้องไว้ราวกับต้องการจะถ่ายทอดความรู้สึกทุกอย่างให้น้องรับรู้

- ตอนเช้า -
"คุณอาครับ"  เจอร์รี่เอ่ยเรียกพ่อของกลอเรีย 
"อ้าว....เป็นยังงัย?"  ผู้อาวุโสกว่าทักกลับพร้อมกับรอยยิ้ม
"คือว่าผมอยากจะขอลางานแทนน้องน่ะครับ เสี้ยวเทียนไข้ขึ้น"  เจอร์รี่พูดอย่างเกรงใจ
"อ้าว! ไม่สบายหรอกหรือเนี่ย? ได้ๆๆๆ ให้พักผ่อนไปเถอะ"  เมื่อได้ยินเช่นนั้นพ่อของกลอเรียก็แปลกใจแต่ก็เอ่ยปากอนุญาต
"ขอบคุณมากนะครับ อันที่จริงเสี้ยวเทียนไม่อยากหยุดงานแต่ผมห่วงน้องเลยต้องมาบอกกับคุณอาก่อน"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับยิ้มให้
"ไม่เป็นไร ถ้าขืนน้องเธอยังดื้อจะมาทำงานอีกชั้นจะช่วยดุให้เอง"  ได้ยินเช่นนั้นเจอร์รี่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
"เกรงใจคุณอาจังครับ ครั้งที่แล้วน้องก็ก่อเรื่องให้คุณอาต้องปวดหัว คราวนี้ยังต้องลางานอีก"  พ่อของกลอเรียยิ้มแล้วส่ายหน้า
"ไม่หรอก ก็มันเหตุสุดวิสัยนี่นา อย่าคิดมากเลย ไปดูแลน้องเถอะ"  เมื่อได้ยินคำยืนกรานเช่นนั้นเจอร์รี่จึงขอตัวกลับไปหาน้อง 
"หายไปไหนมา? ชั้นต้องรีบไปทำงานนะ"  เมื่อเจอร์รี่ก้าวขาเข้าห้องก็ได้ยินเสียงน้องต่อว่าทันที
"ไปทำงานยังงัย? นายไม่สบายอยู่นี่"  แย้งน้องชายพร้อมกับส่ายหน้า
"ชั้นไม่เป็นอะไร"  เคนปฏิเสธทั้งที่ยังรู้สึกปวดหัวอยู่
"ตัวร้อนอย่างกับไฟยังจะว่าไม่เป็นอะไรอีก หยุดงานซักวันเถอะชั้นไปบอกหัวหน้าของนายให้แล้ว"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับเดินเข้ามาจับแขนน้อง
"นายนี่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! ชั้นบอกว่าทำได้ก็ทำได้สิ! อย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย!"  เคนเอ็ดตะโรใส่พี่ชาย
"ชั้นจะกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนายอย่าลืมกินยาแก้เมาเรือด้วย"  พูดจบเคนก็หมุนตัวเดินไปที่ประตู
"พี่ใหญ่เตือนแล้วนะ ถ้าโดนดุแล้วอย่ามาโทษพี่หละ"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับอมยิ้ม เคนหันกลับมาทางพี่ชาย
"หมายความว่ายังงัย?"  ถามอย่าเอาเรื่อง
"เปล่า ก็แค่เตือนไว้"  เจอร์รี่ยักไหล่ เคนเม้มปากก่อนจะเดินออกไปแล้วปิดประตูดังโครม 
"เฮ่อ! ดื้ออะไรอย่างนี้"  เมื่อน้องชายออกไปแล้วเจอร์รี่ก็ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆ เขามองไปที่นาฬิกาก่อนจะหยิบโทศัพท์ต่อสายไปหาน้องเล็ก
"ตื่นหรือยัง?"  เมื่อฝ่ายตรงข้ามรับสายเจอร์รี่ก็เอ่ยถาม
"ตื่นแล้ว! พี่ใหญ่ครับ.....พี่อยู่ไหนอ่ะ?"  เสียงแจ้วๆของน้องเล็กถามกลับมา
"บนเรือ"  เจอร์รี่ตอบยิ้มๆ 
"บนเรือ? เรือไหน? แล้วไปยังงัย?"  เจ้าน้องเล็กถามกลับมาอีกยกใหญ่
"อืม....เรือที่นายเคยมางัย"  พี่ใหญ่ยังตอบแบบขยักขย่อน
"เรือที่ผมเคยไป? เฮ้ย!!! อยู่กับพี่กลางหรอ?"  เสียงน้องเล็กทวนคำอย่างงงๆครู่หนึ่งก็ตามมาด้วยเสียงอุทานด้วยความแปลกใจ
"ใช่ เสียงดังทำไมเนี่ย?"  พี่ใหญ่ตอบพร้อมกับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
"ทำไมไม่บอกผมก่อน จะได้ไปด้วย"  เสียงน้องชายประท้วงกลับมาทำเอาเจอร์รี่หัวเราะร่วน
"มาด้วยได้ยังงัย? พี่จะมาตามง้อพี่ชายตัวดีของนาย นี่พี่ก็เพิ่งโดนอาละวาดไปแต่เดี๋ยวพี่กลางมันคงกลับมา"  เจอร์รี่ยังหัวเราะในขณะที่พูด
"พี่ใหญ่น่ะแผนสูงเหมือนกันนะ แล้วพี่กลางซึ้งมั๊ยเนี่ย? อุตส่าห์ตามไปเซอร์ไพรส์ขนาดนี้"  เสียงไจ่ไจ๋ถามกลับมาอีก
"แค่มันไม่ถีบพี่ตกเรือก็บุญโขแล้ว เรื่องซึ้งหรือไม่อันนี้ไม่ต้องพูดถึงหรอก"  เจอร์รี่ว่าแล้วในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูรัวๆ 
"ไจ่ไจ๋ แค่นี้ก่อนแล้วกัน สงสัยเจ้าพี่กลางมาแล้ว"  พูดจบก็วางสายทันที จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูแล้วก็พบน้องชายยืนหน้ามุ่ยอยู่
"เป็นยังงัย? พี่ใหญ่เตือนแล้วใช่มั๊ย?"  เห็นสีหน้าของน้องก็พอจะรู้ว่าคงโดนหัวหน้าไล่กลับมาพัก
"ถ้าชั้นโดนไล่ออกนายเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบ!"  เคนชี้หน้าพร้อมกับพูดกระแทกเสียง
"ได้ๆๆๆ พี่ใหญ่รับผิดชอบทุกอย่างเลย ว่าแต่นายมานอนพักเถอะนะ"  ว่าแล้วก็กวักมือเรียกน้องชาย
"ไม่! ชั้นจะกลับห้องพักของชั้น!"  เคนแหวใส่พี่ชายแล้วหมุนตัวจะเดินออกไปแต่เจอร์รี่รับเข้าไปคว้าตัวน้องไว้ก่อน
"พักที่นี่ก็ได้ พี่จะได้คอยดูแลงัย"  เคนนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะดึงมือพี่ชายออก
"ชั้นไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว ไม่สบายแค่นิดหน่อยชั้นดูแลตัวเองได้"  พูดแบบไม่ถนอมน้ำใจของพี่ชายเลย เจอร์รี่ถอนหายใจเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"งั้นก็ขอโทษที่จุ้นจ้านให้นายรำคาญอยู่เรื่อย"  เคนได้ยินพี่ชายว่าก็ชะงักไป
"นายไปพักผ่อนเถอะ จะได้หายเร็วๆ"  แล้วก็ปล่อยตามใจน้องเพราะไม่อยากขัดใจน้องอีก เคนจึงเดินออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย ปล่อยให้เจอร์รี่ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งด้วยทีท่าเซื่องซึม

- ที่บ้าน -
"พี่รองจะว่างอีกเมื่อไหร่? เร็วๆนี้จะว่างมั๊ย?"  ไจ่ไจ๋เดินเข้าไปกอดคอพี่ชายคนรองพร้อมกับเอ่ยถาม
"ทำไม? จะชวนไปไหน?"  แวนเนสถามกลับน้องชายทั้งที่ยังเสียบหูฟังเพลงของตัวเองอยู่
"ไปหาพี่ใหญ่กับพี่กลาง"  คำตอบนั้นทำให้แวนเนสดึงหูฟังออกทันที
"หมายความว่างัย?"  ย้อนถามน้องอีกเพราะนึกว่าตัวเองฟังไม่ชัด
"ไปหาพี่ใหญ่กับพี่กลางงัย ฟังไม่เข้าใจหรอ?"  ไจ่ไจ๋ตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ยเพราะคิดว่าพี่ชายไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองบอก
"พี่ใหญ่อยู่กับเจ้าพี่กลางหรอ? นายรู้ได้ยังงัย?"  แวนเนสถามซักไซร้
"ก็พี่ใหญ่โทรมาบอก ป่านนี้พี่กลางยังไม่หายงอนเลย เราน่าจะไปช่วยง้อพี่เขานะ"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วรอฟังคำตอบจากพี่ชาย
"ช่วงนี้พี่ก็ว่างอยู่หรอก แต่เราจะจองตั๋วจองที่พักยังงัยหละ? แล้วจะไปขึ้นเรือได้ที่ไหน?"  แวนเนสย้อนถามน้องอีก
"เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อยมากเลย เดี๋ยวผมจัดการเอง"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็ยิ้มร่า
"จะทำยังงัย?"  แวนเนสถามน้องต่ออีก
"ผมมีเบอร์โทรของบริษัทพี่กลางอยู่ คราวที่แล้วได้นามบัตรมา"  พูดจบก็หยิบออกมาโชว์พี่ชาย
"แหม! แบบนี้แสดงว่านายวางแผนทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วใช่มั๊ย? ต่อให้พี่ไม่ไปนายก็จะไปอยู่ดี"  แวนเนสพูดอย่างรู้ทันน้องชาย
"หึๆๆๆ พี่รองนี่รู้ทันทุกทีเลย"  น้องเล็กหัวเราะเบาๆ
"แล้วถ้าเราไปกัน พ่อแม่...."  แวนเนสยังพูดไม่ทันจบไจ่ไจ๋ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
"พ่อแม่ก็ไปกับเราด้วยงัยหละ"  คำตอบนั้นทำให้แวนเนสถึงกับขมวดคิ้ว
"แล้วนายถามความเห็นของพ่อแม่หรือยัง? จู่ๆจะไปมัดมือชกแบบนั้นเลยหรอ?"  ต่อว่าน้องชายออกไป
"พี่รองนี่ไม่ทันการณ์ซะจริง พ่อแม่น่ะรู้ก่อนพี่อีกว่าพี่ใหญ่ไปหาพี่กลาง แล้วความคิดนี้พ่อแม่ก็ตกลงเห็นดีกับผมด้วย"  ไจ่ไจ๋แอบว่าพี่ชายกลับ
"อะไรวะ? พี่รู้คนสุดท้ายทุกที"  คราวนี้แวนเนสทำหน้ากระเง้ากระงอด น้องเล็กจึงหัวเราะแล้วหอมแก้มพี่ชายฟอดใหญ่
"อื้ม! อย่างอนไปเลย.....รู้คนสุดท้ายก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยนะ"  ได้ยินน้องว่าเช่นนั้นแวนเนสจึงหัวเราะออกมาในที่สุด
"นายนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ"  แวนเนสว่าแล้วก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับน้องอย่างสนุก เป็นเวลาเดียวกับที่พ่อแม่พากันเดินเข้ามาหาพอดี
"เล่นกันเป็นเด็กเลย"  พ่อทักลูกชายทั้งคู่ยิ้มๆ ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ดิ้นจนหลุดพ้นจากการจับกุมของพี่ชาย
"พ่อแม่ครับ พี่รองตกลงแล้วงั้นเราไปกันพรุ่งนี้เลยนะ"  ไจ่ไจ๋บอกอย่างกระตือรือร้น
"ไม่มีงานหรือลูก?"  พ่อหันไปถามแวนเนสบ้าง
"ไม่มีครับ ช่วงนี้ขายไม่ดี"  แวนเนสตอบแบบติดตลก
"จริงๆเลยลูกคนนี้ ทำอะไรเป็นเล่นไปได้"  แม่ได้ยินก็เอ็ดลูกชายเข้าให้ แวนเนสยิ้มแหยๆแล้วเปลี่ยนที่ไปนั่งกอดแม่
"ก็เห็นพ่อแม่ดูเครียดๆ ก็เลยอยากพูดอะไรเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศบ้าง"  ได้ยินเจ้าลูกชายตัวดีว่าเช่นนี้แม่ก็เริ่มยิ้มออกแต่ไม่วายต่อว่าอีก
"ลูกคนนี้หนิ เฮี้ยวจริงๆเชียว"  พูดจบก็ตีมือลูกชายเบาๆ 
"ตกลงว่าผมโทรไปจองตั๋วเลยนะ เดี๋ยวจะถามเขาด้วยว่าพรุ่งนี้สามารถขึ้นเรือได้ที่ไหน"  น้องเล็กของบ้านวกเข้าเรื่อง
"ทีเรื่องเที่ยวนี่เร็วเชียวนะ เวลาจะเปิดเรียนไม่เห็นรีบดูหนังสือเพื่อเตรียมตัวก่อนเลย"  แวนเนสได้ทีแขวะน้องชาย
"ทำเป็นพูดไป พี่รองเองเวลาเรียนก็ใช่ว่าจะตั้งใจไปมากกว่าผมหรอก"  ได้ยินเช่นนั้นแวนเนสก็ยกมือหมายจะทุบเจ้าน้องชายตัวแสบให้ซักตุ๊บ
"แม่!!!"  ไจ่ไจ๋ร้องเรียกแม่ดังลั่นเพราะกลัวพี่ชายจะลงมือกับเขา
"แวนเนส!"  แม่ทำตาเขียวใส่ลูกชายคนรอง แวนเนสจึงทำหน้ามุ่ยใส่แม่บ้าง
"ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย เราน่ะแหย่น้องก่อนนะ"  แม่พูดดักคอก่อนที่แวนเนสจะทันได้พูดอะไรต่อ ทำให้แวนเนสได้แต่อ้าปากค้าง ส่วนพ่อกับไจ่ไจ๋หัวเราะนำไปแล้ว
"ขำอะไรกันนักหนา? แบบนี้ไม่ไปด้วยดีกว่า"  แวนเนสว่าแล้วก็นั่งหันหลังให้ทุกคนอย่างงอนๆ
"ไม่ไปจริงนะ? งั้นผมโทรไปจองตั๋วแค่สามใบแล้วกัน"  ไจ่ไจ๋ได้ทีแกล้งพี่ชายกลับบ้าง
"ไจ่ไจ๋! ลูกก็กวนไม่ได้น้อยไปกว่าพี่เขาเลย"  พ่อดุเจ้าลูกชายคนเล็กเข้าให้บ้าง คราวนี้แวนเนสจึงกลายเป็นฝ่ายเยาะเย้ยน้องเล็กบ้าง
"เดี๋ยวเถอะ แม่จะฟ้องพี่ใหญ่ให้จัดการทั้งคู่เลย"  แม่สำทับเมื่อเห็นว่าลูกชายทั้งคู่ยังแหย่กันไปมา
"ช่วงนี้พี่ใหญ่ไม่มีเวลามาจัดการผมกับพี่รองหรอกครับ แค่ง้อพี่กลางคนเดียวก็งานใหญ่เลยหละ"  ไจ่ไจ๋พูดจบแวนเนสก็หัวเราะเพราะเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
"เฮ่อ! นั่นสิเนอะ ไม่รู้เสี้ยวเทียนจะยังโกรธพ่อกับแม่อยู่หรือเปล่า"  พอได้ยินพ่อเปรยขึ้นมา แวนเนสกับไจ่ไจ๋ก็ยิ้มค้าง
"พ่ออย่าคิดมากสิ น้องไม่โกรธพ่อแม่หรอก เพราะน้องรู้ครับว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำลงไปก็เพราะรักทั้งนั้น"  แวนเนสพูดปลอบใจทั้งที่ตัวเองก็กังวลกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ความสัมพันธ์ของพ่อแม่และเคนกำลังดีขึ้นตามลำดับแต่เมื่อมาเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเขาเองก็ไม่รู้เลยว่าน้องจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า
"พ่อก็หวังแบบนั้น"  พ่อว่าพร้อมกับยิ้มเศร้าๆ ทำเอาบรรยากาศพลอยเงียบๆไปด้วย
"อืม....ไจ่ไจ๋....ทำไมไม่โทรจองตั๋วหละ? เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็อดไปกันหมดพอดี"  แล้วแวนเนสก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
"ใช่ๆๆๆๆ ลืมไปเลย!"  ไจ่ไจ๋รับคำพี่ชายแล้วคว้าโทรศัพท์เลี่ยงออกไปคุยข้างนอก หลังจากน้องชายออกไปแล้วแวนเนสก็มองพ่อกับแม่
"พ่อแม่ครับ อย่ากังวลไปเลย ตอนนี้น้องเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจหลายอย่างคงต้องใช้เวลาซักพักกว่าน้องจะจัดการอารมณ์ของตัวเองได้"  แวนเนสพูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
"ลำพังแค่เรื่องบ้านอาเจียงน้องคงทำใจได้ไม่ยาก แต่เรื่องที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินบริษัท.....ต่อให้เป็นผมก็คงเสียใจมากเหมือนกันที่โดนข้อหานี้เข้าไป......"  พ่อและแม่ถอนหายใจพร้อมกันเมื่อได้ยินแวนเนสว่าเช่นนั้น
"พ่อรับรองเลยว่าจะดำเนินการกับอาเหลียนให้ถึงที่สุด รวมถึงทุกคนที่ให้ร้ายลูกพ่อด้วย"  พ่อยืนกรานหนักแน่น
"แล้วเรื่องไปถึงไหนแล้วครับ?"  แวนเนสถามพ่อกลับ
"พ่อแจ้งความแล้ว"  พ่อตอบพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง
"ไม่อยากคิดเลยว่าคนเป็นเพื่อนกันมาจะทำกันได้ลงคอถึงขนาดนี้"  รำพันต่ออย่างเจ็บใจ
"หรือว่านี่เป็นผลกรรมที่พ่อสมควรจะได้รับเพราะการที่พ่อทำหน้าที่พ่อคนได้ไม่ดีเท่าที่ควร?"  แม่เอื้อมมือไปกุมมือพ่อราวกับต้องการจะปลอบใจ แวนเนสเองก็พลอยเงียบไปด้วย
"ตอนนี้พ่อไม่อยากมีเงินมากมาย ไม่อยากมีบ้านหลังใหญ่ ไม่อยากมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอีกแล้ว"  พ่อยังพูดต่อด้วยความเจ็บปวด
"แต่พ่ออยากได้ครอบครับที่สมบูรณ์ พ่ออยากให้เราได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่มันคงเป็นไปได้ยากแล้ว"  แวนเนสน้ำตาคลอเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"พ่อครับ เชื่อผมเถอะว่าสิ่งที่พ่อปรารถนามันก็เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เราทุกคนอยากจะให้เป็น แม้แต่เสี้ยวเทียนเองน้องก็คงอยากให้เราได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา"  แวนเนสพูดอย่างรู้ใจน้องชายดี
"และผมว่าเสี้ยวเทียนเองนั่นแหละที่ต้องการสิ่งนี้มากที่สุด เพราะน้องมีช่วงเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัวน้อยกว่าใคร"  แวนเนสตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรที่กระเทือนถึงความรู้สึกของบุพการีทั้งสองคนแต่เขาก็จำเป็นต้องพูด
"ลำพังแค่ผม พี่ใหญ่ และก็ไจ่ไจ๋ คงชดเชยให้น้องได้ไม่มากเท่าคนที่ให้ชีวิตน้องหรอกครับ"  พ่อกับแม่ถึงกับน้ำตาซึมกับสิ่งที่แวนเนสพูด ปกติลูกชายคนนี้จะไม่ต่อยพูดอะไรที่จริงจังเช่นนี้ แต่ตอนนี้คำพูดของแวนเนสกลับทำให้พ่อแม่มีกำลังใจมากขึ้น
"แล้วอีกเรื่อง....."  แวนเนสมีท่าทีลังเลที่จะพูดต่อ
"เรื่องอะไรจ๊ะ?"  แม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"เรื่องการปฏิบัติกับน้องน่ะครับ ความจริงผมเองก็เข้าใจว่าพ่อแม่อยากจะตามใจน้องทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้"  แวนเนสว่าแล้วมองหน้าพ่อกับแม่สลับกันไปมา
"แต่ผมว่าเสี้ยวเทียนคงจะรู้สึกเป็นกันเองมากกว่าหากว่าพ่อแม่จะใช้สิทธิของการเป็นพ่อแม่ที่จะดุด่าหรือตักเตือนเวลาที่น้องทำอะไรไม่สมควร"  แวนเนสมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจที่ต้องพูดเช่นนี้
"เพราะผมดูแล้วเหมือนกับว่าพ่อแม่กลัวที่จะพูดอะไรตรงๆกับน้อง"  พ่อกับแม่เงียบไปเพราะสิ่งที่ลูกชายพูดมานั้นถูกต้องทั้งหมด
"ผมขอโทษพ่อกับแม่จริงๆที่ต้องพูดแบบนี้ แต่เสี้ยวเทียนก็เป็นลูกของพ่อแม่เหมือนกันกับพวกผมสามคน หากว่าพ่อแม่ยังปฏิบัติกับน้องต่างจากที่ปฏิบัติกับพวกผม ยังงัยซะความรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกกว่าคนอื่นมันยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของน้องแน่ครับ"  แวนเนสพูดจบก็ลอบถอนหายใจ
"แวนเนส.....ขอบใจลูกมากนะ พ่อเองไม่เคยคิดถึงข้อนี้เลย พ่อคิดแต่ว่าหากน้องต้องการอะไรแล้วพ่อให้น้องทุกอย่างมันจะสามารถชดเชยช่วงเวลาที่หายไปได้"  พ่อพูดกับลูกชายอย่างจริงจัง
"นั่นสิ ไม่น่าเชื่อนะพ่อว่าอย่างแวนเนสเนี่ยจะสามารถเข้าใจอะไรหลายๆอย่างได้ดีขนาดนี้"  แม่พูดแหย่ลูกชายเมื่อเห็นว่าแวนเนสเองก็มีท่าทีเครียดๆที่ต้องพูดแบบนี้กับพ่อแม่
"แม่อ่ะ.....ถึงผมจะดูเหมือนเล่นไปเรื่อยแต่เวลามีปัญหาอะไรผมก็มีคำแนะนำที่ดีให้นะครับ"  แวนเนสทำเสียงกระเง้ากระงอด ซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะของพ่อและแม่ได้อีกครั้ง
"จ๊ะๆๆๆ ลูกแม่คนนี้เก่งที่สุดเลย"  พูดจบก็หอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ ทำเอาแวนเนสยิ้มออก
"แน่นอนอยู่แล้ว ผมรู้ตัวมานานแล้วหละครับ"  จบคำนั้นก็มีเสียงโห่ของพ่อและแม่ตามมา

- วันรุ่งขึ้น -
"พ่อแม่เดินเร็วๆหน่อยสิครับ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันขึ้นเรือหรอก"  ไจ่ไจ๋เอ่ยเร่งบุพการีทั้งสองคนที่เดินเอื่อยๆตามหลัง
"พี่รองก็เหมือนกัน แต่งตัวอย่างกับจะไปสืบราชการลับแถมยังมองนั่นมองนี่จนคอจะหมุนรอบแล้วนะ"  หันไปต่อว่าพี่ชายด้วยอีกคน
"บ่นจริงโว้ย! พี่แค่ระวังตัวไม่อยากให้ใครมาเจอก็เท่านั้นแหละ ไม่งั้นเดี๋ยวเที่ยวไม่สนุก"  แวนเนสเถียงน้องชาย
"ลูกจะรีบอะไรนักหนา? เรือเขายังไม่ออกหรอกกำหนดเวลาออกอีกตั้งเกือบชั่วโมง"  แม่ต่อว่าลูกชายคนเล็กให้ด้วย
"โธ่! ก็ผมคิดถึงพี่กลางนี่นา"  ไจ่ไจ๋บอกไปตามตรง อันที่จริงแล้วที่เขาอยากมาไม่ใช่เพราะอยากเที่ยวแต่อยากมาเห็นกับตาว่าพี่ชายไม่เป็นอะไร
"คิดถึงแต่พี่กลางคนเดียวหรอ? เดี๋ยวจะฟ้องพี่ใหญ่"  แวนเนสได้ทีรีบแขวะน้องต่อ
"ก็คิดถึงหมดนั่นแหละ! พูดมากจริง"  ไจ่ไจ๋แหวใส่แล้วเดินดุ่มๆไม่สนใจใครอีก
"ฮึ! เจ้าลูกคนนี้"  พ่อบ่นเบาๆแต่สายตากลับมองตามด้วยแววตาอ่อนโยน
"พี่ใหญ่!!!"  ไจ่ไจ๋วิ่งมาถึงทางขึ้นเรือก็เห็นพี่ชายคนโตยืนชะโงกหน้าลงมามองหาจึงตะโกนเรียก
"ทำไมวิ่งมาคนเดียว? แล้วพ่อแม่กับพี่รองหละ?"  พี่ใหญ่ถามไถ่แต่ก็อ้าแขนรอรับเจ้าน้องชายตัวดีที่โผเข้ามากอด
"พ่อแม่เดินช้า พี่รองก็เหล่หญิงอยู่นั่นแหละ ผมเลยหนีมาก่อน"  ไจ่ไจ๋บ่นอุบ
"เดี๋ยวจะโดนตีน่ะเรา สัญญากับพี่ว่าจะดูแลพ่อแม่อย่างดีแล้วนี่ยังไม่ทันไรทิ้งพ่อกับแม่ซะแล้ว"  พี่ใหญ่ทำหน้าดุๆแต่ยังมีรอยยิ้มให้เห็น
"แหม.....ก็ผมคิดถึงพี่ใหญ่จนทนไม่ไหวนี่นา......"  เจ้าตัวดีรีบทำปากหวานกลบเกลื่อนเมื่อโดนดุ
"น่าเชื่อตายหละ"  เจอร์รี่ว่าแล้วบีบจมูกน้องชายเบาๆก่อนจะดันตัวน้องออกเมื่อเห็นพ่อกับแม่เดินตามมา
"พ่อครับแม่ครับ"  เอ่ยทักทายบุพการีทั้งสองคนแล้วเข้าไปจูงมือแม่
"มารอนานหรือเปล่า?"  แม่ถามลูกชายคนโต
"ไม่หรอกครับ"  เจอร์รี่ปฏิเสธแล้วกอดแม่หลวมๆก่อนจะกระซิบเบาๆ
"ลูกชายคนกลางของแม่ฤทธิ์มากเอาการเลย จนถึงวันนี้ยังทำท่ากระแทกกระทั้นใส่ผมอยู่เลยเนี่ย"  ต่อว่าน้องชายให้แม่ฟัง
"แล้วน้องหายป่วยหรือยัง? วันนี้น้องทำงานแล้วหรอ?"  แม่ถามต่ออีก
"ก็ไม่มีไข้แล้วครับแต่ผมบังคับให้พักต่ออีกวัน อาละวาดจนห้องแทบพังเพิ่งหมดฤทธิ์ไปเมื่อไม่นานเอง"  ตอบแม่พร้อมกับหัวเราะเบาๆไปด้วย
"ใจคอจะไม่ทักชั้นเลยใช่มั๊ย?"  แวนเนสเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วน้ำเสียงงอนๆ
"อ้าว! เห็นไจ่ไจ๋บอกว่าเดินเหล่สาวอยู่ไม่ใช่หรอ? งัย? จะให้ฟ้องพ่อกลอเรียเลยดีมั๊ย?"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับยักคิ้วให้เจ้าน้องชายจอมไฮเปอร์
"ไอ้บ้า! ชั้นเหล่สาวที่ไหนหละ? เจ้าไจ๋นี่ปากดี!"  ว่าพร้อมกับหรี่ตามองน้องชายที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ไม่ไกลนัก
"หึๆๆๆ"  ท่าทางของแวนเนสเรียกเสียงหัวเราะของสมาชิกทุกคนได้เป็นอย่างดี
"มานี่ซิ"  เจอร์รี่ว่าพร้อมกับกางแขนออก แวนเนสรีบเข้าไปสวมกอดพี่ชายทันที
"คิดถึงชั้นมั๊ย?"  แวนเนสถามพี่ชายเหมือนเด็กๆ เจอร์รี่ไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มแล้วส่ายหน้า แวนเนสจึงผละตัวออกจากพี่ชายทันที
"งั้นไม่ต้องมาคุยเลย"  พูดจบก็หันหลังให้พี่ชายทันที
"น่ารักจะแย่แล้วไอ้ลูกลิง!"  เจอร์รี่เอื้อมมือไปผลักหัวน้องอย่างหมั่นไส้
"ชั้นน่ารักอยู่แล้ว!"  แวนเนสหันมาพูดยอตัวเองหน้าตาเฉย
"หูยยย.....คนอะไร.....หลงตัวเองชะมัด"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็อดปากไว้ไม่อยู่
"เดี๋ยวเถอะ! เผลอเมื่อไหร่จะถีบให้กลิ้งตกทะเลเลย"  แวนเนสพูดขู่
"น้อยๆหน่อยเถอะเรา! น้องแหย่นิดเดียวทำเป็นโมโห"  พี่ใหญ่ทำเสียงดุ
"เจอหน้ายังไม่ทันไรก็ด่าชั้นอีกแล้ว คอยดูนะชั้นจะยุให้เสี้ยวเทียนไม่พูดกับนายทั้งปีเลย!"  แวนเนสพูดจบก็เดินดุ่มๆขึ้นเรือโดยไม่สนใจใครอีกต่อไป
"ดูมันนะ.....ร้ายกาจจริงๆ....."  เจอร์รี่บ่นก่อนจะตัดบท
"ตามไปเถอะครับ เดี๋ยวมันจะงอแงไปมากกว่านี้"  จบคำของเจอร์รี่ทุกคนก็พากันเดินตามแวนเนส
"แม่อยากไปดูเสี้ยวเทียนซักหน่อย น้องอยู่ที่ห้องพักของลูกหรือเปล่าจ๊ะ?"  หลังจากเก็บข้าวของในห้องพักเสร็จแล้วแม่ก็หันมาถามลูกชายคนโต
"อยู่ครับแต่น้องยังหลับอยู่เลย ผมว่าแม่พักผ่อนก่อนดีกว่า"  เจอร์รี่ตอบเพราะรู้ว่าแม่ห่วงน้องมาก และเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าหากเคนรู้ว่าทั้งครอบครัวพากันยกโขยงมาแบบนี้น้องจะไม่พอใจอีกหรือไม่
"แต่ว่า...."  แม่ตั้งท่าจะแย้งเพราะเป็นห่วงเคนอยากเห็นกับตาว่าลูกชายสบายดีแล้ว
"แม่ก็อย่าทำให้ลูกลำบากใจสิ เดี๋ยวพอเสี้ยวเทียนตื่นเจอร์รี่ก็มาบอกเราเองนั่นแหละ"  พ่อเห็นดังนั้นจึงหันไปพูดกับแม่ซะเอง
"ก็ได้ ถ้าน้องตื่นแล้วมาบอกแม่นะจ๊ะ"  แม่ไม่วายหันมากำชับเจอร์รี่อีกครั้ง
"ได้ครับ"  เจอร์รี่ยิ้มรับแล้วหันไปพยักหน้ากับน้องชายสองคน
"ให้พ่อแม่พักผ่อนก่อน นายสองคนก็กลับห้องพักไปก่อนเถอะ"  แวนเนสกับไจ่ไจ๋ไม่โต้แย้งอะไรเพียงแต่เดินตามพี่ชายคนโตออกมาเท่านั้น




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2557    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 14:41:22 น.
Counter : 1119 Pageviews.  

Chapter 84

  ตอนที่ 84 

"พี่กลาง จะไปทำงานจริงๆหรอ? แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลา....."  ไจ่ไจ๋ยิงคำถามกับพี่ชายแต่พูดยังไม่ทันจบเคนก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
"นายอย่าบ่นมากได้มั๊ย?"  เคนแกล้งตำหนิน้องชายในขณะที่ตัวเองยังก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ
"แต่ว่า....."  ไจ่ไจ๋ไม่อยากให้พี่ชายไปแต่ก็ไม่รู้จะแย้งยังงัยเหมือนกัน
"คราวนี้จะไปนานแค่ไหน?"  แล้วไจ่ไจ๋ก็เปลี่ยนคำถาม เคนหน้าเศร้าลงเล็กน้อย
"น่าจะเดือนกว่าๆ พี่ขอหัวหน้าทำโอทีต่อด้วยเลยอาจจะนานกว่าทุกครั้ง"  เคนตอบน้องเสียงแผ่ว
"พี่กลางครับ....เราทุกคนรักพี่มากนะ"  ไจ่ไจ๋บอกพี่ชาย เขาได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วและเขาเองก็เสียใจไม่แพ้พี่ชายเลย
"พี่รู้ แต่ขอพี่อยู่กับตัวเองซักระยะนะ บางทีอาจจะเข้าใจตัวเองได้ดีกว่านี้"  เคนเองก็บอกน้องชายตามตรง
"พี่ไม่อยากเจอกับเรื่องวุ่นวายอะไรอีกแล้ว พี่ไม่อยากมีความกังวลใจ ไม่อยากต้องห่วงโน้นห่วงนี่อีก"  เคนว่าแล้วก็สบตากับน้องชายตรงๆ
"แต่จะไปทั้งที่เรื่องทุกอย่างยังคั่งค้างอยู่อย่างนี้หรอ?"  น้องเล็กถามพี่ชายสีหน้าจริงจัง
"มีเรื่องอะไรที่คั่งค้างอยู่อีกหละ? พี่ก็จัดการทุกอย่างเท่าที่พี่จะทำได้แล้ว"  เคนแย้งแล้ววางเสื้อตัวสุดท้ายใส่กระเป๋า จากนั้นก็รูดซิปปิดอย่างเรียบร้อย
"แล้วเรื่องบ้านอาเจียงหละ?"  น้องเล็กถามตรงๆ ทำเอาเคนนิ่งไปครู่หนึ่ง
"มันไม่ใช่ของพี่อีกแล้ว ใครจะทำยังงัยก็สุดแล้วแต่เถอะ"  เคนว่าแล้วก็ยกกระเป๋าไปพิงกับกำแพงก่อนจะมาจัดของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าสะพายอีกใบ
"พี่กลาง พี่ก็รู้ว่าพ่อแม่หวังดีกับพี่ไม่อยากให้พี่....."  ไจ่ไจ๋ตั้งท่าจะอธิบายแทนพ่อแม่แต่เคนก็ขัดขึ้นก่อน
"ไจ่ไจ๋.....เราเลิกพูดเรื่องพวกนี้ซักทีเถอะ อย่างน้อยก่อนไปขอให้พี่ได้คุยกับนายอย่างสบายใจได้มั๊ย?"  คำพูดของพี่ชายทำเอาน้องเล็กหุบปากทันที
"นายเองก็ไม่ต้องมาคอยคิดอะไรแทนพี่ด้วย คิดเรื่องตัวเองเถอะเพราะอีกไม่นานนายเองก็จะเปิดเทอมเหมือนกันนี่"  เคนเปลี่ยนเรื่อง
"เปิดเทอมก็ดีเหมือนกัน นายจะได้ไม่ต้องมาฟุ้งซ่านเรื่องอื่น เอาสมองไปคิดเรื่องเรียนอย่างเดียวก็พอ"  ไจ่ไจ๋ถอนหายใจเบาๆแต่ก็เลยตามเลยเพราะเขาเองก็ไม่อยากให้พี่ชายต้องรู้สึกไม่ดีอีก
"ผมเองก็อยากให้ถึงวันเปิดเทอมเร็วๆเหมือนกัน คิดถึงเพื่อนๆ"  ไจ่ไจ๋ปรับน้ำเสียงให้ดูร่าเริงขึ้น
"คิดถึงแฟนหละสิไม่ว่า"  เคนเอ่ยแซวน้องแล้วยิ้มออกมาได้ในที่สุด
"แหงหละ ไม่เจอกันตั้งหลายอาทิตย์"  ไจ่ไจ๋ตอบรับหน้าตาเฉย แล้วขยับเข้าไปกอดพี่ชาย
"แต่พอผมจะได้หายคิดถึงหลิงหลิงแล้วกลับต้องมานั่งคิดถึงพี่กลางอีก"  เคนยิ้มกับลูกอ้อนของน้องชาย
"น่าเชื่อ? พี่ว่านายคงพาแฟนไปเที่ยวเพลินจนลืมพี่น่ะสิ กลับมาอีกทีนึกชื่อพี่ไม่ออกแล้วมั้ง?"  พูดจบก็บีบจมูกน้องชายเบาๆ
"ไม่มีทาง! ยังงัยพี่กลางก็ต้องเป็นคนแรกที่ผมคิดถึงเสมอ"  ไจ่ไจ๋ยืนกรานหนักแน่น
"ชื่นใจจริงๆ"  เคนว่าแล้วก็ขยี้หัวน้องชายอย่างเอ็นดู
"อยู่บ้านก็อย่าดื้อหละ แล้วต้องตั้งใจเรียนรู้มั๊ย?"  สั่งกำชับน้องชายต่อ
"ครับ"  ไจ่ไจ๋รับคำอย่างว่าง่าย
"พี่กลางก็เหมือนกัน ต้องดูแลตัวเองดีๆ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ต้องโทรมาหาผมทันทีเลยนะ และถ้าผมโทรไปหาก็ต้องรับสายผมอย่างไม่มีข้อแม้ด้วย"  สั่งกำชับพี่ชายกลับไป
"หึๆๆๆ ไอ้ตัวแสบ"  เคนต่อว่าน้องพลางหัวเราะ
"แล้วถึงเวลากลับบ้านต้องกลับนะครับ ห้ามทำโอทีเด็ดขาด!"  สั่งพี่ชายต่อด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้น
"นายจะเลี้ยงพี่หรืองัยฮึ?"  เคนย้อนถามเจ้าน้องชายตัวดี ไจ่ไจ๋ย่นจมูกใส่แต่ไม่ตอบว่าอะไร
"ขืนพี่ไม่ทำล่วงเวลาคงไม่มีเงินเหลือมาซื้อขนมให้นายแหงๆ"  เคนแกล้งแหย่น้องชาย
"ผมไม่เอาก็ได้ พี่กลางไม่ต้องซื้ออะไรมาให้ผมเลย แค่กลับมาเร็วๆก็พอ"  ไจ่ไจ๋พูดกับพี่ชายด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้เคนหัวเราะออกมาได้
"ไม่ต้องซีเรียสซะขนาดนี้หรอก กลัวพี่ไปไม่กลับจริงๆหรอ?"  เคนยังแหย่น้องชายต่อ
"พี่กลาง! ปากเสีย!"  ไจ่ไจ๋เอามือตบปากพี่ชายเบาๆ เพราะไม่ชอบคำพูดที่ได้ยิน
"กลัวแล้วครับ....."  เคนแกล้งทำเสียงอ่อยๆ ไจ่ไจ๋ทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชาย
"ไม่เอาน่า พี่ก็แค่ไปทำงานเหมือนทุกครั้ง อย่าทำให้พี่ต้องห่วงสิ"  เคนว่าแล้วก็ลูบหัวน้องชายอย่างรักใคร่
"พี่กลางนั่นแหละอย่าทำให้ผมต้องห่วง อยู่ตัวคนเดียวก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี จะทำอะไรก็คิดให้รอบคอบซะก่อนนะ"  ไจ่ไจ๋ได้ทีย้อนพี่ชาย
"ครับๆๆๆ คุณน้องชายสุดที่รัก"  เคนว่าแล้วก็หอมแก้มน้องฟอดใหญ่
"ไม่คุยแล้วหละ พี่ต้องไปแล้วเดี๋ยวจะไปไม่ทัน"  เคนว่าพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกา ในตอนนั้นไจ่ไจ๋ก็มีสีหน้าหงอยลง
"ไปเรียกแท๊กซี่ให้พี่หน่อยสิ"  ว่าพลางเอามือตบแก้มน้องเบาๆ ไจ่ไจ๋พยักหน้าแล้วลุกขึ้นแต่โดยดี
"เดี๋ยวพี่ถือลงไปเอง"  เคนว่าเมื่อเห็นน้องทำท่าจะช่วยหิ้วของ ดังนั้นไจ่ไจ๋จึงเดินออกไปก่อน ในตอนนั้นแวนเนสก็เดินสวนเข้ามาพอดี
"จะไปยังงัย?"  แวนเนสถามน้อง
"นั่งแท๊กซี่ไป"  เคนตอบแล้วก้มลงหยิบของทั้งหมด
"ชั้นขับรถไปส่งแล้วกัน"  แวนเนสว่าแล้วเดินเข้ามาช่วยน้องถือ
"ไม่ต้องหรอก ชั้นให้น้องไปเรียกแท๊กซี่ให้แล้ว"  เคนว่าพร้อมกับส่ายหน้า
"เฮ่อ!"  แวนเนสถอนหายใจเบาๆ เคนมองพี่ชายแล้วนิ่งไปเขารู้ดีว่าแวนเนสไม่สบายใจ
"ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากใจ"  เคนพูดออกมาเบาๆ 
"รู้แบบนี้แล้วยังทำอีก"  แวนเนสไม่ปฏิเสธซ้ำยังต่อว่าน้องชายอีกด้วย
"ชั้นอยากลองเห็นแก่ตัวดูบ้าง บางทีอาจทำให้ชั้นรู้สึกดีขึ้น"  เคนบอกกับพี่ชายตามตรงแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้
"เออนี่.....ชั้นฝากคืนให้เจอร์รี่ทีนะ"  เคนว่าแล้วก็เดินไปหยิบสมุดบัญชีเงินฝาก
"ไม่ได้อัพเดทข้อมูลมาตั้งแต่ช่วงที่ลาออกจากบริษัท แต่คิดว่าคงโอนเข้าบัญชีนี้แหละ ใบมอบฉันทะเบิกเงินชั้นเซ็นให้เรียบร้อยแล้ว เสียดายที่ไม่ได้ทำ ATM ไม่งั้นคงง่ายกว่านี้"  เคนว่าพร้อมกัส่งส่งเอกสารทั้งหมดให้พี่ชาย
"ทั้งที่หลักฐานก็อยู่นี่หมด ทำไมนายต้องไปเสี่ยงทำเรื่องแบบนั้นด้วย? รู้หรือเปล่าว่าถ้าอาเหลียนทำอะไรนายขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น?"  แวนเนสรับมาแต่ไม่วายบ่นน้องชายอีก
"อย่างมากก็แค่ตาย แต่หลักฐานก็ยังอยู่นี่"  เคนพูดแล้วยิ้มบางๆก่อนจะตบไหล่พี่ชาย
"เอาน่า! คนอย่างชั้นตายยากอยู่แล้ว ต่อให้อยากตายแค่ไหนมันก็ไม่ได้ดั่งใจซักครั้ง"  พูดจบก็ก้มลงหยิบสัมภาระขึ้นมาอีกครั้ง
"เดี๋ยวจะโดนตบปาก! พูดจาไม่ดีเลย"  แวนเนสเอ็ดน้องชายแต่เดินเข้าไปดึงกระเป๋าจากมือน้อง
"มานี่.....ชั้นถือลงไปให้"  พูดจบก็หิ้วกระเป๋าของน้องชายเอาไว้
"แวนเนส....ขอบคุณมากนะ ยังงัยนายก็ดูแลทุกคนด้วย"  เคนพูดกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"คนเห็นแก่ตัวเขายังมีการห่วงใยคนอื่นอีกหรืองัย?"  แวนเนสย้อนคำน้องพร้อมกับเอามือผลักหัวน้องชายเข้าให้ด้วย
"อยากเห็นแก่ตัวก็ต้องคิดถึงแต่ตัวเอง! เรื่องแบบนี้ยังต้องให้สอนอีก"  แวนเนสบ่นน้องเสร็จก็หิ้วกระเป๋าเดินนำลงไปข้างล่าง เคนยิ้มแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินตามพี่ชายลงไปด้วยอีกคน

- ตอนเย็น -
"นี่หมายความกันว่ายังงัย? ตกลงอาหารฝีมือผมมันแย่มากเลยหรอทุกคนถึงได้แต่นั่งเขี่ยข้าวกันหมด"  แวนเนสอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยปากทำลายความเงียบขึ้นมา ตั้งแต่เคนกลับไปทำงาน ทุกคนก็ดูซึมไปถนัดตา
"เปล่าหรอกลูก แต่แม่ไม่ค่อยหิวน่ะ"  แม่รีบแย้งขึ้นมาก่อนจะยอมตักกินอาหารตรงหน้า คนอื่นๆเห็นดังนั้นจึงทำตามแม่ แต่สีหน้าแต่ละคนก็ยังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย
"เสี้ยวเทียนมันไปทำงานนะไม่ได้ไปรบ ทำหน้ากันอย่างกับว่ามันจะไปตายอย่างนั้นแหละ"  แวนเนสบ่นสมาชิกทุกคนขึ้นมาอีก
"ปากเสียน่ะพี่รอง! พูดอะไรก็ไม่รู้"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็เอ็ดพี่ชายทันที
"อ้าว! ก็มันจริงนี่หว่า....."  แวนเนสเถียงแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ
"ถ้าเสี้ยวเทียนมันรู้ว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจแบบนี้มันเองก็คงเครียดไม่น้อยหรอก"  แล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
"เฮ่อ!"  พ่อถอนหายใจเบาๆแล้วรวบช้อนส้อม
"พ่อกินไม่ลงหละ ขอตัวไปพักผ่อนแล้วกัน"  พูดจบก็ลุกออกจากโต๊ะอาหารไปเงียบๆ
"แม่ไปดูพ่อดีกว่า"  แม่ว่าแล้วก็ลุกตามพ่อออกไปอีกคน คงเหลือแต่สามพี่น้องที่ยังนั่งกันนิ่ง
"พวกนายสองคนหละจะกินข้าวหรือเปล่า?"  แวนเนสถามประชดเมื่อเห็นว่าแม้พี่น้องจะนั่งอยู่ตรงนี้แต่กลับนิ่งเงียบเหมือนไม่มีตัวตน
"ผมไม่ค่อยหิวเลยพี่รอง"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็รวบช้อนส้อมเช่นกัน
"พี่กลางสัญญาว่าถ้าขึ้นเรือแล้วจะโทรมาแต่จนป่านนี้ยังไม่เห็นโทรมาเลย แถมโทรไปก็ติดต่อไม่ได้อีกต่างหาก"  ไจ่ไจ๋พูดอย่างกังวลแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหาพี่ชายคนกลางอีกครั้ง แล้วก็ต้องทำหน้าผิดหวังเช่นเคยเพราะติดต่อไม่ได้ 
"กดให้ตายก็ไม่ติดหรอก"  แวนเนสว่าแล้วก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์มือถือของน้องชายคนกลางออกมา
"อ้าว! ทำไมมาอยู่นี่หละ?"  น้องเล็กถามขึ้นเสียงแหลม เจอร์รี่เองก็ขมวดคิ้ว
"พี่บอกมันเองว่าไม่ต้องเอาไป เพราะอยากให้มันไปทำงานด้วยความสบายใจ"  แวนเนสตอบ
"ทำแบบนี้แล้วถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นน้องจะทำยังงัย?"  เจอร์รี่มีสีหน้าเคร่งเครียด
"น้องไม่เป็นไรหรอกน่า! อีกอย่างใช่ว่าไม่มีมือถือมันจะติดต่อพวกเราไม่ได้นี่"  แวนเนสว่าแล้วก็ถอนหายใจในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ไจ่ไจ๋ก็ดังขึ้น
"สวัสดีครับ"  ไจ่ไจ๋รับสายด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
"ไจ่ไจ๋ พี่เองนะ"  แต่เมื่อได้ยินเสียงฝ่ายตรงข้ามท่าทีเหงาหงอยของน้องเล็กก็ยิ้มร่าทันที
"พี่กลาง! กว่าจะโทรมาได้นะ! ผมรอพี่โทรมาตั้งนานแหนะ"  เมื่อได้ยินน้องเล็กพูดแวนเนสก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขารู้ดีว่ายังงัยซะเคนก็ทำตัวเงียบเฉยกับน้องเล็กไม่ได้
"โทษที พอดีพี่ขึ้นเรือแล้วก็ยุ่งๆกับการจัดข้าวของเนี่ย เดี๋ยวก็ต้องไปเข้าครัวแล้ว"  เคนแก้ตัวก่อนจะพูดแบบติดตลก
"พี่โทรมารายงานตัวแล้ว พอใจหรือยัง?"  ไจ่ไจ๋หัวเราะเบาๆ
"ก็โอเค แต่ถ้าจะให้ดีต้องโทรมารายงานทุกวันนะ"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพี่ชาย
"เปลืองตายเลย พี่หยอดเหรียญนะเนี่ย"  เคนว่าพลางหัวเราะ
"แล้วทำไมทิ้งมือถือไว้นี่หละ? แทนที่จะเอาไปด้วย"  ไจ่ไจ๋บ่น 
"จะได้ไม่มีใครโทรจิกงัยหละ"  เคนตอบกลับมาเป็นเชิงแหย่น้อง
"ฮึ!"  ไจ่ไจ๋ทำเสียงงอนๆ ในตอนนั้นเจอร์รี่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากขึ้นมา
"ไจ่ไจ๋....ขอพี่คุยกับพี่กลางหน่อย"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ทำหน้าแหยๆก่อนจะพยักหน้า
"พี่กลางครับ มีคนอยากคุยด้วย"  พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ให้พี่ชายคนโต
"เสี้ยวเทียน"  เจอร์รี่เรียกน้องชายเบาๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามเงียบไป
"ชั้นรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อยากจะขอโทษนาย"  เจอร์รี่พูดต่อเพราะรู้ว่าน้องฟังอยู่
"เขาทำร้ายนายด้วยใช่มั๊ย?"  ถามน้องชายต่ออีก
"เสี้ยวเทียน....."  เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเงียบเจอร์รี่เองก็ไม่รู้จะทำยังงัย
"ชั้นขอพูดหน่อย"  แวนเนสเห็นดังนั้นจึงดึงโทรศัพท์มาจากพี่ชาย
"เสี้ยวเทียน ชั้นเองนะ"  แวนเนสพูดไปตามสาย
"อืม"  เสียงเคนตอบกลับมาสั้นๆ
"โอเคมั๊ย?"  ถามน้องชายอย่างห่วงใย
"อืม"  เคนตอบรับเหมือนเดิม
"มีอะไรก็โทรมาได้ตลอดนะ นายไปทำงานเถอะ"  เมื่อเห็นว่าน้องชายคนยังคงมีความไม่สบายใจอยู่แวนเนสจึงไม่พยายามชวนคุยอีก
"อืม....ฝากบอกไจ่ไจ๋ว่าพรุ่งนี้จะโทรไปใหม่"  เคนพูดทิ้งท้ายแล้วสายก็ตัดไป แวนเนสจึงส่งโทรศัพท์คืนให้น้องชาย
"พี่กลางบอกว่าพรุ่งนี้จะโทรมาหานายอีก"  พูดกับน้องเล็กเบาๆ ไจ่ไจ๋เพียงแต่พยักหน้ารับรู้แล้วส่งสายตาไปทางพี่ชายคนโตอย่างเป็นห่วง แต่จู่ๆเจอร์รี่ก็ลุกขึ้น
"พี่ใหญ่ครับ กินข้าวกันก่อนดีมั๊ย?"  น้องเล็กเอ่ยชวน 
"นายสองคนกินไปกันก่อนนะ พี่ขอตัวไปคุยกับพ่อแม่หน่อย"  เจอร์รี่พูดจบก็เดินออกไปทันที 
"เฮ่อ! จะทำยังงัยได้เนี่ย?"  แล้วน้องเล็กก็หันมาบ่นกับพี่ชายคนรอง
"กินข้าวงัย"  แวนเนสยักไหล่พร้อมกับพยักเพยิดให้น้องชายกินข้าว

- วันต่อมา -
"จะไปไหนแต่เช้า?"  แม่เอ่ยถามลูกชายคนเล็กที่แต่งตัวหล่อเดินลงบันไดมา
"กะจะออกไปดูหนังกับเพื่อนน่ะครับ"  ไจ่ไจ๋ตอบไปตามตรง ตอนนี้เขาเองก็เบื่อกับบรรยากาศเงียบงันภายในบ้านเลยอยากจะออกไปหาอะไรทำเพื่อคลายเครียดบ้าง
"งั้นหรือจ๊ะ"  แม่เพียงแต่รับคำ ไจ่ไจ๋เห็นดังนั้นก็มานั่งลงข้างแม่
"แม่ครับ อย่าคิดมากเลย"  ไจ่ไจ๋พูดกับแม่ตามตรง
"ตอนนี้พี่กลางเองก็คงกำลังทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอยู่ ผมว่าอีกไม่นานพี่กลางเขาต้องคิดได้แน่ว่าที่พ่อกับแม่ทำไปก็เพราะหวังดีทั้งนั้น"  ไจ่ไจ๋ปลอบโยนมารดา
"ไม่หรอกลูก ความจริงแม่รู้สึกดีมากกว่าที่พี่กลางเขาพูดออกมาตรงๆแบบนั้น"  แม่ว่าแล้วก็มีสีหน้าเศร้าลง อันที่จริงแม่ไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดว่าเคนได้พูดอะไรออกมาบ้าง
"พ่อแม่เองก็เคยเข้าใจมาตลอดว่าที่พี่กลางต่อต้านพ่อกับแม่ก็เพราะความน้อยใจแบบเด็กๆเท่านั้น ทั้งที่ความจริงมันเป็นเรื่องที่กระทบกับจิตใจของพี่กลางมาก"  ไจ่ไจ๋เงยหน้ามองมารดาอย่างสงสาร เขาเองก็รู้ว่าแม่ก็พยายามทุกอย่างเพื่อให้พี่ชายคนกลางพอใจ
"เอ่อ....วันนี้พ่อกับแม่จะไปไหนกันครับ?"  เมื่อเห็นว่าแม่ดูเศร้าๆไจ่ไจ๋เลยเปลี่ยนเรื่องทันที
"วันนี้แม่ก็อยู่บ้านนี่แหละ ส่วนพ่อเขาออกไปจัดการเรื่องที่บริษัท"  แม่ตอบแล้วลูบหัวลูกชายอย่างรักใคร่
"ออกไปกับพี่ใหญ่หรอ?"  ไจ่ไจ๋ถามต่ออีก
"เปล่าจ๊ะ....ออกไปคนเดียว"  แม่ตอบพร้อมกับส่ายหน้า
"อ้าว! แล้วพี่ใหญ่ไปไหนหละ? เมื่อเช้าเข้าไปดูที่ห้องก็ไม่อยู่"  ไจ่ไจ๋นิ่วหน้าอย่างแปลกใจ
"คงไปเที่ยวพักผ่อนแหละ เมื่อวานตอนเย็นพี่เขามาคุยกับพ่อแม่ว่าอยากจะไปเที่ยวพักผ่อนซักระยะ พ่อแม่เห็นว่าพี่เขาก็เครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแล้วเลยเห็นดีด้วย เห็นพี่เขาก็ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วหละ"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ยิ่งคิ้วขมวดมากขึ้นอีก
"ทำไมไม่เห็นบอกผมเลย"  บ่นพึมพำออกมา
"พี่ใหญ่คงกลัวลูกตามไปด้วยมั้ง?"  แม่เอ่ยแซวลูกชาย ไจ่ไจ๋เลยทำหน้ามุ่ย
"ไม่ไปด้วยหรอก ไปด้วยก็เครียดเปล่าๆ คนอะไรทำหน้าขรึมได้ทั้งวัน"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็ถอนหายใจ
"ว่าแต่พี่ใหญ่ไปที่ไหนหรอ?"  ถามต่ออีก เขาเองก็นึกเป็นห่วงพี่ชาย
"ไม่รู้สิ แต่เห็นพี่เขาโทรไปจองตั๋วจองห้องพักอะไรของเขาไว้แล้วหละ"  แม่ตอบ
"คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกนะ"  ไจ่ไจ๋นึกกังวล
"ไม่มีอะไรหรอกลูก"  แม่พูดปลอบแล้วเปลี่ยนเรื่องถามลูกชายต่อ
"เมื่อไหร่จะพาสะใภ้คนเล็กมาเจอแม่บ้างหละ?"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็มีท่าทีเขินๆ
"แม่ก็พูดไปซะนั่น อนาคตยังอีกยาวไกลนะครับ"  แม่ได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็หัวเราะออกมาได้
"ทำไมหละ? ยังไม่แน่ใจกับคนนี้หรอ?"  ถามแหย่ลูกชายต่ออีก
"แน่ใจสิครับ แต่ว่าเขาจะแน่ใจกับผมหรือเปล่าไม่รู้"  ไจ่ไจ๋ว่าด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
"อ้าว....เป็นงั้นไป.....ไหนบอกแม่ซิว่าแฟนลูกเป็นคนยังงัย?"  แม่ถามซักไซร้ลูกชายคนเล็ก
"ก็น่ารักครับ คุยเก่ง เอาใจเก่ง บางทีก็งอแงเหมือนเด็ก แต่บางทีก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าผมซะอีก"  ไจ่ไจ๋พูดด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ
"นัดไปดูหนังกันหรอ?"  แล้วแม่ก็ตามตรงๆ ไจ่ไจ๋อ้าปากค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ
"ไปกับแฟนก็บอกมาตรงๆสิ ทำไมต้องเอาเพื่อนมาอ้างด้วย"  แม่ว่าพร้อมกับบีบจมูกลูกชายคนเบาๆ
"แหม....ก็มีเพื่อนๆไปด้วยหนิ"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็ยิ้มให้แม่
"แม่ไปมั๊ยครับ?"  ชวนแม่พร้อมกับรอยยิ้มเหมือนเด็กๆ
"เจ้าลูกแห่ง จะเอาแม่ไปออกเดทกับแฟนด้วยหรืองัย?"  แม่ว่าพร้อมกับหัวเราะ
"ถ้าแม่ไปผมไม่มีอะไรขัดข้องแน่นอน"  ไจ่ไจ๋พูดจริงจัง ทำเอาแม่รู้สึกขำ
"จ๊ะๆๆๆ แม่รู้ว่าลูกไม่ได้คิดอะไร แต่ลูกไปเถอะ วันนี้แม่อยากอยู่บ้านพักผ่อนซักวัน ดีไม่ดีอาจจะไปที่บริษัทกับพ่อด้วย"  เมื่อได้ยินดังนั้นไจ่ไจ๋ก็ขยับเข้าไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่
"งั้นผมไปนะครับ แล้วจะซื้อขนมอร่อยๆมาฝาก"  แม่ยิ้มแล้วพยักหน้า ดังนั้นไจ่ไจ๋จึงออกจากบ้านไป หลังจากไจ่ไจ๋ออกจากบ้านไปได้ครู่หนึ่งแวนเนสก็วิ่งตึกตักลงมาด้วยหน้าตาตื่น
"แม่ครับ!"  แม่ได้ยินก็ตกใจรีบลุกขึ้นไปจับแขนลูกชายเอาไว้
"แวนเนส เกิดอะไรขึ้น? ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?"  แม่ถามอย่างพลอยตกใจไปด้วย
"เปล่าครับ แต่ว่า....."  แวนเนสว่าพลางหอบแฮ่กๆ
"แต่ว่าอะไร?"  แม่ถามย้ำ
"พี่ใหญ่หนีออกจากบ้าน ผมเข้าไปดูที่ห้องไม่เจอพี่ใหญ่พอเปิดตู้เสื้อผ้าดูก็มีกระเป๋าเดินทางกับเสื้อผ้าส่วนนึงหายไป"  แวนเนสละล่ำละลักบอกแม่
"แม่! พี่ใหญ่ต้องเครียดกับเรื่องของเสี้ยวเทียนมากแน่ๆถึงได้เตลิดแบบนั้น เมื่อวานผมก็เห็นแล้วว่าพี่เขาอารมณ์ไม่ดีแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร ไม่น่าเลย!"  แวนเนสบ่นชุดใหญ่ แม่อ้าปากจะพูดแต่แวนเนสก็ยังร่ายยาวต่ออีก
"ผมโทรไปหาพี่ใหญ่ก็ไม่ยอมรับสาย โทรไปตั้งหลายครั้งแล้ว แบบนี้เราจะไปตามพี่ใหญ่ที่ไหนดี?"  แวนเนสถามพร้อมกับเขย่ามือแม่ไปด้วย 
"แวนเนส....."  แม่ตั้งท่าจะพูดแต่เสียงโทรศัพท์มือถือของแวนเนสก็ดังขึ้นมาก่อน
"โทรมาแล้ว!"  แวนเนสมีท่าทางดีใจแล้วรีบกดรับสายทันที
"เจอร์รี่! นายไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย มีอะไรมาคุยกันก็ได้ หนีออกจากบ้านไปแบบนี้มันไม่มีอะไรดีขึ้นหรอกนะ"  แวนเนสต่อว่าพี่ชายชุดใหญ่ แม่ได้ยินก็อดที่จะขำไม่ได้
"พูดอะไรของนาย? ใครหนีออกจากบ้าน? จะบ้าหรืองัย!"  เสียงพี่ชายต่อว่ากลับมาทำให้แวนเนสมีสีหน้างงๆ ยิ่งหันมาเห็นแม่กำลังหัวเราะอยู่ก็ยิ่งงง
"อ้าว....ก็นาย....."  แวนเนสอ้าปากจะพูดแต่พี่ชายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน  
"ชั้นขอพ่อแม่มาพักร้อนซักระยะนึงก็เท่านั้นเอง"  พอได้ยินเช่นนั้นแวนเนสจึงเข้าใจ เขาทำหน้าเขินๆ
"ไอ้บ้า! แทนที่จะบอกกันก่อน!"  แวนเนสไม่รู้จะทำยังงัยจึงต่อว่าพี่ชายซะอย่างนั้น
"เรานั่นแหละที่ไม่ยอมฟังเลย แม่กำลังจะบอกแต่ลูกก็เอาแต่ร่ายยาวจนไม่เปิดช่องให้แม่พูดเลย"  แม่ว่าพลางหัวเราะขำๆ
"แม่อ่ะ!"  แวนเนสครางพร้อมกับทำหน้ามุ่ยๆยิ่งได้ยินเสียงพี่ชายหัวเราะด้วยอีกคนก็พาลงอน
"ไม่คุยแล้ว แค่นี้แหละ"  พูดจบก็จะกดวางแต่เสียงเจอร์รี่ร้องห้ามไว้ก่อน
"เฮ้ย!! อย่าเพิ่งวาง....."  ดังนั้นแวนเนสจึงเอาโทรศัพท์มาแนบหูตามเดิม
"พี่ใหญ่จะไม่อยู่ช่วงนึง เราอย่าดื้อกับพ่อแม่นะ"  สั่งกำชับน้องชายเอาไว้
"ไปไหนทำไมไม่บอกกันบ้าง?"  แวนเนสไม่รับปากแต่ยังต่อว่าพี่ชายต่ออีก
"เอาน่า.....วันหลังจะพามาด้วย"  เจอร์รี่ปลอบน้องชาย
"เราน่ะช่วยแม่ดูน้องด้วยนะ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรมาหาพี่ใหญ่ทันทีเลยรู้มั๊ย?"  แวนเนสเบ้ปากเล็กน้อย
"กดโทรศัพท์มือจะหงิกไม่เห็นจะรับสายเลย"  ต่อว่าพี่ชายกลับไป
"ขอโทษ พอดีชั้นกินข้าวอยู่แล้วใส่โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเดินทางเลยไม่ได้ยินเสียงน่ะ แต่พอเห็นแล้วก็รีบโทรกลับทันทีเลยนะ"  แวนเนสมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
"แล้วไปไหน? จะกลับเมื่อไหร่?"  ถามพี่ชายต่ออีก
"อืม....เดี๋ยวกลับไปแล้วจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้พี่ใหญ่ต้องขึ้นรถแล้ว"  พูดจบสายก็ตัดไปเฉยๆ
"ไอ้บ้า นึกจะวางก็วาง"  แวนเนสมองโทรศัพท์ก่อนจะบ่นออกมา แล้วก็หันไปทำหน้ามุ่ยใส่แม่ที่ได้แต่อมยิ้ม      

- บนเรือสำราญ -
"เสี้ยวเทียน เลิกงานแล้วใช่มั๊ย?"  หัวหน้าเดินเข้ามาถามเคนที่กำลังถอดผ้ากันเปื้อนอยู่
"เลิกแล้วครับ หัวหน้าจะให้ทำโอทีต่อหรือเปล่า?"  เคนตอบแล้วถามกลับ
"เปล่าหรอก แต่เมื่อกี้เธอทำอาหารที่รับออเดอร์มาจากห้อง A427 หรือเปล่า?"  หัวหน้าถามเคนกลับ
"เอ่อ....ใช่ครับ? มีอะไรหรือครับ?"  เคนตอบแล้วถามต่ออีก
"พอดีลูกค้าอยากพบน่ะ เดี๋ยวแวะไปหาลูกค้าหน่อยนะ"  หัวหน้าบอกแล้วตบไหล่เคนเบาๆ
"อาหารมีปัญหาอะไรหรือครับหัวหน้า?"  เคนเริ่มมีท่าทีวิตกกังวล
"เขาไม่ได้บอกไว้ เพียงแต่บอกว่าอยากพบเชฟที่ทำอาหารเสริฟให้เขา"  หัวหน้าตอบแล้วยิ้มปลอบใจ
"ถ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกชั้นแล้วกัน เดี๋ยวจะไปช่วยเคลียร์ให้"  เคนก้มหัวให้หัวหน้าเล็กน้อยก่อนจะรีบไปล้างมือแล้วเดินไปพบลูกค้าด้วยใจพะว้าพะวง
"ทำไมมีแต่เรื่องวะเนี่ย!"  บ่นกับตัวเองอย่างเซ็งๆแล้วก็มาหยุดยืนอยู่หน้าห้องดังกล่าว เคนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เคาะประตูห้องเบาๆ เสร็จแล้วก็ยืนก้มหน้าอย่างสำรวม ซักพักประตูก็ถูกเปิดออก
"สวัสดีครับ ผมเป็นเชฟที่ทำอาหารให้คุณเมื่อซักครู่ ไม่ทราบว่าอาหารมีปัญหาอะไรหรือครับ?"  เคนพูดอย่างสุภาพโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับไม่ตอบเคนจึงเงยหน้าขึ้นมองแต่แล้วก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
"นาย....."  เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นพี่ชายคนโตเขาก็ทั้งงงทั้งแปลกใจ
"คุณเชฟใหญ่ เข้ามาก่อนสิ"  เจอร์รี่ยิ้มรับ แต่เคนไม่ยอมเข้าไปในห้องพักของพี่ชาย
"นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังงัย?"  เคนถามเสียงห้วน
"ชั้นก็เดินทางมาขึ้นเรือที่ท่า โดยโทรมาจองตั๋วล่วงหน้างัยหละ"  เจอร์รี่ตอบยิ้มๆ เคนตวัดสายตามองพี่ชายด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
"ถ้าไม่มีอะไรชั้นไปหละ"  พูดจบก็ทำท่าจะเดินจากไป
"พนักงานที่นี่ถูกอบรมมาให้เดินหนีลูกค้าหรืองัย?"  คำพูดของพี่ชายทำเอาเคนชะงัก 
"ขอโทษครับ ตกลงว่าอาหารที่สั่งมีปัญหายังงัยครับ?"  เคนถามประชดพี่ชาย
"ถ้าอย่างนั้นผมจะคืนเงินให้คุณแล้วจะให้คูปองทานอาหารเช้าฟรีเป็นการขอโทษ ไม่ทราบว่าแบบนี้คุณจะพอใจหรือไม่?"  ประชดพี่ชายต่ออีก
"ไม่พอใจ"  เจอร์รี่ว่าอย่างคนที่เหนือกว่า
"งั้นจะเอายังงัยก็ว่ามา"  เคนเสียงห้วนลงอีกครั้ง เจอร์รี่ยิ้มเล็กน้อย
"เข้ามาก่อนสิ"  ว่าพร้อมกับชวนให้น้องเข้าไปคุยกันข้างในห้องพัก
"ชั้นเป็นพนักงานเข้าไปในห้องผู้โดยสารไม่ได้"  เคนบอกกับพี่ชายอย่างเซ็งๆ
"แล้วถ้าเข้าไปเพื่อคุยเรื่องอาหารพวกนี้หละ?"  เจอร์รี่ย้อนถาม เคนเริ่มหน้าตึง
"เอาเถอะ ถ้านายโดนต่อว่าชั้นจะออกหน้าให้เอง"  พี่ใหญ่รับรองแล้วดึงตัวน้องเข้ามาจนได้
"เสี้ยวเทียน ชั้นอยากจะ....."  เมื่อเข้ามาอยู่กันตามลำพังแล้วเจอร์รี่ก็เอ่ยปากแต่เคนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
"ขอโทษนะ ถ้าไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องอาหารชั้นต้องขอตัว แบบนี้มันผิดกฎ"  เจอร์รี่มองหน้าน้องชายด้วยสีหน้าเศร้าๆ 
"งั้นนายก็ออกไปเถอะ"  เจอร์รี่ไม่รั้งตัวน้องชายไว้อีก เคนเองก็ลุกขึ้นทันที
"ชั้นจะขอบคุณมากถ้านายจะไม่รบกวนเวลางานของชั้นอีก"  เคนพูดทิ้งท้ายอย่างเฉยเมยแล้วเปิดประตูออกไปอย่างรวดเร็ว เจอร์รี่มองตามหลังน้องชายแล้วถอนหายใจเบาๆ เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็เดินออกจากห้องเพื่อไปเดินเล่นสูดอากาศข้างนอก แต่เดินอยู่ได้พักหนึ่งเขาก็รู้สึกมึนหัวเหมือนจะเมาเรือ
"คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?"  ชายคนที่อยู่แถวนั้นเห็นอาการของเจอร์รี่ก็เดินเข้ามาสอบถาม
"ผมรู้สึกเหมือนจะเมาเรือน่ะครับ"  เจอร์รี่ตอบไปตามตรง 
"เพิ่งเคยมาสินะ"  ชายคนนั้นว่าพร้อมกับยิ้มให้
"มา....ผมจะพาไปห้องพยาบาล"  ว่าแล้วก็เข้าไปช่วยพยุงเจอร์รี่
"ขอบคุณมากนะครับ"  เจอร์รี่พูดเบาๆก่อนจะยอมให้ชายคนนั้นพาไปห้องพยาบาล
"ส่งแค่นี้ก็พอครับ ขอบคุณมากจริงๆ"  เมื่อมาถึงที่หมายเจอร์รี่ก็หันไปขอบคุณอีกครั้ง ชายคนนั้นยิ้มให้แล้วปล่อยให้เจอร์รี่เดินเข้าไปเอง
"ขอโทษครับ คือว่าผม....."  เจอร์รี่เอ่ยปากแต่ก็ต้องหยุดพูดเมื่อพบว่าในห้องนั้นไม่ได้มีแค่พยาบาลคนเดียวแต่กลับมีน้องชายของเขาอยู่ด้วย
"สวัสดีค่ะ เป็นอะไรมาคะ?"  พยาบาลสาวรีบลุกขึ้นมาสอบถามเจอร์รี่
"นายเป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?"  เจอร์รี่กลับไม่ตอบคำถามนั้นแต่หันไปถามน้องชายแทน
"เปล่า"  เคนตอบแล้วมองพี่ชาย
"เป็นอะไรขึ้นมาอีก?"  ถามพี่ชายขึ้นมาบ้าง พยาบาลสาวจึงได้แต่ทำหน้างงๆ
"เหมือนจะเมาเรือ"  เจอร์รี่ตอบน้องชายด้วยท่าทางเบลอๆ
"เอ่อ...."  เมื่อเห็นว่าบุคคลอีกคนหนึ่งกำลังงงๆอยู่เคนจึงไขข้อข้องใจ
"อี้เจวียน นี่พี่ชายผม"  เคนแนะนำ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจอร์รี่ก็เลิกคิ้วล็กน้อยเพราะเขาเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างแล้ว
"เดี๋ยวจัดยาให้นะคะ รบกวนนั่งรอซักครู่"  อี้เจวียนว่าแล้วก็เดินไปหยิบยา ในระหว่างนั้นเจอร์รี่ก็รู้สึกอยากจะอาเจียน
"เฮ้ย! ไปที่ห้องน้ำโน้น!"  เคนเห็นพี่ชายเอามือปิดปากก็ร้องบอกอย่างตกใจ เขารีบดึงพี่ชายไปเข้าห้องน้ำทันที
"เป็นยังงัยบ้าง?"  เคนเอามือลูบหลังให้พี่ชายพร้อมกับถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"โอเค"  เจอร์รี่ตอบเสียงแหบแห้ง แล้วอาเจียนออกมาอีกรอบ
"แบบนี้น่ะหรอที่บอกว่าโอเค? อวดเก่งเหลือเกิน"  ต่อว่าพี่ชายเข้าให้แต่ก็ยังลูบหลังให้พี่ชาย
"เป็นยังงัยบ้างคะ?"  พยาบาลสาวเดินเข้ามาดูอาการเจอร์รี่พร้อมกับสอบถาม
"อาเจียนใหญ่เลยครับ กินยาแก้เมาเรือเข้าไปแล้วต้องรอนานหรือเปล่ากว่าจะออกฤทธิ์?"  เคนตอบแทนพี่ชายเสร็จสรรพ
"ประมาณยี่สิบนาทีค่ะ แต่อาเจียนแล้วน่าจะรู้สึกดีขึ้น"  เธอว่าพร้อมกับมองเจอร์รี่
"ดีขึ้นครับ"  เจอร์รี่ตอบรับแล้วรับเม็ดยาจากหญิงสาวมากิน
"ขอบคุณมากนะครับ"  เอ่ยขอบคุณอีกครั้งแล้วส่งแก้วน้ำคืนให้
"นอนพักที่นี่ซักครู่ดีกว่ามั๊ยคะ?"  อี้เจวียนว่าเมื่อเห็นท่าทางของเจอร์รี่เดินเซๆ 
"ผมกลับไปที่ห้องพักดีกว่าครับ จะได้หลับยาวเลย"  เจอร์รี่แย้งเสียงเหนื่อยๆ
"ก็นอนดูอาการซักหน่อยจะเป็นไรไป? เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาอีกใครจะเห็น"  เคนไม่เห็นด้วยที่พี่ชายจะกลับไปนอนที่ห้องพักคนเดียว
"เสี้ยวเทียน พี่แค่เมาเรือคงไม่ถึงตายหรอก"  เจอร์รี่ว่าแล้วยืนกรานจะกลับไปนอนพักที่ห้อง
"ถ้าตายไปจะสมน้ำหน้าให้!"  เคนกระแทกเสียงแต่ก็เข้าไปโอบไหล่พี่ชาย
"ผมพาเขาไปเอง ขอบคุณมากนะครับ"  เคนบอกกับอี้เจวียนเสร็จก็พาพี่ชายเดินกลับห้องพัก
"อี้เจวียนคนนี้เองหรอ?"  ในระหว่างที่เดินกลับเจอร์รี่ก็ถามน้องยิ้มๆ
"ยังจะพูดมากอีก!"  เคนเอ็ดใส่พี่ชายกลบเกลือนเพราะรู้ว่าพี่ชายต้องซักถามเขาต่อแน่นอน พี่ใหญ่ไม่พูดอะไรเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย
"แล้วรู้ว่าจะเมาเรือทำไมไม่กินยาดักไว้ก่อน มารอให้มีอาการแล้วค่อยกินเดี๋ยวก็ได้อ้วกไม่หยุด!"  เคนบ่นพี่ชายไปจนกระทั่งมาถึงห้องพักในที่สุด
"นอนไปเลยนะไม่ต้องลุกขึ้นมาเดินแล้ว และพรุ่งนี้เช้าก็กินยาเข้าไปอีกด้วย"  เมื่อพยุงพี่ชายมาที่เตียงแล้วเคนก็สั่งกำชับ พี่ใหญ่ยิ้มบางๆกับความห่วงใยของน้องชาย
"ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงพี่"  เจอร์รี่บอกกับน้อง เคนได้ยินก็ตีหน้าขรึม
"ไม่ได้ห่วงแต่มันจำเป็นต่างหาก!"  พูดจบก็ทำท่าจะหมุนตัวออกไป
"ทั้งที่นายดีกับพี่ขนาดนี้แต่พี่ยังสงสัยนายได้ ตอนนี้ต่อให้นายโกรธพี่จนตายพี่ก็จะยอมรับแต่โดยดีเลย"  คำพูดของพี่ชายทำเอาเคนชะงักไป
"ต่อจากนี้ไปนายไม่ต้องนับถือพี่ในฐานะพี่ชายอีกแล้วก็ได้เพราะพี่เองก็ไม่คู่ควร"  เจอร์รี่พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ
"พล่ามอยู่นั่นแหละ หุบปากแล้วนอนซักที!"  เคนอึ้งไปกับคำพูดของพี่ชายแต่ก็ยังทำเสียงแข็งๆ พูดจบก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้พี่ชายได้แต่มองตามอย่างเศร้าใจ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2557    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 14:41:08 น.
Counter : 975 Pageviews.  

Chapter 83

  ตอนที่ 83

"มาแล้วหรอ?"  เคนยิ้มให้น้องชายที่เดินหน้าเครียดตรงเข้ามาหาเขา
"พี่กลาง...."  ไจ่ไจ๋เรียกพี่ชายแล้วตั้งท่าจะสอบถามแต่เคนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
"พี่ล้อเล่นนิดเดียว ถึงกับตกใจขนาดนี้เชียว?"  ใบหน้าของไจ่ไจ๋ยังมีคราบน้ำตาให้เห็น เขาวิ่งออกมาจากบ้านด้วยความกระวนกระวายจนมาพบพี่ชายนั่งอยู่ที่สนามเด็กเล่น
"พี่กลาง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"  ไจ่ไจ๋ถามคาดคั้นพี่ชาย เคนแกล้งทำเป็นร่าเริง
"ก็บอกแล้วงัยว่าพี่ล้อเล่น เนียนมากใช่มั๊ยครั้งนี้?"  เคนยังตีหน้ายิ้มเพราะไม่อยากให้น้องเห็นว่าตอนนี้เขาอ่อนแอมากขนาดไหน น้องเล็กมองพี่ชายแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินมานั่งลงข้างพี่ชาย
"มันไม่สนุกเลยนะครับ"  ไจ่ไจ๋เอ่ยเสียงเครียด ในตอนนั้นพ่อกับเจอร์รี่ก็วิ่งตามออกมาพอเห็นเคนอยู่ตรงนั้นเจอร์รี่ก็ทำท่าจะเข้าไปหาน้องแต่พ่อดึงตัวไว้ก่อน
"เจอร์รี่ ปล่อยน้องเถอะ"  พ่อบอกลูกชายคนโตเบาๆ เจอร์รี่มองหน้าพ่อน้ำตาคลอ
"เมื่อกี้ผมกับน้องทะเลาะกัน"  พ่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับเจอร์รี่เสียงเรียบ
"เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ ตรงนี้ปล่อยให้ไจ่ไจ๋จัดการดีกว่า"  ว่าแล้วพ่อก็พาลูกชายคนโตเดินแยกออกไปอีกทางหนึ่ง
"พี่กลาง บอกผมได้มั๊ยว่าใครทำอะไรพี่"  ไจ่ไจ๋บีบมือพี่ชายแน่นแล้วก็รู้สึกว่ามือพี่ชายค่อนข้างเย็น
"ซีเรียสอะไรเนี่ย? พี่บอกแล้วว่าล้อเล่น"  เคนยังแกล้งทำเป็นร่าเริง
"พี่ไปเที่ยวกับเพื่อนจนเพลิน และนี่มันก็ดึกมากแล้วพี่เลยไม่กล้ากลับเข้าบ้านเพราะกลัวจะโดนพี่ใหญ่เล่นงานพี่เลยต้องเอานายออกมารับพี่เพื่อเป็นกันชนให้งัย"  เคนยังทำหน้ายิ้มแย้ม แต่ไจ่ไจ๋รู้ดีว่าเคนกำลังปกปิดอะไรบางอย่าง
"นายออกมาก็ดีแล้ว ดีมากเลย....."  เคนว่าแต่ไม่กล้าสบตาน้องตรงๆ
"งั้นเรากลับบ้านกัน"  ไจ่ไจ๋ว่าพร้อมกับดึงมือพี่ชายแต่เคนกลับขืนเอาไว้
"คิดอีกทีพี่ยังไม่เข้าบ้านดีกว่าเพราะถ้ากลับไปพร้อมนายพี่จะมีความผิดฐานทำให้นายต้องออกจากบ้านกลางดึกโดยไม่มีเหตุอันควร โดนเล่นงานหนักกว่าเดิมแน่"  ไจ่ไจ๋มองหน้าพี่ชายน้ำตาคลอ ทุกครั้งที่พี่ชายมีปัญหามักจะเอะอะโวยวายหรือไม่ก็เงียบไปเลย แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
"นายกลับไปก่อนดีกว่า แล้วพี่จะหาทางกลับไปเอง"  เคนบอกพร้อมกับปล่อยมือน้องชาย
"ไม่ครับ ถ้าจะกลับเราก็ต้องกลับพร้อมกัน ถ้าพี่กลางไม่กลับผมก็ไม่กลับเหมือนกัน"  ไจ่ไจ๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"เฮ่อ! พี่ว่าจะแกล้งนายให้ตกใจเล่นเท่านั้น นายก็ดันมาเล่นบทซีเรียสเชียว"  เคนว่าแล้วก็ขยับตัวลุกขึ้น
"ไม่คุยด้วยแล้วดีกว่า นายกลับเข้าบ้านไปซะ พี่จะไปต่อพอดีมีนัดกับเพื่อน"  พูดจบเคนก็ทำท่าจะเดินไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงน้องชายร้องไห้
"พี่กลาง.....ผมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับพี่ ไม่ต้องบอกผมก็ได้แต่ขอให้ผมได้อยู่กับพี่ได้มั๊ย?"  เคนก้มหน้าน้ำตาซึมเมื่อได้ยินคำพูดของน้อง
"ผมรับรองว่าผมจะนั่งเงียบๆ จะไม่พูดจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น"  ไจ่ไจ๋พูดจบก็เดินไปยืนตรงหน้าพี่ชาย ร่างของเคนสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลออกมา
"ไจ่ไจ๋....อยู่กับพี่ก่อนนะ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ไปไหน"  เคนดึงร่างน้องชายเข้ามากอด ตอนนี้เขาอยากมีใครซักคนที่สามารถจับต้องได้ ไจ่ไจ๋กอดพี่ชายตอบพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย เขาไม่รู้ว่าพี่ชายเป็นอะไรแต่แน่ใจว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับพี่ชายแน่
"พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว....พี่ไม่อยากอยู่....."  เสียงเคนพูดกลับไปกลับมาซ้ำๆกัน ไจ่ไจ๋ก็ได้แต่กอดพี่ชายแน่นเหมือนต้องการจะแบ่งรับความทุกข์ของพี่ชายมาได้บ้าง

- ที่ร้านกาแฟ -
"ลูกทะเลาะกับน้อง?"  พ่อถามลูกชายที่นั่งน้ำตาซึมอยู่ตรงหน้า เจอร์รี่พยักหน้ารับ
"เล่าให้พ่อฟังได้มั๊ย?"  พ่อถามต่ออีก เจอร์รี่มองหน้าพ่อเล็กน้อย
"ผมผิดเอง"  พูดตำหนิตัวเอง 
"ทุกอย่างกำลังไปได้ดีแล้วเชียว แต่ผมกลับทำให้....."  เจอร์รี่หยุดพูดเมื่อพ่อบีบมือเขาเบาๆ
"บอกพ่อสิลูกว่ามีเรื่องอะไร?"  พ่อพูดย้ำจริงจังแต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน
"ที่บริษัทกำลังมีปัญหาครับ"  เจอร์รี่ตัดสินใจเล่าให้พ่อฟัง
"พ่อรู้แล้ว แวนเนสกับไจ่ไจ๋เล่าให้พ่อฟังแล้ว"  พ่อพูดต่ออย่างไม่แปลกใจ
"เรื่องนี้ลูกอย่ากังวลไปเลย พ่อจะเข้าไปจัดการเอง"  พ่อว่าแล้วตบหลังมือลูกชายคล้ายจะปลอบโยน
"มันไม่ใช่แค่นั้นครับพ่อ"  เมื่อได้ยินเช่นนั้นพ่อก็เลิกคิ้ว เจอร์รี่นิ่งไปเพราะต้องการสงบสติอารมณ์
"ผมรู้ถึงความผิดปกติมาได้สักสองสามวันแล้ว ผมเลยต้องการสืบหาว่าใครเป็นคนทำ"  พ่อฟังลูกชายเล่าอย่างเงียบๆ
"ตอนนี้ผมรู้แล้ว"  คำพูดประโยคถัดมาทำให้พ่อแปลกใจ
"ใครกัน?"  พ่อถามกลับ
"อาเหลียนครับ"  คำตอบนั้นทำให้ผู้เป็นพ่อถอนหายใจ
"อันนี้พ่อก็ได้ยินมาจากน้องแล้ว"  พ่อพูดเบาๆ
"ไม่ครับ เพราะสิ่งที่ผมเสียใจมากกว่านั้นก็คือ อาเหลียนซัดทอดต่อไปว่าเสี้ยวเทียนเป็นคนบงการ"  เจอร์รี่พูดออกมาอย่างลำบาก 
"ไม่จริง! น้องไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่!"  พ่อแย้งเสียงเข้ม
"ผมก็ไม่เชื่อ ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน"  เจอร์รี่ว่าแล้วได้แต่นั่งเอามือกุมขมับ
"ผมเรียกทุกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบสวน ซึ่งทุกคนก็บอกตรงกันว่าน้องมีส่วนรู้เห็น"  พ่อมองหน้าลูกชายอย่างสับสน
"เมื่อกี้ผมเรียกน้องมาถาม แต่ผมก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่เลยทะเลาะกัน"  พูดจบเจอร์รี่ก็ถอนหายใจสีหน้าเคร่งเครียด
"พ่อไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าเสี้ยวเทียนจะทำเรื่องแบบนี้"  พ่อย้ำคำหนักแน่น
"ผมควรจะทำยังงัย?"  เจอร์รี่ถามพ่อต่อด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
"เรื่องที่บริษัทให้เป็นหน้าที่ของพ่อเถอะ"  พ่อว่าแล้วพยักหน้าให้ลูกชาย
"ผมจะเอาเอกสารทุกอย่างที่สืบได้มาให้พ่อดู รวมไปถึงสลิปการโอนเงิน......เข้าบัญชีของน้องด้วย....."  ประโยคหลังเจอร์รี่แทบไม่อยากพูดออกมาเลย
"มีจริงๆหรอลูก?"  พ่อถามย้ำ
"ครับ"  เจอร์รี่พยักหน้าตอบ พ่อมีสีหน้าหนักใจมากขึ้นกว่าเดิม
"มากมั๊ย?"  ถามต่ออีก เจอร์รี่ก็เพียงแต่พยักหน้า  
"ตั้งแต่เมื่อไหร่?"  พ่อถามต่ออีก
"ช่วงที่น้องทำโปรเจคก่อนจะลาออก"  เจอร์รี่ตอบเสียงแผ่ว
"ช่วงนั้นไม่ค่อยผิดสังเกตเพราะยังงัยการทำงานก็ต้องมีการเบิกจ่ายอยู่แล้ว แต่ระยะหลังๆมามีทุกเดือน และมากสุดก็ตอนต้นเดือนที่ผ่านมาหลังจากนั้นมีทุกอาทิตย์"  พ่อมีสีหน้าเครียดมากกว่าเดิม
"ถ้ามันเป็นแบบนั้นน้องจะเอาเงินไปทำอะไร?"  พ่อย้อนถามลูกชาย
"ผมก็ไม่รู้"  เจอร์รี่ส่ายหน้าอย่างจนใจ
"แต่เมื่อกี้ที่ได้คุยกับน้อง แววตาของน้องบอกผมว่าน้องไม่ได้โกหก"  พ่อพยักหน้าตามอย่างว่าง่าย
"แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังงัย? ใครกันที่ใส่ร้ายเสี้ยวเทียนขนาดนี้"  พ่อถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปตบไหล่ลูกชาย
"เรื่องนี้ให้พ่อจัดการเองเถอะ ในเมื่อเขากล้าทำร้ายลูกของพ่อ พ่อก็จะให้ผลตอบแทนเขากลับอย่างสาสม"  พ่อพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียส เจอร์รี่โล่งใจไปได้เล็กน้อยเมื่อได้บอกเล่าความอัดอั้นที่เขามีให้พ่อฟังแล้ว
"พ่อครับ....."  แล้วเจอร์รี่ก็เรียกพ่อเบาๆ
"ว่างัยลูก?"  พ่อเสียงอ่อนลงแล้วฝืนยิ้มให้ลูกชาย
"น้องคงเจ็บช้ำกับผมมากแล้ว ยังงัยพ่อก็ช่วย....."  เจอร์รี่พูดไม่ทันจบพ่อก็พูดแทรกมาก่อน
"กับพ่อก็คงไม่ต่างอะไรกันหรอก"  ได้ยินเช่นนั้นเจอร์รี่ก็ขมวดคิ้ว พ่อกลายเป็นฝ่ายก้มหน้าบ้าง
"ตอนเราไปเที่ยวกันนั้นสนุกมาก แต่ก็เพราะพ่อเองที่ทำพัง"  ยิ่งได้ยินเช่นนี้เจอร์รี่ก็ยิ่งแปลกใจ
"หมายความว่า....."  ถามพ่อต่อ
"พ่อบอกเรื่องบ้านอาเจียงกับน้องแล้ว แต่น้องโกรธ"  เจอร์รี่ฟังแล้วก็นิ่งไป
"น้องคงแค่ไม่พอใจมากกว่ามั้งครับ"  แย้งขึ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
"ไม่หรอกลูก พ่อทำให้น้องเจ็บปวดมามากแล้ว และครั้งนี้ก็เหมือนกัน"  พ่อว่าแล้วก็มีสีหน้าเศร้าลง
"พ่อล้มเหลวกับการเป็นพ่อคน ไม่เคยเข้าใจจิตใจของลูกเลย"  เจอร์รี่ได้ยินก็ตกใจ
"พ่อครับ! ทำไมถึงพูดแบบนี้"  พ่อยิ้มเยาะตัวเองเมื่อได้ยินลูกชายว่า
"ให้พ่อพูดเถอะ อย่างน้อยให้พ่อได้ตำหนิตัวเองบ้างพ่อจะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย"  เจอร์รี่อึ้งไปเพราะไม่รู้ว่าน้องชายพูดอะไรกับพ่อบ้าง
"บางทีการมาชดเชยให้ตอนนี้มันคงสายเกินไปแล้ว เพราะในช่วงเวลาที่น้องต้องการพ่อมากที่สุดพ่อกลับปฎิเสธ"  เจอร์รี่ได้ฟังก็น้ำตาคลอ เขาสงสารทั้งพ่อและน้องชาย
"ความจริงพ่อเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก นึกถึงแต่ฐานะของตัวเองจนมองข้ามความรู้สึกของคนที่ตัวเองรัก"  พ่อพูดเสียงแผ่วลงไปเรื่อยๆ
"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พ่อจะไม่เลือกทางเดินนี้เลย"  จบคำพูดของพ่อก็ถูกแทนที่ด้วยความเงียบ สองพ่อลูกได้แต่นั่งจมกับความคิดของตัวเองต่อไป

- ตอนเช้า -
"ไจ่ไจ๋"  ฝ่ามือเย็นๆของแตะลงที่ใบหน้าพร้อมกับเสียงเรียกแผ่วเบาทำให้ไจ่ไจ๋สะดุ้งตื่น 
"เช้าแล้ว"  เคนส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้น้องชาย ไจ่ไจ๋ยกมือขยี้ตาแล้วกระพริบตาถี่ๆเพื่อให้ชินกับแสง
"ขอโทษนะที่ทำให้นายต้องลำบากแทนที่จะได้นอนสบายๆบนเตียง"  เคนพูดต่ออีก
"พี่กลาง....พี่ไม่เป็นไรแล้วนะ"  ไจ่ไจ๋เอ่ยถามพี่ชายอย่างเป็นห่วง นึกตำหนิตัวเองที่เผลอหลับไปได้
"อืม....พี่ไม่เป็นไรหรอก"  เคนตอบแล้วลูบหัวน้องชายแผ่วเบา
"นายกลับบ้านไปเถอะ ป่านนี้ทุกคนคงเป็นห่วง"  คำพูดนั้นทำให้ไจ่ไจ๋นึกขึ้นมาได้ว่าการที่เขาออกมานั่งอยู่กับพี่ชายจนเช่นขนาดนี้คงทำให้คนทั้งบ้านนั่งไม่ติด
"พี่กลางก็เหมือนกัน"  ไจ่ไจ๋ย้อนแล้วกุมมือพี่ชายอย่างอ่อนโยน
"กลับบ้านกันนะครับ ไม่ต้องกลัวใคร ผมจะปกป้องพี่เอง"  เคนน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งกับคำพูดของน้องชาย
"ขอบใจนะ แต่นายกลับไปก่อนเถอะ พี่ยังมีเรื่องที่ต้องทำ"  ไจ่ไจ๋เงยหน้ามองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจ แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
"พี่ต้องหาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้พี่ต้องทำคนเดียว"  คำพูดของพี่ชายยิ่งทำให้ไจ่ไจ๋สงสัย
"พี่กลางพูดถึงเรื่องอะไรครับ? ใครกล่าวหาพี่กลางงั้นหรอ?"  ไจ่ไจ๋ย้อนถาม แต่เคนกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า
"แล้วพี่จะบอกนายเมื่อพี่ทำสำเร็จแล้วนะ ไจ่ไจ๋....พี่รักนายมาก แล้วก็ขอบใจมากที่นายยังอยู่กับพี่เสมอ"  ไจ่ไจ๋โผเข้ากอดพี่ชาย เขาไม่ชอบเวลาที่พี่ชายพูดจาแปลกๆแบบนี้เลย
"ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ทิ้งนายไปไหนแน่"  เคนพูดปลอบใจด้วยพอจะรู้ว่าน้องคงตื่นตระหนกกับคำพูดของเขา
"พี่กลาง....สัญญานะ....."  ไจ่ไจ๋ย้ำคำ
"พี่สัญญา"  เคนรับคำอย่างไม่ลังเล
"ไป....พี่จะเดินไปส่งที่บ้าน"  ว่าแล้วเคนก็จูงมือน้องจนไปถึงหน้าบ้าน
"เข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิครับ"  ไจ่ไจ๋พูดเกลี้ยกล่อมพี่ชายแต่เคนยังยืนกรานหนักแน่นว่าจะไปทำธุระให้เสร็จก่อน
"บอกได้มั๊ยว่าพี่จะไปไหน?"  ไจ่ไจ๋ถามต่อแต่เคนก็ยังส่ายหน้าอยู่ดี
"เข้าบ้านเถอะ"  เคนว่าแล้วก็ดุนหลังน้องชายให้เดินเข้าบ้าน เขายืนมองจนแน่ใจว่าน้องเดินเข้าบ้านไปแล้วจริงๆจึงหันหลังกลับแล้วเดินจากไปเงียบๆ
"ไจ่ไจ๋!!!"  ทันทีที่ไจ่ไจ๋ก้าวขาเข้าบ้านเสียงร้องเรียกของทุกคนก็ดังประสานกันขึ้นมา
"พี่กลางหละลูก? พี่กลางไม่ได้กลับมาด้วยหรอ?"  แม่ละล่ำละลักถามลูกชายคนเล็ก
"พี่กลางเดินมาส่งแต่เขาไปแล้ว"  ไจ่ไจ๋ตอบแล้วมองสีหน้าเคร่งเครียดของสมาชิกทุกคน
"เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพี่กลางก็ทำท่าทางแปลกๆแล้วทุกคนก็มีท่าทางไม่ต่างจากพี่กลางเลย"  ไจ่ไจ๋อยากรู้ความจริงทั้งหมด
"เรื่องนี้นายอย่าเพิ่งรู้เลย แล้วตกลงตอนนี้พี่กลางอยู่ที่ไหนกันแน่?"  เจอร์รี่ถามน้องต่ออย่างร้อนรน
"ผมไม่รู้ พี่กลางบอกจะไปทำธุระ"  ไจ่ไจ๋เองก็สับสน
"ธุระอะไร?"  ถามน้องต่ออีก
"ผมก็ไม่รู้พี่กลางไม่บอกอะไรผมเลย แต่....."  แล้วไจ่ไจ๋ก็คิดถึงคำพูดของเคนขึ้นมา
"ว่ายังงัยหละ?"  พ่อถามแทรกขึ้นมาบ้าง
"พี่กลางบอกว่าจะไปหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่กลางไปทำอะไรมา"  จบคำพูดนั้นพ่อกับเจอร์รี่ก็มองหน้ากัน
"เสี้ยวเทียน! ทำไมถึงได้โง่แบบนี้!"  เจอร์รี่ว่าแล้วก็รีบคว้ากุญแจรถแล้ววิ่งออกจากบ้านไปทันที
"เจอร์รี่! รอพ่อด้วย!"  พ่อร้องบอกแล้ววิ่งตามไปด้วยอีกคน ปล่อยให้ไจ่ไจ๋ได้แต่ยืนงง
"แม่....พี่รอง.....บอกผมได้มั๊ยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?"  ไจ่ไจ๋หันมาคาดคั้นเอากับแม่และพี่ชายคนรอง 
"นายมานี่สิ พี่จะเล่าให้นายฟัง"  เมื่อเงียบกันไปครู่หนึ่งแวนเนสจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้น้องฟัง

- ที่บ้านอาเหลียน -
"ติ๊งต่องๆๆๆๆ!!!!!"  เสียงกริ่งถูกกดรัวอย่างไร้มารยาท เพียงครู่เดียวบานประตูก็ถูกเปิดออก
"ชั้นนึกแล้วว่าต้องเป็นเธอ"  เจ้าของบ้านยิ้มเย็นชาในขณะที่เปิดประตูต้อนรับ
"เข้ามาสิ บ้านชั้นรกไปหน่อยคงไม่รังเกียจนะ"  เคนข่มอารมณ์โกรธไว้แล้วเดินตามเข้าไป
"อาทำแบบนี้ทำไม?"  เคนเอ่ยถามทันทีที่ประตูปิดลง
"ใจเย็นสิ เธอไม่คิดจะพักดื่มน้ำหน่อยหรอ?"  พูดด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เอาหละ.....เสี้ยวเทียน.....เธอเป็นคนฉลาดทำไมเหตุผลง่ายๆเธอถึงเดาไม่ออกหละ?"  อาเหลียนถามกลับมา
"ที่ผมเดาไม่ออกเพราะไม่คิดว่าอาจะทำชั่วได้ถึงขนาดนี้"  เคนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"เสียแรงที่ครอบครัวผมไว้ใจอามาก แต่อากลับมาทำร้ายเราแบบนี้"  อาเหลียนเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย
"ไว้ใจงั้นหรอ?"  ทวนคำแล้วตวัดสายตามองหน้าเคน
"ชั้นจะบอกให้นะว่าทำไมชั้นถึงเลือกเธอ"  พูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
"เพราะชั้นรู้ว่าเธอน่ะเป็นคนที่ในครอบครัวไม่เคยต้องการงัยหละ"  ได้ยินเช่นนั้นเคนถึงกับสะอึก
"พ่อเธอกลัวบริษัทล้มเลยต้องยกเธอให้คนอื่นเพื่อแลกกับกิจการ แค่นี้เธอมองไม่ออกหรอว่าระหว่างเงินกับลูกชายอย่างเธออะไรมันสำคัญมากกว่ากัน?"  เคนกำหมัดแน่นเมื่อถูกกระตุ้นอารมณ์ด้วยคำพูดที่เสียดแทงใจ
"เธอคงสงสัยว่าชั้นรู้เรื่องนี้ได้ยังงัย"  อาเหลียนว่าพลางมองหน้าเคนไปด้วย
"เพราะชั้นเป็นเพื่อนพ่อของเธอและยังเป็นเพื่อนอาเจียงของเธอด้วย"  เคนอึ้งไปเมื่อได้ยิน แม้เขาจะรู้ว่าอาเหลียนเป็นคนเก่าแก่ของบริษัทแต่ก็ไม่เคยรู้ว่าเคยเป็นเพื่อนกับพ่อมาก่อน
"เมื่อก่อนเราสามคนสนิทกันมาก แต่หลังจากที่ชั้นกับอาเจียงของเธอแยกตัวออกมาทำธุรกิจกันเองพ่อเธอกลับมองเราเป็นศัตรู"  เคนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
"แน่นอนว่าชั้นทำธุรกิจกับอาเจียงของเธอมาตั้งแต่แรก แต่เขากลับเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้เธอแล้วยังยกบริษัทที่มันสมควรจะเป็นของชั้นครึ่งหนึ่งไปให้กับพ่อของเธอคนบริหารต่อเพียงคนเดียว"  อาเหลียนเริ่มมีอารมณ์เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ 
"ชั้นทนทุกข์ยากลำบากมากับเขาแต่เขากลับไม่เห็นหัวชั้นเลย! ถึงพ่อเธอจะยอมให้ชั้นทำงานอยู่ในตำแหน่งเดิมแต่ชีวิตการงานของชั้นก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นกว่าแต่ก่อนเลยซักนิด!"  อาเหลียนตะคอกใส่
"ในขณะที่พวกเธอมีบ้านหลังใหญ่ มีรถหรูๆขับ มีอาหารดีๆกิน ชั้นกลับไม่มีอะไรเลยแม้แต่ลูกสาวที่ป่วยชั้นยังไม่มีปัญญารักษาชีวิตเธอไว้ได้!"  เคนยืนมองคนตรงหน้าระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่งด้วยท่าทีที่สงบลง
"ลูกสาวชั้นตาย เมียชั้นหนีไปพร้อมกับทิ้งความทุกข์ใจให้ชั้นอย่างแสนสาหัส"  อาเหลียนพูดอย่างโกรธแค้น
"ชั้นทำกำไรให้บริษัทไม่รู้เดือนละเท่าไหร่แต่ชีวิตชั้นกลับไม่เหลืออะไรเลย เธอลองบอกชั้นซิว่าชั้นจะทนทำต่อไปทำไมกัน?"  เคนเปลี่ยนสายตาไปมองที่หน้าต่างเขายอมรับว่าเรื่องราวที่ได้ยินมานั้นมันไม่ยุติธรรมเลย
"ชั้นถึงอยากจะให้ครอบครัวเธอรับรู้ความเจ็บปวดของชั้นบ้างงัย แล้วเป็นยังงัย? พวกเขาเชื่อเธอมั๊ย?"  ประโยคสุดท้ายพูดเหมือนจะเยาะเย้ยเพราะดูจากสีหน้าท่าทางของเคนแล้วคงมีปัญหาไม่น้อย
"ลูกชายคนที่เขาสร้างปมด้อยไว้ให้การกลับเป็นคนลงมือยักยอกเงินบริษัท แบบนี้คงอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสินะ"  พูดจี้ใจดำเคนเข้าให้อีก
"ถ้าอาคิดจะทำลายครอบครัวผม ผมบอกได้เลยว่าไม่สำเร็จ"  เคนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"งั้นหรอ? หลักฐานทุกอย่างผูกมัดตัวเธอแน่น ทั้งพยานบุคคลชั้นก็มี เธอจะแก้ตัวว่ายังงัย?"  อาเหลียนพูดเหมือนเยาะเย้ย
"เงินอาจจะซื้อคนบางคนได้ แต่ซื้อความไว้ใจไม่ได้หรอกครับ"  เคนพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ  
"แน่นอนว่าผมไม่มีข้อแก้ตัว"  เคนว่าแล้วเดินเข้าไปใกล้อาเหลียน
"แต่ผมอยากจะบอกอาอย่างนึง ที่ชีวิตอาล้มเหลวแบบนี้มันเป็นเพราะตัวของอาเองทั้งนั้น"  อาเหลียนได้ยินก็โกรธปราดเข้ามากระชากคอเสื้อเคน แต่แล้วก็ชะงักไป
"เสี้ยวเทียน.....ชั้นเคยชื่นชมเธอ....."  แล้วอาเหลียนก็เสียงอ่อนลงมือค่อยคลายออกจากคอเสื้อของเคน
"ความจริงชั้นเตรียมการทุกอย่างมานานแล้ว และทุกอย่างก็ดำเนินมาตามแผนอย่างดี"  เคนถอยตัวออกห่างจากอาเหลียนอย่างระแวดระวัง
"แต่มาผิดแผนในตอนสุดท้าย เพราะเธอรู้เร็วไปหน่อย"  เคนเม้มปากแน่น เขาไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้อีกแล้ว
"ชั้นกะว่าจะทำอีกครั้งเดียวแล้วลาออก ถึงตอนนั้นพ่อเธอคงไม่เอาคนอย่างเธอไว้"  ยิ่งได้ยินเคนยิ่มรู้สึกรังเกียจชายคนนี้มากขึ้น
"คนไร้หนทางอย่างเธอถ้าต้องถูกทิ้งเป็นครั้งที่สองคงทำใจได้ยากนะ แต่ชั้นก็ยินดีจะรับเธอเป็นลูกชายชั้นแทน"  เคนได้ยินก็ถอยหลังหนี
"ตลอดเวลาที่ผ่านมาชั้นดีกับเธอมั๊ย?"  อาเหลียนถามพร้อมกับเดินต้อนเคนอย่างช้าๆ
"ตอนที่เธอมาฝึกงานกับชั้น ชั้นเคยดุเคยตีเธอเหมือนอย่างที่พี่ชายเธอทำกับเธอหรือเปล่า?"  เคนเริ่มหวาดหวั่นกับคนตรงหน้าเพราะเขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้อารมณ์ของอาเหลียนเป็นอย่างไร
"เวลาที่เธอไม่เข้าใจงานแล้วไม่กล้าถามพี่ชายเพราะกลัวถูกดุก็เป็นชั้นไม่ใช่หรอที่คอยช่วยเหลือเธอ เวลาที่เธอโดนพี่ชายว่าหรือทำโทษก็เป็นชั้นไม่ใช่หรอที่คอยห้ามปราม"  อาเหลียนว่าพร้อมกับหยุดยืนห่างจากเคนเพียงไม่กี่เมตร
"ทำไมเธอถึงไม่แสดงความกตัญญูกับชั้นเหมือนอย่างที่เธอไม่เคยลืมอาเจียงบ้างหละ?"  คำพูดประโยคนั้นทำให้เคนโมโห
"อย่าเอาอาเจียงมาเปรียบเทียบกับคนอย่างคุณ!"  เคนตะคอกใส่หน้าผู้อาวุโสกว่า
"เพี๊ยะ!"  ฝ่ามือใหญ่ตวัดลงที่แก้มของเคนเต็มแรงทันทีที่จบประโยคนั้น จากนั้นเขาก็ถูกผลักอย่างแรงจนหลังกระแทกกับกำแพง
"ในเมื่อเรื่องราวมันกลับกลายเป็นแบบนี้ เราคงญาติดีกันต่อไปไม่ได้"  อาเหลียนว่าพร้อมกับยิ้มที่มุมปากในขณะที่มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อเคนไว้
"จะทำอะไร?"  เคนเองก็ตกใจที่ถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว อาเหลียนในตอนนี้มีแรงมากกว่าที่เขาคิดไว้หลายเท่า 
"สั่งสอนเด็กหัวรั้นอย่างเธอให้เข็ดหลาบงัย!"  ว่าพร้อมกับกระชากตัวเคนขึ้นมาแล้วผลักให้ล้มลงไปที่พื้น ในตอนนั้นเองสิ่งที่เคนพกพามาด้วยหวังว่าจะเก็บสิ่งที่ได้พูดคุยกันไว้เป็นหลักฐานเพื่อยืนยันว่าเขาไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆในการยักยอกเงินในบริษัทก็กระเด็นตกลงที่พื้นด้วย อาเหลียนมองไปที่เครื่องบันทึกเสียงนั้น เคนเองก็ตกใจที่จะถูกจับได้จึงใช้ช่วงที่อาเหลียนกำลังเผลอลุกขึ้นไปผลักอาเหลียนอย่างแรง
"โอ้ย!!"  เสียงร้องอย่างตกใจระคนเจ็บปวดดังขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่ที่ล้มกลิ้งลงที่พื้น เคนรีบวิ่งไปหยิบเครื่องบันทึกเสียงขึ้นมาแล้วไม่รอช้าที่จะวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนั้นทันที

- ที่บริษัท -
"อาเหลียนไปไหน?"  เจอร์รี่ถามหาอาเหลียนจากพนักงานคนอื่นๆ เขานึกว่าน้องชายจะมาพบอาเหลียนที่นี่แต่กลับผิดคาด
"ตั้งแต่เช้ายังไม่เห็นเลยครับ"  คำตอบนั้นทำให้เจอร์รี่เริ่มร้อนรน
"แล้วเสี้ยวเทียนมีเข้ามาหรือเปล่า?"  ถามถึงน้องชายอีกคน
"ไม่มีนะครับ"  ตอบด้วยสีหน้างงๆ  
"แล้วอาเหลียนโทรมาลาหรือเปล่า?"  ถามต่ออีก
"เปล่าครับ แต่ว่าเมื่อวาน....."  พนักงานคนนั้นทำท่าลังเล
"มีอะไรก็รีบพูดมาสิ!"  เจอร์รี่เสียงเข้มขึ้นตามลำดับ ทำให้พนักงานคนนั้นเกิดความกลัวเพราะปกติแล้วเจอร์รี่ไม่เคยดุพนักงานคนไหนเลย
"เจอร์รี่....พ่อเอง....."  พ่อที่เดินตามมาเห็นว่าลูกชายระงับอารมณ์ไม่ได้จึงเดินไปตบไหล่เบาๆ 
"ตกลงว่ามีเรื่องอะไร บอกกับชั้นมาให้หมดเถอะ"  แล้วพ่อก็หันไปคุยกับพนักงานคนนั้นแทน
"คือว่าเมื่อวานหัวหน้าเหลียนให้ผมพิมพ์ใบลาออกไว้ครับ บอกว่าวันนี้จะเข้ามาเก็บของ"  พ่อได้ยินก็มีสีหน้าครุ่นคิด
"เรื่องลาออกนี่คุณรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า? เขาได้บอกคุณไว้ก่อนมั๊ย?"  ถามซักไซร้ต่ออีก
"ไม่ได้บอกเลยครับ เมื่อวานที่หัวหน้าบอกให้ผมพิมพ์ใบลาออกให้ยังนึกว่าเขาล้อเล่นเลย"  พนักงานคนนั้นตอบเสียงแผ่ว
"เอาหละ.....ขอบใจมาก ถ้าเขาติดต่อมาบอกว่าชั้นกำลังหาเขาอยู่แล้วกัน......"  พ่อว่าแล้วยิ้มให้พนักงานคนนั้น
"ส่วนเรื่องที่ลูกชายชั้นพูดกับเธอไม่ค่อยดีชั้นก็ขอโทษแทนลูกด้วยแล้วกัน แล้วจะตักเตือนเขาให้"  ได้ยินเช่นนั้นพนักงานคนนั้นก็รีบก้มหัวให้ทันที
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมผิดเองที่พูดจาอ้ำอึ้ง"  รีบปฏิเสธทันที เจอร์รี่เองก็ค่อยรู้ตัวจึงเอ่ยปากขอโทษออกมาเอง
"ผมขอโทษครับ พอดีผมอารมณ์ไม่ดีเลยเผลอมาใส่อารมณ์กับคุณอีก ขอโทษนะครับ"  พูดจบก้มหัวให้เล็กน้อย
"อย่าทำแบบนี้สิครับผู้จัดการ ผมไม่กล้ารับหรอก"  พนักงานคนนั้นพูดอย่างเกรงใจ เขาเองก็รู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
"เอาเถอะ....ไม่ถือโทษโกรธเคืองอะไรก็ดีแล้ว เธอไปทำงานต่อเถอะ"  แล้วพ่อก็เป็นคนพูดตัดบท พนักงานคนดังกล่าวจึงเอ่ยลาแล้วกลับไปทันที
"เฮ่อ! ผมนี่แย่จัง!"  ทันทีที่อยู่กับพ่อเพียงลำพังเจอร์รี่ก็ตำหนิตัวเอง
"ใจเย็นๆแล้วค่อยๆคิดสิลูก ยิ่งใจร้อนทำอะไรก็ยิ่งดูติดขัดไปหมด"  พ่อเอ่ยเตือนลูกชายเรียบๆ
"ผมมั่นใจว่าน้องต้องมาหาอาเหลียนแน่ แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้งั้นน้อง....."  เจอร์รี่คล้ายจะบ่นแต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
"พ่อครับ! เป็นไปได้หรือเปล่าว่าน้องจะไปหาอาเหลียนที่บ้าน?"  พ่อได้ยินดังนั้นก็มีท่าทางตกใจไม่แพ้กัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขากลัวว่าลูกชายจะได้รับอันตราย
"เป็นไปได้.....งั้นเรา......"  พ่อตั้งใจจะชวนลูกชายไปที่บ้านอาเหลียนแต่ประตูห้องก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
"เสี้ยวเทียน!!!"  พ่อและเจอร์รี่เรียกชื่อเคนพร้อมกัน
"นายหายไปไหนมา? รู้หรือเปล่า......นี่หน้าไปโดนอะไรมา?......"  เจอร์รี่เดินเข้ามาหาน้องชายแต่เมื่อมองหน้าตาและสภาพของน้องชายชัดเจนแล้วก็เปลี่ยนคำถามทันที เคนเบือนหน้าหลบมือพี่ชายที่เอื้อมมาจะแตะ เจอร์รี่จึงชะงักไป
"เสี้ยวเทียน.....เกิดอะไรขึ้นหรอลูก?"  พ่อถามลูกชายขึ้นมาบ้าง เคนไม่ตอบแต่หยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาแล้วเดินไปวางที่โต๊ะทำงานของพี่ชาย
"ลูกไปบ้านอาเหลียนมาใช่มั๊ย?"  พ่อเดินมาขวางตรงหน้าลูกชายพร้อมกับตั้งคำถาม เคนเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ
"ทำไมถึงโง่แบบนี้! ลูกรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป ถ้าเกิดเขาทำร้ายลูกขึ้นมา......"  พ่อต่อว่าลูกชายออกมาแต่เคนกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
"ผมเคยพบกับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตมาแล้ว ต่อให้ตอนนี้ถูกใครทำร้ายอีกผมก็ทนได้"  ทั้งน้ำเสียงและท่าทางเย็นชานั้นทำให้พ่อถึงกับสะอึก
"เสี้ยวเทียน! นายพูดอะไรออกมา! นี่พ่อนะ!"  เจอร์รี่บีบแขนน้องชายพร้อมกับต่อว่าไปด้วย เคนเปลี่ยนสายตามาทางพี่ชาย
"หลักฐานที่ชั้นมีอยู่ในนั้นทั้งหมด จะเชื่อหรือเปล่าก็สุดแล้วแต่นาย"  พูดจบก็ดึงมือพี่ชายออกแล้วหันไปทางพ่ออีกครั้ง
"ผมไปหละครับ"  พูดจบก็ก้มหัวให้พ่อเล็กน้อย
"เสี้ยวเทียน ลูกจะไปไหน?"  พ่อดึงแขนลูกชายไว้แล้วถามด้วยสีหน้ากังวล
"ผมจะกลับไปทำงานครับ ว่าจะไปเก็บของที่บ้านเสร็จแล้วคงไปเลย"  เคนตอบสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย
"ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปทำงานไม่ใช่หรอ? นี่ยังไม่ครบเดือนเลยนะเสี้ยวเทียน"  เจอร์รี่แย้งขึ้นมา
"ชั้นโทรบอกหัวหน้าแล้ว เขาบอกว่าไม่ขัดข้อง"  เคนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
"พ่อไปส่งนะ"  เมื่อเป็นอย่างนั้นพ่อก็ไม่อยากจะแย้งจึงเสนอตัวจะพาไปส่ง
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ขึ้นเรือที่เดิม ต้องไปขึ้นที่อื่นเพราะเรือจะจอดรับนักท่องเที่ยว"  เคนปฏิเสธแล้วเอ่ยลาอีกครั้ง
"ผมไปนะครับ"  พูดจบก็หมุนตัวออกไปทันที ทิ้งให้พ่อและพี่ชายได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างหนักใจ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2557    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 14:40:53 น.
Counter : 922 Pageviews.  

Chapter 82

  ตอนที่ 82

"เสี้ยวเทียน ลูกจะนอนหรือยัง?"  หลังจากที่เคนเดินมาเปิดประตูหลังจากได้ยินเสียงเคาะ พ่อก็เป็นคนเอ่ยถาม
"ยังหรอกครับ พ่อแม่เข้ามาก่อนสิ"  เคนตอบแล้วหลบตัวให้พ่อกับแม่เดินเข้ามาในห้องพักของเขา
"คุยโทรศัพท์กับน้องอยู่หรอ?"  แม่ถามลูกชายพร้อมกับมองไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียง
"อ้อ! คุยเสร็จตั้งนานแล้วหละครับ พอดีนอนไม่ค่อยหลับเลยนั่งเล่นเกมส์ในมือถือต่อ"  เคนตอบแล้วมองพ่อกับแม่สลับกันไปมา
"พ่อกับแม่จะมาชวนผมไปเที่ยวไหนอีกหรือเปล่า?"  ถามกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ทำให้บุพการีทั้งสองคนได้แต่ส่ายหน้ากับความทะเล้นของลูกชาย
"คืนนี้ไม่ออกไปเที่ยวไหนซักคืนนะลูก พ่อกับแม่มีเรื่องอยากคุยกับลูกซักหน่อย"  พ่อตอบแล้วนั่งลงข้างลูกชาย เคนได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
"เรื่องอะไรครับ?"  ย้อนถามกลับไป
"เอ่อ...."  พ่อกับแม่มองหน้ากันอย่างไม่รู้จะเริ่มต้นยังงัย เคนเห็นท่าทีลำบากใจของผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทน
"มีอะไรก็พูดมาเถอะครับ เห็นพ่อแม่ลำบากใจแบบนี้ผมรู้สึกบาปจัง"  เมื่อได้ยินลูกชายว่าเช่นนั้นแม่เลยตัดสินใจพูดกับลูกชาย
"เรื่องบ้านของอาเจียงน่ะลูก"  เคนได้ยินก็อึ้งไปแป๊บนึง ก่อนจะปั้นยิ้มแล้วย้อนถาม
"บ้านอาเจียงก็ขายได้แล้วนี่ครับ อ้อ! เขาจะให้ผมไปโอนใช่มั๊ย? งั้นพ่อกับแม่นัดให้....."  เคนยังพูดไม่ทันจบพ่อก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกลูก"  คำแย้งของพ่อทำให้เคนเงียบไป
"หมายความว่าเขาไม่เอาแล้ว?"  เคนถามต่ออีก ซึ่งทั้งพ่อและแม่ก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
"เสี้ยวเทียน พ่อรู้ว่าลูกมีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นมากมาย เพราะฉะนั้นพ่อถึงไม่อยากให้มันตกเป็นของคนอื่น"  พ่อบอกกับลูกชายตรงๆ
"พ่อครับ ผมตัดใจได้แล้ว"  เคนพูดย้ำกับพ่อ
"ไม่ได้หรอกลูก พ่อลูกว่าลูกทำไม่ได้"  พ่อพูดด้วยท่าทีจริงจัง เคนก้มหน้านิ่งไม่ตอบว่าอะไร
"เงินค่าบ้านที่ลูกประกาศขาย อันนี้โอนเข้าบัญชีลูกทั้งหมดแล้ว"  พ่อว่าพร้อมกับยื่นสมุดบัญชีคืนให้ แต่เคนกลับนั่งนิ่งไม่รับมันมา
"เสี้ยวเทียนจ๊ะ"  เมื่อแม่เห็นว่าลูกชายเอาแต่เงียบก็โอบไหล่ลูกชายอย่างอ่อนโยนแล้วก็ได้รู้ว่าเคนกำลังนั่งร้องไห้
"ไม่เป็นไร เรื่องนี้เราค่อยคุยกันวันหลังก็ได้"  เมื่อเห็นว่าลูกชายยังทำใจไม่ได้พ่อก็พูดตัดบท แต่เคนกลับส่ายหน้า
"พูดมาเถอะครับพ่อ ผมไม่เป็นไร"  เงยหน้ามาปฏิเสธทั้งน้ำตา
"ลูกน่ะดื้ออย่างที่พี่ใหญ่เขาว่าจริงๆนั่นแหละ"  พ่อทำเสียงดุลูกชายแต่แววตากลับอ่อนโยน
"ร้องไห้ซะขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรอ?"  เคนก้มหน้าลงดังเดิมโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
"พ่อ"  แม่ปรามไม่ให้พ่อดุลูกชาย 
"เอาเถอะๆ ไหนๆวันนี้พ่อกับแม่ก็ตั้งใจที่จะพูดกับลูกอยู่แล้ว"  พ่อว่าแล้วนั่งลงตามเดิม
"ลูกอยากรู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนซื้อบ้านหลังนั้น?"  พ่อตั้งคำถามกับลูกชาย เคนยกมือเช็ดหน้าตาพร้อมกับส่ายหน้า
"ทำไมถึงไม่อยากรู้หละจ๊ะ?"  แม่ถามเหตุผล
"ในเมื่อมันไม่ใช่ของผมแล้วมันจะตกเป็นของใครก็ไม่สำคัญหรอก"  เคนตอบโดยที่ยังไม่หยุดร้องไห้
"แล้วถ้าพ่อจะบอกว่าจนถึงวันนี้มันก็ยังเป็นของลูกอยู่หละ?"  พ่อย้อนถามลูกชาย ทำให้เคนนิ่งไปครู่หนึ่ง
"พ่อครับ มันไม่ใช่ของผมอีกแล้ว มันไม่ใช่ของผมตั้งแต่วันที่อาเจียงจากไปนั่นแหละ"  คำพูดประโยคนี้ทำให้พ่อกับแม่กลายเป็นฝ่ายอึ้งไปบ้าง
"บ้านนั้นเมื่อไม่มีอาเจียงอยู่ด้วยมันก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว"  แม่ถึงกับน้ำตาซึมกับคำพูดของลูกชาย
"เสี้ยวเทียน....."  แม่ลูบหลังให้ลูกชายอย่างแผ่วเบา
"ขอให้พ่อกับแม่ได้บอกกับลูกก่อนแล้วลูกจะตัดสินใจยังงัยเราก็เคารพการตัดสินใจของลูกทุกประการ"  เคนไม่ตอบว่าอะไรเพียงแต่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วเงยหน้ามองบุพการีทั้งสองคน
"คนที่ซื้อบ้านอาเจียงขึ้นมาคือพ่อกับแม่เอง"  พ่อเฉลย เคนได้ฟังก็นิ่งไปก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
"พ่อแม่ทำแบบนั้นทำไม?"  แม่หันไปสบตากับพ่ออย่างหนักใจ พ่อจึงเป็นคนตอบคำถามนั้น
"เพราะพ่อกับแม่ทนไม่ได้ที่จะต้องทนเห็นลูกสูญเสียสิ่งที่รักไป"  พ่อว่าแล้วโอบไหล่ลูกชาย
"ผมบอกแล้วว่ามันไม่มีความหมายอีกแล้ว"  เคนย้ำคำ
"อย่าโกหกพ่อ เสี้ยวเทียน.....พ่อจะไม่ตำหนิลูกเลยหากว่าลูกรักอาเจียงมากกว่าพ่อ เพราะมันก็สมควร....."  พ่อพูดด้วยสีหน้าสลดลง
"ทำไมพ่อถึงชอบบอกว่าพ่อเข้าใจผมทั้งที่ความจริงพ่อไม่ได้เข้าใจเลย!"  เมื่อพ่อพูดกระทบความรู้สึกเก่าๆเคนก็เริ่มทนไม่ได้
"เสี้ยวเทียน"  แม่ร้องปรามลูกชายอย่างตกใจ
"พ่อแม่รู้ได้ยังงัยว่าผมรักบ้านหลังนั้น? พ่อแม่รู้ได้ยังงัยว่าผมไม่อยากสูญเสียมันไป?"  เคนย้อนถามอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ สร้างความตกใจให้กับพ่อแม่ไม่น้อย
"พ่อกับแม่รู้หรือเปล่าว่าที่บ้านหลังนั้นวันๆผมได้ทำอะไรบ้าง?"  เคนพูดพลางร้องไห้พลาง
"ผมได้แต่วิ่งไปมองที่ประตู ได้เฝ้ามองอยู่แต่ตรงหน้าต่าง เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ที่พ่อกับแม่จะมารับผมไปซักที แต่ทุกครั้งที่พ่อกับแม่เดินเข้ามาก็จะต้องหันหลังกลับไปโดยทิ้งผมไว้อยู่ที่นั้นทุกครั้ง!"  คำพูดของลูกชายเสียดแทงใจของผู้ให้กำเนิดทั้งสองยิ่งนัก
"เวลามีงานโรงเรียน เพื่อนคนอื่นมีทั้งพ่อและแม่ไปให้กำลังใจไปร่วมทำกิจกรรมด้วย แต่ผมกลับต้องยืนมองความสุขของคนอื่นโดยที่ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลย"  พ่อกับแม่ถึงกับน้ำตาซึมเมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดของลูกชาย
"ทำไมผมถึงทำตัวเกเรที่โรงเรียน? ทำไมผมถึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กเกเร? ทำไมผมถึงไม่ยอมทำตามคำสั่งใครง่ายๆ? ทำไมผมถึงก่อเรื่องก่อราวให้ทุกคนต้องปวดหัวอยู่เรื่อย? เพราะผมแค่อยากให้ทุกคนมองมาที่ผมบ้างก็เท่านั้นเอง"  เคนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างสุดทน
"ทุกคนเอาแต่พูดว่าเข้าใจผม แต่พี่ใหญ่ก็ตีผมอย่างหนักทุกครั้งที่รู้ว่าผมไปก่อเรื่องมา พี่รองก็ด่าว่าผมหาว่าผมทำให้เขาต้องอายคนอื่นที่มีน้องชายแบบนี้ แม้แต่พ่อกับแม่ที่ถึงแม้จะไม่ว่าอะไรแต่ก็ยังมีสีหน้าเอือมระอาให้เห็น หรือแม้แต่ไจ่ไจ๋บางทีน้องยังโดนห้ามไม่ให้มาเล่นกับผมเลย นี่หรอครับที่ทุกคนบอกว่าเข้าใจผม?"  เคนเงยหน้าขึ้นถามบุพการีทั้งน้ำตา
"ในช่วงเวลาที่ผมต้องการครอบครัวมากที่สุด ผมยังไม่รู้เลยว่าจะไปหาพวกเขาได้ที่ไหน?" แม่ได้ยินก็ถึงกับปล่อยโฮเพราะไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายต้องว้าเหว่แค่ไหน
"เสี้ยวเทียน แม่ไม่ได้ตั้งใจทำร้ายลูกนะ....."  แม่เอื้อมมือไปแตะที่แขนลูกชาย แต่เคนก็ยังร้องไห้ไม่หยุด พ่อเองก็ยืนมองน้ำตาซึมด้วยรู้ดีว่าสิ่งที่ได้ทำพลาดไปนั้นมันไม่มีทางแก้ไขได้อีกแล้ว
"แม่....ให้ลูกอยู่เงียบๆเถอะ เราออกไปก่อนดีกว่า"  แล้วพ่อก็หันไปพูดกับแม่
"ไม่ แม่อยากอยู่กับลูก"  แม่ปฏิเสธทันที
"เราอย่าทำร้ายลูกไปมากกว่านี้เลย"  พ่อพูดออกมาอย่างยากลำบาก แม่เองก็ไม่รู้จะทำยังงัยเพราะลูกชายก็เอาแต่ร้องไห้ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
"เสี้ยวเทียน ถ้าลูกต้องการไปเรียกแม่ได้ทุกเมื่อเลยนะลูก"  แม่พูดกับลูกชายอย่างอ่อนโยนแล้วเดินออกไปกับพ่อเงียบๆ หลังจากพ่อและแม่ออกไปแล้วเคนก็ล้มตัวนอนแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น
- ที่บ้าน -
"ท่าวันนี้พี่ใหญ่กลับดึกอีกแหงๆ พี่รองว่าพี่ใหญ่เขาจะพูดกับอาเหลียนเองมั๊ย?"  ไจ่ไจ๋เอ่ยทำลายความเงียบ 
"พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาแน่อะไรกับพี่ใหญ่หละ?"  แวนเนสเองก็ปฏิเสธ 
"ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่บอกพ่อกับแม่หรือยัง? เมื่อเช้าโทรไปหาพี่กลางไม่ยอมรับสาย สงสัยเที่ยวกันสนุกแหงๆ"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็ทำหน้าย่น แวนเนสเห็นสีหน้าของน้องชายก็หัวเราะ
"อิจฉาพี่เขาหละสิ!"  ไจ่ไจ๋หัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า
"ไม่หรอกครับ เพราะเดี๋ยวพ่อแม่กลับมาเมื่อไหร่ผมจะเอาคืนบ้าง"  แวนเนสผลักหัวเจ้าน้องชายตัวดีเบาๆ
"พ่อแม่อยู่ด้วยอย่าไปแหยมกับเจ้าพี่กลางหละไม่งั้นอาจตายได้"  จบคำพูดของแวนเนสสองพี่น้องก็หัวเราะกันอย่างขำๆ 
"เอ๊ะ! เสียงรถนี่.....พ่อแม่กลับมาแล้วหรอ?"  พูดยังไม่ทันขาดคำน้องเล็กก็ลุกพรวดออกไปหน้าบ้านทันที
"อ้าวไอ้นี่! ไวอย่างกับลิง!"  แวนเนสส่ายหน้าแต่ก็ลุกตามน้องชายออกไปด้วย
"พ่อแม่! ทำไมกลับเร็วหละครับ? ไม่เห็นโทรมาบอกก่อนเลย จะเซอร์ไพรส์พวกเราหรืองัย?"  ไจ่ไจ๋ทักทายพ่อกับแม่ที่เดินลงมาจากรถอย่างร่าเริง 
"พี่กลางหละ?"  แล้วก็ถามหาเคนเมื่อไม่เห็นเดินตามาด้วย พ่อกับแม่สบตากันเล็กน้อย
"ยังไม่ลงมาจากรถใช่มั๊ย?"  ว่าแล้วไจ่ไจ๋ก็วิ่งไปเปิดประตูรถแล้วชะโงกหน้าเข้าไปมองแต่ก็ไม่พบเคน
"พี่กลางเขาไปต่อที่บ้านเพื่อนจ๊ะ พ่อแม่เลยกลับมาก่อน"  แม่เดินมาบอกลูกชายคนเล็ก ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ถอนหายใจ
"ฮึ! เที่ยวจนลืมน้องเลยนะ"  บ่นอุบเบาๆ
"ทำไม? คิดถึงพี่เขาหรอ?"  แม่ย้อนถามลูกชายคนเล็ก
"ไม่คิดถึงหรอก คิดถึงพ่อแม่มากกว่า"  ไจ่ไจ๋ทำปากหวานแล้วกอดเอวแม่
"หมั่นไส้! อ้อนเป็นแมวเลยนะ!"  แวนเนสเอ่ยแซวเจ้าน้องชายตัวแสบ
"หึๆๆๆ"  พ่อกับแม่หัวเราะกันเบาๆ ทั้งคู่ต่างปกปิดสีหน้าไม่สบายใจเอาไว้
"ว่าแต่ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนหละครับ? แล้วไหนเสี้ยวเทียนมันประกาศปาวๆว่าจะเที่ยวทั้งอาทิตย์แต่ไหงแค่สองสามวันก็กลับกันแล้วหละ?"  แวนเนสซักถามพ่อกับแม่บ้าง
"ไปเที่ยวกับคนแก่จะสนุกอะไรหละลูก? วันๆเดินเล่นนิดๆหน่อยๆพ่อกับแม่ก็เหนื่อยแล้ว"  พ่อว่าพร้อมกับกอดคอลูกชายคนรอง
"หนอย! เสี้ยวเทียนมันเอาพ่อแม่ไปบังหน้าแล้วแอบหนีไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ ร้ายจริงๆเจ้านี่!"  แวนเนสได้ยินก็ต่อว่าน้องชาย
"อย่าว่าน้องเลย ให้น้องไปทำอะไรที่อยากทำดีกว่า"  สีหน้าของพ่อเศร้าลงจนแวนเนสสังเกตได้แต่ก็ยังไม่ถามเพราะน้องชายยืนอยู่ด้วย
"เข้าบ้านก่อนเถอะครับ เอาขนมมาฝากผมตามสัญญาหรือเปล่า?"  ไจ่ไจ๋เองไม่ได้สังเกตอะไรจึงยังมีท่าทีดีใจเหมือนเดิม
"มีสิลูก เยอะแยะเลยด้วย"  แม่ตอบแล้วโอบไหล่ลูกชายเดินนำเข้าบ้านไปก่อน
"พ่อครับ ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั๊ย?"  เมื่อเห็นแม่และน้องเดินเข้าบ้านไปแล้วแวนเนสก็หันมาถามพ่อ
"ไม่มีอะไรหรอกลูก เข้าบ้านดีกว่า"  พ่อปฏิเสธแต่ท่าทางแบบนั้นทำให้แวนเนสแน่ใจว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอนแต่เขาเองก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ 
"พี่ใหญ่ยังไม่กลับอีกหรอลูก?"  แม่ถามเมื่อไม่เห็นเจอร์รี่อยู่ในบ้าน คำถามนั้นทำให้ไจ่ไจ๋กับแวนเนสหันไปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ
"ทำไมหรอ? ทำไมทำท่าแปลกๆ?"  เมื่อเห็นท่าของลูกชายทั้งคู่ก็ซักต่ออีก
"ผมโทรหาพี่ใหญ่แล้วกัน"  ว่าแล้วไจ่ไจ๋ก็ยกหูโทรศัพท์กดไปหาพี่ชาย
"สวัสดีครับ"  เสียงเจอร์รี่ตอบกลับมาตามสาย
"พี่ใหญ่ครับ พ่อแม่กลับมาแล้ว จะคุยด้วยหรือเปล่า?"  ไจ่ไจ๋บอกกับพี่ชาย เสียงพี่ใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง
"ทำไมกลับมาวันนี้หละ?"  คำถามนั้นไจ่ไจ๋เองก็ไม่รู้จะตอบยังงัย
"พอดีว่าพี่กลาง...."  ไจ่ไจ๋ยังพูดไม่ทันจบเจอร์รี่ก็แทรกขึ้นมาก่อน
"งั้นพี่ขอสายพี่กลางหน่อย"  ไจ่ไจ๋นิ่วหน้าเล็กน้อย
"พี่กลางไม่อยู่หรอก พี่กลางไม่ได้กลับมาด้วย คุยกับแม่นะ"  แล้วไจ่ไจ๋ก็ยื่นโทรศัพท์ให้แม่คุย
"ว่างัยจ๊ะเจอร์รี่"  แม่รับสายพร้อมกับเอ่ยถาม
"เสี้ยวเทียนไปไหนหรือครับ?"  ถามแม่กลับมา
"น้องไปบ้านเพื่อนจ๊ะ พ่อแม่เลยกลับมาก่อน"  แม่ตอบแล้วถามลูกชายต่อ
"ว่าแต่ทำไมลูกยังกลับบ้านอีก? นี่มันเลยเวลางานแล้วนะจ๊ะ"  เจอร์รี่เงียบไปครู่หนึ่ง
"แม่ครับ ที่บริษัทมีปัญหานิดหน่อย แต่ผมกำลังจัดการอยู่ ตอนนี้เลยยุ่งๆ"  เมื่อได้ยินดังนั้นแม่ก็ขมวดคิ้ว
"มีปัญหาอะไรลูก?"  แม่ถามทำให้พ่อพลอยหันมาสนใจกับการสนทนาของแม่กับลูกชายด้วย
"ให้แวนเนสกับไจ่ไจ๋เล่าให้ฟังแล้วกัน เดี๋ยวผมขอจัดการเรื่องบางอย่างก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกทีนะครับ"  พูดจบเจอร์รี่ก็วางสายเอาดื้อๆ แม่ทำหน้างงๆแล้ววางสายก่อนจะหันมาทางลูกชายอีกสองคน
"พี่ใหญ่บอกแม่ว่าที่บริษัทมีปัญหา ตกลงลูกสองคนรู้เรื่องด้วยหรือเปล่า?"  หันมาถามลูกชายทั้งสองคน   
"เอ่อ....ก็รู้บ้างครับ....."  แวนเนสตอบ
"เล่าให้พ่อฟังหน่อย"  พ่อเร่งให้แวนเนสเล่า ดังนั้นแวนเนสกับไจ่ไจ๋จึงช่วยกันเล่ารายละเอียดที่พวกเขาพบเจอทุกอย่างให้พ่อและแม่ฟังอย่างไม่ปิดบัง

-ที่บริษัท -
"โทรไปตั้งหลายครั้งทำไมไม่รับสาย?"  ทันทีที่เสียงเคนตอบรับเจอร์รี่ก็ต่อว่าน้องชายอย่างหงุดหงิด
"ขอโทษ ชั้นไม่ได้ยิน"  เสียงน้องชายตอบกลับมาอย่างเนือยๆ
"อยู่ไหน?"  เจอร์รี่ถามน้องกลับไปอีก
"ข้างนอก"  เคนตอบแบบไม่เจาะจงสถานที่
"มาหาชั้นที่บริษัทเดี๋ยวนี้"  เจอร์รี่สั่งน้องชายอย่างเป็นการเป็นงาน เคนเงียบไปครู่หนึ่ง
"ทำไม?"  ถามพี่ชายกลับมา
"ชั้นบอกให้มาก็มาไม่ต้องถาม"  ดุน้องเข้าให้อีกเพราะตัวเองก็หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว   
"จำเป็นมากหรอ?"  ถามพี่ชายต่ออีก
"นี่เป็นคำสั่ง!"  เจอร์รี่ตะคอกใส่หูโทรศัพท์อย่างลืมตัว จนเมื่อพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจที่ตัวเองไปทำอารมณ์เสียใส่น้องโดยไม่มีเหตุผล ฝ่ายคู่สนทนาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ
"ครับ"  แล้วสายก็ตัดไป เจอร์รี่วางสายลงอย่างโมโหตัวเองที่ไปใส่อารมณ์กับน้องแบบนั้น วันนี้เขาเข้าไปคุยกับอาเหลียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วเขาก็ไม่นึกว่าจะได้ยินเรื่องราวที่ตัวเองไม่เคยคาดคิดมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องสืบหาความจริงให้ได้ เจอร์รี่นั่งรอน้องชายอย่างกระวนกระวายจนผ่านไปครู่ใหญ่เลขาส่วนตัวก็เข้ามาบอกว่าเคนมาพบ
"ให้เข้ามาเลย แล้วคุณก็กลับบ้านได้แล้ว ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณมาก"  เลขาสาวรับคำแล้วออกไปเงียบๆ โดยที่เคนเดินสวนทางเข้ามา
"นายรู้เรื่องทั้งหมดใช่มั๊ย?"  ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวพี่ใหญ่ก็โยนแฟ้มลงที่โต๊ะตรงหน้าเขา เคนมองอย่างงงๆแต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
"นายรู้แล้วหรอ?"  ย้อนถามพี่ชายกลับไป เจอร์รี่มองน้องชายอย่างโมโห
"ตั้งแต่เมื่อไหร่!?"  เจอร์รี่เสียงเข้มขึ้นตามลำดับ เคนเงยหน้ามองพี่ชายอย่างไม่เข้าใจว่าพี่ชายโมโหอะไรเขา
"ชั้นถามว่านายทำแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!"  ถามพร้อมกับกระชากแขนน้องชายอย่างแรงจนเคนเซไปตามแรงดึง
"ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย! พูดกันดีๆก็ได้!"  เคนเองก็เริ่มโมโหเพราะตั้งแต่ตอนที่คุยโทรศัพท์พี่ชายก็ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากกับเขา
"ยังจะมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรืองัย!? ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่ชั้นให้นายมันไม่พอใช่มั๊ย!? นายถึงต้องมาทำเรื่องแบบนี้!"  เจอร์รี่ตวาดใส่น้องอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ เคนอึ้งไปกับคำพูดนั้นก่อนจะหยิบแฟ้มตรงหน้าขึ้นมาดู
"ชั้นรู้เรื่องทั้งหมดจากอาเหลียนและชั้นก็สอบสวนทุกคนที่เกี่ยวข้องแล้ว"  เจอร์รี่ย้ำคำ เคนมองเอกสารทั้งหมดอย่างคาดไม่ถึงเพราะไม่นึกว่าเขาจะถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาที่รุนแรงขนาดนี้
"ชั้นไม่รู้เรื่อง ชั้นไม่เคยแม้แต่จะคิด"  เคนยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
"ในเมื่อไม่รู้เรื่องงั้นนายตอบชั้นมาหน่อยสิว่าสลิปการโอนเงินเข้าบัญชีของนายที่เป็นหลักฐานตำตาแบบนี้มันมีขึ้นมาได้ยังงัย?"  เจอร์รี่ชี้นิ้วไปที่สลิปการโอนเงินตรงหน้า
"ชั้นสอบสวนแผนกบัญชี แผนกจัดซื้อ แม้แต่กับคนในทีมงานที่ร่วมทำโปรเจคกับนายชั้นก็เรียกมาสอบสวนหมด และทุกคนเขาพูดเหมือนกันหมดว่านายเป็นคนสั่งให้เขาทำแบบนี้"  เคนพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เคยเตรียมใจรับกับเรื่องแบบนี้มาก่อน
"นายเป็นน้องชั้น ถ้าต้องการใช้เงินก็มาบอกกับชั้นสิ ชั้นจะหามาให้นายเอง ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย นายรู้หรือเปล่าว่านี่มันกระทบกับเรื่องความอยู่รอดของบริษัท หรือนายคิดว่าที่บริษัทอยู่มาได้จนถึงวันนี้มันเป็นเพราะการเสียสละของนายที่ยอมไปอยู่กับอาเจียงนายถึงมีสิทธิที่จะล้มมันเมื่อไหร่ก็ได้?"  เคนมองพี่ชายอย่างเจ็บปวดเพราะนึกไม่ถึงว่าพี่ชายจะพูดแบบนี้กับเขา
"ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีคนเป็นร้อยบอกชั้นว่าใบไม้มันเป็นสีเขียวชั้นเองก็เคยเชื่อแบบนั้น แต่มาวันนึงชั้นถามนายว่าใบไม้เป็นสีอะไร นายตอบชั้นว่าใบไม้เป็นสีน้ำตาล ตั้งแต่นั้นมาชั้นก็เชื่อว่าใบไม้เป็นสีน้ำตาลมาตลอดเพราะชั้นไม่เคยระแวงกับคำพูดของนาย ไม่เคยกังขากับสิ่งที่นายบอก"  เคนพูดอย่างปวดร้าว
"แต่วันนี้ชั้นถึงได้รู้ว่าคนที่ชั้นไว้ใจมากที่สุดเขากลับไม่เคยไว้ใจชั้นเลย"  พี่ใหญ่มองน้องชายแล้วนิ่งอึ้งไป เขาเองก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมดที่เขาได้ยินมากับหู
"ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ก็จัดการตามวิธีของนายเถอะ"  เคนว่าแล้วก็มองหน้าพี่ชายด้วยแววตาจริงจัง
"โทรไปแจ้งความสิ ชั้นจะรอตรงนี้ไม่หนีไปไหนแน่"  ทั้งคำพูดและท่าทางของน้องชายทำให้เจอร์รี่เรียกสติคืนมาได้  
"เสี้ยวเทียน"  น้ำเสียงอ่อนลง
"ชั้นโทรให้เองก็ได้"  ว่าแล้วเคนก็หยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานพี่ชายขึ้นมาแต่เจอร์รี่รีบดึงโทรศัพท์ออกมาจากมือน้อง
"เสี้ยวเทียน ชั้นขอโทษที่หงุดหงิดใส่นาย ชั้นแค่อยากได้คำอธิบาย"  เจอร์รี่ขอโทษน้อง
"ชั้นจะพูดอะไรได้อีก? ชั้นพูดอะไรได้ด้วยงั้นหรอ?"  เคนย้อนถามพี่ชายน้ำตาคลอ
"ยืนยันกับชั้นว่านายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง"  พี่ใหญ่หวังจะได้ยินคำๆนี้
"มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว ชั้นหมดข้อแก้ตัวตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในนี้แล้ว"  พูดจบเคนก็เดินออกไปทันที เจอร์รี่ได้แต่มองตามน้องชายอย่างเสียใจ

- เวลาต่อมา -
"เที่ยวเพลินจนลืมผมแล้วใช่มั๊ย?"  ทันทีที่ไจ่ไจ๋กดรับโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ของเคนก็ต่อว่าพี่ชายออกไปทันที
"ไม่ลืมหรอก ถ้าลืมจะโทรมาหาหรอ?"  เสียงเคนตอบน้องชายกลับมาทำเอาไจ่ไจ๋ถึงกับยิ้มหน้าบาน
"แล้วเมื่อไหร่จะกลับ?"  ถามพี่ชายต่ออีก คำพูดของน้องเล็กทำให้พ่อแม่และแวนเนสหันไปสนใจกับการคุยโทรศัพท์ของไจ่ไจ๋
"คิดถึงพี่หรือเปล่า?"  เคนไม่ตอบแต่ย้อนถามน้องแทน
"จะคิดถึงดีมั๊ยอ่ะ? เที่ยวสนุกคนเดียวแล้วยังมาทำปากหวานอีก"  ไจ่ไจ๋ทำเสียงกระเง้ากระงอด
"ว่าแต่ตอนนี้พี่กลางอยู่ไหน?"  แล้วก็ถามพี่ชายต่ออย่างไม่คิดอะไร
"พี่หรอ? กำลังเที่ยวกับเพื่อนสนุกมากเลย"  เสียงเคนตอบกลับมา
"เที่ยวที่ไหน? มารับผมไปด้วยคนสิ"  ไจ่ไจ๋พูดแหย่
"นายมาแล้วมันจะสนุกหรอ?"  ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ทำหน้ามุ่ย
"พี่กลางอ่ะนิสัยไม่ดี!"  ต่อว่าพี่ชายกลับไปอีก เสียงเคนหัวเราะเบาๆ
"วันนี้พี่ไปเที่ยวมาหลายที่เลยไจ่ไจ๋ สนุกมาก ไว้วันหลังพี่จะพานายไปด้วย นายจะไปกับพี่มั๊ย?"  ไจ่ไจ๋ย่นจมูกแล้วยิ้มเล็กน้อย
"คิดดูก่อนนะ"  ตอบพี่ชายอย่างเล่นตัว แล้วเสียงเคนก็เงียบหายไป   
"พี่กลาง"  ไจ่ไจ๋เรียกเมื่อไม่ได้ยินเคนพูดอะไรอีก 
"พี่กลางครับ ได้ยินผมพูดหรือเปล่า? ไม่มีคลื่นหรอ?"  ไจ่ไจ๋ถามพี่ชายต่ออีก แต่แล้วก็ได้ยินเสียงพี่ชายตอบกลับมา    
"ไจ่ไจ๋"  เสียงพี่ชายฟังดูสั่นๆ ไจ่ไจ๋ได้ยินก็ตกใจ
"พี่กลาง! พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?"  เมื่อได้ยินไจ่ไจ๋ว่าเช่นนั้นพ่อแม่และแวนเนสก็หันมาทางไจ่ไจ๋พร้อมกันอีกครั้ง
"ไจ่ไจ๋....มาหาพี่หน่อยได้มั๊ย?"  น้ำเสียงของเคนฟังดูเหมือนคนกำลังร้องไห้
"พี่กลาง พี่อยู่ที่ไหน? พี่เป็นอะไรหรือเปล่า?"  ไจ่ไจ๋ยิ่งร้อนใจเมื่อแน่ใจแล้วว่าคงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับพี่ชาย
"ไจ่ไจ๋ นายมาหาพี่หน่อยนะ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว"  น้องเล็กถึงกับน้ำตาร่วงเมื่อได้ยินเสียงพูดปนสะอื้นของพี่ชาย 
"พี่กลาง ผมจะไปหาพี่ แต่พี่ต้องบอกผมว่าพี่อยู่ที่ไหน?"  ซักถามพี่ชายต่ออีก
"พี่ไม่รู้ พี่ไม่รู้อะไรเลย"  จบคำตอบนั้นสายก็ถูกตัดไป 
"ไจ่ไจ๋! เกิดอะไรขึ้น?"  แวนเนสเห็นดังนั้นก็ถามน้องชายอย่างตกใจไปด้วย ไจ่ไจ๋ไม่ตอบแต่กดโทรศัพท์ไปหาเคนแต่ติดต่อไม่ได้
"ไจ่ไจ๋! มีเรื่องอะไร? พี่กลางอยู่ไหน?"  พ่อถามลูกชายเสียงดังเพราะรู้ว่าคงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเคนแน่
"ผมไม่รู้แต่ผมต้องไปหาพี่กลาง!"  ไจ่ไจ๋ว่าแล้วก็วิ่งออกจากบ้านไปอย่างไร้จุดหมาย พ่อแม่และแวนเนสมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ
"พ่อจะไปหาลูก"  พ่อว่าแล้วก็ผลุนผลันออกไปด้วยอีกคน
"นี่มันเกิดเรื่องอะไรกัน!?"  แวนเนสเริ่มหน้าเครียดเขาหยิบโทรศัพท์ติดต่อไปหาน้องชายคนกลางแต่ก็ติดต่อไม่ได้ ส่วนแม่นั้นหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด
"แม่ครับ"  แวนเนสเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองแม่ 
"แม่ไม่เป็นไร ไปหาน้องเถอะลูก น้องกำลังเสียใจ"  แม่บอกลูกชายน้ำตาคลอ
"แม่....นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?"  แวนเนสเองก็แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว ในขณะนั้นเองเจอร์รี่ก็วิ่งเข้าบ้านมาหน้าตื่น
"แวนเนส! พ่อกับไจ่ไจ๋รีบร้อนออกไปไหน?"  เจอร์รี่ร้องถามน้องชาย
"ไปหาเสี้ยวเทียน น้องโทรมาหาไจ่ไจ๋แล้วสายก็ขาดไปติดต่อไม่ได้อีกเลย"  ได้ยินเท่านั้นเจอร์รี่ก็วิ่งออกไปอีกคน 
"แม่ครับ บอกผมว่ามีเรื่องอะไรกันแน่?"  แวนเนสซักไซร้แม่เพราะเขารู้ว่าคงมีปัญหาอะไรบางอย่าง
"แม่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะทำให้เสี้ยวเทียนเสียใจ พ่อกับแม่ผิดเองที่ไม่เคยเข้าใจน้องเลย"  แม่พูดกับแวนเนสทั้งน้ำตา
"เมื่อวานพ่อกับแม่คุยกับน้องเรื่องบ้านของอาเจียง พ่อแม่บอกเสี้ยวเทียนว่าบ้านนั้นพ่อแม่ซื้อขึ้นมาแล้วจะยกให้น้องเหมือนเดิม"  แวนเนสได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ เขารู้ดีว่าน้องคงแผลงฤทธิ์ไม่น้อยกับเรื่องนี้
"แม่ไม่เคยรู้ว่าน้องมีความรู้สึกยังงัย แม่ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าน้องคงแค่น้อยใจเหมือนเด็กเกี่ยวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้น"  แม่ว่าพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม
"แต่ความจริงแล้วมันเป็นบาดแผลที่รักษายังงัยก็ไม่หาย ต่อให้มันรอยแผลมันจางลงแต่มันก็ลบเลือนออกไปไม่ได้"  แวนเนสโอบแม่เข้ามากอดอย่างปลอบประโลม
"แม่ไม่รู้เลยว่าจะชดเชยให้น้องได้ยังงัย ถ้าหากมีทางไหนที่จะสามารถเยียวยาจิตใจเสี้ยวเทียนได้แม่ก็จะทำ"  แวนเนสน้ำตาซึมเมื่อได้ยิน
"ต่อให้ตอนนี้แม่ต้องสูญเสียทุกอย่างเพื่อแลกกับการได้ลูกชายแม่คืนมา แม่ก็ยอมทั้งนั้น"  แม่ปรับทุกข์กับแวนเนสเสร็จก็ร้องไห้ออกมา
"แม่ครับ อย่าคิดมากเลย เสี้ยวเทียนรักพ่อกับแม่มากเพราะฉะนั้นน้องก็ต้องการเวลามากเป็นพิเศษ"  แวนเนสปลอบใจแม่อย่างนุ่มนวล
"ช่วงนี้น้องอาจจะอารมณ์ไม่ดีหรืออาจจะมีเรื่องอะไรทำให้เครียดเลยระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างนั้น ผมเชื่อว่าน้องต้องคิดได้แล้วกลับมาหาแม่แน่นอน"  แม่รู้สึกดีขึ้นกับคำปลอบใจของแวนเนส
"แวนเนสจ๊ะ แม่ขอบใจลูกมากนะ"  แวนเนสยกมือเช็ดน้ำตาให้แม่อย่างแผ่วเบา
"แม่จะไม่ยอมสูญเสียเสี้ยวเทียนไปอีกครั้งแน่นอน ถึงยังงัยแม่ต้องเหนี่ยวรั้งน้องกลับมาคืนมา"  แม่พูดอย่างมั่นใจ แวนเนสยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าให้แม่ทั้งที่ในใจตอนนี้กระวนกระวายเป็นอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าน้องอยู่ที่ไหน
"เดี๋ยวพ่อกับไจ่ไจ๋และก็พี่ใหญ่ต้องพาน้องกลับมาแน่ครับ"  แวนเนสให้คำมั่นทั้งที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดไปจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2557    
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2558 14:40:38 น.
Counter : 884 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  
 
 

loving_zai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




[Add loving_zai's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com